*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
เบื้องหลังพิธีวัดพระแก้วฯ - ของนายกฯ ทักษิณ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ความว่า

"วันนี้เราขึ้นมานี้ เราแก้ตัวแทนนายกฯ เพราะว่านายกฯ ไม่ผิด นายกฯ ทำได้ทุกอย่าง ก็ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว.................."


จึงเป็นอันชัดเจน สำหรับกรณีนี้ฯ ผมไม่เข้าใจเลย ขนาดราชเลขาธิการฯ ก็ยืนยันแล้ว ยังไม่รับฟังกันฯ ไม่เข้าใจหลักการและวิธีคิดของหลายท่านจริง ๆ

เรื่องที่ต้องย้ำคือ สื่อสารมวลชนต้องมีจริยธรรมและองค์กรควบคุมจริยธรรมต้องทำงานอย่างเข้มแข็ง ไม่งั้นบ้านเมืองก็บรรลัย พบหายนะได้โดยง่าย หากสื่อสารมวลชนปฏิบัติหน้าที่ ไม่ตรง มุ่งสู่สิ่งที่ตนต้องการโดยไม่สนว่าจะก่อความไม่สงบในแผ่นดินหรือไม่อย่างไร ไม่รักษามาตรฐานวิชาชีพฯ เป็นต้น

ไม่ทราบว่ากรณีนี้ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฯ จะยังมีอะไร คาใจหรือไม่ หลังจากที่ได้ยินเต็มสองรูหู ถึงพระราชดำรัสของพระองค์ฯ หวังว่าคงจะไม่เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา แล้วแกล้งทำเป็นไม่เคยได้ยินอีกฯ ที่สำคัญ สื่อมวลต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม จึงอยากจะถามว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กับผู้ที่เกี่ยวข้องจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีนี้อย่างไร





ครั้งหนึ่ง และหลาย ๆ ครั้ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวอย่างน่าชื่นชมว่า จับผิดหนังสือการขอพระบรมราชานุญาตดังกล่าวได้ หลายประการ ตามลิ้งก์ ผู้จัดการ ท่านกล่าวไว้หลายประเด็น ตั้งแต่วันที่ที่ลงย้อนหลัง การที่องคมนตรีไม่มาร่วมพิธี ฯลฯ

ข้อถกเถียงดังกล่าว ฟังดูเผิน ๆ อาจจะดูดีมาก แต่หากคนทำงานในระบบราชการ ก็จะรู้ว่า ข้ออ้างข้อถกเถียงดังกล่าว เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก การลงวันที่ย้อนหลังฯ นับเป็นเรื่องปกติ ของระบบราชการไทยไปแล้วด้วยซ้ำในขณะนี้ เพราะเน้นการสื่อสารและสั่งการอย่างไม่เป็นทางการมากกว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานของสำนักพระราชวังด้วยแล้ว เป็นที่รู้กันในวงการของผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทว่า หากไม่มีพระราชดำรัสหรือรับสั่งแล้ว สำนักพระราชวัง จะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ตามกฎหมายจัดตั้งสำนักพระราชวัง จะระบุว่าให้อยู่ในการดูแลของรัฐมนตรีฯ ก็ตาม

จึงเป็นที่น่าคิดว่า การกระทำของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เข้าข่ายการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งหรือไม่ เพราะเท่ากับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการจะบ่งหรือบังคับว่า ต่อไปนี้ หากพระองค์ท่านจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ หรือ มีรับสั่งใด ๆ จะต้องเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ท่านราชเลขาธิการ จะมาอ้างลอย ๆ แม้จะได้กราบบังคมทูล ฯ เป็นการภายในแล้ว ก็ทำไม่ได้ (คือ พระองค์ท่านต้องตรัสเอง หรือ มีพระราชหัตถเลขาเป็นทางการเท่านั้น) .... นี่ คือ สิ่งที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการกำลังสื่อให้เห็นว่า พระองค์ไม่มีพระราชอำนาจ....ที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กิจการใด โดยไม่มีลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ...อีกต่อไปแล้ว



หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ — ได้ลงข่าวกรณี "เบื้องหลังพิธีวัดพระแก้วที่นายกฯ เป็นประธานว่า ราชเลขาธิการเป็นผู้เข้าเฝ้าฯ ขอพระบรมราชานุญาต ด้วยตนเอง และได้รับพระบรมราชานุญาตโดยถูกต้องก่อนดำเนินการจัดพิธีดังกล่าวฯ ดังนี้._

"เมื่อวานนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้นำหนังสือการขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ปราสาทพระเทพบิดร และถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 รวมทั้งถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุฯ มาชี้แจงต่อสื่อมวลชน เพื่อแก้คำครหาความไม่เหมาะสมอันเนื่องมาจากการเผยแพร่ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธานพิธีศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ ในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เมษายน

อย่างไรก็ตาม เอกสารดังกล่าวได้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน มีหนังสือถึงราชเลขาธิการเมื่อวันที่ 8 เมษายน ขณะที่รัฐบาลกำหนดจัดงานดังกล่าวในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งนับว่ากระชั้นชิดมาก ขณะเดียวกันหนังสือที่นายสนอง บูรณะ รองราชเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิการได้ลงนามแจ้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตมายังนางจุฬารัตน์นั้นลงนามในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นวันจัดงานพอดี

“โพสต์ทูเดย์” จึงสอบถามไปยังนางจุฬารัตน์ ซึ่งได้รับการเปิดเผยเบื้องหลังการขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตว่า นายวิษณุได้ทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาตไปที่สำนักพระราชวังในวันที่ 30 มีนาคม และ พศ.ก็ได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 8 เมษายน สำนักพระราชวังได้ประสานมาที่ พศ. ขอให้ทำหนังสือไปอีกหนึ่งฉบับถึงราชเลขาธิการ เนื่องจากการขอใช้สถานที่ดังกล่าวต้องทำเรื่องผ่านราชเลขาธิการเท่านั้น

“พอทราบเช่นนั้น ดิฉันก็ตกใจมาก เพราะเวลากระชั้นแล้วจึงได้ติดต่อไปยังรองนายกฯ วิษณุ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงติดต่อกลับไปที่ท่านราชเลขาธิการเพื่อเรียนถามว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่สามารถหาคนลงนามในหนังสือได้ ก็ได้รับคำตอบว่า ใครเซ็นก็ได้ แต่ต้องส่งมาภายในวันที่ 8 เมษายนเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ดิฉันเลยตัดสินใจลงนามด้วยตนเอง แล้วรีบนำส่งท่านราชเลขาธิการ ทราบว่าท่านได้นำหนังสือดังกล่าว เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในค่ำวันนั้นเลย ที่พระราชวังไกลกังวล ..และได้รับการติดต่อกลับมาให้ไปรับหนังสือพระบรมราชานุญาต” นางจุฬารัตน์ กล่าว

นอกจากนั้น การใช้สถานที่พระอุโบถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ยังมีแนวทางที่ถือปฏิบัติไว้ชัดเจน ดังนี้

1.พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นของพระมหากษัตริย์ ของชาติ (นั้นหมายความว่าการจะใช้สถานที่ได้ต้องมีพระบรมราชานุญาต)

2.แม้สำนักพระราชวังจะขึ้นตรงต่อ นายกรัฐมนตรี แต่ก็ในแง่ธุรการ เพราะทั้งหมดล้วนรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระชวงศ์จักรี (ศักดิ์ศรีของบุคคลเหล่านี้ เชื่อถือได้ว่ารัฐบาลก้าวก่ายไม่ได้)

3.ข้าราชการสำนักพระราชวังนั้น ถือเป็นข้าราชบริพารใกล้ชิด รู้ดีว่าสิ่งใดบังควรไม่บังควร

4.เก้าอี้ที่นายกนั่งก็เก้าอี้ธรรมดา ไม่ได้แสดงว่าพิธีนี้เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์แต่อย่างใด (ปกติพระเก้าอี้/เก้าอี้ในงานพระราชพิธี/พิธีต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องพระราชวงศ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายวรอาสน์ดูแลอยู่ จะแบ่งไว้

- พระราชอาสน์ทอดถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ กรณีมิได้เสด็จแต่ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ผู้อื่นเป็นผู้แทนพระองค์ เจ้าพนักงานก็จะทอดพระราชอาสน์ไว้แล้วคลุมด้วยฝ้าเยียรบับไว้ตลอดงานพระราชพิธี/พิธี อันแสดงให้ทราบงาน การนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ประธาน

- พระเก้าอี้เหลืองจักรี สำหรับพระบรมวงศ์ทรงประทับ

- พระเก้าอี้เหลืองตัด สำหรับพระอนุวงศ์ ชั้น พระองค์เจ้าขึ้นไปทรงประทับ

- เก้าอี้แดงตัด สำหรับ พระอนุวงศ์ชั้น หม่อมเจ้า องคมนตรี แขก VIP


จากภาพที่เห็น นายกฯ ไม่ได้นั้งเก้าอี้แดงตัดด้วยซ้ำ แสดงว่างานนี้นายกเป็นสามัญชนเต็มขั้น)

5. สังเกตดีๆ จากพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาถึงเก้าอี้นายกฯ มีที่ว่างที่พอมองเห็นไว้ว่า สามารถให้คนนั้นได้ประมาณ 8-10 คน และโต๊ะเคียงอีกหนึ่ง ตัว แสดงว่า เจ้าพนักงานเว้นไว้มากที่เดียว และนอกจากนี้หากสังเกตให้ดีเวลาพระราชพิธี พระราชอาสน์ของในหลวง จะทอดใกล้พระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาก ในภาพเทียบเคียงของManager.com เองก็จะเห็นได้ว่า ถ่ายเห็นพุ่มไม้ทอง แซมเข้ามาด้วย

6.โดยปกติในงานพิธี ประธานจะหันเข้าหาพระสงฆ์เพื่อฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งปกติในสังคมไทย จะตั้งโต๊ะหมู่ที่ ต้นแถวพระสงฆ์นั่ง และหันหน้ามาทางเดียวกับพระสงฆ์ แต่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามไม่เหมือนกัน ดังนั้นประธานในพิธีจึงต้องหันข้างให้พระแก้วมรกตแทน (ในกรณีเทียบเคียงพระราชพิธีต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์เป็นองค์ประธาน จึงผินพระพักตร์หาคณะสงฆ์ และผู้ที่มาร่วมเฝ้าหันหน้าหาพระประธานคือพระแก้วมรกต ซึ่งจริงๆนับว่าเป็นคนนอกไม่เกี่ยวกับการพระราชพิธี)

7.กรณีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังคุกเข่ารับน้ำกรวด เป็นกรณีที่ต้องเข้าใจว่า ประธานนั่งที่เก้าอี้ และกรวดน้ำจากกลด หากไม่มีคนรองรับน้ำกรวด ประธานในพิธีก็ต้องโค้งตัวต่ำมากในการกรวดน้ำซึ่งภาพที่ดูจะไม่งามนัก หรือกรวดน้ำจากที่สูงลงภาชนะก็จะทำให้น้ำกระเซ็นได้ เจ้าหน้าที่จึงต้องมารับน้ำกรวด แต่หากจะให้ยืนก็จะการเป็นการค้ำหัวผู้ใหญ่ไป จึงต้องคุกเข่า แต่หากเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าพนักงานจะค่อยๆ คลานเข้าไป แล้วหมอบรับน้ำ



สุดท้ายขอเตือนสติสื่อมวลชนที่ไร้จริยธรรมด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๗-๒๓๘/๒๕๑๔ นี้ครับ

การที่จำเลยป่าวประกาศ ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ว่าโจทก์เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่น่ารังเกียจของประชาชนชาวไทย และการป่าวประกาศซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่าโจทก์เป็นคนโลภอำนาจทางการเมืองและมักใหญ่ใฝ่สูง ยอมทิ้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และและกลายเป็นผู้ที่ประชาชนชิงชังจนไม่อาจอยู่ประเทศไทยได้ ดังนี้ ย่อมเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ มีความผิดฐานละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลาย ตามมาตรา ๔๒๓แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

[เก็บมาจาก บล๊อกท่าน Nazkull ]


คลิ๊กดูวีดิโอถ่ายทอดทาง อสทม. เกี่ยวกับเบื้องหลังการประกอบพิธีทำบุญประเทศวัดพระแก้ว ได้ที่นี่ครับ

คลิ๊ก อ่านข่าว องคมนตรี เตือนทุกฝ่ายยุติ พาดพิง เบื้องสูง




standby="Loading Microsoft Windows Media Player components..." VIEWASTEXT>



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:54:06 น. 51 comments
Counter : 10403 Pageviews.

 
มาอ่านค่ะ


โดย: rebel วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:50:46 น.  

 
เลิกอ่านหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ

ใครกันแน่ ที่ดึงฟ้าต่ำ

ใครกันแน่ ที่กำลัง ทำให้คนไทยแตกสามัคคี

"รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย
จะเกิดภาคไหนไหน ก็ไทยด้วยกัน
เชื้อสายประเพณี ไม่มีขีดคั่น
เกิดใต้ธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย

ท้องถิ่นแหลมทอง เหมือนท้องของแม่
เกิดถิ่นเดียวกันแท้ เหมือนแม่เดียวกันใช่ไหม
ยามฉันมองตาคุณ อบอุ่นดวงใจ
เห็นสายเลือดไทย ในสายตาส่งสายสัมพันธ์"


โดย: พฤษภาคม 2510 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:53:21 น.  

 
มาอ่านด้วยคน


โดย: ultraman seven วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:33:21 น.  

 
ดีใจครับที่มีหลายฝ่าย ช่วยมาพูดถึงข้อเท็จจริง ผมรู้สึกเศร้าครับที่เมื่อวานมีคนมากมายไปฟังกันโดยไม่ได้รู้ถึงข้อเท็จจริงเลย


โดย: เด็กท้ายวัง (เด็กท้ายวัง ) วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:53:14 น.  

 
ชอบอ่าน ชอบฟัง แต่คิดในใจ


โดย: erol วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:53:17 น.  

 
ตนเองคิดว่า ประเด็นที่น่าสงสัย คือ ท่านนายกฯ มีสิทธิ์อะไรไปนั่งเป็นประธานในพิธีมากกว่า เพราะในหนังสือที่ พศ 0006/274 ลงวันที่ 8 เมษายน 2548 ข้อ 1 ก็ได้มีการระบุไว้ด้วยว่าจะมีองคมนตรีเข้าร่วมพิธี และก็ทำให้ตนเองสงสัยต่อไปว่า ได้แจ้งเรื่องให้องคมนตรีทราบถึงการร่วมงานด้วยหรือไม่


โดย: WangAnJun วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:44:02 น.  

 
ผมไม่โทษ นสพ ผู้จัดการ ว่าอาจเอื้อมยกเบื้องสูง เพราะนั่นเป็นแค่สื่อที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็น (น่าแปลกที่ นสพ อื่นไม่เห็น(กล้า)จับประเด็นนี้) ซึ่งผมว่าน่าสนใจ งงว่าประเด็นนี้นั้น แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างงัดเอาหลักฐานมานำเสนอ เพื่อพิสูขน์ถึงความถูกต้อง

แต่ผมอยากทราบว่า ไอ้ความถูกต้องกับความเหมาะสม มันคนละประเด็นกัน ผมอยากทราบถึงความเหมาะสมมากกว่า เพราะหลักฐานทางด้านเอกสาร หลักการ มันยืดหยุ่น มันโงนเงนได้ตั้งมากต่อมาก

ผมว่าเรื่องแต่ละเรื่อง กว่าจะเคลียร์ได้แต่ละอย่าง คงใช้เวลาไม่ใช่น้อย แต่ความเชื่อมั่น ศรัทธานี่มันไม่เหลือแล้วน่ะสิครับ


โดย: ข้าวตู วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:56:15 น.  

 
เอ สมมุติว่า คุณเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร คุณไปเชิญ นาย ก. มาร่วมงาน เขาไม่มา ....คุณต้องยกเลิกงานเลยหรือ

ฝ่ายบริหาร หรือ รัฐบาล เขาก็ใช้อำนาจทางบริหารของเขา เขาเห็นอะไรสมควรดำเนินการ เขาก็ทั้งอำนาจดุลพินิจที่จะดำเนินการ เรื่องจะเหมาะสมประการใด จึงเป็นเรื่องของเหตุผลในการดำเนินการมากกว่า ในเรื่องของความรู้สึกฯ ถ้าทุกอย่าง ถูกตัดสินด้วยอารมณ์ ต่อให้มีเจตนาดี ทำดี ขนาดไหน ก็ไม่มีเรื่องดีในสายตาของผู้ตัดสินกระมัง


โดย: POL_US วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:28:10 น.  

 
มาติดตามอ่านครับ


โดย: เงือกลม วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:05:47 น.  

 
No Comment ดีกว่า เปื่อย = ="


โดย: มิ้ว~ IP: 58.10.205.175 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:04:24 น.  

 
อืมมม เห็นด้วยกับข้าวตูนะพี่

เฮ้อ เมืองไทย...


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:0:11:53 น.  

 
เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว... เพื่อนผมก็คุยกันเรื่องนี้แหละ...

แล้วก็จบด้วย... เพื่อนคนหนึ่ง ขว้างถังน้ำแข็งใส่โต๊ะ

แก้วแตกกระจาย เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ถูกเศษแก้วบาด...




เฮ่อ...


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:1:03:39 น.  

 
ขอแค่อ่านนะครับ


โดย: ศล (ศล ) วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:1:10:36 น.  

 
ลงชื่อตอกบัตร สะสม ไว้ก่อนอ่าค่ะ...

รีบมารีบไป แพคของย้ายบ้าน เจ๊า....


โดย: FaCtOrY cHeeSeCaKe วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:2:16:39 น.  

 
หุๆ เดี๋ยวบล้อกพี่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรบแล้วละครับ


โดย: praphrut608 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:4:56:16 น.  

 
"แถข้าง เพราะทางแคบ"

ขอยืมหัวข้อกระทู้ของคุณสดายุ จากถนนนักเขียนมาออกความเห็นสำหรับข้อความของคุณ POL_US ข้างบนนี้หน่อยค่ะ

ไหนๆ ก็ขอยืมมาแล้วต้องให้เครดิตด้วยการโพสลิงค์ให้ด้วย

//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3853135/W3853135.html


โดย: ลูกบัว IP: 203.156.67.240 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:49:20 น.  

 
เรียน ท่านที่เข้ามาอ่านฯ
ก่อนอื่น ผมต้องเรียนว่า ผมเพียงแต่รู้สึกแปลกใจและเศร้าใจกับสภาพสังคมไทยของเรามาก คนไทยลืมง่ายมาก เมื่อ ๔ หรือ ๕ ปี ก่อน หนังสือผู้จัดการ เชียร์ คนที่เขากำลังพยายามทำลายอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนนี้ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ กลายเป็นพระเอก เพราะกำลังทำลายคนเขาเคยเชียร์ โดยมีอาศัยกำลังที่อ้างว่า "จงรักภักดี" เป็นพื้นฐาน ...คนไทยเราก็ลืมง่าย พร้อมกับเห็นเขาเป็นพระเอกฯ ไปแล้ว แปลกมากจริง ๆ

ผมเสนอความเห็นอีกด้านหนึ่ง ที่มีหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ ไปตรวจสอบมาให้เห็น พร้อมกับมีความหวังเล็ก ๆ ว่า คนที่อ่าน จะได้เปิดมุมมองอีกด้านหนึ่ง เข้าไปร่วมพิจารณาฯ ส่วนจะเห็นอย่างไร คงไม่มีใครห้ามปราม หรือ บังคับได้

การที่มีเหตุการณ์อย่างท่าน ฯ นิลมังกร ว่ามา เป็นเรื่องเศร้าของสังคมไทยมาก ที่ไม่ยอมรับฟังข้อมูลด้านอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง จนถึงขนาดขว้างแก้วทำร้ายกัน .... ผมว่า คนที่ถูกทำร้าย ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีนะครับ ต้องป้องกันสิทธิ์ตนเอง

ส่วนกรณีท่านน้องประพฤติฯ ว่าจะเป็นสุมรภูมิรบ ฯ นั้น กระผมเอง ก็หาได้คิดว่าจะเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเชื่อว่า หากเกิดเป็นคนแล้ว ... ก็ต้องมีเหตุผล ..... และมีใจกว้างที่ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง .... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันมีข้อเท็จจริงที่ปรากฎชัดเจนด้วยแล้ว

เรียนท่าน ลูกบัวฯ ผมไปก๊อบปี้ ตามลิ้งที่ท่านให้มาแล้ว ผมชื่นชมความสามารถในทางภาษาของผู้เขียนนะครับ ... แต่ไม่ทราบว่า ใครเอาสีข้างเข้าถูนะครับ .... เพราะ ข้อมูลก็ชัดเจนกันอยู่ ... ต่อไปนี้ คือ บทประพันธ์ของสุดายุฯ

๐ แถข้าง..เพราะ..ทางแคบ ๐

๐ โดยอำนาจหน้าที่เขามีอยู่
ควรเป็นผู้หนักแน่นดุจแผ่นผา
จริงจังในคำมั่นคำสัญญา
สำรวมการคบหาสมาคม

๐ โดยอำนาจหน้าที่เขามีนั้น
ความสัมพันธ์จำเพาะต้องเหมาะสม
ให้เติบเต็มคุณค่าควรปรารมภ์
เพื่อสั่งสมความรักความภักดี

๐ การแยกแย้มฝีปากคอยถากถาง
เปรียบหลุมพรางสอดซุกไปทุกที่
ฤๅอาจก้าวย่างฝ่าถ้อยวาที
อันไหลปรี่ปร่าขมอารมณ์เมือง

๐ กับความเห็นแตกต่างหลายอย่างนั้น
ไยต้องปั้นปากรุกไปทุกเรื่อง
อกใจหนอคุกรุ่นแต่ขุ่นเคือง
ต้องเปล่าเปลืองคารมไว้ข่มกัน

๐ ช่วงคับแคบแนวน้ำสู่ลำห้วย
ลำบากด้วยปริมาณจะผ่านผัน
ย่อมแน่นิ่งเน่าเหม็นลำเค็ญครัน
เฉกเช่นนั้นแคบในหัวใจคน

๐ ที่ผุดพลุ่งอัตตาผ่านวาทะ
ไม่ลดละร้อนแรงทุกแห่งหน
หรืออำนาจเหนี่ยวรั้งสู่วังวน
ลากตัวตนลิ่วล่วงสู่บ่วงมาร

๐ ไร้วิญญาณสำหรับการรับรู้
เหลือแต่ผู้อบร่ำด้วยคำหวาน
เวียนและเล็มเพลิดเพลินอยู่เนิ่นนาน
เหมือนเหนี่ยวกาฬเป็นกรอบลงครอบตน

๐ จึงวาทีสำหรับให้รับรู้
เหมือนสมสู่ซ้องศัพท์อย่างสับสน
โอ้ล่ะหนอภาพหรูวิญญูชน
เริ่มลุ่ยหล่นหลุดเลื่อนอยู่เกลื่อนตา.

ปล. ขอเรียนย้ำว่า ไม่มีบังคับให้ใครคิดอย่างไรได้ การตัดสินที่ถูกต้อง อยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง และมันผู้ใดที่บังอาจตีตนเสมอเบื้องสูง หรือ อ้างเบื้องสูงเพื่อหาประโยชน์ ..ขอให้ฟ้าดินได้โปรดลงทัณฑ์


โดย: POL_US วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:44:55 น.  

 
โดยส่วนตัวไม่ได้ชื่นชอบในตัวเจ้าของสำนักพิมพ์แห่งนั้นเลย ไม่เคยติดตามรายการที่ถูกปลดออกจากทีวี แม้จะอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับนั้น แต่ก็ไม่ได้ถือว่าประเด็นที่เป็นหัวข้อบล็อกนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่พอใจในตัวผู้นำคนนี้ เพราะมีประเด็นต่างๆ มากมายที่สะสมมาตลอดระยะเวลาที่บุคคลผู้นี้เข้ามาบริหารประเทศ

ส่วนที่ขอยืมประโยค "แถข้าง เพราะทางแคบ" นี้มา เพราะเห็นว่าที่คุณ POL_US อธิบายว่า หากไปเชิญแขกมา แล้วแขกผู้นั้นมาไม่ได้ จะให้ยกเลิกงานไปเลยหรือ บังเอิญว่า แขกผู้นั้นไม่ใช่แขกธรรมดา แต่เป็นองคมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้แทนพระองค์ เหมาะสมแล้วหรือที่จะหักหาญกระทำการไปตามเห็นสมควร นอกจากจะมีการอนุญาตให้กระทำได้

ส่วนบทกวีที่อยู่ภายในกระทู้ที่ได้นำลิงค์มาลงไว้ คงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของกรณีในบล็อกนี้ เพราะบทกวีนั้นพรรณนาถึงลักษณะการพูดของผู้มีอำนาจผู้หนึ่ง บังเอิญว่าคุณสดายุ ผู้เขียน ได้นำมาลงในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับที่ผู้นำท่านหนึ่งได้พูดประโยคที่เป็นกรณีวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางระหว่างประชุมสัญจรในจังหวัดภาคเหนือตอนล่างเร็วๆ นี้

ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านที่เข้ามาแสดงความเห็นในบล็อกนี้ และในที่อื่นๆ ต่างมีความหวังดีต่อประเทศของตนเหมือนกันทุกคน เพียงแต่มีมุมมองที่ต่างกันเท่านั้น และเช่นกันค่ะ ดิฉันก็คิดเหมือนกันว่าผู้ไม่หวังดีต่อชาติ ควรที่จะได้รับการลงโทษ


โดย: ลูกบัว IP: 203.156.67.240 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:04:07 น.  

 
ผมคงไม่ถกเถียงประเด็นนี้หรอครับ เพราะมันแล้วแต่มุมมองครับ .... เอาเป็นว่า หากได้รับพระบรมราชานุญาตถูกต้องแล้ว ...ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ....


โดย: POL_US วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:41:52 น.  

 
ยิ่งนานไปยิ่งมึนค่ะ



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:6:56:58 น.  

 
เหนื่อยครับ พูดตรงๆ เรื่องนี้ผมก็คุยกับผู้ใหญ่ในกองพระราชพิธีมาแล้วน่ะครับ ก็ได้ข้อสรุปตามข่าว อย่างที่คุณPOL_US บอกนั่นล่ะครับ องคมนตรีไม่มาท่านนายกฯก็ต้องเป็นเจ้าของงานไป พิธีพุทธาภิเษกที่องค์กรเอกชนหรือหน่วยงานภาครัฐจัดก็มีมากมายที่ทำพิธีกันในพระอุโบสถ แล้วนี่นายกฯทำบุญให้เมือง มันผิดตรงไหนอ่ะครับ ตอนแรกผมจำได้เมื่อหลายปีก่อน คุณสนธิคนนี้เชียร์รัฐบาลท่านทักษิณนะครับ แต่มาถึงตอนนี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมาครับ มารวมพลังมวลชนต่อว่ารัฐบาลอยู่นั่นล่ะ ผมไม่ได้หลงนะ แต่ว่าดูในข้อเท็จจริงแล้วเห็นคุณสนธิเขาเอาไปพูดให้เป็นเท็จเนี่ยะ กำลังคิดอยู่ว่าใครกันแน่ที่หมิ่นเบื้องสูง

ต่อไปงานรัฐบาลไม่ต้องมานั่งเพ่งเล็งกันหมดเลยหรือไง ผมล่ะงงจริงๆเลย แต่อย่างว่าครับคนที่ทราบข้อเท็จจริงแล้วก็คงเข้าใจครับ


โดย: เด็กท้ายวัง IP: 58.10.6.165 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:39:31 น.  

 
เอ.. รู้สึกประเด็นเรื่องนายกฯ กับ นสพ. ผู้จัดการ นี่ ไม่ยอมจบง่ายๆ นะคะ คุณพี่
แต่ปกติก็ไม่ได้ตามข่าวเรื่องนี้อยู่แล้ว
เลยขอไม่คอมเมนต์ดีกว่า

เรื่องเก้าอี้... พอมาเริ่มทำงาน ได้เข้าพิธีกับเค้าบ้าง
ถึงได้รู้ว่า สำนักพระราชวังต้องนำพระเก้าอี้มายังที่ทำพิธี
ไม่ใช่ว่าจะใช้เก้าอี้ตัวไหนก็ได้

แล้วก็ได้เห็นว่า สำนักพระราชวัง ทำงานกันเคร่งครัด ยึดถือระเบียบมากๆ ด้วย
เลยเชื่อว่า เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรอยู่แล้วล่ะค่ะ



โดย: ซีบวก วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:10:13:39 น.  

 
อ้อ ..

เพลงวันนี้เพราะมากค่ะ
ไม่ได้ฟังมานานแล้วนะ .. เพลงนี้


โดย: ซีบวก วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:10:14:14 น.  

 
ขอบคุณท่าน เด็กหลังวัง เข้ามาเรียนให้ทราบนะครับ ผมเองก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงลึก ๆ หรอก แต่ผมอยู่ในระบบราชการ ผมทำงานมานานพอสมควรฯ รู้จักกับคนที่มีความรู้ด้านขนมธรรมเนียม และโบราณราชประเพณี หลายท่านฯ ก็พอจะได้ซึมทราบสิ่งต่าง ๆ มานิดหน่อย ครับ

ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ หลายพระองค์ในราชวงศ์จักรีฯ ในวันพระราชสมภพฯ และในวโรกาสอื่น ๆ หลายครั้ง ตั้งแต่ผ่านรั้วการฝึกอบรมฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนทำงานแล้ว ต้องถวายความปลอดภัยแด่หลายพระองค์ หลายปีอยู่เหมือนกัน นับเป็นเวลาอันยิ่งใหญ่ของกระผม ที่ได้ชื่นชมพระบารมีฯ อยู่เนือง ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการกระทำที่อ้างเบื้องสูงโดยไม่สมควรฯ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่งของระบบการเมืองการปกครองของเราเลย จึงไม่นิ่งเฉย ที่จะต้องมาเสนอข้อเท็จจริงให้มันปรากฎขึ้นมา .... ส่วนใครจะคิดอย่างไร ก็คงแล้วแต่ครับ....

น้องซีครับ ...ไอ้ตัวกระผม ก็เคยถวายความปลอดภัยแด่พระองค์ ...เหมือนกัน เห็นการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักพระราชวัง เหมือนกันครับ คิดเห็นเหมือนน้องซีครับ สำหรับเพลงนี้ ผมว่ามันเข้ากับเรื่องดีครับ .... คนเราไม่มีอะไรแน่ครับ เกิดมาแล้วต้องตาย ชีวิตมีขึ้นมีลง เหมือนตะวันครับ ...หากจะพอมีเวลาทำอะไรให้สังคมบ้าง ผมว่า คนเราก็ควรจะทำ เพราะชีวิตเราก็สั้นนัก ไม่แน่จะตายเมื่อไหร่ครับ



โดย: POL_US วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:10:28:25 น.  

 
อืม..คิด คิด คิด



โดย: กุมภีน วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:37:08 น.  

 
ผมคงไม่ออกความเห็นนะ
เพราะผมยังเด็ก ไม่มีความรู้ด้านนี้

แต่ก็ชอบอ่านครับ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร


โดย: Bird (House Of FlyingBird ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:28:21 น.  

 
มาตอบเรื่องหมาน่ะครับ : ผมก็ไม่รู้อะไรเยอะหรอกครับ เท่าที่เลี้ยงมา ( 1 เดือน ) ไม่ค่อยดุเท่าไหร่ แต่จะชอบเล่น(แรงๆ)มากกว่า ยิ่งถ้าขัดใจ หรือไปแย่งอะไร จะแฮ่ๆ เหมือนจะเอาเรื่องตลอด แต่ถ้าปล่อยๆไปก็ไม่มีอะไร

อีกอย่างเวลามันวิ่งชาร์ต แรงเยอะมาก เจอหมาตัวอื่นก็ไม่ค่อยกลัว หูตั้ง ขาหลังกางเตรียมสู้เต็มที่ กับผมเองกัดเล่นประจำ แต่กับคนอื่นไม่ค่อยกัด หรือมันคิดว่าผมเล่นกับมันมั้ง

แบบนี้ไม่รู้จะเรียกว่าดุหรือเปล่าครับ

ส่วนเนื้อหาใน bl นั้น ต่างคนก็ต่างมุมมองน่ะครับ ใครที่ไม่ชอบท่านผู้นำก็บอกว่าไม่ควร ถึงไม่ผิดก็เหอะ ใครที่ชอบก็บอกว่า คิดมากไปเอง ส่วนตัวผมนั้นไม่ขอออกความเห้นใดๆทั้งสิ้นครับ พยายามทำใจให้เป็นกลางอยู่ รับข่าวสารหลายๆด้าน แค่นั้นจริงๆครับ


โดย: merf1970 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:20:18 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ ทราบข่าวบ้านเมืองดีขึ้นค่ะ


โดย: erina เองจ๊ะ (erina ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:46:29 น.  

 
เบื่อ นาย ก. จังเล้ยยยยยย


โดย: ตี๋น้อยคับ วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:34:47 น.  

 
Image Hosted by ImageShack.us

มาเพิ่มเติมวิชาให้ตัวเองค่ะ


โดย: erol วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:55:58 น.  

 
อ่อ ไปเอาเพลงเรามานี่เอง แต่ว่าโฮสต์มันล่มไปแล้วอ่ะสิ
เสียงมันเลยไม่ขึ้น


โดย: rebel วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:10:13 น.  

 
แวะมาอ่านนะคะ

ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมด้วยละ


โดย: Batgirl 2001 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:19:42 น.  

 
เปลี่ยนเพลงตอนเข้าเวปแล้วเหรอ


โดย: Bluejade วันที่: 15 พฤศจิกายน 2548 เวลา:6:58:45 น.  

 
หาตรงกลางให้เจอ ดีที่สุด

สนธิตอนนี้ดึงกำลังทุกฝ่ายมาเกี่ยว ดึงทุกเรื่องมาขยายความ

ขยายเจตนาของตนโดยดึงมวลชนอ่อนไหวเข้าเกี่ยว จนเลยเถิดจากมัชฌิมาซะแล้ว

แต่ในสังคม เสรี แสดงความเห็นกันได้ แต่ต้องยืนเหตุ ยืนผล บนการทำงาน ดีกว่ามาแช่งชัก แบบไสยเวทย์ หรือ อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ


โดย: crazycloud IP: 61.90.250.73 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:41:02 น.  

 
จะแตกแยกกันทำไมก็ไม่รู้เนอะ มาช่วยกันสร้างชาติให้เจริญดีกว่า บ้านเรายังมีอะไรให้แก้ใขอีกเยอะแยะ คนคิดไม่ดีอีกหน่อยก็แพ้ภัยตัวเอง


โดย: ninomacho วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:0:33:41 น.  

 


โดย: to be continued วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:2:05:44 น.  

 
นั่นซิครับ ปัญหาของบ้านเมืองมีตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ช่วยกันคิด ไม่ช่วยกันทำ มาขยายประเด็นพวกนี้ทำไม ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร มีแต่เสียกับเสีย

ถ้าคุณสนธิฯ นำเรื่องทุจริต คอรัปชั่น ฯลฯ การบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลนี้ มากล่าว มาตำหนิ ติเตียนฯ อันนี้ ธรรมดามาก ที่ทุกคนต้องยอมรับว่ามันถูกต้อง เหมาะสม และสมควรได้รับการสนับสนุน

สื่อมวลชน เหมือนดาบสองคม ด้านหนึ่ง สื่อมวลที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูง ย่อมสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าสื่อมวลไม่มีคุณลักษณะดังกล่าว ก็สามารถทำลายสิ่งดี ๆ ได้อย่างรวดเร็วเพราะสื่อเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพอย่างยิ่งในการสร้างกระแสความรู้สึกนึกคิดของคนที่มีจิตใจอ่อนไหว ไร้เหตุผล ไร้สติได้ง่าย จริยธรรมและบทลงโทษต่อการละเมิดจริยธรรมของสื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญฯ ที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นจริงเป็นจัง


โดย: POL_US วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:3:08:29 น.  

 
ผมชักปวดกบาลกับสงคมไทย...
เมื่อได้อ่านความเห็นหลากหลายในพันทิป

เขาเชื่อว่า ประเทศนี้มีแต่คุณสนธิเท่านั้นหรือ ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ?
กระทั่งคนอย่างอาจารย์ธงทอง จันทรางศุ
กระทั่งคนอย่างท่านแก้วขวัญ วัชโรทัย
ก็สู้ไม่ได้ ?

ทั้งสองท่านนี้ทุกอยู่ในอาณัติของทักษิณหรือ ?
ทั้งสองท่านนี้ ไม่มีใครรักพระเจ้าอยู่หัว เห็นพระองค์ถูกละเมิดพระราชอำนาจโดยไม่ดูดายหรือ ?

ผมเห็นกระทู้ของเด็กคนหนึ่ง จาบจ้วงอย่างรุนแรงว่า ท่านแก้วขวัญ สังกัดสำนักนายกฯ เป็นลูกน้องทักษิณ

ผมหวังว่าเป็นความคิดของเด็กที่ด้อยประสบการณ์นะ
เพราะถ้าเป็นผู้ใหญ่ผมจะขนลุกกว่านี้

คือเรากำลังสร้างสังคมของความเกลียดชังโดยไม่พิจารณาถึงเหตุผลใดๆกันแล้วหรือไร ?

ท่านเหล่านั้นมีเกียรติประวัติรับใช้ใกล้ชิดมาอย่างไร ไม่มีใครสนใจ
เพราะไม่มาด่าทักษิณ ไม่กระทำตนให้เป็นคุณต่อขบวนการ "ปลุกผีพระราชอำนาจ"

ก็เป็นอันว่าโกหกไปหมด เลวไปหมด เห็นแก่เงินไปหมดหรือ ?

ผมเองรู้จักคุณสนธิมาก็นาน
ไม่เคยเห็นแกจะเคยสนใจเรื่องรั้วๆวังๆ เสียที
ขอโทษที อย่าหาว่าผมเอาเรื่องเงินหรือเรื่องแบบนี้มาตัดสินคนเลยนะ

แต่กระทั่งแม้แต่กิจกรรมทางธุรกิจที่กระทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แกยังไม่เคยคิดจะทำ

ต่างจากพ่อค้านักธุรกิจที่มีชื่อเสียงหลายท่าน

กระนั้นตอนนี้ คุณสนธิกลายเป็นนักจงรักภักดีมือวางอันดับหนึ่งของประเทศ
ยิ่งกว่ากระทั่งท่านแก้วขวัญ หรืออาจารย์ธงทอง

ไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ


โดย: บุญชิตฯ IP: 81.251.28.245 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:5:03:35 น.  

 
ให้ด้วยกับหลายๆ ความเห็นเลยค่ะ เลิกอ่านผู้จัดการไปนานแล้วค่ะ เดี๋ยวรอฟังพระราชดำรัสวันเฉลิมฯ ปีนี้ดีกว่าค่ะ รับรองว่าจะต้องมีอะไร "เตือนใจ" คนบางคนหรือหลายคนได้บ้าง แน่นอน...

ถึงอยู่อเมริกาแต่เราก็มีสายรัดข้อมือ "เรารักในหลวง" ใส่ด้วยนะ...จะบอกให้...


โดย: BlackmagicW (BlackmagicW ) วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:53:36 น.  

 
มีข่าวที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดให้ระงับการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจฯ ที่ลิ้งค์นี้ครับ คลิ๊กได้เลย



โดย: POL_US วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:26:42 น.  

 
อ่านเเล้วไม่มีความคิดเห็นเลยครับ
ผมไม่ถนัดเรื่องเเบบนี้อ่ะ ท่านพี่
เเวะมาสวัสดีท่านพี่นะครับผม

จริงๆยังอ่านไม่ละเอียดเลยเวลารัดตัวเลยคับ
เดินทางพรุ่งนี้ เเล้วจะกลับมาเยี่ยมท่านพี่อีกทีครับ


โดย: Dark Secret วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:54:21 น.  

 
โล่งงง....อก..แล้วครับ

กับคำตัดสินของศาลฯ...เรื่อง กฟผ..

ป.ล.ความรู้สึก"ส่วนตัว"นะครับ


โดย: กุมภีน วันที่: 17 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:31:58 น.  

 
ผมกล่าวแค่หลักการนะครับ ทั่วโลกก็ยอมรับว่า ฝ่ายตุลาการ จะต้องยอมรับดุลพินิจที่ค่อนข้างกว้างขวางของฝ่ายบริหาร เพราะองค์กรตุลาการมีข้อจำกัดในแง่ของ "ผู้แทนแห่งอำนาจอธิปไตย" เขาไม่ได้มาจากผู้แทนของปวงชน เหมือนฝ่ายบริหาร ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส รวมถึงอเมริกา ก็ยอมรับหลักการเดียวกันนี่แหละครับ ไม่ต่างกันเลย

นักวิชาการทั้งหลาย ก็ยอมรับว่า การกระทำที่เรียกว่า "การกระทำของรัฐบาล" เป็นสิ่งที่องค์กรตุลาการไม่อาจเข้าตรวจสอบได้ ครับ

ผมขอไปศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยดังกล่าวก่อน อยากทราบเหมือนกันว่า มีเหตุผลรองรับอย่างไรบ้าง... แต่เท่าที่อ่านคร่าว ๆ ศาลท่านสั่งระงับฯ เพราะ ท่านคิดว่า มันจะเสียหายหากศาลสั่งเพิกถอน พรฎ. เกี่ยวกับการกระจายหุ้นฯ และท่านก็ว่า มันไม่เสียหายต่อระบบการลงทุนและความเชื่อของต่างชาติฯ .... อืม น่าคิดมาก เพราะ ปกติการที่ศาลจะสั่งการอะไร ต้องมีเหตุผลที่ดีพอในการสนับสนุนคำวินิจฉัยฯ แต่เหตุผลที่ฟังดูแบบเอากำปั้นทุบดินแบบนี้ มันค่อนข้างแปลกฯ สำหรับนักกฎหมายทั่วโลกครับ.

ปล.ที่สำคัญ ผมไม่เคยฟันธงนะครับว่า การขายรัฐวิสาหกิจ ถูกต้องหรือผิดอย่างไร แต่ที่จำไม่ผิดเรื่องนี้ดำเนินการมาตั้งแต่สมัย นายชวนฯ เป็นนายกฯ โดยนายสาวิตต์ (ไม่ทราบเขียนชื่อถูกหรือเปล่านะครับ) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่ทราบว่า มันไม่ถูกใจคนไทยส่วนใหญ่ เพราะมันเปลี่ยนชื่อนายกฯ หรือ หลักการนะครับ

ที่สำคัญ ผมฟันธงไว้ล่วงหน้าว่า ท้ายที่สุด ศาลจะต้องยกฯ เพราะจริง ศาลมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ไม่ได้มาจากผู้แทนปวงชนฯ ไม่มีกลไกในการวิเคราะห์ปัญหาการบริหารรัฐกิจ การกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงินการคลังของประเทศฯ และที่สำคัญ ศาลเองจะเสียความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ง่าย หากเข้ามาพัวพันกับนโยบายรัฐบาล โดยไม่สมควรฯ อีกทั้ง หากเกิดความเสียหายต่อประเทศ เพราะคำพิพากษาของศาลเอง ศาลเองก็ไม่มีระบบรับผิดชอบทางการเมืองเหมือนดังที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อสภาและประชาชน ฯ การปกครองระบอบประชาธิปไตย ฯ จะต้องไม่ใช่การปกครองโดยองค์กรศาลครับ .... อีกทั้งในเรื่อง กม.ที่เกี่ยวข้อง ศาลปกครองตรวจสอบได้เฉพาะความชอบด้วยกฎหมายของ พรฎ. นี้ เท่าที่จำได้ พรบ.นี้ เคยถูกตีความแล้วฯ ศาลปกครอง คงไม่อาจจะตีความขัดแย้งได้อีกฯ

ด้วยความเคารพในความเห็น.... กระบวนการทางการเมือง ต้องควบคุมและแก้ไขด้วยกระบวนการในทางการเมือง ที่อาจจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการเนิ่นนานพอสมควรครับ .... ประชาชนเท่านั้นที่จะเข้ามาตัดสินครับ


โดย: จขบ. IP: 12.221.102.248 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:11:10 น.  

 

เกลียดสนธิ แล้วก็ไม่ชอบทักษิณ(แล้ว) ฮะ



สนธิพยายามดึงเบื้องสูงลงมาเพื่อเป็นน้ำหนักในการเคลื่อนไหวของตัวเอง ถือว่าแย่มาก

อีกฝ่ายก็พยายามจะยึดประเทศให้ได้ทุกแขนง ทุกวงการ ทำเพื่อตนเองโดยอ้างประชาชน.. ถือว่าแย่มาก

วันนึงอย่าให้เป็นแบบอาร์เจนติน่าเลย.. เพราะบอลไทยยังเข้าไปเตะบอลโลกไม่ได้



เฮ้ออ อ อ ฝนตกขี้หมูไหล..




โดย: ปิงปอง IP: 58.8.141.20 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:39:49 น.  

 



โนคอมเม้นท์นะครับ

แต่ส่วนตัวแล้ว
ชอบรับฟังข่าวสาร การวิพากย์ไม่ว่าจะมุมไหนหรือจากใคร

ไม่อย่างนั้น
จะอึดอัดตัวเองเกินไปน่ะครับ



โดย: ปิศาจสุรา (อะไรดี ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:22:45 น.  

 
ศุกร์ที่ผ่านมาก็มีการแถลงการเรื่องนี้ จากฝ่ายรัฐบาลผ่านทางช่อง 9 และ 11 แต่ผมมาได้ดูตอนเป็นเทป ทางช่อง 11 ในตืนวันเสาร์...

ข้อมูลเป้นยังไงไม่กล่าวถึงนะครับ

แต่ที่ผมสนใจคือ การเข้าถึงข้อมูลมากกว่า

ผมไม่ทราบว่า ถ้าเราตัดสินใจอะไรโดยปราศจากข้อมูลมันจะส่งผลยังไงบ้าง...การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ก็ไม่ต่างจากการปิดหูปิดตาประชาชนอยู่เอง...

กระดาษห่อไฟได้หรือ


โดย: Nutty Professor วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:45:07 น.  

 
วันนี้ (๒๙ พ.ย.๔๘) อ่านข่าว พบเห็นข่าวนี้ เลยสำเนามาแปะไว้ในคอมเม้นท์ครับ ....

"สุรยุทธ์" ชี้ทุกฝ่ายต้องยุติการอ้างอิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบุ "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" ยันไม่เคยคิดทำรัฐประหาร ด้าน "หมอประเวศ" ชี้สถานการณ์บานปลาย แนะ "ทักษิณ" ยึดคำสอนพระพุทธเจ้า โดยใช้หลัก "วจีสุจริต" ขณะที่นักวิชาการวิเคราะห์ "ทักษิณ-สนธิ" ต่างฝ่ายต่างหาทางลง

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลระหว่างไปร่วมงานแถลงข่าวการจัดมหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 11 ที่มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ซึ่งครอบคลุมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ รวมถึงกระแสการปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นด้วย

โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นต่อสถานการณ์ที่มีการเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คิดว่าเป็นเรื่องปัญหาทางการเมือง ลงไปรายละเอียดลึกๆ ไม่ได้ อยากจะให้เป็นเรื่องทางการเมืองเท่านั้น ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่เกิดผลกระทบต่อด้านอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้นมา

ส่วนที่รัฐบาลมองว่า กลุ่มเคลื่อนไหวต้องการคัดค้านนโยบายเรื่องการแปรรูป กฟผ. พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก็คงเป็นเรื่องการบริหารงาน ที่ฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลควรทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจถึงผลดีผลเสีย แล้วประชาชนส่วนใหญ่ก็คงเข้าใจ

ผู้สื่อข่าวยังถามถึงเรื่องที่ นายทนง พิทยะ รมว.การคลัง ระบุว่า นายกฯ เคยเปรียบเทียบว่า รัฐบาลชุดนี้กับรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เหมือนกันที่บริหารงานเวลานานทำให้ปัญญาชนเบื่อหน่าย พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การพูดเปรียบเทียบว่า มีความเหมือนและมีความแตกต่างอย่างไรเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมองให้รอบคอบทุกประเด็น ถ้าพูดกันเพียงเรื่องความรู้สึกของประชาชน เรื่องของความเบื่อ เรื่องของห้วงเวลา ก็คงไม่ครอบคลุม ควรพิจารณาทุกประเด็น และหาทางปรับในส่วนที่ด้อยให้ดีขึ้น ส่วนใดดีก็ดีอยู่แล้ว

“ผมคงตอบได้ว่ากระแสที่เกิดขึ้นในช่วง พล.อ.เปรม คงไม่ได้ครอบคลุมปัญหามากมายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตอนนั้นคงเป็นปัญหาในเรื่องของการบริหารงานอยู่นานในช่วงของ 7 หรือ 8 ปี ก็คงเป็นประเด็นนั้นอันเดียว ในเรื่องอื่นก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากมาย เท่าที่ติดตาม และเป็นช่วงที่ผมทำงานกับ พล.อ.เปรม อยู่ด้วย ก็จำได้ว่าเงื่อนไขมีแค่นั้น" พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

สำหรับเรื่องที่รัฐบาลประเมินว่า กลุ่มที่ออกมาต่อต้านขณะนี้เป็นการใช้จิตวิทยามวลชนเพื่อกดดันเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนปัญหาที่แท้จริง องคมนตรี กล่าวว่า ก็คงอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน ถ้ามองในเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่เกิด อาจจะเรียกว่าปัญหาก็ได้ หรือจะเรียกว่าสถานการณ์ก็ได้ อาจจะมองกันคนละอย่าง แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว ถ้ามีการพิจารณาเปรียบเทียบและปรับเปลี่ยนอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว คือนำอดีตมาเปรียบกับปัจจุบันเพื่อให้อนาคตดีขึ้น ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้

พล.อ.สุรยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่กองทัพแสดงความไม่พอใจที่มีการพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงว่า ก็คงไม่ใช่กองทัพอย่างเดียว ในส่วนที่เป็นองคมนตรี ก็เห็นว่าเรื่องที่มีการอ้างอิงสถาบันจากหลายๆ ฝ่าย ไม่เป็นการกระทำที่เหมาะที่ควร เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุดที่ไม่ควรอ้างอิงและเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง เมื่อเป็นสถาบันที่เรายกย่อง ศรัทธา เป็นสถาบันที่เราเห็นว่าเราเคารพนับถือ ก็ไม่ควรนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง การเมืองก็ควรจะแก้ด้วยการเมือง

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า พล.อ.เปรม ได้เคยพูดว่า มีความห่วงใยในเรื่องการนำสถาบันที่เราเคารพมาอ้างอิงเช่นกัน ถือเป็นเรื่องที่มองสอดคล้องกันว่าไม่ควรอ้างอิง แต่คงไม่เชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพมาพูดคุย เพราะหน้าที่ขององคมนตรีไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านเหล่านั้นมาคุยด้วยก็คงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ แต่การจะพูดตรงๆ คงทำไม่ได้แล้ว เพราะทุกท่านเป็นผู้ใหญ่ ตนเป็นอดีต ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. ก็เข้าใจดีว่าไม่ควรก้าวก่าย ถือเป็นมารยาท

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีความพยายามดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ก็คงไม่มีอะไร คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้น คนก็อาจพูดกันไปได้ เพราะอดีตเป็นทหาร แต่ก็ย้ำมาตลอดเวลาตั้งแต่เป็นทหารจนมาถึงปัจจุบันว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเรื่องทางการเมืองด้วยการเข้าไปยึดอำนาจ หรือทำรัฐประหาร ทั้งในชีวิตราชการและปัจจุบัน อีกทั้งขณะนี้ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำได้แล้ว และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องทางการเมือง พูดให้ฟังว่าจุดยืนอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง

ส่วนที่ถูกมองว่า อยู่ในกลุ่มที่ตรงข้ามกับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ ก็คงดูว่าทำอะไรบ้าง มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ก็คงเป็นแค่นั้น

"ผมไม่ได้เข้าร่วมในกิจกรรมอะไรต่างๆ โดยหน้าที่แล้วทำไม่ได้ ผมเป็นองคมนตรี ก็ต้องทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อสถาบันที่ผมมีความรู้สึกเคารพบูชาด้วยเช่นกัน" พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ขณะนี้มีคนมองว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ถูกวางตัวเป็นนายกฯ คนต่อไป พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คงตอบไม่ได้ เพราะเป็นผู้ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในขณะนี้ ต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เรื่องอื่นๆ จะเป็นอย่างไรคงตอบไม่ได้ และไม่ทราบวัตถุประสงค์ว่าใครคิดอะไร ทราบเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว ยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอีกแล้ว แต่ถ้ามีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร สิ่งที่ห่วงคือสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ไม่สมควรจะดึงมาอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าทั้งสองฝ่าย สามฝ่าย สี่ฝ่าย ก็ไม่สมควรดึงมาอ้างอิงทั้งสิ้น

ด้าน ศ.น.พ.ประเวศ วะสี รองประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) และราษฎรอาวุโส กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการเมืองเริ่มที่จะบานปลายแล้ว ซึ่งก็ได้เตือนนายกฯ ในเรื่องคำพูดหลายครั้ง เพราะท่านไม่มีวาสนาบารมีในทางการพูด พูดอะไรก็ก่อให้เกิดความโกรธจากฝ่ายต่างๆ และก็เตือนตั้งแต่เป็นนายกฯ ใหม่ๆ ว่า ระวังอย่าไปตกโครงสร้างมรณะ เพราะคนอย่างนายกฯ ชอบใช้อำนาจในการแก้ไขปัญหา แต่ปัญหามีความสลับซับซ้อน

ศ.น.พ.ประเวศ กล่าวว่า นายกฯ จะใช้แต่อำนาจในการแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอำนาจอื่นจะหมุนกลับมาทำให้ตกอยู่ในโครงสร้างมรณะ วิธีแก้ไข นายกฯ จะต้องเปิดพื้นที่ทางสังคม ทางปัญญา เพื่อให้ทุกส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา เรื่องจะเบาลง แต่ถ้าปิดทางก็จะโดนรุมสกรัม อำนาจต่างๆ จะสุมกลับเข้ามาที่ตัวผู้ใช้อำนาจ ซึ่งไม่อยากให้นายกฯ อยู่กับอำนาจ เพราะมันจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้

“นายกฯ ชอบสร้างศัตรูมากเกินไป เขาก็จะกลับมาตีจนทำให้ตกเข้าไปในโครงสร้างมรณะ มันเป็นเรื่องยากสำหรับนายกฯ เพราะท่านคงไม่เข้าใจว่าจะหาทางออกอย่างไร พูดไปท่านก็คงไม่ฟัง เรื่องของคุณสนธิมันไม่ใช่กระแส หรือแห่ตามกระแส มันอยู่ที่เงื่อนไขว่าทำไมปลุกแล้วขึ้น มันมีเงื่อนไขของมันอยู่ เช่น การไปปิดบังสื่อ ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดพื้นที่ทางปัญญาที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา” ศ.น.พ.ประเวศ กล่าว

ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า การพูดมากพูดน้อยไม่ใช่ประเด็น แต่จะต้องดูหลักคำสอนพระพุทธเจ้าว่า ผู้นำจะต้องมีวจีสุจริต คือ 1.พูดอะไรออกมาจะต้องเป็นความจริง มีที่มาที่อ้างอิงได้ 2.พูดเป็นปิยะวาจา 3.พูดให้ถูกกาลเทศะ หากไม่ถูกกาลเทศะก็ไม่ควรจะพูด และ 4.พูดแล้วเกิดประโยชน์

"การพูดเป็นเรื่องสำคัญ เป็นวจีสุจริต หากทำตามจะควบคุมตัวเองได้ แต่ที่ผ่านมานายกฯ ควบคุมไม่ได้ เพราะไม่มีสติที่จะควบคุมว่าพูดออกไปแล้วมีประโยชน์ มีความยุติธรรมต่อคนอื่นหรือไม่" ศ.น.พ.ประเวศ กล่าว

วันเดียวกัน ยังมีนักวิชาการออกมาแสดงความเป็นห่วงและวิเคราะห์จุดจบของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดย รศ.ดร.สุรัตน์ เมธีกุล อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานสภาสถาบันนักวิชาการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า บทสุดท้ายของความขัดแย้งระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั้น เป็นคำถามที่ตอบยาก

"ขณะนี้ท่าทีของท่านนายกฯ พยายามไม่ให้ข่าวกับสื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการวิพากษ์วิจารณ์ของนายสนธิ แต่มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการที่นายกฯ ลดบทบาทตัวเองในการโต้แย้ง จะทำให้บรรยากาศการตอบโต้น้อยลง ขณะเดียวกันกับที่ศาลออกมายกคำร้องต่างๆ รัฐจึงควรทบทวนเรื่องสิทธิเสรีภาพ เมื่อบรรยากาศออกมาเป็นแบบนี้ ผมจึงคิดว่ารัฐบาลคงอยากให้เรื่องออมชอม หรือยุติ ส่วนเรื่องการฟ้องร้องมันเป็นเรื่องของกลไกการต่อสู้ บทบาท ซึ่งมันถอนฟ้องกันได้" รศ.ดร.สุรัตน์ กล่าว

รศ.ดร.สุรัตน์ กล่าวว่า เชื่อว่าอุณหภูมิความโต้แย้งจะค่อยๆ ลดลง ปัญหาก็คือ นายกฯ จะหาทางลงอย่างไรให้สง่างาม

"นายสนธิเป็นแค่คนเอกชน ทำหน้าที่สื่อ จะทำถูกทำผิดก็รับผิดชอบแต่ในทางกฎหมายเท่านั้น ขณะที่นายกฯ มีภาพ มีบทบาท มีตำแหน่งที่แยกกันจากตัวไม่ได้ แม้การฟ้องร้องจะเป็นเรื่องส่วนตัวเป็นสิทธิส่วนตัวก็ตาม แถมนายกฯ ยังรับรู้ได้ถึงกระแสสังคมที่สถาบัน องค์กรต่างๆ เป็นตัวบ่งชี้ คิดว่าถ้ามีช่องทางลงที่ดูไม่แย่ นายกฯ ก็คงจะลง" รศ.ดร.สุรัตน์ กล่าว

นายพีรธร บุณยรัตน์พันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า ขณะนี้นายสนธิอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าหลังชนฝาแล้ว และต้องการหาแนวร่วมในการต่อสู้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องการหาช่องทางเจรจากับนายกฯ อย่างไรก็ตาม การที่นายกฯ ไม่ยอมมาเจราจาในวันที่ 24 พฤศจิกายน ทำให้นายสนธิต้องเดินหน้าต่อไป เพราะตอนนี้เหมือนกับนั่งอยู่บนหลังเสือ จะลงก็ลงไม่ได้ แต่ที่สำคัญต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวัง เพราะหากเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาจะต้องถูกฝ่ายรัฐบาลดำเนินคดีทางกฎหมายแน่

"ส่วนทางด้านนายกฯ นั้น ผมคิดว่าท่านคงไม่ออกมาพูดเอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพราะถ้ายิ่งพูด กระแสก็ยิ่งแรง สู้ปล่อยให้กระแสเบาบางลงเองจะดีกว่า หรือไม่ก็อาจจะให้คนอื่นๆ ออกมาพูดแทน จากที่ดูแล้วปัญหาไม่น่าจะรุนแรงไปมากกว่านี้แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ถ้า กกต.รับรองผลเลือกตั้ง ฝ่ายค้านจะได้เสียงครบ 125 เสียง น่าจะเปิดอภิปรายแน่นอน และถ้ามีการอภิปรายขึ้นจริง หากรัฐบาลไม่อาจชี้แจงได้ในทุกกรณี ก็อาจนำไปสู่การยุบสภาก็เป็นได้" นายพีรธร กล่าว

ส่วน นายประหยัด หงส์ทองคำ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่อาจฟันธงลงไปได้ว่า เรื่องจะยุติแบบใด แต่ทางที่ดีทั้งสองฝ่ายน่าจะมาคุยกันอย่างเปิดเผย เพราะถ้าปล่อยให้ออกมาคุยกันคนละที ยิ่งจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหาย

นายประหยัด กล่าวว่า นายกฯ เป็นคนที่ดูแลผลประโยชน์ของชาติ เป็นคนที่ดูแลประชาชน ควรออกมาพูดคุยเจรจากับนายสนธิ เพราะนายสนธิเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง การที่นายกฯ จะพูดคุยกับประชาชนคนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมและสามารถทำได้

"ท่านนายกฯ ควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งดีกว่า ทางที่ดีทั้งสองควรมาพบปะพูดคุยเพื่อหาทางยุติเรื่อง ควรลดทิฐิลงกันทั้งสองฝ่าย อย่ามุ่งแต่เอาชนะคะคานกัน หันหน้ามาพูดคุยกัน ปัญหาก็จะมีทางออกและคลี่คลายลงได้ แต่ถ้ายังมีทิฐิอยู่อาจทำให้ถึงขั้นแตกหัก ทำให้ประชาชนเดือดร้อนได้" นายประหยัด กล่าว


โดย: POL_US วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:20:13:26 น.  

 
ผมฟังคุณสนธิในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์มาได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ก็ประมาณสัก 6 เดือนก่อนถูกถอดรายการ ทุกวันนี้ก็ยังฟังอยู่ทางเน็ต แต่ไม่ทันได้เริ่มฟังตั้งแต่แรกๆ ที่เขาว่าเข้าข้างนายกฯ กันสุดฤทธิ์

ผมชอบฟังเวลาแกเอาข้อเท็จจริงมาชี้แจงนะ จะได้มีข้อมูลหลายด้านไว้เอามาคิด ส่วนใครถูกใครผิด เดี๋ยวก็ได้เห็นกัน ไม่ช้าก็เร็ว

เพียงแต่ว่าผมไม่ชอบที่เอาสถาบันศาสนากับสถาบันกษัตริย์มากล่าวถึงมากเกินไป

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่การเมืองควรจะแก้ด้วยการเมือง

รอฟังพระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคมนี้เช่นกันครับ

แต่ไม่รู้ว่าคนอายุเกือบ 60 ทั้งสองคนจะได้อะไรไปเตือนสติกันสักแค่ไหน ปัญหาใหญ่ตอนนี้ ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องภาคใต้ กับเรื่องคอรัปชั่น (ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เสมอทุกยุคทุกสมัย)

เลิกทะเลาะกันสักทีดีกว่า ในเมื่อทั้งสองข้างมีแหล่งข้อมูลดีทั้งคู่ เอามาช่วยกันแก้ปัญหาทางใต้กันดีกว่าไหมครับ


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 2 ธันวาคม 2548 เวลา:10:35:29 น.  

 
พระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ คงเป็นที่ชัดเจนแล้วกรณีนี้ พระองค์มีพระราชดำรัสว่า

"วันนี้เราขึ้นมานี้ เราแก้ตัวแทนนายกฯ เพราะว่านายกฯ ไม่ผิด นายกฯ ทำได้ทุกอย่าง ก็ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว..."

คงไม่มีใครว่าอะไรอีกในกรณีนี้ กรณีอื่น ๆ ผมไม่ได้บอกว่า ท่านนายกฯ ถูกต้องทุกอย่างนะครับ ...อะไรถูกก็ต้องว่าถูก อะไรไม่เหมาะไม่ควร ก็ต้องว่ากันไปตามระบอบประชาธิปไตย .... สื่อก็ต้องมีจริยธรรม ไม่งั้นบ้านเมืองก็บรรลัย พบหายนะได้โดยง่าย หากคนในชาติไม่สามัคคีและมีวาระซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลาฯ


โดย: POL_US วันที่: 6 ธันวาคม 2548 เวลา:4:48:08 น.  

 
ผมว่า ยังไงก็ไม่สมควร


โดย: doitordie IP: 125.27.125.188 วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:10:03:18 น.  

 
ข้อเท็จ จริงก็ปรากฎเเล้ว บ้างเรื่อง ที่ทางสนธิ หรือเเกนนำเสื้อเหลืองไปใส่ร้ายป้ายสีทักษิณ เท่าที่ผมรู้นะก็ได้มีการอ้างเจ้ามา ใส่ร้ายทักษิณด้วย + กับทักษิณเป็นคนที่เเข็งๆ
พูดว่าตรงๆ เเล้วชอบสร้างศัตรู เลย ทำให้ เรื่องไปกันใหญ่


โดย: .... IP: 58.64.79.54 วันที่: 21 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:30:22 น.  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.