หมอณรงค์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้หากมีไข้ขึ้นสูง 2 วันติด เสี่ยงไข้เลือดออก ควรรีบพบแพทย์ พร้อมเตือนห้ามผู้ป่วยไข้เลือดออกกินยา แอสไพริน และไอโบรบรูเฟน โดยเด็ดขาด เพราะจะกัดกระเพาะ-เลือดออกง่ายขึ้น
วันนี้ (7 กรกฎาคม 2556) นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้เลือดออกว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส และยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะรักษาโดยการประคับประคองอาการให้ร่างกายฟื้นตัวจนพ้นระยะอันตรายในช่วงสัปดาห์แรก ดังนั้นหากผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูงต่อเนื่อง 2 วันแล้วกินยาลดไข้หรือเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยทันที ซึ่งหากมีอาการรุนแรงแพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยจะให้คำแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ทันที ได้แก่
1. ผู้ป่วยซึมลง
2. อ่อนเพลียมาก
3. ปวดท้อง กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน
4. พบว่ามีเลือดออกเช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนมากผิดปกติ หรือถ่ายเป็นสีดำ ซึ่งมักเกิดในวันที่ 3 หรือวันที่ 4 หลังเกิดอาการของโรค
โดยหากมีอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมา ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะช็อก เนื่องจากมีเลือดออกในอวัยวะภายในซึ่งมักจะเกิดในระยะหลังไข้ลง ซึ่งได้รับการรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้หากหลังไข้ลดแล้ว ผู้ป่วยมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย กินอาหารได้มากขึ้น แสดงว่าอาการดีขึ้นเริ่มฟื้นตัว และจะหายเป็นปกติ
สำหรับการดูแลผู้ป่วยในระยะ 1-2 วันแรกที่มีไข้สูง ขอให้เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา กินยาพาราเซตามอล ยาที่ห้ามกินเด็ดขาดคือแอสไพริน และไอโบรบรูเฟน เพราะจะกัดกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และห้ามกินน้ำหรือผลไม้ที่มีสีแดง เช่น น้ำแดง แตงโม เนื่องจากจะทำให้แยกอาการเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ได้ยากขึ้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก