*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
ไม่ให้ทำแท้ง .... แล้วจะเอาลูกฉันไปเลี้ยงไหม...................

ผมได้ยินคำถามที่ว่า "ถ้าไม่ให้ฉันทำแท้ง แล้วจะเอาลูกฉันไปเลี้ยงไหมละ" ตอนที่ผมยังเรียน ป.โท ทางกฎหมาย ที่คณะนิติฯ มธ. อยู่ ซึ่งจริง ๆ ก็นานมาแล้วเหมือนนะเนี่ย กว่า ๕ ปีมาแล้วละครับ




ตอนนั้น วิชากฎหมายอาญาชั้นสูง สงสัยเป็นเพราะ นักศึกษา ป.โท นิติ จะต้องเรียนชั้น ๔ ของอาคาร ที่มีห้องเรียนรวม (L.T.) บ่อย ๆ มั๊ง ชื่อวิชา อะไร ๆ ก็ตามด้วยชั้นสูงไปหมด ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ผมว่าระบบการเรียน ป.โท ในเมืองไทย ไม่ค่อยจะได้เนื้อหาเท่าไหร่ เพราะ อาจารย์ก็คัดหัวข้อบางหัวข้อมาสอนกันเท่านั้น แล้วก็ไม่ค่อยได้ Assign หนังสือหนังสือ หรือ บทความ ฯลฯ ให้ไปอ่านมาก่อน เพื่อมา Discuss กัน ซึ่งอย่างหนึ่งก็เป็นเพราะระบบการเรียนการสอนที่เรียนกันช่วงเย็น ๆ สองสามชั่วโมง โดยนักศึกษาส่วนใหญ่ ก็ทำงานเต็มเวลากัน อาจารย์ท่านก็เข้าใจว่า จะให้อ่านหนังสือ ฯลฯ จำนวน ๕๐ หน้า มาก่อนเรียน คงเป็นไปไม่ได้ สรุป เรียนตรี หรือ โท หรือ แม้แต่ ป.เอก ในบางที่ ก็ยังเหมือนกัน กล่าวคือ ใช้รูปแบบการบรรยาย ปิ้งแผ่นใส กันเรื่อยไป ....

ตอนนั้น มีการถกเถียง เรื่องสิทธิในการทำแท้งของหญิง ตาม ป.อาญาของไทย ว่าควรจะมีขอบเขตแค่ไหน ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญาไทย มีได้เพียง สองกรณีกว้าง ๆ คือ (๑) โดนข่มขืนมาจนตั้งครรภ์ และ (๒) การตั้งครรภ์นั้นจะเป็น อันตรายต่อสุขภาพ และชีวิต ของมารดา หากเป็นกรณีอื่น ๆ เป็นต้นว่า ลูกติดหัดเยอรมัน หรือ หมอตรวจพบว่า ลูกพิการ หรือ ปัญญาอ่อน ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ร้ายแรง แต่ไม่ได้ทำให้สุขภาพของแม่แย่ไปด้วย ก็อย่าหวังจะได้ทำแท้ง โดยเด็ดขาด อันนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา เคยตีความไว้เช่นนั้นครับ

คำถามที่ตามมา คือ ถ้าเรา (ผมหมายถึง ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ผู้มีอำนาจในการตีความกฎหมาย ฯลน )ไม่ให้ เธอเหล่านั้นทำแท้งแล้ว จะเอาลูกที่พิการ ปัญญาอ่อน ฯลฯ เหล่านั้นของพวกเธอไปเลี้ยงแทนเธอหรือไม่ คำตอบ ก็คือ ไม่มีทางเป็นแน่ ชีวิตเรา ก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว จะดันทะลึ่งไปเอาชีวิตเด็กน้อย ๆ ที่ขี้โรค พิการ ปัญญาอ่อน เหล่านั้นมาเลี้ยงได้ไง ก็หญิงผู้นั้น ดันทะลึ่งจะมีลูก ก็ต้องรับกรรมไป เอ่อ ไม่ใช่ละครับ

ที่จริง การตีความดังกล่าว ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลครับ เพราะ มันมีสองชีวิตที่แข่งขันกัน คือ ชีวิตของเด็กที่กำลังจะเกิดมา และ ชีวิตของมารดา หากการเกิดมาของสิ่งมีชีวิตที่เสมอกัน ไม่ได้ทำอันตราย ต่อผู้ให้กำเนิดแล้ว มารดาย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะทำลายชีวิตที่กำลังจะเกิดมานั้น มารดา ย่อมไม่ควรที่จะได้รับสิทธิ์ในการฆ่าลูกตัวเอง

แต่ปัญหาคือ การทำร้ายมารดานั้น ตีความกว้างแคบแค่ไหน .... ตีความเพียงว่า สุขภาพกาย หรือ จะตีความรวมถึงสุขภาพจิตของมารดา หากลูกที่ต้องเกิดมา ปัญญาอ่อน พิการ ง่อยเปลี้ย เสียขา ฯลฯ มารดา จะทุกข์ทรมานจิตใจเพียงใด เพราะรักมันเป็นทุกข์ ยิ่งเห็นลูกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนั้น ยิ่งจะต้องเป็นทุกข์ทวีคูณ เป็นแน่




เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมจะเขียนเล็กน้อยครับ ในสหรัฐฯ มีการอนุญาตให้ทำแท้ง มานานแล้ว โดยคำนึงถึง ประโยชน์ของชีวิต สองชีวิตที่แข่งขันกัน คือ ชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้น (ซึ่งถือเป็นประโยชน์ของรัฐด้วย) กับ สิทธิของผู้ตั้งครรภ์ (ซึ่งถือเป็นประโยชน์ส่วนตัวของมารดา) ตั้งแต่ปี ๑๙๗๓ อันสืบเนื่องมาจากคดี Roe v. Wade ถ้าตั้งครรภ์ยังไม่ถึงสามเดือนนี่ ย่อมเป็นสิทธิของผู้ตั้งครรภ์ จะพิจารณาได้โดยอิสระจะทำแท้งหรือไม่ ไม่ต้องขอแม่ ขอพ่อ ไม่ต้องขอผัว ฯลฯ เป็นสิทธิหญิงโดยเด็ดขาดที่จะพิจารณา แต่ถ้าเกินสามเดือนแล้ว ผลประโยชน์ของรัฐ หรือ จะว่าไปคือ สิทธิของเด็กที่จะเกิดมาย่อมมีน้ำหนักเหนือกว่า สิทธิของมารดาแล้ว มารดาจะทำแท้งได้ ต่อเมื่อเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ฯลฯ เท่านั้น และถ้าเกิน ๖ เดือนไปแล้ว อย่าหวังเลยที่จะได้ทำแท้ง

หลังจากมีการอนุญาต ทำให้ทำแท้งไปแล้ว ๒๐ ปี ปรากฎว่า สถิติอาชญากรรมของประเทศอเมริกา ลดลงไปมาก โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สิน ลดลงกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ และความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกายลดลงกว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์เลย และเริ่มลดลงตั้งแต่ ปี ๑๙๙๐ เป็นต้นมา ซึ่งนักวิจัยทางกฎหมายและอาชญาวิทยา ได้สรุปว่า มีผลมาจาก ความเจริญก้าวหน้า จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ตั้งแต่ปี ๑๙๘๒ เป็นต้นมา

ปัจจัยที่สอง คือ การลงโทษที่รุนแรง ตั้งแต่ปี ๑๙๘๐ ถึงปี ๒๐๐๐ อย่างต่อเนื่องของศาลยุติธรรม ที่ทำให้จำนวนนักโทษเพิ่มขึ้นจาก ๕๐๐,๐๐๐ คน เป็น ๒ ล้านคน ซึ่งทำให้ อาชญากร หรือ ผู้ที่จะกระทำผิดซ้ำ ลดลงจากสังคมเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า อาชญากรที่กระทำผิด เมื่อได้รับการปล่อยตัวมา หรือ ได้รับประกันทัณฑ์บท ก็มักจะทำผิดซ้ำ ๆ เสมอ ๆ เกินกว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ทีเดียว (ซึ่งอาจจะมาจากการที่สังคม ไม่ให้โอกาสเขาทำงาน ฯลฯ ในที่สุด ก็บีบบังคับให้เขากลับไปกระทำผิดอีก แต่ส่วนหนึ่ง มาจากการกระทำผิดเป็นนิสัยเช่นกัน)

ที่สำคัญที่สุด นักวิจัยได้ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ยืนยันว่า สืบเนื่องมาจากการอนุญาตให้ทำแท้งโดยชอบกฎหมายและเสรีนี่แหละ ที่เป็นสาระสำคัญ ของการลดลงของอาชญากรรมนั้นด้วย นอกจาก ปัจจัยหลัก ๆ อื่น ๆ ที่คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่า ทำให้อาชญากรรมลดลง เป็นต้นว่า การเพิ่มจำนวนผู้บังคับใช้กฎหมาย การลงโทษที่มั่นคงแน่นอน การลดการแพร่ระบาดของยาเสพติด

เรื่องการอนุญาตให้ทำแท้งโดยชอบด้วยกฎหมาย และเสรีนี้ จึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายของนักวิชาการในทุกสาขา ดังนั้น แน่นอนที่สุด จึงเกิดข้อโต้แย้งอย่างมากมายด้วย นักวิชาการที่สำคัญ คือ John Donohue & Steve Levitt ได้พยายามอธิบายว่า สาเหตุที่สำคัญ ก็คือ การทำแท้ง ทำให้เด็กที่จะอาจจะเกิดมาแล้วกระทำนั้น ลดลงอย่างมาก เพราะเด็กพวกนี้จะเกิดจากหญิงที่ไร้การศึกษา หรือ เริ่มมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควร โดยไม่ได้รับการศึกษา และมีฐานะยากจน ฯลฯ หลังจากมีคำพิพากษานั้นแล้ว ก็ทำให้ เด็กหญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่มีความสามารถจะเลี้ยงดู จึงพากันไปทำแท้งหมด

โดยในช่วงทศวรรต ๑๙๗๐ พบว่า มีอัตราการทำแท้งสูงถึง ๑.๖ ล้านราย ต่อปีเดียวครับ ทำให้อัตราประชากร ที่มีอายุ ๑๘ ปี นับจากปี ๑๙๗๓ เป็นต้นมา ลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐอื่น ๆ ที่มีการอนุญาตให้ทำแท้งก่อนคดี Roe v. Wade ก็มีสถิติคดีอาชญากรรมลดลงเช่นเดียวกัน และ การลดลงของอาชญากรรมนี้ ไม่ใช่ลดลงในรัฐใด รัฐหนึ่ง แต่เป็นการลดลงทั้งประเทศ หลังจากที่อนุญาตให้ทำแท้งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว




ที่ผมเขียนไปนั้น ไม่ได้ต้องการจะสรุปว่า ควรมีกฎหมายทำแท้ง หรือ ส่งเสริมการทำแท้งโดยเสรีนะครับ แต่ต้องการชี้ให้เห็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐฯ และมีการหยิบยกขึ้นมาศึกษาอย่างเป็นระบบ ในลักษณะ Empirical Study

โดยปกติ การศึกษากฎหมายทั่วไป หรือ การร่างกฎหมายทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นไทย หรือ ประเทศใด ๆ ในโลก ผู้ร่างกฎหมาย จะใช้การเดา หรือ สมมุติฐานส่วนตัวว่า ถ้ามีกฎหมายนี้แล้วจะดีอย่างดีอย่างนี้ ไม่ได้มีการรวบรวมข้อมูลนำมาวิเคราะห์ปัญหาและหนทางแก้ไข หรือ มีการประเมินผลหลังจากมีการประกาศใช้กฎหมายกันไปสักระยะหนึ่งแล้ว

แต่ในกรณีกฎหมายทำแท้งข้างต้นนี้ หลังจากมีการประกาศใช้ไปแล้ว นักวิชาการก็ได้มีการหยิบยกกฎหมายฯ ดังกล่าวมาศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งเริ่มต้นจากการตั้งสมมุติฐานว่า การอนุญาตให้ทำแท้งโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอาชญากรรม จากนั้น ก็จะพิสูจน์ด้วยการนำตัวเลขที่เก็บได้ เช่น อัตราการทำแท้ง จำนวนอาชญากรรม ฯลฯ มาวิเคราะห์ในเชิงสถิติ และมีค่าวัดความเบี่ยงเบนมาตรฐาน อันนำไปสู่ผลสรุป ที่จะพิสูจน์สมมุติฐานข้างต้น

การใช้วิธีการ Empirical Study นี้ ในทางสังคมวิทยาและกฎหมาย ในบางครั้งจะกระทำได้ลำบาก เพราะปัจจัยทางสังคม มันไม่คงที่ แน่นอน และมีสิ่งที่เกี่ยวพันกระทบกันอย่างอธิบายไม่ค่อยจะได้ ดังนั้น ในบางกรณี แม้จะมีการรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีการใช้สถิติ มาวิเคราะห์ และพิสูจน์ว่า สมมุติฐานนั้นถูกต้องหรือไม่ บางเรื่องในทางกฎหมายและสังคม ก็อธิบายด้วยตัวเลขลำบาก แต่นักกฎหมายและนักเศรษฐศาสตร์กฎหมาย ก็พยายามอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เช่นกัน




หมายเหตุ:


ท่านเห็นว่า ควรมีการทำแท้งโดยเสรี และชอบด้วยกฎหมายในสังคมไทยหรือไม่ครับ

ถ้าท่านตอบว่า "ไม่" ท่านคิดว่า เราจะแก้ไขปัญหากับเด็กที่เกิดมาโดยไม่ตั้งใจอย่างไร

รัฐควรจะตั้งสถาบัน ฯลฯ ที่เข้ามารับเลี้ยง ดูแล ให้การศึกษาเด็กเหล่านี้หรือไม่

รัฐควรมีการแทรกแซงรัฐกรณี พ่อแม่ ตีลูก โดยไร้คุณธรรม ตามอำเภอใจอย่างไร ฯลฯ





โปรดดูรายละเอียด

1. Thomas S. Ulen, "The Importance and Promise of Empirical Studies of Law," in Peter Nobel & Marina Gets, eds., New Frontiers In Law and Economics (2006).

2. John J. Donohue III & Steven D. Levitt, "The Impact of Legalized Abortion on Crime," 116 O.J. Econ. 379 (2001)

3. Donohue & Levitt, "Futher Evidence that Legalized Abortion Lowered Crime: A Reply to Joyce", 39 J. Human Resources 29 (2004).

4.Steven D. Levitt, Understanding Why Crime Fell in the 1990s: Four Factors That Explain the Decline, and Six That Do Not, 18 J. ECON. 163 (2004)

5. Institute for Policy Research (IPRNews), Northwestern University, Chicago Urban's Lessson, Fall 2006, Vol.28 Number 1.










Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 20 มกราคม 2551 13:05:32 น. 37 comments
Counter : 2062 Pageviews.

 
ศึกษากรณี Roe V. Wade มาบ้างค่ะ
ขอแสดงความเห็นว่าอยากให้มีการเปิดทำแท้งโดยเสรี
บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และเป็นการส่งเสริมให้มีการเปิดเสรีทางเพศ คือหมายถึงส่งเสริมให้คนไม่สงวนตัวมากขึ้นหรืออะไรก็แล้วแต่
แต่สิ่งสำคัญกว่าก็คือ การตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์มีโอกาสสูงมากที่เกิดขึ้นกับคนในสังคมบางประเภท โดยเฉพาะประเภทที่เกิดปัญหาทางครอบครัว พูดง่ายๆก็คือถ้าปล่อยให้เด็กเกิดมาก็มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นเด็กมีปัญหาแล้วก็ไปก่ออาชญากรรมต่อไป
ประเด็นนี้เป็นประเด็นถกเถียงในวิชาเรียนเลยทีเดียว แล้วก็มีในหนังสือหลายเล่มแล้ว เช่น undercover economist (Steven Levitt)


โดย: PPpIRCU วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:6:30:03 น.  

 
คิดได้สองแง่สองมุมนะคะ...


โดย: thaispicy วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:8:22:28 น.  

 
คุณพล...

เพราะกฏหมายเมืองไทย เขียนโดยผู้ชายเป็นส่วนใหญ่
หลายสิ่งหลายอย่าง จึงไม่เอื้อให้ผู้หญิงมากนัก

เข้าใจความรู้สึกของแม่ที่กำลังจะทำแท้ง ด้วยฐานะของความเป็นผู้หญิง
ไม่ได้สงเสริม แต่ทุกชีวิตย่อมมีวุฒิภาวะในการกำหนดวิถีทางของตน
หากแม่ไม่พร้อม ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ควรให้แม่ได้ตัดสินใจ
หากสังคมเกรงว่า สถิติการทำแท้งจะสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย
ก็หาวิธีล้อมกรอบก็ได้ สอบแม่ให้แน่ใจ ว่ามีปัญหาในการดูแลแน่ๆ
ปล่อยให้แม่ได้ตัดสินใจ ดีกว่าคลอดแล้วทิ้ง หรือเติบโตอย่างไม่มีคุณภาพ

ส่วนพ่อ ควรมีกฏหมายที่เด็ดขาด บังคับให้พ่อต้องมีความรับผิดชอบ
ไม่ได้ด้วยเรื่องของจิตใจ เพราะพ่อที่กฏหมายต้องบังคับ ไม่มีจิตใจของความเป็นพ่ออยู่แล้ว
พ่อควรรองรับด้วยเรื่องของเศรษฐกิจของแม่กับลูก...ไปนานเท่าที่แม่ต้องดูแลลูก
และขอให้มีข้อบังคับ และบทลงโทษที่เด็ดขาด

พ่อไม่ควรมีสิทธิ์ในการปกครองลูกมากกว่าแม่
สิทธิทั้งหาย ควรขึ้นอยู่กับความจริงที่ปรากฏ

อาจบ่นมากไป คนอ่านก็อาจสับสน
เพราะกำลังจัดการเรื่องสิทธิ์ในการปกครองลูกอยู่
ยิ่งสู้ ยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

การจดทะเบียน ทำให้พ่อได้สิทธิ์ในการปกครองลูก
ทั้งที่ไม่เคยได้ช่วยเหลือหรือรับผิดชอบอะไรเลย

ลูกเองพร้อมจะเป็นพยานให้แม่ได้ทุกเมื่อ
ว่าอยู่กับแม่อย่างไร แม่ดูแลดีแค่ไหน

บางครั้ง ก็อยากตะโกนใส่หน้า คนเขียนกฏหมายทั้งหลาย ว่า

"ผู้หญิง ไม่ใช่สมบัติของผู้ชาย นะ (โว๊ย)"

ขออภัยค่ะ


โดย: Big Spender วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:8:58:38 น.  

 
ถ้าให้แสดงความเห็น เราเองก็แค่อยากให้มีการทำแท้ง
โดยเสรีเหมือนกันค่ะ แต่ว่าทั้งนี้มันต้องมีกรอบอยู่
คือ ทำได้เนื่องด้วยเหตุผลเพียงพอว่า "ทำได้เพราะ ..." ...
แต่อันนี้ก็ต้องตีความอีกล่ะค่ะว่า กรอบที่จะเอามาตั้งเป็น
เกณฑ์นั้น
มันสมควรจะอยู่ในระดับไหน ...


โดย: JewNid วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:48:26 น.  

 
ข้อมูลทางสถิติจากจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับภาวะแทรกซ้อนจาการทำแท้ง ทำให้ได้ตัวเลขประมาณการว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้ที่ไปทำแท้ง 3-4แสนคน/ปี ตัวเลขจริงน่าจะมากกว่า
ในส่วนตัวคิดว่า องค์ความรู้ต้องขบคิดมี2ด้าน คือ ด้านยอมรับว่าตัวอ่อนในครรภ์ใช่สิ่งมีชีวิต และ ภาษากฎหมายเรียกว่า"บุคคล"หรือไม่ ซึ่งก็น่าจะตัดสินกันที่อายุครรภ์4เดือน(ขออายุครรภ์มากหน่อย) เพราะเริ่มต้นสร้าง"หัวใจ"แล้ว เวลาฟังหน้าท้องด้วยหูฟังเสียงดังตุ๊บๆคล้ายเสียงกลองระรัว (ท่านจขบ. ก้อคงอยากฟังมั่ง แต่ไม่มีโอกาส ขอสบประมาท ) แต่ถ้าตัวอ่อนเป็นบุคคลแล้ว กลับมาคิดต่อว่า สิทธิของผู้หญิงที่ตั้งท้อง กับตัวอ่อน สิทธิของใครมาก่อนกัน
ในคำถามที่ถามมาว่าเมื่อวัวหายจะล้อมคอกอย่างไรนั้น ขอเสนอแนะเชิงนโยบายในการป้องกัน กล่าวคือให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนสมรส สร้างอาสาสมัครเฝ้าระวังปัญหาครอบครัว การข่มขืน การมั่วสุมในชุมชนที่ก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
แต่ถ้าเด็กเกิดมาแล้ว ทางแก้คงหนีไม่พ้น ที่เริ่มจากการจัดบริการให้คำปรึกษา การจัดให้มีบ้านพักชั่วคราว การบริการเลี้ยงดู รับเลี้ยงเด็กชั่วคราว ครอบครัวบุญธรรม ส่งเสริมศักยภาพในการเลี้ยงดูบุตร
การกำหนดนโยบายเฉพาะรายที่ถูกข่มขืนให้ได้รับการแก้ไขเร่งด่วน จัดบริการpost abortion care และรวบรวมข้อมูลและแก้ไขปัญหาโดยใช้ความรู้จากการวิจัยเป็นฐาน เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อผู้ประสบปัญหา
ในส่วนตัวก็เคยเจอคนไข้ในที่ทำงาน เป็นผู้ติดเชื้อที่ตั้งครรภ์มาหา ต้องการทำแท้ง เพราะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม แต่มาอ้างกับเราทีแรกว่ากลัวลูกในท้องจะติดเชื้อ(เอดส์) เราก็ให้ข้อมูลจากการวิจัยไปว่า หากแม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอทั้งระยะตั้งครรภ์และระยะคลอด +วิธีการคลอดโดยผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง+ เลี้ยงลูกด้วยนมผสม จะลดอัตราการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้ถึง97% คือลูกแทบจะไม่ติดจากแม่เอดส์เลย แต่เขาก็ไม่พร้อม ยืนยันจะเอาเด็กออก เลยแนะนำไป ที่ๆดังที่สุดแถวๆสุขุมวิท ซอยสิบกว่าๆ ราคาถูก2300บาท ปลอดภัยต่อชีวิตเขา ให้เขาไปตัดสินใจเอง และกลับมาคุมกำเนิดต่อ ดูแลกันต่อไป


โดย: แนน IP: 125.26.32.117 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:04:54 น.  

 
"Pro Choice", is my opinion.

I would like to see every child growing up with love and can be who he/she would like to be at his/her full potential.


โดย: amatuer translator วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:53:41 น.  

 
ผมก็คิดแบบหลาย ๆ ท่านนะครับ เพราะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เด็กสมัยใหม่ กับเรื่องเพศสัมพันธ์ ไม่รู้ว่า "ก้าวหน้า" ไปถึงไหนแล้ว พ่อแม่ สมัยเก่า อาจจะตามไม่ทัน และเห็นเป็นเรื่องน่าเกลียด ที่จะให้การศึกษา เรื่องพวกนี้

จะเอาอย่างไร ก็ให้มันชัดเจน เห็นกระแดะกันเหลือเกิน เมืองพุทธ ห้ามโน่น ห้ามนี่ ... บ่อนก็ไม่ได้ หวยบนดิน ก็ไม่ได้ ซ่องก็ไม่ได้ เฮ้อ มันจะดีกว่าไหม ยอมรับความจริงที่สังคมไทยเป็นอยู่ แล้วจัดระเบียบ ควบคุมให้มันถูกต้องเสียที


โดย: POL_US IP: 74.139.209.220 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:09:03 น.  

 
เรื่องกรอบและขอบเขตที่ว่านี่พี่อาจจะมองกว้างๆ อ่ะจ้ะ
ว่าถ้าหากว่าปัญหาเรื่องสุขภาพมันไม่เอื้อ การทำแท้ง
มันก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งอยู่เหมือนกันที่จะไม่ให้เด็ก
เกิดมาแล้วทำอันตรายให้แม่ หรือว่าไม่ก็ตัวเด็กเอง

แต่ถ้ามามองอีกแง่ เรื่องของเด็กใจแตกทั้งหลาย ไม่รับผิดชอบ
กับการกระทำของตัวเอง ตั้งท้องขึ้นมาแล้วก็ทำแท้งได้
เรื่อยๆ พี่ว่ามันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็คือว่า ถ้ามองถึง
ความเหมาะสมที่ตัวเองทำและไม่สามารถรับผิดชอบตรงนี้
ได้เลยนะ การทำแท้งมันก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอีก
เหมือนกัน ...

.....................................


แต่ว่าทั้งหมดทั้งสิ้น พี่ว่าบ้านเราเมืองเรานี่ข้อห้ามและกฏมันเยอะไปหน่อย ห้ามนั่น ห้ามนี่ วัฒนธรรม ประเพณี แต่ว่าซ่องมันก็มีเพียบเลยนะ บาร์เอย ซ่องเอง อะโกโก้เอย เพียบเลย แบบนี้ปล่อยให้มีให้ถูกกฏหมายดีกว่าอ่ะ
แล้วก็ค่อยมาจัดระเบียบเหมือนที่น้องพลพูดไว้ก็น่าจะดูดี
กว่าเน๊าะ


โดย: JewNid วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:21:11 น.  

 
มีคนถามว่า เพลงประกอบ Blog เป็นเพลงอะไร มีเนื้อหา อย่างไร ..... เท่าที่เข้าใจ มันเป็นเพลงใต้ดิน ของ เปรม Hee มีเนื้อหา ตรงใจวัยรุ่น แม้จะลามกไปบ้าง ถ้าฟังเพลิน ๆ ก็เพราะดี แต่ถ้าอ่านเนื้อหา อาจจะตกใจพอสมควร ครับ ลองพิจารณากัน




ลูบไล้เคล้าเคลียคลอคลึง น้องตื่น
ลูบคลึงคลึงครืดครืด คราบเยิ้ม
คาวใครไหลโลมรื่น ชมชื่น ฤๅพี่
พุ่งกระเซ็นเห็นเป็นหยด สดสู้ ดูเขม็ง



Intro: G Bm Am C D7sus4

G Bm Am D7sus4
รู้สึกอย่างไร บอกเลยว่าใช่ เมื่อได้พบครั้งแรกนั้นภาพไม่เคยจาง

G Bm Am D7sus4
แล้วจะอย่างไร เก็บเธอไปฝันใฝ่ เธอๆใช่ไหมที่ฉันเฝ้าคอย

Em Emmaj7 Em7 Em6
แต่คืนนั้นเก็บไปฝันไม่ได้ตั้งใจ ในความฝันภาพเธอนั้นนอนเปลือยกาย ฮ้าย..

C Bm Am C D7sus4
ทำให้รู้สึกรุมร้อนทั่วทั้งกาย เรือนร่างเธอช่างอวบอิ่ม และขาว..เนียน

G Bm
* เธอทำให้ฉัน..เงี่ยน เธอทำฉันฝัน..เปียก

Am C D7sus4
น้ำคาวไหลพุ่งออกมา กระเซ็นซ่านในนภา สู่โลกฝัน

G Bm
น้ำฉันนั้นขาว..ขุ่น เมื่อตอนน้ำไหล..เคลื่อน

Am C D7sus4
อ๊อดตัวเหมือนว่ายไปมา กระตุกหางระยิบตา ภาพช่างสวยงาม อิ่มเปรม

Instru: G Bm Am C D7sus4

G Bm Am D7sus4
เช้ามืดตื่นมา ออกมองนภา อาจจะเช้าแล้วแต่ฝันยังไม่เลือนไป

G Bm Am D7sus4
รู้สึกอิ่มใจ กลับไปบนเตียงใหม่ อยากจะย้อนให้ภาพฝันมาอีกคราหนึ่ง

Em Emmaj7 Em7 Em6
แต่พอล้มข่มตานอนหลับตาฝันไป น้ำมันไหลหยดลงมาจากเพดาน

C Bm Am C D7sus4
หยดที่ตรงริมฝีปาก คงต้องเลียเข้ามา ทำให้รู้ว่าน้ำขาวขุ่นคือน้ำ..กาม

(ซ้ำ *)

Instru: G Bm Am C D7sus4 (2times) G G



โดย: POL_US IP: 74.139.209.220 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:17:30 น.  

 
หุหุ เข้ามาดูแล้วค่ะ อันทีี่จริงอาจเขียนสั้นไป ไม่ได้ขาดหายไปไหนเลยค่ะ

แต่ว่ามาอธิบายเพิ่มเติมก็ได้ค่ะว่า สองแง่สองมุมก็คือ ถ้าไม่ทำิแืท้งแล้วเด็ำกเกิดออกมาต้องทรมานหรือว่าอับอายสังคมที่ตัวเค้าไม่สมบูรณ์ เค้าก็ไม่ได้เป็นเหมือนคนทั่วไป เป็นเรื่องที่น่าสงสารทั้งเด็กทั้งครอบครัว

แต่พูดถึงความโหดร้าย มันก็เป็นไปได้ค่ะ เพราะชีวิตหนึ่งก็มีเลือดมีเนื้อ มีความเจ็บปวด และต้องถูกฆ่าทิ้งไป

แต่ถ้าเด็กสมบูรณ์แล้วมารดายังไม่พร้อมหรือเหตุสำคัญอื่นๆ เค้าต้องเกิดมาลำบาก ไม่มีใครเหลียวแล กลายเป็นปัญหาสังคมอีก

ว่าไปแล้วมันก็พูดยากค่ะ


โดย: thaispicy วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:37:54 น.  

 
พูดยากเหมือนกันนะครับ เรื่องนี้

ถ้าเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ เช่น เด็กเกิดมาแล้วแม่จะต้องเสี่ยงชีวิต หรือเห็นว่าถ้าเด็กเกิดมาแล้วจะต้องพิการหรือเป็นดาวน์ซินโดรมแน่ๆ อย่างนี้ ก็ควรอนุญาตให้ทำแท้งได้เพราะมีเหตุสมควร

แต่ถ้าเป็นเรื่องความไม่พร้อมทางฐานะของพ่อแม่ เกิดมาแล้วเลี้ยงไม่ไหว ควรจะทำแท้งหรือไม่ อันนี้นึกไม่ออกเหมือนกันครับ นึกได้แต่ว่าป้องกันได้ด้วยการให้การศึกษาและความรู้แก่ประชาชนให้มากๆ จะได้คิดก่อนที่จะมีลูก


พี่ POL_US สบายดีนะครับ ไม่ได้แวะเข้ามาเยี่ยมเสียนาน


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:57:07 น.  

 
..แยกประเด็นเลยเพราะมันคนละปัญหา การสำส่อนทางเพศแต่ไม่ท้องไม่ติดโรค มีไหม ถ้าลองได้รับhealth edu อย่างดีแล้ว+ปท.ไทยขวานทองด้ามหักๆด้ามนี้ มีนโยบายแจกถุงยางฟรีในสถานบริการของรัฐ อีกตังหากค่ะ
...ก่อนหน้านี้ดิฉันก้อมีเรื่องราวกับคุณครูหญ่าย(สาวแก่)ที่ดิฉันให้คนไข้ชมรมผู้ติดเชื้อ ไปขอติดตั้งตู้ถุงยางอัตโนมัติในร ร.ของท่าน ปัจจุบัน เข้าใจกันแล้ว(แถมยอดจำหน่ายดี) เพราะเด็กมันจะได้มีช่องทางในการป้องกันเพิ่มขึ้น ต่อไปจะเสนอให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงแจกยาคุมฉุกเฉินฟรี ในกลุ่มเยาวชน จะได้ลดปัญหา ยามันแพงค่ะ
แต่ประเด็นสำส่อนนี่มันต้องยอมรับว่าsex(libido)เป็น1ใน4ของสัญชาติดิบในตัวมนุษย์ตามท.จิตวิเคราะห์ ของพี่ฟรอยด์ แต่ใครจะจัดการให้มันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย (เช่นนำมาเผยแพร่ในblog) ก้อต้องช่วยเพิ่มsuper ego ให้มากๆ หน่อยและยังมีปัจจัยเชิงเหตุอื่นๆอีกมากมาย
และบ่อยครั้งที่พบว่าคนไม่สำส่อน เรียบร้อย(แต่โง่)ก้อท้อง ตามด้วยทำแท้งแท้ง สรุปค่ะ


โดย: แนน IP: 203.113.66.9 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:15:58 น.  

 
มาเยี่ยม มาอ่าน มาฟังความเห็น ครับ ...


โดย: นิรมาณ IP: 202.28.117.231 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:28:53 น.  

 
ได้ความรู้ใหม่เลยครับป๋าพล

ว่าเเต่ว่าช่วงเวลาที่เค้าเอา data มารันนี่เค้าสรุปว่ามัน
มีการเปลี่ยนเเปลงทางสภาพเศรษฐกิจเเละโครงสร้างทางกฎหมาย ในช่วงที่สหรัฐอยู่ในช่วงปฏิวิติอุตสาหกรรม เเละการออกกหมายใหม่ที่เข้มข้นมากขึ้น ระหว่างปี 1873-1973..ซึ่งในช่วงเวลานั้นมันยังเป็นช่วงเริ่มเเรกของการที่สหรัฐจะเริ่มมีอิทธิพลต่อการค้าโลก

ยังงี้ความสัมพันธ์ในเเง่ของนัยสัมพันธ์ของการทำเเท้งกับการลดลงในเเง่ของอาชญากรรมมันก็ไม่เข้มข้นพอเพียงที่จะอธิบายปรากฎการดังกล่าวได้รึเปล่าครับพี่ ถ้ารวมถึงในเเง่ของสังคมที่อยู่ในช่วงการเจริญเติบโต ซึ่งก็ยังไม่เต็มที่เเล้ว โดยส่วนตัวผมคิดว่าผลทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยเสริมที่สูงมากทีเดียวครับที่ทำให้เกิด significane
มารองรับทฤษฎีดังกล่าว

ขอบคุณมากครับป๋าพล คราวนี้ได้มุมมองทางกฎหมายไปหลายเลย



โดย: Yang IP: 130.126.80.112 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:59:34 น.  

 
โทษทีครับพี่ จริงๆเเล้วตามที่พี่บอกมันระหว่างปี 1873-1893


โดย: Yang IP: 130.126.80.112 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:01:11 น.  

 
ด้วยอานิสงค์ของการดู The West Wing ทำให้ผมเริ่มหารายละเอียดเกี่ยวกับ Roe v. Wade และเริ่มตามรายละเอียดเวลาประเด็นนี้โผล่ขึ้นมา โดยเฉพาะตอน nominate supreme court judges

ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ 'pro choice' เหมือนกัน เพราะการให้คนคนหนึ่งเกิดมาโดยไม่มีใครสามารถรับผิดชอบเขาได้ ผมว่ามันเป็นการสร้างภาระอันใหญ่หลวงให้กับคนอื่น ๆ ในสังคมเป็นอย่างมาก แต่ว่าผมสนับสนุนให้มีมาตรการต่าง ๆ ที่จะป้องก้นไม่ให้เดินมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจว่าจะทำแท้งหรือไม่ เช่น การรณรงค์เรื่อง safe sex ฯลฯ

ปล. ขอบคุณเฮีย POL_US นะครับ ที่ส่งเรื่องนี้มาให้อ่าน ไม่ได้มาทักทายนาน เฮียสบายดีนะครับ


โดย: Tony Almeida วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:10:10 น.  

 
แม่นแล้ว น้องหยาง ตามคำอธิบาย เขาก็พูดถึง ๖ ปัจจัย ที่คนทั่วไป จะใช้อธิบาย ปรากฎการณ์ ของการลดลงอาชญากรรม ที่รวมถึง การพัฒนาการทางเศรษฐกิจด้วย

หากสนใจ จะต้องอ่าน ผลงานวิจัยของ Steven D. Levitt, Understanding Why Crime Fell in the 1990s: Four Factors That Explain the Decline, and Six That Do Not, 18 J. ECON. 163 (2004) ที่นำมาอ้างอิงนี้

การวิจัยทางสังคม และปรากฎการณ์ในทางสังคมวิทยากฎหมาย เป็นเรื่องยาก เพราะจะทำการควบคุมปัจจัยเปรียบเทียบ กับปัจจัยที่แปรผัน แบบในทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ เราไม่อาจจะทำการวิจัยประมาณว่า ติดเครื่องมือทางคอมพิวเตอร์ กับเด็กที่จะเกิดใหม่ ไปเปรียบเทียบกับ กลุ่มที่จะทำแท้ง ฯลฯ อะไรทำนองนั้นได้

คำอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคม จึงอาจจะถูกโต้แย้งได้อย่างไม่หยุดหย่อน

ปล. ผมสบายดีครับ พี่น้องครับ .........


โดย: POL_US วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:3:20:02 น.  

 
เป็นอีกเสียง ที่สนับสนุนกฎหมายทำแท้งเสรีให้ผ่านสภาฯครับ

ส่วนตัวมองว่ามันคนละประเด็นกับเรื่องศีลธรรม สังคมจะเสื่อมทรามศีลธรรมจะเสื่อมโทรมหรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับว่าบ้านเรามีกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานทำให้ตนเองหรือผู้อื่นแท้งลูกบังคับใช้หรือไม่ แต่อยู่ที่สามัญสำนึกของคนมากกว่า


เช่น หลายประเทศประชาชนสามารถปลุกบ้านได้แบบไม่ต้องล้อมรั้วโดยไม่ต้องกลัวโจรขโมยขึ้นบ้าน ในขณะที่บางประเทศแม้จะติดเหล็กดัด ผู้ร้ายก็ยังหาวิธีเข้ามาลักปล้นได้อยู่ทั้งที่กฎหมายอาญาของประเทศกลุ่มน้ระวางโทษแรงกว่าประเทศกลุ่มแรกด้วยซ้ำ ตวัอย่างนี้อาจเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่ากฎหมายได้แค่ตีกรอบ แต่อาจไม่ได้ปลูกฝังสามัญสำนึกที่ดีให้กับสมาชิกในรัฐได้เสมอไป

กลับเข้าหัวข้อสนทนา ขอยกตัวอย่างอีกอันที่ออกจะนอกเรื่องไปอีก แต่อาจจะพอเทียบเคียงกับเรื่องแท้งได้ ก็คือ กฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล เรื่องของการใช้นามสกุลของสตรีที่สมรสแล้ว

กฎหมายปัจจุบันไม่บังคับอีกต่อไปให้ผู้หญิงที่แต่งงานต้องใช้นามสกุลสามี แต่ในทางปฏิบัติผู้หญิงไทยเกือบร้อยละร้อยก็ยัง prefer ที่จะใช้นามสกุลสามีอยู่ดีหากได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว

เคยคุยกับสตรีหลายท่าน ที่เคยออกมาเรียกร้องสิทธินี้ ท่านบอกว่าผู้หญิงไทยไม่ได้คิดอยากจะให้กฎหมายนี้ผ่าน เพื่อที่จะได้เป็นการปลดแอก หรือมีไว้เพื่อปีนกระไดหักหน้าผู้ชายแบบที่ชายหลายคนเข้าใจ

เพียงแต่ผู้หญิงต้องการเปิด 'ทางเลือก' ไว้ให้พวกเธอ เพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าเธอก็มีสิทธิเลือก ไม่ใช่อะไร ๆ ก็ต้องตามใจผู้ออกกฎหมายซึ่งส่วนมากก็เป็นผู้ชายไปซะหมด บ้างก้อเท่านั้นเอง

กฎหมายเรื่องทำแท้งเสรีก็อาจจะอยู่ในเจตนารมณ์คล้ายกัน ก็คือผู้หญิงแค่ต้องการทางเลือก ไม่ได้หมายความว่ามีไว้เพื่อให้หญิงไทยทุกคนจะได้มีสิทธิทำแท้งกันตามอำเภอใจ นอนกับใครก็ได้แบบไร้กังวลเพราะถึงท้องก็ไปทำแท้งได้เหมือนไปทำฟัน

และ ถึงกฎหมายอนุญาตให้ทำได้เสรี ผมก็เชื่อในดุลพินิจและวุฒิภาวะของหญิงไทย หลายคนที่ผมเคยถามไถ่มา เธอก็ยืนยันว่าถึงมีกฎหมายให้ทำแท้งได้ ถ้าเธอท้องขึ้นมาโดยที่ตนเองมีศักยภาพจะเลี้ยงลูกได้แล้ว แม้ไม่ปรากฏตัวพ่อของเด็ก (หรือปรากฏแต่ก็เหมือนไม่มี เพราะไม่เคยมาดูดำดุดี) เธอก็ขอเลือกที่จะปล่อยให้ลูกเกิดมา

สิ่งที่อาจได้รับผลกระทบจากกฎหมายทำแท้งเสรีนั้น ผมมอว่า มีเพียงภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมที่อาจผันแปรไป แต่ส่วนตัวผมคิดว่านั่นไม่ใช่เป็นเรื่องร้ายแรง เพราะภาพลักษณ์ก็เป็นเพียงภาพลักษณ์ หาใช่สารัตถะ ถ้าแก่นแท้ของเราดีจริง ภาพลักษณ์ใดๆ ก็คงไม่อาจมาบิดเบือนหรือชี้นำสังคมไปในทางที่ผิดได้

ประเด็นถัดมาคือ เป็นการส่งเสริมและให้ความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงด้วย ในเมื่อธรรมชาติไม่ได้มอบความเสมอภาคมาในเรื่องของสรีระทางเพศ กล่าวคือผู้ชายไม่ต้องกังวลว่าตนจะตั้งครรภ์ แม้จะมั่วเซกซ์แค่ไหน ในขณะที่ผู้หญิงจำต้องเป็นฝ่ายยอมรับผลที่จะตามมา (ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นบาปเคราะห์ หากพวกเธอไม่ได้เต็มใจให้ผลนั้นตามมา) โดยมิอาจเลี่ยงได้

สมควรที่เราจะมีกฎหมายที่เปิดทางให้สตรีมีสิทธิที่จะเลือกจัดการเนื้อตัวร่างกายของตนเองได้ ในเมื่อธรรมชาติไม่ได้มอบความเสมอภาคมา เราก็อาจใช้กฎหมายเป็นเครื่องสร้างความเสมอภาคขึ้นมา แม้อาจจะยังไม่เสมอภาคกันเสียทีเดียวแต่ก็ย่อมดีกว่าเราไม่ทำอะไรเลย

แน่นอนว่าอาจมีค้านว่าตัวอ่อนเป็นอีกชีวิตหนึ่ง ต่างจากอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่หญิงนั้นเป็นเจ้าของซึ่งจะกระทำด้วยเช่นไรก็ได้ แต่ผมก็อยากเรียนถึงความจริงข้อหนึ่งว่า ถึงตัวอ่อนจะเป็นชีวิตแต่ก็เป็นชีวิตที่ต้องอาศัยร่างกายของหญิง ต้องอยู่ร่วมกันเพื่อรอวันจะถือกำเนิดออกมาเป็นมนุษย์ ในกรณีหากมองด้วยสามัญสำนึก ตัวอ่อนจึงถือเสมือนเป็น 'เนื้อเดียว' กับมารดาซึ่งเป็น 'เจ้าของไข่' มากกว่าบิดา หากมารดาไม่เต็มใจให้พักพิงอาศัยด้วยแล้ว ตัวอ่อนย่อมไม่อาจเจริญเติบโตก่อเกิดขึ้นเป็นมนุษย์ได้

ดังนั้น การที่แม้แต่ 'เจ้าของสเปิร์ม' ซึ่งเป็นผู้มอบนิวเคลียสให้ว่าที่มนุษย์ผู้นี้ ยังไม่มีโอกาสกะเกณฑ์สถานการณ์ใดๆ ในบริบทนี้ได้ (ผมหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงมีครรภ์กับตัวอ่อนในมดลูกของเธอ)บุคคลอื่นก็ไม่น่าจะมีสิทธิใดๆ ไปบังคับให้เธอทำหรือไม่ทำอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้


เขียนมายาวมาก ขอจบท่านี้ก่อน เกรงจะรบกวนพื้นที่มากไป และต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า หากมีผู้ที่ไม่พอใจในคำตอบ เป็นต้นว่าอ่านแล้วขัดเคืองใจ ขอกราบเรียนว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ดูถูกทรรศนะของใครทั้งสิ้น สิ่งที่กล่าวความเห็นของผมเองลำพังที่เพียงแค่อยากนำเสนอ ไม่อาจหาญกล้าเสนอความคิดสร้างสรรค์หรือปรัชญาสำคัญใด แน่นอนว่าผมคงเขลา ความรู้น้อยเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้


แล้วจะแวะมาอีกครับ

ปล.ขอบคุณพี่พลมากที่นำสาระความรู้มาเสนอ อ่านแล้วชอบ พี่พลเก่งที่ถ่ายทอดวิชาการได้น่าอ่านและเข้าใจง่าย อ่านแล้วเพลินด้วย ได้ทั้งความรู้และจรรโลงใจครับ


โดย: ทนายกรานต์ IP: 125.24.192.161 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:22:57 น.  

 
ขออีเมล์ติดต่อ คุณทนายกรานต์ได้ไหมครับ ขอในนี้เลยนะครับ


โดย: วรพชร ดิลกเมฆิน IP: 125.26.34.56 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:15:31 น.  

 
บังเอิญแวะมาอีกที เลยทราบว่ามีผู้ต้องการติดต่อผม อีเมลมาได้ครับ chartinate@hotmail.com


โดย: ทนายกรานต์ (ทนายK ) วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:52:07 น.  

 
โปรดทราบ...ขณะนี้แควนคลับสาวๆของคุณตำหนวดพลย้ายไปสิงอยู่ที่blogทนายkกัลล์หมดแย้ว เสียจายด้วยนะครับ..พี่พลลลลลลลลลลลลล...


โดย: เหยี่ยวข่าว IP: 124.120.154.236 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:07:58 น.  

 
แต่ปกติ ถ้าแม่ตั้งครรภ์แล้วพบลูกพิการ หรือ โครโมโซมไม่ปกติ หรือ อาการของเด็กอยู่ในภาวะที่คลอดออกมาแล้วเสี่ยงต่อการพิการสูง ต่อให้ไม่อันตรายต่อสุขภาพแม่ รพ.ก็ให้ยุติการตั้งครรภ์ได้นี่คะ ..คือ มีเพื่อนสนิทตั้งครรภ์ครบ 8 เดือน แต่ผลสกรีนว่าเป็นดาวน์ หมอก็ทำแท้งให้นี่คะ..หรือว่า รพ.ทำผิดกฏหมาย


โดย: เอื้อง IP: 219.93.196.217 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:17:52 น.  

 
ดาวน์ได้ ธาลัสซีเมียได้ครับ


โดย: เพิ่งเข้ามา IP: 124.120.153.61 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:38:23 น.  

 
ตามกฎหมายนะไม่ได้หรอกครับ .... พวกนี้ แต่ที่ทำ ๆ อยู่ ก็ผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่า ไม่มีใครไปดำเนินคดีเท่านั้น เพราะ พวกนี้ ไม่หลักเกณฑ์ตามกฎหมายของไทยในปัจจุบัน


โดย: POL_US IP: 74.139.209.220 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:54:01 น.  

 
คุณพลแน่ใจเหรอว่าผิดกฎหมาย(ชัวว์หรือ...) ครบองค์ประกอบแล้วเหรอ..ตรงไหน...(เหรอ) ทำแท้งเด็กดาวน์ กับธาลาซีเมียเนี่ย โอ้ ผมเข้าใจอะไรผิดคับ


โดย: เพิ่งเข้ามา IP: 124.120.153.61 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:04:16 น.  

 
อืม น่าคิดนะ


โดย: ตติตา วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:36:11 น.  

 
อ้าว ถ้าคุณเพิ่งเข้ามา เป็นหมอ ทำแล้วก็เก็บหลักฐานไว้ให้ชัดแจ้ง แล้วเดินทางเข้าพบ ตำรวจ บอกว่าทำแท้งให้กรณีนี้ ซิครับ ง่าย ๆ ทดสอบว่า จริงหรือไม่ เหอ เหอ ไม่ยาก ๆ ๆ

กฎหมายทำแท้งนี่ (ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงอะไร) อนุญาตแค่ สองกรณี คือ (๑) ถูกข่มขืนมา กับ (๒) ตั้งครรภ์ จะเป็นอันตรายแก่มารดา กรณีอื่น ๆ ไม่มีบัญญัติไว้


โดย: POL_US IP: 74.139.209.220 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:59:43 น.  

 
ขออนุญาตร่วมอภิปรายเพื่อเพิ่มเติมความเห็น(ไม่ใช่เพื่อคัดค้าน หรือไม่ไว้วางใจผู้หนึ่งผผู้ใด:)ครับ

กฎหมายอาญาของเราวางหลักไว้ประมาณว่า จะทำแท้งได้ต่อเมื่อหากปล่อยให้อายุครรภ์ดำเนินต่อไปแล้ว การดำรงอยู่หรือเติบโตของครรภ์นั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 'มารดา' กฎหมายไม่ได้เขียนคำว่า 'ทารก' ลงไปด้วย ไม่มีคำว่าและ ไม่มีคำว่า หรือ ในบริบทนี้

สรุปคือ ทำได้เฉพาะกรณีที่หากปล่อยให้ท้องต่อไปแล้วจะเป็นปัญหาต่อสุขภาพของแม่เด็กเท่านั้น

ผมเห็นว่านั่นคือสิ่งที่เป็นจุดบอดนึงของกฎหมายนี้ที่ผมก็ว่าควรแก้ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน แม้วันนี้จะมีการทำแท้งให้กับหญิงที่ป่วยด้วยโรคที่หากปล่อยให้เด็กคลอดมาแล้วอาจพิการเช่นหัดเยอรมันให้เห็น แม้จะไมได้เปิดเผยมาก แต่ในทางนิติศาสตร์แล้วถือว่าผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการบัญญัติให้สิธิหรือเปิดช่องให้กระทำได้เลย ปัญหาต่างๆ รวมถึงความไม่ชัดเจนรัดกุมจะตามมาอีกมากมายถ้าเรายังไม่มีทิศทางที่แน่นอนในเรื่องนี้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมคิดว่า ในเมื่อฝ่ายเกี่ยวข้องต่างๆ ยังเพิกเฉยต่อการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย คงไม่ถึงกับผิดมากมายอะไรถ้าเราจะเอาหลักรัฐศาสตร์มาพิจารณาประกอบ ถ้าคดีทำนองนี้ขึ้นสู่ศาล (แพทย์ทำแท้งให้หญิงที่ป่วยด้วยโรคที่เป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง) ผมเชื่อว่าศาลน่าจะใช้ดุลพินิจลดโทษให้ครับ


โดย: กรานต์ (ทนายK ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:54:06 น.  

 
สวัสดีจ๊ะพี่พล กานต์เพิ่งมีโอกาสเข้ามาเยี่ยมบล็อคพี่พล พี่พลสบายดีไหมคะ


โดย: อ.กานต์ IP: 58.137.131.2 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:35:12 น.  

 
ไม่ให้ทำแท้ง .... แล้วจะเอาลูกฉันไปเลี้ยงไหม...................




เป็นโพสแรกในรอบปีที่ดั้นเห็นพ้องกับคุณค่ะ เราแทบไม่เคยเห็นอะไรตรงกันเลย


โดย: ฟ่องนภา IP: 24.136.23.177 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:36:09 น.  

 
พี่พลและพี่กรานต์คะ .ถ้าสมมุติหมอบอกว่าจำเป็นต้องทำแท้งให้คนไข้คนหนึ่งเพื่อ "สุขภาพจิต"ของมารดาล่ะคะ เพราะถ้าปล่อยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปโดยที่ทราบแล้วว่าทารกในครรภ์นั้นเป็นโรคร้ายแรง เช่น ธาลัสซีเมีย ดาวน์ซินโดรม พิการ....เหล่านี้ล้วนมีผลต่อจิตประสาทของมารดาคนดังกล่าวล่ะคะ เช่น เครียดระดับเล็กๆจนถึงขั้น panic จนไม่สามารถปรับตัวต่อภาวะการเป็นมารดาได้ อาจถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เหล่านี้จะว่าถือเป็นความผิดไหมคะ..


โดย: แนน IP: 125.26.32.36 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:58:03 น.  

 
สวัสดีครับทุกท่าน

ขอบคุณที่มีการแสดงความเห็นตรงประเด็นกับเรื่อง มากมาย เมืองไทย เราปากว่า ตาขยิบครับ เรื่องทำแท้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นสภาวะการณ์ปกติ กรณีที่ หมอเห็นว่า เด็กที่เกิดมาจะพิการ ปัญญาอ่อน ก็จะพูดคุยกับมารดา ฯลฯ แล้วแนะนำให้ทำแท้งทั้งสิ้น แต่ ผู้ร่างกฎหมาย ฯลฯ คงคิดเรื่อง "หน้า" กันซะมาก กลัวจะเสียหน้า การเป็นเมืองพุทธ ฯลฯ หรือ เสียคะแนนเสียง ทำให้กฎหมายดี ๆ ไม่ค่อยจะออกมา

ยกตัวอย่าง เรื่องกฎหมายภาษี ทรัพย์สิน และมรดก ควรจะออกมาให้ชัดเจน ยกตัวอย่าง ในสหรัฐฯ นี่ Property tax จะเป็นรายได้หลักของเมือง ในการพัฒนาและปรับปรุงบ้านเมืองของเขาเลยทีเดียว เมื่อรวยมาก เพราะการใช้ทรัพยากร และโอกาสที่ประเทศให้กับเขาในการกอบโกย ก็ควรจะแบ่งปันกลับไปยังสังคมบ้าง เพราะฉะนั้น บ้านใหญ่ ๆ โต ๆ ที่เมืองบ้านนอก อย่าง Urbana - Champaign ในรัฐ Illinois ก็จะเสียภาษีปีละ ๓,๐๐๐ กว่าเหรียญ ขึ้นไป บ้านเล็ก ก็เสียน้อยหน่อย

ไอ้พวกซื้อทรัพย์สินไปสะสม ซื้อที่ดิน เก็งกำไร นี่ ต้องโดนเรียกเก็บภาษีให้อานไปเลย เพราะพวกนี้ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทางเศรษฐกิจต่อประเทศโดยรวม เอาที่ดินไปทิ้งร้าง ไว้รอเก็งกำไรอย่างเดียว ต้องโดนลงโทษเก็บภาษี ให้ท่วมราคาทรัพย์สิน เพื่อบังคับให้จำต้องขายออกไปให้คนได้ทำประโยชน์แก่สังคม

ปล. เรื่องความขัดแย้งในทางความคิดเป็นเรื่องดีนะครับ ท่านทั้งหลาย เพราะความขัดแย้ง นำมาซึ่งการถกเถียง ด้วยเหตุด้วยผล แล้วจะก่อให้เกิดความเจริญงอกงามในทางความคิด และ เกิดประโยชน์ต่อชาติโดยรวม ผมมีความยินดี ที่ได้ทำให้อย่างน้อยก็คุณ ฟ่องนภา เห็นขัดแย้ง ... แม้จะไม่เคยได้เห็นชื่อนี้ แสดงความเห็น และเหตุผล โต้แย้ง เลยก็ตาม ด้วยเหตุนี้ หากคำพูดผม คนอ่านเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ โต้แย้ง ไม่ได้ ผมจะไม่เกิดความยินดีแม้แต่น้อยครับ



โดย: POL_US IP: 74.139.209.220 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:00:19 น.  

 
สวัสดีครับคุณแนน ต่อคำถามที่ถามมาพี่ว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากทีเดียว เกี่ยวกับนิยามคำว่า 'สุขภาพ' ในบริบทแห่งมาตรานี้ว่ากินความครอบคุลมแค่ไหน

เท่าที่พี่ทราบ ยังไม่เคยมีการตีความถ้อยคำว่า สุขภาพ นี้ อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าโดยศาลฎีกาหรือองค์กรอื่นของรัฐ (หากบังเอิญมีการตีความไปแล้วผมต้องขออภัย และรบกวนท่านผู้รู้นำมาเสนอเพื่อเป็นวิทยาทานด้วยครับ) ฉะนั้นผมขอให้ความเห็นในเชิงทรรศนะครับ

แน่นอนว่า ความหมายของคำว่าสุขภาพในเชิงการแพทย์ ย่อมกินความหมายรวมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต โดยหลักสากลแล้วก็เป็นเช่นนั้น

อารยประเทศมองว่าโรคทางจิตก็เป็นโรคอย่างหนึ่งไม่ต่างจากโรคที่เกิดกับกายแบบจับต้องได้ อย่างที่เราทราบกันว่าในประเทศพัฒนาแล้วจะให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากกว่าสุขภาพเสียอีก (ทำให้ผมพานคิดถึงคำกล่าวของไทยเราที่ว่า จิตเป็นกายนายเป็นบ่าว) ในประเทศเหล่านั้น จิตแพทย์จึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และรายได้งดงามมากอย่างที่เราทราบกัน

กลับเข้าประเด็นครับ นอกเรื่องอีกแล้วเรา ฮ่าๆ ส่วนตัวผมขอสรุปฟันธงตรงนี้ก่อนว่า คำว่าสุขภาพของหญิงในที่นี้ นั้น ผมมองว่ากฎหมายน่าจะหมายถึงเฉพาะ "สุขภาพกาย" เท่านั้น

ที่วิเคราะห์เช่นนี้เพราะผมมองว่าในความเป็นจริงที่ทราบกันมา มุมมองของกฎหมายไทยเราหาได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตแต่อย่างใด

ยกตัวอย่างเช่นกฎหมายประกันสังคม หรือเรื่องการประกันสุขภาพ เคยทราบมา(ถ้าผิดพลาดต้องขออภัย เพราะไม่เชี่ยวชาญกฎหมายด้านนี้) ว่ารัฐผู้ป่วยที่จะเบิกค่ารักษาได้ต้องป่วยทาง 'กาย' เท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ป่วยทางจิต ทั้งที่จริงแล้วในทางการแพทย์มองว่าผู้ป่วยสองประเภทนี้ถือว่าเป็นผู้ป่วยเหมือนกัน แต่กฎหมายมองไปอีกแบบ

และกฎหมายเกี่ยวกับการประกันชีวิต เคยทราบในทำนองเดียวกันว่าถ้าสาเหตุแห่งการเจ็บป่วยเป็นเรื่องของจิตเวช บริษัทประกันอาจอ้างิทธิในการปฏิเสธจ่ายเงิน สามารถอ้างได้ว่ากฎหมายไมได้ระบุถึง

ด้วยประการทั้งปวงที่กล่าวมา ผมจึงมองว่า ความที่กฎหมายไทยฉบับอื่นๆ ตีความหมายคำว่าสุขภาพให้กินความแค่สุขภาพกาย กฎหมายอาญาก็ไม่น่าจะต่างกัน (ยกเว้นในส่วนที่มีการระบุอย่างชัดแจ้งว่าเป็นเรื่องของจิตใจ เช่น มาตรา 297 ที่วางหลักไว้ว่า ผู้ใดที่ทำร้ายจนผู้อื่นเกิดความพิการทางจิตอย่างติดตัว ถือเป็นความผิดตาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายโดยสาหัส)

คำว่าสุขภาพจึงน่าจะหมายถึงแค่สุขภาพกาย แม้หญิงมีครรภ์จะพิสูจน์ได้ เป็นต้นว่าจิตแพทย์รับรองให้ว่าถ้าอุ้มครรภ์ต่อไป จะก่ออันตรายต่อสุขภาพจิตของเธอ ก็คงทำแท้งไม่ได้ นอกเสียจากพิสุจน์ ได้ว่า อาการทางจิตที่แสดงออกมาก่อให้เกิดความทรมาน'ทางกาย'จนทำให้สุขภาพกายได้รับอันตรายไปด้วย

ท้ายนี้ ขอขอบคุณคุณแนนสำหรับคำถาม ที่จุดประกายแห่งทรรศนะให้พี่ตรงที่ว่า สมควรหรือยังที่เราจะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพจิตให้มากกว่านี้ เรื่องทำแท้งนี้ก็เช่นกัน พี่สนับสนุนครับให้คำว่าสุขภาพในบริบทนี้ กินความรวมถึงทั้งกายและจิต เพราะหากเพียงตระหนักให้ดีสักนิด จะรู้ว่าจิตสำคัญว่ากายมากมายนักครับ


โดย: กรานต์(ทนายK) IP: 125.24.192.135 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:56:43 น.  

 
ขอบคุณที่มาคอมเม้นท์ .... รู้สึกจะแยะเป็นประวัติการณ์ กับ บล๊อก เหงา ๆ ตรงนี้


โดย: POL_US วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:16:52:29 น.  

 
ถ้าแม่ตั้งครรภ์แล้วเกิดภาวะเสี่ยงหรือผิดปกติทางโคโมโซม แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ด้วยหลักฐานและเหตุผลทางการแพทย์พอควร พร้อมแจ้ง/อธิบายให้มารดาหรือญาติทราบถึงเหตุและผล และควรจะส่งเลือดตรวจ
Lab เพื่อหาแนวทางการป้องกันแก้ไขครรภ์ต่อไป
ผิดกฎหมายไหมไม่ทราบ แต่กฎแห่งกรรมมากเลยล่ะค่ะ แต่ต้องทำเพราะคำว่าหน้าที่กับสายงานที่เรียนมา

ปล. ศรีวิชัย 5


โดย: tonruk IP: 118.173.240.252 วันที่: 21 มิถุนายน 2553 เวลา:11:53:56 น.  

 
I am not sure where you are getting your info, but good topic. I needs to spend some time learning more or understanding more. Thanks for magnificent info I was looking for this info for my mission.
Louis Vuitton utlopp Online Sale //www.goevent.se/omgevent.cfm


โดย: Louis Vuitton utlopp Online Sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 12 สิงหาคม 2557 เวลา:9:08:11 น.  

 
???:“????,????,???????!”
???? //www.338c.com/prolist.43.html


โดย: ???? IP: 157.7.205.214 วันที่: 21 ตุลาคม 2557 เวลา:1:22:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.