Group Blog
 
All blogs
 

บทความดีๆ"กระต่ายกับเต่า ภาคสุดยอดวิชา"

1st Round?กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่ง ทั้งคู่จึงกำหนดเส้นทางแข่งและเริ่มการแข่งขัน??เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักกะแป๊บนึงก่อนแข่งต่อก็คงดี ไป ๆ มา ๆ ก็ง่วงสิ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว?นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้า ๆ แต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้ (เหมือนกัน)?

นี่เป็นเวอร์ชั่นเดะ ๆ ที่เราคุ้นหูกัน??ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง?

2nd Roundเจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็รมบ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเองมันก็พบว่าความมั่นใจในตนเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้ มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง และเต่าก็ยินยอม แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอยเราได้ข้อคิดอะไรล่ะ…ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนทั้งสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไร ๆ ไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้น ๆ มากกว่า?ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและเชื่อถือได้นี่ดีกว่า

เรื่องยังไม่จบแค่นี้…

3rd Round?คราวนี้ถึงตาเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะเจ้ากระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วเพ่ พอการเริ่มแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง??เฮ้ย!!!.. เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะคราวนี้?)?เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลยเจ้ากระต่ายมัวแต่งงว่าจะทำไงดี จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย?นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ตนเองได้เปรียบมากที่สุด

ยัง??ยังเร็วไปที่จะจบเพียงแค่นี้ ยังมีต่อ…

4th Round?ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกันการแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์คเริ่มต้นด้วยเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำ เจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน ผลการแข่งขันครั้งนี้สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย มากกว่าการแข่งขันครั้งก่อน ๆ หน้านี้?นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊งในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง

ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้น ๆ เป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วงสถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา

นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้นและเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต เมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิม บางครั้งเราก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไปและในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย

นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคลแล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้น

โดยสรุป เรื่องราวของกระต่ายกับเต่าสอนเราในหลาย ๆ อย่าง ความรวดเร็วเสมอต้นเสมอปลายชนะความอืดอาด?การดึงศักยภาพในตัวของเราออกมาและทำงานร่วมกันเป็นทีมย่อมดีกว่าการทำงานคนเดียว อย่ายอมแพ้เมื่อพบกับความล้มเหลว และสุดท้ายคือจงแข่งกับสถานการณ์ ไม่ใช่กับตัวบุคคล





 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2557 18:47:43 น.
Counter : 2494 Pageviews.  

พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว

พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก napkinnotesdad.com

พ่ออเมริกันป่วยมะเร็งตั้งใจเขียนคำคมลงบนทิชชู่ 826 แผ่น ให้ลูกสาวอ่านตอนไปโรงเรียนทุกวัน

            เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 เว็บไซต์ฟ็อกซ์นิวส์ เปิดเผยเรื่องราวสุดซึ้งของคุณพ่อชาวอเมริกันรายหนึ่ง ที่เขียนโน้ตสอนลูกไว้บนทิชชู่กว่า 826 แผ่น เพื่อให้ลูกได้อ่านตอนทานข้าวกลางวันในทุก ๆ วัน

  เรื่องราวอันแสนซาบซึ้งทำน้ำตาซึมเรื่องนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายปีก่อน การ์ธ แคลลาจ์น คุณพ่อที่แสนดีจากรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ ได้ไปร่วมทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนประถมกับเอ็มมา ลูกสาวของเขา และพบว่าอาหารกลางวันที่โรงเรียนนั้นไม่อร่อยเลย เขาเลยเริ่มทำอาหารกลางวันใส่กล่องให้เอ็มมา โดยจะเขียนถ้อยคำบันดาลใจใส่ทิชชู่ไปด้วยทุกวัน ซึ่งถ้อยคำที่เขาเขียนก็จะเป็นถ้อยคำที่เข้าใจง่าย และเริ่มซับซ้อนขึ้นเป็นคำคมชวนคิดเมื่อเอ็มม่าเติบโตขึ้น

พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว

            เขาทำแบบนี้ทุกวันไม่ขาดตกบกพร่อง กระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน แคลลาจ์นได้พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่ไตและต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งใหญ่ และหลังจากการผ่าตัดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แคลลาจ์นก็ได้พบว่า เอ็มม่าได้ให้ความสำคัญกับข้อความในทิชชู่ของเขามากกว่าเดิม เธอเก็บทิชชู่ทุกแผ่นเอาไว้ราวกับมันเป็นสิ่งที่มีค่าในชีวิตของเธอมาก

            หลังจากป่วยมะเร็งครั้งนั้น แคลลาจ์นก็ป่วยเป็นมะเร็งซ้ำอีก 2 ครั้ง ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และล่าสุด แพทย์บอกว่าเขาอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 5 ปี

เมื่อรู้ว่าเวลาชีวิตของเขากำลังจะสิ้นสุดลง แคลลาจ์นจึงเริ่มนั่งนับวันว่าเอ็มม่าต้องไปโรงเรียนอีกกี่วันจึงจะจบไฮสกูล ซึ่งก็พบว่ากว่าที่เอ็มม่าจะเรียนจบไฮสกูล เธอก็ต้องไปโรงเรียนอีก 826 วันเลยทีเดียว จากนั้น แคลลาจ์นจึงจัดการเขียนถ้อยคำบันดาลใจถึงลูกสาวลงในทิชชู่ให้ได้ 826 แผ่น เพื่อให้เอ็มมาได้อ่านในมื้อเที่ยงทุกวัน แม้ในวันที่เขาอาจจะจากโลกนี้ไปแล้ว

            อย่างไรก็ดี ตอนนี้เอ็มม่าอายุ 13 ปีแล้ว และอีกราว 5 ปี เธอก็จะเรียนจบไฮสกูล แคลลาจ์นจึงมีความหวังว่า เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ทันเห็นเอ็มม่าเรียนจบก็ได้


พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว

พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว

พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว

พ่อมะกันป่วยมะเร็ง เขียนคำคมบนทิชชู 826 แผ่นสอนลูกสาว




 

Create Date : 30 มกราคม 2557    
Last Update : 30 มกราคม 2557 19:37:26 น.
Counter : 1530 Pageviews.  

บทความดีๆ"แว่นตาชีวิต"


ใครรวยกว่าใคร ลองคิดดู…

อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….

….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

…….เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

……ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

………ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

……..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

………ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า
“ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน”

คุณเห็นด้วยไหมว่า “แว่นตาชีวิต” นี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด

ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา

ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก

จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้

//www.kwamru.com/174




 

Create Date : 28 มกราคม 2557    
Last Update : 28 มกราคม 2557 19:21:53 น.
Counter : 2295 Pageviews.  

บทความดีๆ "ธนาคารเวลา"


บทความนี้ เมื่อท่านอ่านจบ ให้ถามตัวเองว่า

” สิ่งไหนที่สำคัญ สิ่งนั้นทำแล้วหรือยัง ? ”

” คนไหนที่เรารัก ทำดีกับเค้าแล้วหรือยัง ? ”

ลองจินตนาการว่ามีธนาคารแห่งหนึ่งเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้า เป็นเงิน 

86,400 บาท ไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้น ทุกตอนเย็นจะลบยอด

คงเหลือทั้งหมดที่คุณไม่ได้ใช้ระหว่างวัน คุณจะทำอย่างไร? แน่นอนที่สุด

คุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์ ใช่ไหม!!!

เราทุกคนมีธนาคารอย่างนั้นเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา” มันเข้า

บัญชีให้คุณ 86,400 วินาที ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชีถือว่าขาดทุนตาม

จำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดีๆ มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่

ให้เบิกเกินบัญชี ในแต่ละวันจะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ ทุกค่ำคืนจะลบยอดคง

เหลือของทั้งวันออกหมด ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์ในระหว่างวัน 

ผลขาดทุนเป็นของคุณ ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้ ไม่มีการถอนของ 

“วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้ คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยยอดเงินฝากของวัน

นี้ ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้เพื่อได้ผลตอบแทนมาสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น

เพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ! นาฬิกากำลังเดิน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ทำทุกขณะที่คุณมีให้มีคุณค่า! และจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคน

เดียว เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย วันนี้เป็นของขวัญ เราจึง

เรียกว่า “Present

//www.kwamru.com/191




 

Create Date : 26 มกราคม 2557    
Last Update : 26 มกราคม 2557 19:21:07 น.
Counter : 3510 Pageviews.  

คิดอย่างไร...ให้ชีวิตมีสุข

    ความสุข


    "คิด" อย่างไรให้ชีวิตมีสุข (สสส.)
    เรื่องโดย : กิดานัล กังแฮ Team Content //www.thaihealth.or.th

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกในปัจจุบันนั้น มีการแข่งขันทั้งในชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงาน เป็นผลทำให้เกิดความเครียดขึ้น และความเครียดนี้เองที่ส่งผลต่อทั้งความคิด สมอง ร่างกาย และจิตใจของเราในทุกด้าน

              พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย อธิบายว่า สิ่งที่อยู่กับคนเราตลอดเวลา คือ "ความคิด" ชีวิตของคนเราเป็นเงาสะท้อนของความคิด ในด้านพระพุทธศาสนา "ความคิด" เป็นเรื่องของการมีสัมมาทิฏฐิ หรือการคิดชอบ ที่เปรียบเป็นนาวาที่พาชีวิตให้ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องและมีความสุขได้ การคิดดีนำไปสู่การมีอารมณ์ดี สะท้อนถึงสุขภาพจิตที่ดี การลดความโกรธ ความเครียด สร้างทัศนคติในเชิงบวก ก็จะนำมาซึ่งความสุขสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และอายุที่ยืนยาว ทั้งตัวเราและคนในครอบครัวก็พลอยจะมีความสุขตามไปด้วย

    "เราคิดอะไร ชีวิตเราก็จะปรากฏมาอย่างนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรามีทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่แนวความคิดของเราว่า เราจะเอาสิ่งที่อยู่รอบตัว มาทำให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราอย่างไร เวลาเจองานหนักให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือโอกาส และบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ เวลาเจอทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่ทำให้เกิดทักษะในการดำรงชีวิต"


    ความสุข


              ความคิด เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การแสดงออกทางกายและวาจาที่เรียกว่า การพูด การกระทำ และเป็นตัวกำหนดให้พูดจาและทำตามที่คิดหมาย จึงสามารถพูดได้ว่า การคิดถูกต้อง รู้จักคิด หรือคิดเป็น เป็นตัวชักนำหรือเปิดช่องไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องหรือชีวิตที่ดีงามทั้งหมด

    เพราะเมื่อคิดเป็นแล้ว ก็จะช่วยให้พูดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ช่วยให้ดูเป็น ฟังเป็น กินเป็น ใช้เป็น บริโภคเป็น และคบหาเสวนาเป็น

    "ถ้าเราคิดลบจะเจอแต่คนลบ ๆ สถานการณ์ลบ ๆ คิดอย่างไรก็ได้คุณภาพชีวิตอย่างนั้น ข้อมูลจากพระไตรปิฎก มีประโยคหนึ่งว่า โลกหมุนไปตามความคิด ชีวิตเราคือโลก 1 ใบ ซึ่งหมายถึง คิดอย่างไรโลกก็จะเป็นแบบนั้น หากเราฝึกคิดบวกจนชินทุกอย่างที่ทำก็จะได้ผลบวก"

              การคิดบวกมี 2 ลักษณะ คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับความคิดอย่างเดียว คือ คิดบวกแล้วทำให้ชื่นอกชื่นใจ ทำให้ได้ปัญญา หรือคิดบวกแล้ว ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เช่น ในยุคสินค้าราคาแพงเช่นนี้ เมื่อเราไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจได้ก็ต้องควบคุมจากตนเอง คือ ลดความต้องการบริโภคให้น้อยลง

    "บางคนทำงานแทบตายไม่รวย เพราะพูดเสมอว่ายังไงฉันก็ไม่รวย เต็มที่ก็เสมอตัว กลับกันคนที่คิดว่าจะต้องรวยก็ร่ำรวยได้จริง ๆ ซึ่งนี่แหละคือ กลไกของจิตใต้สำนึกที่ผลักดันให้เรากระทำในแบบที่เราคิด"


    ความสุข


    คนเราจะมีความสุขในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง จะต้องปฏิบัติถูกต้องต่อชีวิตของตนเองและต่อสภาพแวดล้อม ทั้งทางสังคม ทางธรรมชาติ และทางวัตถุ รวมทั้งเทคโนโลยี คนที่รู้จักดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ย่อมมีชีวิตที่ดีงามและมีความสุขที่เอื้อต่อความสุขของผู้อื่นด้วย การทำให้ชีวิตมีความสุข ทำได้โดยการฝึกใจให้มีสติพึ่งพาตัวเองจากภายใน ไม่ยึดติดต่อสิ่งที่ทำ ไม่ยึดติดต่อการเปลี่ยนแปลง และยอมรับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตโดยคิดจากความว่าง วางตัวตน ใจเย็น สงบ ยิ่งดิ้นรน ปัญหายิ่งซับซ้อน ฉะนั้นเวลาคิดแก้ปัญหาต้องอย่าตระหนก ตกใจ อย่าใช้อคติ ต้องคิดอย่างมีสติ

    นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า การมีปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์

              การจะดำเนินชีวิตให้ถูกต้องหรือรู้จักดำเนินชีวิต การรู้จักคิดหรือคิดเป็นจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง หากเราสามารถมองโลกในแง่ดี คิดดี ในสภาวะที่มีสังคมเช่นนี้ได้ จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 10 มกราคม 2557    
Last Update : 10 มกราคม 2557 19:56:28 น.
Counter : 797 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.