Group Blog
 
All blogs
 
6 เหตุผล ลีโอนาโด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Leonardo DiCaprio, เฟซบุ๊ก The Academy of Motion Picture Arts and Sciences/ The Oscars

งานจบอารมณ์ไม่จบจริง ๆ เพราะหลายคนยังให้ความสนใจ และตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพ่อหนุ่มลีโอนาโด ดิคาปริโอจึงได้ชวดรางวัลออสการ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่ฝีมือการแสดงหนังของเค้านั้นมีคุณภาพมาก จนน่าจะได้รางวัลออสการ์กลับไปนอนกอดที่บ้านเสียที ยิ่งงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ผ่านมา แฟน ๆ ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ต้องเซ็งไม่แพ้เจ้าตัวเลย เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตาลุ้น และ แววตาดูมั่นใจว่าจะได้รางวัลมาครอบครองแน่นอน แต่แล้วเขาก็ต้องชวดไปอีกหนจนได้ งั้นลองมาดู 6 เหตุผลที่ Yahoo ได้กล่าวไว้ดีกว่า ว่าทำไมเขาจึงพลาดรางวัลออสการ์อยู่ร่ำไป

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

ลีโอนาโด ดิคาปริโอ จาก The Aviator (2004) และ เจมี่ ฟอกซ์ จาก Ray (2004)

เขาช่างเป็นคนที่ดวงตกเสียเหลือเกิน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Ray, เฟซบุ๊ก The Aviator

          ลีโอนาโดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในปี 2005 จากหนังเรื่อง The Aviator (2004) เข้าชิงร่วมกับ เจมี่ ฟอกซ์ (Jamie Foxx) จาก Ray (2004) ซึ่งเจมี่ ฟอกซ์คว้ารางวัลออสการ์ตัดหน้าเขา ไป และในปี 2007 เขาได้รับการเสนอชื่ออีกครั้ง จากผลงานเรื่อง Blood Diamond (2006) แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้กับ ฟอเรสท์ วิทเทคเกอร์ (Forest Whitaker) จาก The Last King of Scotland (2006) นับว่า 2 เหตุการณ์นี้สะเทือนความรู้สึกของเขามากกว่าตอนที่เขาชวดรางวัลในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 66 ที่เขาได้เข้าชิงในสาขานักแสดง สมทบยอดเยี่ยม จากเรื่อง What's Eating Gilbert Grape (1993) แต่แล้ว ทอมมี ลี โจนส์ (Tommy Lee Jones) ที่เข้าชิงในปีเดียวกันก็ฉกรางวัลไปชิล ๆ จากผลงานเรื่อง The Fugitive (1993) แต่นั่นเป็นเพียงครั้งแรก เขาจึงไม่คิดอะไรมาก เพราะยังเด็กอยู่ จวบจนมาครั้งล่าสุดเขาก็ต้องใจเต้นอีกครั้ง เมื่อมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดง นำชายยอดเยี่ยม จากบท จอร์แดน เบลฟอร์ท ใน The Wolf of Wall Street (2013) และเขาดูมั่นใจมากทีเดียว แต่สุดท้ายแล้ว แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ (Matthew McConaughey) ที่ปีนี้เขาบูมสุด ๆ ก็คว้ารางวัลนี้ไปจากผลงานเรื่อง Dallas Buyers Club (2013) บอกได้คำเดียวเลยว่า เขาไม่มีดวงจริง ๆ เพราะโดนคนอื่นคว้ารางวัลตัดหน้าไปตลอด

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

ลีโอนาโด ดิคาปริโอ จาก Titanic (1997) และ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ จาก Dallas Buyers Club (2013)

ชีวิตในวงการฮอลลีวูดราบเรียบเกินไป
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Titanic, เฟซบุ๊ก Dallas Buyers Club

          ชีวิตการทำงานในวงการของลีโอนาร์โด เริ่มขึ้นเมื่อปี 1993 และเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบมาตลอด (หากไม่นับว่าเขาไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์เลยสักครั้ง) เพราะเขาได้เล่นหนังกับผู้กำกับชื่อดัง และหนังดังหลายเรื่อง เช่น Titanic (1997) หนึ่งในหนังคลาสสิกตลอดกาล และทุกคนจดจำเขาได้จากหนังเรื่องนี้ ซึ่งชีวิตนักแสดงของเขานั้นราบรื่นมาโดยตลอด จนทำให้ไม่มีสตอรี่และดราม่าแบบที่ออสการ์นั้นโปรดปราน หากเทียบกับแมทธิว แม็คคอนาเฮย์ ที่ชีวิตต้องต่อสู้กับอะไรต่อมิอะไรมามากกว่าลีโอนาร์โด ซึ่งหลายคนเกือบลืมชื่อแมทธิวจากวงการฮอลลีวูดไปแล้ว แต่เขาก็สามารถดึงตัวเองให้กลับมาดังได้อีกครั้ง และประสบความสำเร็จจนได้รางวัลออสการ์มาเป็นเครื่องการันตีชื่อเสียงของเขา ในจุดนี้นี่แหละที่ทำให้ลีโอนาโด ดิคาปริโอต้องพ่ายแพ้ให้กับแมทธิว แม็คคอนาเฮย์ไปง่าย ๆ

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

ลีโอนาโด ดิคาปริโอ จาก What's Eating Gilbert Grape (1993) และ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ จาก Dallas Buyers Club (2013)
เขาขาดกิมมิคที่น่าจดจำ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก tasteofcinema.com, เฟซบุ๊ก Dallas Buyers Club

          หากใครเป็นแฟนหนังของลีโอนาโด จะสังเกตเห็นว่าเขาไม่เคยได้รับบทที่ต้องทุ่มทุนสร้างสักเท่าไร แม้ว่าเขาจะเล่นเป็นเด็กออทิสติกใน What's Eating Gilbert Grape ได้เหมือนมากก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับแมทธิว แม็คคอนาเฮย์ ที่เขาต้องยอมลงทุนลดน้ำหนักให้ตัว เองผอมแห้งราวกับเป็นโรค เพื่อให้สมกับบท รอน วูดรอฟ หนุ่มคาวบอยที่เป็นโรคเอดส์ใน Dallas Buyers Club จนทำให้คว้ารางวัลออสการ์ตัดหน้าเขาไป หรือโคลิน เฟิร์ธ (Colin Firth) ที่ต้องไปฝึกพูดติดอ่างเพื่อรับบท เป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ใน The King's Speech และเจมี่ ฟ็อกซ์ ต้องไปฝึกเป็นคนตาบอด เพื่อให้สมกับบทคนตาบอดใน Ray เพราะลีโอนาโดขาดกิมมิคในบทบาทของเขา จึงทำให้คนอื่นที่มีกิมมิคในบทบาทมากกว่า ได้รับชัยชนะแซงหน้าเขาไปยังไงล่ะ

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

 Catch Me if You Can (2002) และ Gravity (2013)

ผลงานยังไม่เข้าตาออสการ์สักเท่าไร
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Catch Me If You Can, เฟซบุ๊ก Gravity

          ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรู้ว่าอะไรคือความเหมาะสมกับรางวัลออสการ์ แม้ว่า Gravity จะกวาดรางวัลไปได้มหาศาลในออสการ์ครั้งล่าสุด แต่หนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ยังคงเป็น 12 Years A Slave อยู่ดี รวมทั้ง Dallas Buyes Club ก็เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมสำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นหนังในสไตล์ที่ออสการ์นั้นชอบมาก แม้เขาจะเคยร่วมแสดงในหนังดังหลายเรื่อง เช่น Inception, Shutter Island หรือ Romeo + Juliet แต่หนังเหล่านี้เป็นหนังที่เอาไว้ดูฆ่าเวลาเท่านั้น ไม่ใช่แนวโปรดของออสการ์สักเท่าไร แต่แปลกที่เมื่อเขาได้แสดงในหนังสไตล์โปรดของออสการ์อย่าง The Departed, Titanic, Catch Me if You Can และ Revolutionary Road เขากลับไม่ได้รับบทบาทที่โดดเด่นในหนัง นี่แหละจึงทำให้เขาไม่ได้นอนกอดรางวัลออสการ์เสียที

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

ลีโอนาโด ดิคาปริโอ จาก Django Unchained (2013) และ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก จาก The Departed (2006)

เขามักจะโดนแย่งซีนจากเพื่อนร่วมงาน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Django Unchained, เฟซบุ๊ก The Departed

          เชื่อว่าเมื่อหลายคนเห็นชื่อของเขาปรากฏอยู่บนโปสเตอร์หนัง ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าหนังเรื่องนั้นจะมีคุณภาพไม่เสียดายเงินค่าตั๋วหนังที่จ่ายไปแน่นอน แต่ก็ยังมีนักแสดงร่วมชื่อดังอีกมากมาย ที่ทำให้ความสำคัญในบทบาทของเขาถูกลดทอนไปโดยปริยาย อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ว่าเขานั้นได้เล่นแต่หนังดี ที่กำกับโดยผู้กำกับแถวหน้า และ นักแสดงชื่อเสียงโด่งดังมากมาย ที่อาจเป็นตัวแย่งซีนเขาไป เช่น ในหนังเรื่อง Django Unchained เขารับบทเป็นนายทาสสุดโหด และแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยม แต่ในปีนั้นชื่อของคริสตอฟ วอลซ์ (Christoph Waltz) กลับได้เข้าชิงแทนเขาซะงั้น เช่นกันกับ แดเนียล เดย์-ลูอิส (Daniel Day-Lewis) ก็ยังโดดเด่นกว่าเขาใน Gang of New York และใน The Departed เขาก็โดนขโมยซีนจาก มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) แม้แต่ใน Titanic หนังสุดคลาสสิกตลอดกาล บทบาทของโรส ที่รับบทโดย เคท วินสเล็ต (Kate Winslet) ก็ยังบดบังความโดดเด่นในบทบาทของเขาไปเสียมิดเลย

 6 เหตุผล ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ชวดรางวัลออสการ์ทุกงวด

ลีโอนาโด ดิคาปริโอ และ ทอม ครูซ

เกิดมาหล่อก็ผิดอีก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Titanic, เฟซบุ๊ก Tom Cruise

          ด้วยความที่ลีโอนาโดมีใบหน้าอันหล่อเหลา และบุคลิกที่น่ารักสดใสตั้งแต่เข้าวงการแรก ๆ ตอนสมัยละอ่อน จึงทำให้เขาเป็นขวัญใจวัยรุ่นหลายคน และการที่มีใบหน้าเป็นอาวุธสำคัญของเขานี่แหละ จึงทำให้ได้รับบทเด่นในหนังดัง ๆ อย่าง Titanic และ Romeo + Juliet และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เมื่อเขาโตขึ้น เขาได้รับบทบาทที่ยากขึ้น ทำให้เขาพยายามหลีกหนีจากภาพลักษณ์เดิม ๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะผู้คนต่างก็ยังจด จำเขาในภาพที่เขาหล่อ และน่ารักเหมือนเดิม ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับ ทอม ครูซ (Tom Cruise) และ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ต้องเผชิญ โลกช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แค่เกิดมาหน้าตาหล่อ ก็ทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตไปแล้วหรือนี่ ?

        แหม.. อ่านแล้วก็เห็นใจลีโอนาโดจริง ๆ นะเนี่ย เส้นทางนักแสดงของเขา ที่ใครอาจจะคิดว่ามันแสนสบาย พอมารู้แบบนี้แล้วก็เปลี่ยนความคิดเลย กว่าเขาจะมีวันนี้ได้ ก็ลำบากใช่เล่นนะ อย่างไรก็ช่วยเป็นกำลังใจให้หนุ่มลีโอนาโด ให้เขาได้รับออสการ์บ้างแล้วกันเนาะ




Create Date : 06 มีนาคม 2557
Last Update : 6 มีนาคม 2557 21:18:44 น. 0 comments
Counter : 2325 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.