*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
Sense of Belonging v. เรื่องฉาว ๆ ของสหรัฐ

- เกริ่นนำ –


เมื่อวาน (๑๗ พ.ย.๔๘) เพื่อนผมคนหนึ่ง ที่ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนอาชีพไปเป็นผู้พิพากษาได้ถามผมว่า ระบบการดำเนินคดีของประเทศสหรัฐฯ ใครมีหน้าที่นำพยานไปศาลเพื่อเบิกความ ฯลฯ และอีกหลายคำถาม ผมเข้าใจว่า ประชาชนในสหรัฐมีความเป็นตำรวจในตัวตนสูง ทุกคนมีหน้าที่รักษากฎหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายและให้ความร่วมมือและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด ดังนั้น เมื่อมีหมายเรียกมา พยานจะเดินทางไปศาลด้วยความสำนึกในหน้าที่ของตนเอง (จะเต็มใจหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) Professor Ross อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยของผม ก่อนนี้หน้านี้ ท่านเคยเป็นอัยการที่ชิคาโก้ ได้ยืนยันหลักการที่กล่าวข้างต้นไว้ ประชาชนมีหน้าที่ต้องไปศาลและประสบการณ์ชีวิตของเธอระหว่างเป็นอัยการ พยานก็ไม่เคยบิดพริ้ว บ่ายเบี่ยง ไม่ไปศาลเลย

ผมนั่งรำลึกถึงเหตุการณ์สมัยเป็นพนักงานสอบสวน กว่าจะติดตามพยานมาสอบสวนปากคำ และไปศาลได้ มันช่างลำบากยากเย็นจริง ๆ พยานไม่มา เราก็ต้องตามไปสอบสวน พูดคุยกับเขาที่บ้าน ไม่ไปศาล ก็ต้องพากันไป ชนิดที่เรียกว่า แอบจะกราบเท้าและอุ้มกันไป ว่างั้นก็ได้ ความมีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม โดยสำนึกว่าทุกคนมีหน้าที่ช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ในลักษณะ Sense of Belonging ของประชาชนในสังคมเราค่อนข้างน้อยครับ

- ความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม: Obstruct of Justice –


เหตุผลประการหนึ่ง ที่ทำให้ประชาชนชาวไทย ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการไปเป็นพยานศาล นอกจากจะเห็นว่า ธุระไม่ใช่แล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะ ระบบกฎหมายเราไม่ได้คุ้มครองพยานอย่างเต็มที่ ในสหรัฐฯ มีการบัญญัติกฎหมายที่เรียกว่า “การกระทำผิดฐาน ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม หรือ Obstruct of Justice” การข่มขู่พยาน หรือ การกระทำการใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อพยานและสมาชิกในครอบครัวของพยาน ย่อมมีความผิดร้ายแรง ไม่ว่าการกระทำผิดนั้น จะเกิดก่อนจะมาเป็นพยานหรือหลังจากเป็นพยานแล้วก็ตาม แต่กฎหมายไทย เรายังก้าวไปไม่ถึง ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใด เราไม่มีความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ที่กล้าวข้างต้น ทำให้พยานไม่มั่นใจที่จะมาเป็นพยาน รวมถึง ความปลอดภัยของเขาภายหลังจากเป็นพยานแล้วด้วย ที่จริงเรื่องนี้ ผมได้ยินมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีใครริเริ่มกันเป็นจริงเป็นจังเสียที

นอกจากนี้ ระบบการเรียนการสอนกฎหมายของสหรัฐ ยังแตกต่างจากประเทศอื่นอย่างมาก กฎหมาย เป็นบรรทัดฐานของสังคม และพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย ไม่ได้มีอะไรแน่นอนตายตัวที่แก้ไขไม่ได้ คนที่จะเรียนกฎหมาย จึงต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ เพียงพอแล้ว หลักสูตรจึงกำหนดให้ผู้ที่จะเรียนกฎหมาย จะต้องจบปริญญาสาขาอื่นมาก่อนแล้ว เพื่อให้เข้าใจโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่วาดฝันวิมานในอากาศ ทราบมาว่า ทุกโรงเรียนกฎหมายของสหรัฐฯ จะต้องให้นักเรียนในสาขากฎหมายสาบานตน (Take Oath) ก่อนเริ่มเรียนว่า ตนจะต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ในวิชาชีพ (Legal Professional) ไม่กระทำผิดกฎหมาย หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ยังหลักการในการควบคุมจริยธรรมนักกฎหมายว่า ทนายความฝ่ายจำเลย จะต้องไม่สร้างพยานหลักฐานเท็จ ไม่กระทำผิดหรือสนับสนุนให้จำเลยกระทำผิด และหากได้รับพยานหลักฐานที่เป็นสาระสำคัญทางคดี ก็จะต้องนำส่งพยานหลักฐานนั้นต่อศาล จะเก็บเงียบอมไต๋ไว้ เพื่อทำ Surprise ให้กับฝ่ายพนักงานอัยการไม่ได้ หากทนายพบการกระทำผิดของทนายความอื่น ก็เป็นหน้าที่จะต้องรายงานการกระทำผิดของทนายความอื่นต่อศาลหรือองค์กรที่ควบคุมวิชาชีพด้วย เป็นต้น หากจะกล่าวไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ ทางโรงเรียนกฎหมายไทย และระบบกฎหมายไทย แทบจะไม่เคยมีอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย แต่ในสหรัฐฯ เขาย้ำหนักย้ำหนาในหน้าที่ทางจริยธรรมของทั้งทนายความ และอัยการ จะต้องปฏิบัติตาม รัฐธรรมนูญ, กฎหมาย และหลักจริยธรรม ตาม Model of Profession Responsibility ของสมาคมเนติบัณฑิตอเมริกัน (ABA) รวมถึงคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด

- เหตุผลทางประวัติศาสตร์ : การเกลียดชังระบบศักดินาและอภิสิทธิ –


หากศึกษากันให้ลึกถึงประวัติศาสตร์ของสหรัฐแล้ว ก็จะไม่รู้สึกน่าแปลกใจมากที่สหรัฐฯ สามารถทำให้ประชาชนทุกคนรักษาสิทธิ์และมีแนวคิดในเชิงการเป็นตำรวจ คือ ปกป้องสิทธิ และรักษาหน้าที่ของตนเอง ต่อสังคม อย่างเคร่งครัด หากประชาชนเขาพบสิ่งใดที่ผิดปกติ สิ่งหนึ่งที่เขาจะทำ ก็คือ การเป็นหูเป็นตาให้แก่ตำรวจและแจ้งเหตุการณ์ไม่ปกตินั้นแก่ตำรวจ เมื่อต้องเป็นคดีความ ก็จะพร้อมไปเป็นพยานในชั้นศาล แม้ประเทศนี้ จะมีประวัติศาสตร์ที่แสนจะสั้นเพียง ๒๐๐ ปี เศษของการพัฒนาประเทศมา แต่หากมองให้ลึก ๆ ประเทศนี้ มีพื้นฐานอันยาวนานมาจากการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ อิสระ และความเสมอภาค ที่สืบต่อมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง


รองประธานาธิบดี Dick Cheney


การต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เกิดขึ้นจาก ความขัดแย้งเรื่องภาษี ที่รัฐบาลอังกฤษ เรียกร้องจากอาณานิคม คือ สหรัฐฯ ในช่วงแรก ซึ่งประชาชนในอาณานิคม เองก็คิดว่า มันไม่เสมอภาค เพราะโดยหลักการที่สืบต่อเนื่องมาจาก มหากฎบัตร และ Bill of Rights ที่ชาวอังกฤษและชาวอาณานิคมยึดถือกันมาตั้งแต่คริสศตวรรษ ที่ ๑๑ เป็นต้นมา ยืนยันหลักการแน่นหนักว่า “ไม่มีภาษี โดยไม่มีผู้แทน” และ “ไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมาย” กล่าวง่าย ๆ คือ พระมหากษัตรยิ์ จะมาเก็บภาษี โดยที่พวกเขาไม่มีผู้แทนไปร่วมพิจารณาความเหมาะสม ไม่ได้โดยเด็ดขาด การต่อสู้เรื่องอำนาจของพระมหากษัตรยิ์ และรัฐสภาอังกฤษ ได้เป็นที่รับรู้ของชาวโลกกันมาอย่างยาวนาน ขณะที่ประเทศอังกฤษมีระบบประชาธิปไตย อย่างยาวนาน โดยยึดถือว่า อำนาจเป็นของปวงชน ในภาคพื้นยุโรปส่วนใหญ่ กลับมีการมีปกครองในระบอบเผด็จการมาอย่างยาวและต่อเนื่อง หลักการปกครองในระบบประชาธิไตย จึงสืบทอดมายังสหรัฐอเมริกา พร้อมกับความเกลียดชังระบบอภิสิทธิ์ เช่นที่เคยยึดถือในประเทศอังกฤษดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Feudalism หรือ ระบบศักดินาที่ถือว่าแผ่นดินเป็นของกษัตริย์ แต่มอบให้ขุนนางไปดูแล กษัตริย์สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ โดยมีเครื่องมือ คือ Excommunication ตามแบบศาสนาคริสต์มาเป็นเครื่องมือบังคับ หากผู้ใดถูกตัดขาดจากระบบ ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังกันอีกต่อไป เรียกว่า ตายทั้งเป็น

- ระบบสาธารณรัฐ และแนวคิดในการส่งเสริมการเคารพกฎหมาย -


ระบบสาธารณรัฐ (Republic) จึงได้สถาปนาขึ้น โดยนำรูปแบบของอาณาจักรโรมัน มาเป็นตัวแบบ แทนที่จะเป็นระบบกษัตริย์แบบอังกฤษ การสร้างตัวแบบของสหรัฐ เริ่มจากการไม่ไว้วางใจอำนาจรัฐบาลกลาง และให้รัฐบาลมลรัฐมีอำนาจเต็มฯ ซึ่งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะการรวมตัวแบบ Confederation มันเป็นการรวมตัวที่หลวมเกินไป ในที่สุด จึงได้รวบอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลางมากขึ้น ภายใต้รูปแบบ Federation ที่รัฐบาลกลางมีอำนาจเก็บภาษี มีการจัดตั้งกองกำลังทหาร และหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ฯลฯ หากจะพิจารณาลึก ๆ แล้ว เราจะพบสิ่งที่น่าแปลกใจมาก คือ ทั้งชื่อเรียกตำแหน่งต่าง ๆ รูปแบบที่เขาตั้งขึ้นนั้น เช่น วุฒิสมาชิก ซึ่งเรียกว่า Senator ฯลฯ รวมถึงขนาดพื้นที่ของสหรัฐฯ ปัจจุบัน มีขนาดเท่า ๆ กับอาณาจักรโรมันในอดีต อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ปัญหาที่ร้ายแรงประการหนึ่งของสหรัฐ คือ ปัญหาเรื่องการค้าทาสในอดีต การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) อย่างรุนแรง จนกระทั่งรัฐบาลสหรัฐจะต้องประกาศกฎหมายว่าด้วย Civil Rights และกฎหมายอื่น ๆ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันการเลือกปฏิบัติ พร้อมกับมีระบบการส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอย่างจริงจัง หากมีการกระทำอันเป็นการละเมิดกฎหมาย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกะทำที่เป็นการเลือกปฏิบัติ รวมถึงคำพูดที่ทำให้เจ็บใจอย่างร้ายแรงด้วย เรียกได้ว่า มาตรการต่าง ๆ ส่งเสริมให้คนไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้ใครมารังแก ไม่ว่าจะประชาชนด้วยกันหรือจะเป็นอำนาจของรัฐก็ตาม (แต่ทุกเรื่องมีขอบเขตของมันนะครับ เพราะคนเราไม่มีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงคนอื่น เหมือนที่ผมได้กล่าวไปแล้วในเรื่องจริยธรรมของสื่อมวลชน )

- เหตุการณ์ปัจจุบัน: เรื่องฉาว ๆ ของสหรัฐ และ Bush Administration -


ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐ อยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบุชฯ ซึ่งมีเสียงข้างมากทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทน แต่คะแนนนิยมกลับลดต่ำลงเรื่อย ๆ ปัจจุบัน เหลือเพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ต้น ๆ เรียกว่า ต่ำอย่างน่าตกใจ นอกจากนี้ รัฐนาวา ยังเปือดแป้นไปด้วยข่าวคราวความเลวร้ายของการบริหารงานของ Bush Administration ตั้งแต่ การถูกกล่าวหา รัฐบาลจงใจบิดเบือดข้อมูลของการครอบครองอาวุธที่มีอานุภาพทำร้ายร้ายแรง เพื่อทำให้วุฒิสภา อนุมัติรัฐบาลสหรัฐฯ โจมตีและบุกยึดอำนาจจากซัดดำ ความล่าช้าซึ่งอาจเรียกได้ว่าความล้มเหลวในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติที่พัดกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรอบปีนี้ การเสนอแต่งตั้งผู้จะเป็นพิพากษาศาลสูงที่ไม่มีคุณสมบัติต้องตาต้องใจพวก Conservative ที่ต้องการจะยกเลิกคำพิพากษาศาลสูงเดิมที่อนุญาตให้ทำแท้งได้อย่างเสรี โดยเฉพาะพวกขวาจัดในพรรค Republican พรรคเดียวกับประธานาธิบดีเอง


Lewis "Scooter" Libby has been a quiet yet powerful force in the White House.


สืบเนื่อง การบิดเบือนข้อมูลที่ใช้เป็นเหตุผลในการโจมตีอีรักฯ ทำให้นาย Lewis Libby ที่ปรึกษาอันดับสอง ของนายดิกช์เชนนี่ รองประธานาธิบดี ยังถูกดำเนินคดี ในหลายข้อหา เช่น การเปิดข้อมูลของสายลับ CIA ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วย Intelligence Identities Protection Act ค.ศ. ๑๙๘๒ การให้การเท็จต่อคณะลูกขุนใหญ่ (Grand Jury) การกระทำที่เป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม (Obstruct of Justice) คดีนี้ มีสาเหตุมาจากปากแท้ ๆ ปากไม่ดีของนายลิบบี้ นี่แหละเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องถูกดำเนินคดี หลังจากที่สำนักงานสืบสวน FBI อัยการ และ คณะลูกขุนใหญ่ ได้ทำการสืบสวนมาประมาณ ๒ ปี ก่อนหน้านี้ แม้เขาจะจบจากโรงเรียนชันน้ำของสหรัฐ คือ จาก Yale และ Columbia Law School แต่ปลาหมอก็ตายเพราะปากแท้ ๆ ดันไปพูดกับ นักเขียนของ New York Time ในทำนองที่ว่า คณะกรรมการของฝ่าย Democrat นำโดยอดีตนักการทูต ชื่อ Wilson ที่ไปสืบเรื่องราวและสรุปในรายงานพิเศษว่า แท้จริงแล้ว อีรัค ไม่มีอาวุธทำร้ายแรง ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง นั้น ไม่น่าเชื่อถือ เพราะหลายสาเหตุ รวมถึง Wilson ผู้สืบสวนฯ ยังมีภรรยาเป็น CIA ซึ่งเกิดความเสียหายต่อสหรัฐมาก เพราะ ผู้สืบสวนคนดังกล่าว เคยเป็นทูต โดยมีภรรยา เป็น CIA ไปสืบราชการลับของประเทศอื่น โดยแฝงตัวไปพร้อมคณะทูตสหรัฐฯ ปากเป็นเหตุนี้ สามารถทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ง่าย เพราะหากเปิดเผยความลับเกี่ยวกับสถานะบุคคลนั้นแล้ว เขาก็จะตกเป็นเป้าถูกทำร้ายฯ เป็นต้น (ผมตั้งใจจะนำรายละเอียดในเรื่องนี้โดยเฉพาะ มานำเสนอในคราวต่อไปครับ)


U.S. Attorney Patrick J. Fitzgerald ผู้สืบสวนและฟ้องร้อง นายลิบบี้ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีบุช



นายลิบบี้ นี่ประธานาธิบดีบุช เชื่อใจและยกย่องเขานัก ลือกันว่า บุชชนะการเลือกตั้งมาได้ ก็เพราะเขาวางกลยุทธ์ ในการพูด รวมถึง การแถลงการณ์สำคัญ ๆ ของทั้งบุช และ โคลินพาวเวลล์ ล้วนแต่มาจากปลายปากกาของลิบบี้ ทั้งสิ้น น่าเสียหาย ที่เขามาตายน้ำตื้นเพราะปากไวนี่แหละ

- บทสรุป -


ตัวอย่างเหตุการณ์นี้ ทำให้เห็นเราเห็นได้ว่า ประชาชนสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้มีผู้ใดอยู่เหนือกฎหมาย หากมีการกระทำผิดแล้ว แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โตขนาดไหน ระบบของเขาจะดำเนินการไปอย่างจริงจังเสมอ แต่ภายใต้หลักการ Justice & Fairness ของการคุ้มครองตามหลัก Due Process of Law นอกจากนี้ ยังมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐซึ่งย้ำถึงความจริงจังของระบบการดำเนินคดีตามกฎหมายได้เป็นอย่างดี เช่น อดีตผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ คือ นาย George Ryan ก็ถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และคอรัปชั่น เพราะระหว่างที่เป็นผู้ว่าการฯ เคยเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวกในการประมูลโครงการยักษ์ ๆ ของรัฐอิลลินอยส์ การรับเงินมาใช้ในการเลือกตั้งโดยไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง การรับสินบนจำนวนมหาศาล ฯลฯ แม้ท้ายที่สุดระหว่างการเป็นผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ เมื่อสัก ๒ ปีก่อนนั้น นายไรอัน จะพยายาม นำประเด็นร้อน คือ พยายามทำตัวเป็นทูตสันติ โดยจะยกเลิกโทษประหารชีวิตในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบัน ยังคงใช้ประมาณ ๓๐ กว่ารัฐ พร้อมเสนอตัวเข้าชิงรางวังโนเบล ... แต่ความผิด ก็ส่วนความผิด หลังหมดอำนาจ ก็ถูกดำเนินคดีไปในที่สุด


Valerie Plame with her husband Joseph C. Wilson


กฎหมายสหรัฐในส่วนการสืบสวนเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และความผิดร้ายแรง (Felony) ตามกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐ ( Federal Government ) นั้น จะดำเนินการโดยคณะลูกขุนใหญ่ (Grand Jury) ที่มีอำนาจกว้างขวางมาก บังคับให้พยานพูดได้ บังคับให้ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย (Target) ในการสืบสวนให้การได้ สำหรับพยาน หากไม่ให้การ ก็จะถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งอาจจะเป็น Civil Contempt หรือ Criminal Contempt แล้วแต่กรณี ส่วนเป้าหมายฯ หรือ ผู้ต้องหา ก็สามารถถูกบังคับให้การได้ แต่พนักงานอัยการ จะนำคำให้การส่วนนั้น ไปใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องไม่ได้ พนักงานอัยการจะต้องหาพยานหลักฐานที่เป็นอิสระแยกจากคำให้การนั้น มาสนับสนุนคำฟ้องเป็นต้น

ในปัจจุบัน ประธานาธิบดีบุช ซึ่งสามารถคุมเสียงได้ทั้งในสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ได้ประสบปัญหาความน่าเชื่อถือที่ลดต่ำที่สุดในรอบ ๒๐๐ ปีเศษของสหรัฐ โดยประชาชนมีความเชื่อถือศรัทธาฯ ประมาณ ๓๐% เท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว ประธานาธิบดี ที่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งในวาระที่สองมักจะต้องประสบปัญหานี้ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสสากรรจ์เท่านายบุช ที่จบมาจากโรงเรียนชั้นนำของสหรัฐฯ พร้อมกับที่ปรึกษาคู่ใจที่จบมาจากโรงเรียนชั้นนำ เรียกว่า TOP 5 ของสหรัฐ ได้ประสบอยู่เช่นนี้ สำหรับตัวอย่างประธานาธิบดีที่ประสบปัญหาในวาระที่สองของการดำรงตำแหน่ง ก็มีให้เห็น เช่น ประธานาธิบดี Roosevelt ที่ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทนายในยุคเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๓๐ ที่พยายามจะเปลี่ยนองคณะศาลสูงสุดจาก ๙ เป็น ๑๕ คน เพื่อแต่งตั้งคนตัวเองเข้าไปเพิ่มเติม ประธานาธิบดี เรแกนด์ ในคดีอิหร่านคอนทร่า ประธานาธิบดี บิลล์คลินตัน กับคดี อมของหลวงกับรูวินสกี้ ฯ แต่ภาวะความเชื่อมั่นก็ไม่ได้ลดต่ำลงเท่ากับสมัยนี้ นายบุช จึงต้องหอบหิ้วเอาเมียไปสร้างภาพลักษณ์ตามที่ต่าง ๆ ให้พวกที่ยัง Conservative เห็นถึงความดีที่เขามีต่อสถาบันครอบครัว ไปเสนอแนวคิด เขตการค้าเสรีที่อเมริกาใต้ ซึ่งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีก ปัจจุบัน บุช อยู่ที่ เกาหลีใต้ กำลังเจราจาปัญหาของเกาหลีเหนือฯ เรียกได้ว่า หลบลี้ภัยจากประเทศไปชั่วคราว แต่ปัญหาไม่ได้หมดไป ต้องคอยจับตาดูกันต่อไปว่า ท้ายที่สุด จะลงเอยอย่างไร เพราะตอนนี้สมาชิกพรรค Republican เอง ก็ขอลงมติให้สหรัฐถอนกำลังจากอีรักแล้ว หลังจากมีทหารตายไปเกิน ๒๐๐๐ นายแล้ว


ภาพสุดท้าย คือ George Ryan อดีตผู้ว่าการรัฐ อายุ ๖๙ ปี ถูกฟ้องร้องฐานคอรัปชั่นฯ เมื่อวันที่ ๑๗ ธ.ค. ๒๐๐๓ หลังจากพ้นตำแหน่งฯ


ปล. ผมว่า คนเก่งนี่ มีปัญหาเยอะนะครับ ยิ่งจบจากโรงเรียนชั้นนำ ซึ่งอาจเรียกคร่าว ๆ ว่า "GANG OF YALE" : เช่นนาย Bush, Dick Chaney, Lybby นี้ ก็จบจากการโรงเรียนชั้นนำสหรัฐฯ ทั้งนั้น ยิ่งเก่ง แล้วยิ่งเป็นอันตราย หากใช้ความเฉลียดฉลาดไปในทางที่ผิด ก็ง่ายที่จะสร้างความหายนะแก่ประเทศชาติและสังคมได้ง่าย แก๊งค์นี้ เขาว่ากันว่า Bush นี้ คือ หุ่นเชิดของผู้คนที่เหล่านี้ทั้งสิ้น เพราะถึงแม้ Bush จะจบจากโรงเรียนชั้นนำ แต่ Bush เอง ก็เข้าไปเรียนได้ด้วย Connection ของพ่อตัวเอง ซึ่งเป็นธรรมดาของโรงเรียนชั้นนำสหรัฐฯ ที่จะมี Connection อย่างนี้เกิดขึ้น

ผมว่าเรามาส่งเสริมคนดี คนเก่งแค่ระดับปานกลาง แต่มีคุณธรรมดีกว่านะครับ คนเก่งมาก มีปัญหาหลายอย่าง เช่น อัตตาสูง ไม่ฟังใคร และหากคิดจะทำชั่วแล้ว ก็สามารถทำได้แนบเนียน [แต่คนที่ไม่ฉลาดเลย แต่ขยัน อันนี้ ก็ทำความเสียหายได้ร้ายแรงเช่นกัน เฮ้อ ทำไม โลกจึงไม่มีความสมดุลกันเลยจริง ๆ ]


Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:34:38 น. 21 comments
Counter : 917 Pageviews.

 
มาทักทายแล้วกันนะคะ

ขี้เกียจอ่าน ตัวมันเล็กติดกันเป็นพรืดนะคะ ปวดตา ยาวด้วยอะ


โดย: Angel Tanya วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:6:53:47 น.  

 
อ่านแล้วได้รู้อะไรเพิ่มเติมมากมายจริงๆ
เรื่องพยานนี่ พี่ไทยเรากลัวเรื่องโดนปิดปากมาก เลยไม่ยอมไป อันนี้ก็น่าเห็นใจ อิทธิพลมืดมันเยอะ


โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:7:17:00 น.  

 
บลอกสาระเพียบอีกแล้ว


โดย: rebel วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:7:52:25 น.  

 
เป็นครั้งแรก ที่เห็นด้วยทุกประการ


โดย: grappa วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:09:29 น.  

 
เป็นพนักงานสอบสวนยากมากนะครับพี่ ปิดทองหลังพระ
งานพระเอกคืองานป้องกันปราบปราม ได้ออกทีวีเวลามีคดีดัง
สอบสวนต้องหิ้วพิมดีดหรือแลปทอปไปสอบเอง
ค่ารถออกเอง ผลัดพ้อง ฝากขัง ถ้าลืมศาลปล่อยโดนตั้งกรรมการ
ต้องไปซุ่มจับตัวให้ได้ สารพัดสารพัน
ผมไม่ได้เป็น นรต.หรือ ตร.นะครับ
แต่ผมทำงานเกี่ยงข้องกับพนักงานสอบสวนบ้างในบางครั้งเอง เลยรู้อ่ะครับ


โดย: maczy วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:47:01 น.  

 
อืม ผมพอจำคดี court packing plan ได้


โดย: praphrut608 IP: 146.151.111.141 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:10:24 น.  

 
กำลังจะไปสอบสัมภาษณ์เป็นซิติเซนต์พอดี

ได้ความรู้มากมายเลย ขอบคุณคร๊าบ

ปล. จากย่อหน้าสุดท้าย ที่ตัวสีฟ้าฟ้า ขอส่งเสริมเจ้าของบล๊อกนี้คร๊าบ


โดย: พฤษภาคม 2510 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:50:17 น.  

 
เห็นด้วยทุกอย่างเลยค่ะ

โดยเฉพาะเรื่องพยานที่เมืองไทย
เพราะที่เมืองไทย กระสุนนัดนึงมันแค่ สองสามบาท ไม่มีใครอยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะบางที กระสุนมาจากคนในเครื่องแบบด้วยซ้ำ (ขอโทษนะคะ..ไม่ได้อคติกับตำรวจนะ แต่มันเป็นความจริงที่ต้องยอมรับกัน ใช่มั้ย? )

รวมถึงเรื่องอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ ถ้าปล่อยให้มีช่องโหว่มาก จะโดนทำลายโดยไม่รู้ตัว ประเทศก็ล้มกันง่ายๆ (ยิ่งพื้นฐานง่อนแง่นจะตาย ...คนชั้นกลางติดหนี้บัตรเครดิตกันทั้งนั้น)

เฮ้อ เรื่องเมืองไทย..ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงป่าเถื่อนขึ้นทุกวัน ปล้น ฆ่า ข่มขืน เหมือนไม่ใช่เมืองพุทธ คุณตำหนวดคิดว่ากลับไป จะช่วยอะไรได้มั่งคะ?


โดย: เกือกซ่าสีชมพู วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:02:00 น.  

 
ผู้รักษากฎหมายบ้านเราเป็นที่พึ่งของประชาชนไม่ได้ไงครับ ชาวบ้านถึงกลัวเภทภัยกับการไปเป็นพยาน โทษชาวบ้านก็ไม่ถูก ทุกคนก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น


โดย: noom_no1 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:43:48 น.  

 
ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ

เป็นพยาน แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย
มันน่าเห็นใจอยู่นะคะ
ช่วยคนนึงให้พ้นผิด แต่คนช่วยอาจต้องเสี่ยงขีวิตตัวเอง

ที่ไหนๆ ล้วนแต่ใช้ connection ทั้งนั้นเลย
ผลประโยชน์ทั้งน้าน


โดย: ยัยบี๋ วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:19:37:50 น.  

 
เห็นด้วยกับตัววิ่งด้านบนค่ะ

สื่อประโคมข่าวทำให้สังคมเกลียดชังคนเป็นข่าวได้จริง ๆ


โดย: ปาลินารี วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:20:13:50 น.  

 
อืมมมมม เห็นด้วยครับ ว่าคนไทยเรามีSense of Belongingค่อนข้างน้อย ถึงน้อยมากครับ ไม่ว่าเรื่องไหนนะพี่ แค่สิทธิของตัวเองยังรู้สึกว่า"ช่างมัน"และยอมให้คนอื่นเบียดเบียน ได้เลย แต่ไอ้เรื่องหยุมหยิมไร้สาระ ไม่สำคัญกลับไปให้ความสำคัญซะ ทำให้ประเด็นที่เป็นแกนหลักแตกออกไปอย่างน่าเสียดาย

ผมว่า มันอยู่ที่รากฐานของสังคมเราเลยนะพี่ เราไม่ได้ถูกสอนให้คิดแบบเป็นเหตุเป็นผล เป็นกระบวนการควบคู่ไปกับการท่องจำ ทำให้การจัดลำดับของความสำคัญของสิ่งต่างๆอย่างถูกต้อง ทำให้มีผลกระทบต่อๆไปยังระบบและสถาบันต่างๆที่เป็นกลไกของสังคม เช่นระบบครอบครัว ระบบการศึกษา หรือระบบของหน่วยงานต่างๆ ฯลฯ ทำให้เราเห็นความบกพร่อง และช่องโหว่าต่างๆมากมายในระบบดังกล่าว การแก้ปัญหามักจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ก็เนื่องจากการไม่ได้คิดอย่างเป็นขั้นตอนนี่ล่ะ แทนที่จะคิดย้อนกลับไปยังต้นตอ กลับมองไปที่ปลาย คงเจริญๆอยู่หรอกนะ

เรื่องการคุ้มครองพยานก็เหมือนกัน บ้านเราเนี่ยมันแย่จริงๆ ในเมื่อระบบยุติธรรมเองยังห่วยขนาดนี้ ประสาอะไรกับการที่จะมาคุ้มครองพยานตาดำๆ คนที่เป็นพยานคดีสำคัญๆ ใครมันจะอยากมาให้การ ในเมื่อไม่มีอะไรมาเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้ได้เลย

น้าผมเคยเป็นพยานปากเอกในคดีฆาตรกรรม ตัวพนายเองเกือยเอาชีวิตไม่รอด เพราะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ของจำเลย มาคอยดักฆ่าอยู่เรื่อยๆ เหอๆๆ ตัวใครตัวมันสุดๆ ท้ายที่สุดแล้ว คนเลวมันก็ครองความยุติธรรมไปได้ตามระเบียบของประเทศโลกที่3อย่างเราๆ ดีที่น้าผมยังมีชีวิตรอดอยู่ทุกวันนี้ได้

ส่วนเรื่องน่าปวดหัวของสหรัฐ ผมเองตามบ้างนิดหน่อย รู้สึกว่าสนุกไม่แพ้การเมืองประเทศโลกที่3เลย

ผมไม่ชอบการเลือกปฏิบัติของคนอเมริกาเลย ปากก็ว่าเป็นเมืองอิสระเสรีต่อความคิดและเชื้อชาติ ผมว่าไม่จริง ก็เหมือนกับเมืองไทยที่ปากก็ว่าเป็นเมืองพุทธ ไม่จริงเลย



โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 19 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:00:44 น.  

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 20 พฤศจิกายน 2548 เวลา:0:22:56 น.  

 
ตอนนี้เมืองไทยก็เริ่มมีเเล้วนะครับ Sense of Belonging เนี่ย เห็นไปรวมตัวที่สวนลุมคนเกือบเเสน ฮ่าๆๆ

เรื่องเสื่อมศรัทธาของคนเก่าๆมันคงเป็นเรื่องธรรมดาในทุกสังคมเนอะพี่เนอะ ส่วนไอ้เรื่องพยานเนี่ย เหอๆ คงต้องร่วมมือกันหลายๆฝ่านหละครับ


โดย: jamba_juice (Jamba_juice ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:38:28 น.  

 
มาทักทายทั่นพี่ก่อน
พอดีต้องไปเยี่ยมเพื่อนๆอีกหลายคน
เเล้วจะกลับมาอ่านอีกที ครับ ท่านพี่


โดย: Dark Secret วันที่: 21 พฤศจิกายน 2548 เวลา:1:49:12 น.  

 
ถ้าจะเขียนเรื่องแนวทางปฎิบัติในเรื่องการแถลงข่าวเกี่ยวกับการจับกุม การนำผู้ต้องหา/ผู้เสียหายมาแถลงข่าว ที่เป็นประเด็นครึกโครม (แต่โดนข่าวอื่นกลบหมด) อย่าลืมบอกกันบ้างนะครับ จะได้แวะมาอ่าน ขอบคุณครับ


โดย: Tony Almeida วันที่: 21 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:32:13 น.  

 
กรณีของประเทศไทย..เห็นด้วยกับเหตุผลเชิงประวัติศาสตร์ครับ

ซึ่งเป็นอีกสาเหตุนึง..ร่วมกับหลายสาเหตุที่ส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมในเมืองไทย..ไม่ค่อยได้รับการให้ความร่วมมือจากคนไทย..

ก็อย่างนี้แหละครับ..สังคมที่ไม่ตรงไปตรงมา..

แต่ละประเทศก็มีสไตล์เป็นของตนเองทั้งนั้นแหละครับ..

ประชาธิปไตยแบบไทยไทย..

การศึกษาแบบไทยไทย..

กระบวนการยุติธรรมแบบไทยไทย..


โดย: กุมภีน วันที่: 21 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:34:05 น.  

 
ฮะๆ บล็อกพี่ดังใหญ่แล้วนะครับ ถึงขนาดมีคนมาแอบโฆษณา วันหลังเก็บค่าโฆษณาแบบเว็บพันทิบเลยสิครับ ทีนี้ละรวยกันสะดือปลิ้น


โดย: praphrut608 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:02:46 น.  

 
ชอบบลอกนี้จัง ข้อมูลเยอะดีครับ ค่อนข้างเห็นด้วยกับเรื่อง sense of belonging นะครับ แต่ผมว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะสื่อที่ อเมริกาดีกว่าสื่อบ้านเรา นำเสนอข่าว ไม่กลัวใคร ดีครับ แต่นั่นก็อาจจะเป็นผลพลอยได้มาจาก sense of belonging ของ คนที่โน่นก็ได้


โดย: O (Mr. K.Oz ) วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:24:03 น.  

 
อ่านสนุกจังเลยค่ะ อย่างหนึ่งคงเป็นเพราะเรื่องไกลตัวมากๆๆๆ (หมายถึงไกลจากการงานที่ทำอยู่น่ะค่ะ) เลยรู้สึกว่าน่าสนใจจัง นั่งอ่านตาไม่กระพริบ อิอิ

เห็นด้วยกับวรรคสุดท้ายของคุณพ่อน้องโจค่ะ

ไปเมืองไทยครั้งสุดท้าย ทำไมรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยจนน่าตกใจ พอจะกลับบ้านคนเดียว เดินข้ามสะพานลอยตอนสองสามทุ่มคนเดียว โดนห้ามจนเสียงหลง แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นรู้สึกว่าจะมีคดีรุนแรงน่ากลัวอย่างสักสามสี่ปีหลังๆเลย คนเราโหดร้ายไม่กลัวกฏหมายมากขึ้นหรืออย่างไรกันคะ

ยังไม่หมดหวังหรอกนะคะ อย่างไรยังรักเมืองไทยเหมือนเดิม



โดย: SevenDaffodils IP: 65.203.0.242 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:5:19:34 น.  

 
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแสดงความเห็นนะครับ ... ผมว่าผู้มีอำนาจและมีหน้าที่ในบ้านเมืองไทยเรา ไม่ค่อยจริงใจในการแก้ไขปัญหากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย กลัวไปหมด กลัวว่าจะกระทบตัวเอง เครือญาติ ฯลฯ กฎหมายที่ดูจะเป็นประโยชน์ จึงไม่ได้ออกมาเสียที ....

พวกสิทธิมนุษยชน ก็กลัวแต่ว่า กฎหมายจะกระทบต่อคนทั่วไป ...กฎหมายอะไรมันจะไม่กระทบละครับ ...มันต้องช่างน้ำหนัก ระหว่างประโยชน์ของประเทศคือ ความสงบสุข กับสิทธิและเสรีภาพนั่นแหละ มันมีวิธีการคิดและวินิจฉัยของมัน แต่เป็นเรื่องยากที่เข้าใจ ไม่ว่าเพราะไม่เคยเห็นต้นแบบที่อื่น หรือ อะไรก็แล้วแต่ แรงต้านจึงเยอะมาก หากจะริเริ่มกระทำการใด ๆ

ผู้ที่มีอำนาจและบทบาท ก็ไม่กล้าทำอะไรมาก กลัวเสียภาพลักษณ์ฯ เรียกได้ว่า เมืองไทย มีแต่เรื่อง "หน้า กับหน้า" กลัวเสียหน้า กลัวเสียอำนาจ กลัวเสียคะแนนเสียง ฯลฯ กลัวไปหมด ผสมกับวัฒนธรรมจำยอม แบบไม่ควร กับ การไร้เหตุผลในสังคมที่อ่อนแอของไทยเรา อะไร ๆ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลายาวนานในการพัฒนาไปทั้งหมด

ขอบคุณทุกท่านที่ชมเชยนะครับ โดยเฉพาะท่าน SevenDaffodils ท่านชมจนเท้าผมแทบไม่แตะดินเลยนะครับ


โดย: POL_US วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:7:57:21 น.  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.