|
ชอลิ้วเฮียง ตอน ดวงชะตาดอกท้อ: เทพบุตรสิ้นลาย
ชอลิ้วเฮียงเป็นใคร?
เขาเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยสีสันอันเพริศแพร้วพิสดารผู้หนึ่ง เป็นจอมโจรที่ลักขโมยอย่างโอ่อ่าผ่าเผย เขาทั้งยิ่งใหญ่ ทั้งลึกลับ แต่พฤติการณ์เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและน้ำใจ มิหนำยังมีรูปกายที่หล่อเหลาสะอ้านสำอาง ประดานี้ทุกผู้คนต่างทราบ ดังนั้นพากันขนานนามเขาเป็น ขุนโจรหอมแซ่ชอ
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่นามชอลิ้วเฮียงถูกยกย่องสรรเสริญจนแทบสูงกว่าฟ้า แทบกลับกลายเป็นยอดคนในตำนาน
แต่ชอลิ้วเฮียงยังไม่ได้ตาย เขาก็ไม่ใช่เทพเทวา ชอลิ้วเฮียงมิได้เดินสี่เท้า มิได้มีแปดตา ทั้งมิได้เป็นดาวบุ๋นกลับชาติมาเกิด บางครั้งคราวเขามีเรื่องให้ขบคิดจนแทบเอาสองเท้าขึ้นก่ายหน้าผาก โดยเฉพาะกับโฉมสะคราญที่ดีงาม ชอลิ้วเฮียงมักมีเหตุให้ต้องอับจนตรงเบื้องหน้าพวกนางอยู่ร่ำไป ซ้ำยังเป็นความอับจนที่น่าสมเพชเวทนายิ่ง
<< เหี่ยแช >>
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่แปดสิบของกิมไท้ฮูหยิน อุทยานหมื่นสุขวัฒนาเต็มไปด้วยแขกเหรื่อจากทั่วทุกสารทิศ ล้วนมารวมตัวกันเพื่ออวยพรให้แก่ท่านผู้หญิงแซ่กิม สตรีสูงอายุผู้มีบุญวาสนาที่สุดในแผ่นดิน
ชอลิ้วเฮียงมา เหี่ยแชก็มา
คนทั้งสองความจริงไม่รู้จักกัน แต่เหี่ยแชในอาภรณ์สีเขียวอ่อนดูไปๆ ช่างงดงามเสียนี่กระไร นางเป็นดรุณีที่ทั้งอ่อนหวาน ทั้งเรียบร้อย เรือนกายนางก็หอมกรุ่นกว่าบุปผา กระตุ้นให้สายตาทุกคู่เหลียวมองดูด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหล บุรุษกรุ้มกริ่มเช่นชอลิ้วเฮียงไหนเลยพลาดได้ ยามเดินเฉียดผ่านร่างนางเขาคิดใคร่ยลชมดูให้เต็มตาสักครา... มิคาด อึดใจนั้นเขาได้ยินเสียง ป้าบ คราหนึ่ง
เป็นเสียง ป้าบ ที่เกิดจากการผายลม !
เสียงพูดคุยจอแจทั่วทั้งอุทยานเงียบสงัดในทันที สายตาทุกคู่จ้องจับมาที่ชอลิ้วเฮียงเป็นตาเดียว ดังนั้นชอลิ้วเฮียงเหลียวมองรอบกาย คนที่ยืนอยู่ใกล้เขานอกจากดรุณีอ่อนหวานในอาภรณ์เขียวแล้วก็ไม่มีใครอีก ท่ามกลางสายตาเจ็ดแปดสิบคู่ที่มองมาอย่างเยาะเย้ย ชอลิ้วเฮียงได้แต่ลอบถอนใจ เขาอับจนปัญญาแล้วจริงๆ
"ลมนี้มิใช่เขาเป็นคนผาย แต่หากมิใช่เขาก็ต้องเป็นสตรีสาวที่ทั้งหอมกรุ่น ทั้งงดงาม ทั้งเยาว์วัยนี้ วิญญูชนผู้หนึ่งไหนเลยปล่อยให้สตรีสาวนางหนึ่งยอมรับความผิดฐานผายลมกลางชุมชนได้?"
ชอลิ้วเฮียงได้แต่ฝืนปั้นสีหน้าให้ทุกผู้คนเข้าใจว่าตนเองเป็นคนผายลม
เหี่ยแชมองดูเขาด้วยสายตาปลาบปลื้ม "ราวกับมองดูยอดวีรบุรุษที่ฝ่าภูเขาดาบทะเลเพลิง ทะลวงทหารทั้งกองทัพ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายช่วยเหลือนางออกมาก็ปาน"
เพื่อสตรีที่อ่อนหวานงดงามนางหนึ่ง ชอลิ้วเฮียงแม้ไม่ใคร่เต็มใจ แต่ก็ต้องยื่นหน้ารับความอับอายทั้งหมดไว้
เพราะเขาคือ ขุนโจรหอมแซ่ชอ !
<< ป๊กอาเกียง >>
ค่ำคืนนี้ป๊กอาเกียงนั่งที่หน้ากระจก นางกำลังหวีผมที่ยาวสยาย ทั้งยังเชื้อเชิญให้ชอลิ้วเฮียงช่วยหวีผมแก่นาง ชอลิ้วเฮียงไม่เคยขัดใจสตรี เขาสัมผัสเรือนผมของนางอย่างแผ่วเบา ป๊กอาเกียงก็เป็นสตรีที่งดงามผู้หนึ่ง นางพรรณนาถึงชีวิตของตนเอง พรรณนาถึงสามีที่แก่เฒ่า นางถึงกับเรียกหาสามีของตนว่า เล่ากง ชอลิ้วเฮียงพลันชะงักค้าง หวีในมือแทบร่วงหล่นลงพื้น ทั้งนี้เพราะเขาไม่มีนิสัยหวีผมให้แก่ภรรยาของผู้อื่น
ป๊กอาเกียงกล่าวว่า ท่านจะค่อยๆ คุ้นเคยเอง ชอลิ้วเฮียงยิ้มฝืน ข้าพเจ้าเห็นว่านิสัยนี้ยังคงอย่าได้เพาะสร้างขึ้น
แท้ที่จริงป๊กอาเกียงมาเพื่อสังหารชอลิ้วเฮียง นางล่อลวงชอลิ้วเฮียงไปตาย แต่ชอลิ้วเฮียงไม่ได้ตาย ซ้ำยังปลอมเป็นปีศาจหัวขาดกลับมาหลอกหลอนนางจนนางแทบร่ำร้อง
เมื่อความแตก ป๊กอาเกียงได้แต่เอาตัวรอดด้วยจริตมารยา นางดูไปก็งดงามยิ่ง ยื่นมือโอบรัดรอบคอของชอลิ้วเฮียงไว้ กิริยาเหล่านี้ล้วนนุ่มนวลน่าเคลิบเคลิ้มชวนฝัน ชอลิ้วเฮียงก็คล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มหลงใหล
พลันบังเกิดเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นที่ด้านข้าง เป็นหญิงงามนามเตียเกียกเกียกผุดกายขึ้นจากเงามืด ป๊กอาเกียงขุ่นแค้นตวาดไล่นาง แต่เตียเกียกเกียกไม่ยอมไป นางคิดชมดูบทรักของคนทั้งสอง ชอลิ้วเฮียงได้แต่เป็นใบ้เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีที่ไร้เหตุผลสองคน
ป๊กอาเกียงและเตียเกียกเกียกจึงต้องหาทางยุติกันเอง เป็นการหาทางยุติในแบบสตรี นางทั้งสองพุ่งปราดเข้าใส่กัน ตบตีกัน ทั้งฉุดกระชากเสื้อผ้า ทั้งฟ้อนเล็บเข้าใส่ดุจแมวป่าที่คลุ้มคลั่ง
ชอลิ้วเฮียงก็อับจนปัญญาไกล่เกลี่ยจริงๆ ได้แต่มองดูพวกนางรุกไล่ตบตีกันจนหายลับกับตา
<< เตียเกียกเกียก >>
บุรุษกรุ้งกริ่งเช่นชอลิ้วเฮียงกลับตกหลุมรักโฉมสะคราญที่น่าตีอย่างเตียเกียกเกียก นางเป็นคนประหลาดยิ่ง ทุกครั้งที่ปรากฏกาย นางคล้ายจงใจล่อลวงให้ชอลิ้วเฮียงลุ่มหลงงมงาย แล้วกลับหนีหายดุจวิญญาณภูตพราย แต่ทุกครั้งนางจะย้อนกลับมา กลับมาล่อลวงให้ชอลิ้วเฮียงแทบคลั่งใจตาย แล้วค่อยหายวับไป นางแทบเห็นชอลิ้วเฮียงเป็นของเล่นที่น่าสนุกชิ้นหนึ่ง
ครั้งนี้นางมาพักโรงเตี๊ยมร่วมกับชอลิ้วเฮียง กลางดึกนางพลันนึกอยากกินหูฉลาม นางบอกกับชอลิ้วเฮียง หากท่านไม่ออกไปซื้อหูฉลามกลับมา ระวังใบหูท่านจะถูกทอดกับน้ำมันงา ชอลิ้วเฮียงได้แต่ไปโดยดี ไปอย่างเรียบร้อยยิ่ง
เขาออกไปหาซื้อหูฉลามชามหนึ่งจริงๆ พอกลับมาก็พบเพียงห้องนอนที่ว่างเปล่า เตียเกียกเกียกหายตัวไปแล้ว คราวนี้นางหายตัวไปจริงๆ ชอลิ้วเฮียงเฝ้ารออยู่ที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาหลายวัน นางก็ไม่กลับมา
ชอลิ้วเฮียงทุ่มเทชีวิตสืบเสาะหาเตียเกียกเกียกอย่างยากเย็น ล้วนพานพบแต่ความว่างเปล่า เทพบุตรอย่างชอลิ้วเฮียงกลายเป็นซูบซีดผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรยคล้ายคนใกล้ตายผู้หนึ่ง เขาทอดร่างที่ริมธาร ก้มลงมองดูใบหน้าตายซากของตนเอง ผมเผ้าราวกิ่งหลิวลู่ลงสู่สายน้ำ
ดวงจันทร์ในวารีก็งดงาม ทุกผู้คนล้วนมองเห็นดวงจันทร์ชนิดนี้ แต่หากคิดไขว่คว้า มิเพียงคว้าถูกอากาศธาตุ ทั้งยังอาจพลัดตกลงน้ำ
ชอลิ้วเฮียงได้แต่แช่ศีรษะอยู่ในสายน้ำเย็นเฉียบ เขาอับจนปัญญาจริงๆ ในใจได้แต่ร่ำร้อง นงคราญอยู่หนใด ?
<< ดวงชะตาดอกท้อ >>
ผู้ชายลั้ลลาอย่างชอลิ้วเฮียงแต่งงานแล้วจริงๆ ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชาย พวกเราสมควรทราบ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นกลอุบายที่ลึกซึ้งแยบยล เพื่อชักนำชอลิ้วเฮียงเข้าพิธีวิวาห์อย่างลึกล้ำพิศดาร ขุนโจรหอมแซ่ชอยิ่งใหญ่เพียงไหน เขาแทบถูกยกให้เป็นวีรบุรุษในตำนานของเหล่าผู้กล้าทั่วทั้งยุทธจักร ไฉนพลาดท่าร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งของหลุมพรางนี้ ?
ชีวิตคนก็เหมือนน้ำทะเล มีขึ้นมีลง บางคราปั่นป่วนพลุ่งพล่าน บางครานิ่งสงบราบเรียบ สายลม แสงแดด พายุฝน มีบ้างมาเยือน แต่ไม่นานก็ลับไป
ชอลิ้วเฮียงความจริงมีชีวิตที่สุขสำราญ แต่ขวบปีนี้ชีวิตเขารุ่มร้อนกว่าไฟลน เนื่องเพราะโชคชะตาบันดาลให้เรือนหน้าของชอลิ้วเฮียงบังเกิดราศีอึมครึมชนิดหนึ่ง เรียกว่าราศีดอกท้อ นับจากนั้นชอลิ้วเฮียงก็ไม่อาจสงบใจได้อีก ใบหน้าที่หล่อเหลาดุจดวงจันทร์วันเพ็ญพลันหม่นมัวราวกับถูกราหูอมไว้ครึ่งหนึ่งตลอดเวลา
ไม่มีผู้ใดหลอกลวงชอลิ้วเฮียงได้ คำกล่าวนี้สมควรแก้ไขดัดแปลงโดยด่วน อย่างน้อยควรแก้เป็น นอกจากสตรีแล้ว ไม่มีผู้ใดหลอกลวงชอลิ้วเฮียงได้ !
ชอลิ้วเฮียงคล้ายถูกลิขิตแน่ชัด ให้ต้องพลาดท่าเสียทีแก่สตรีอยู่ร่ำไป
Create Date : 18 เมษายน 2558 | | |
Last Update : 18 เมษายน 2558 23:00:20 น. |
Counter : 2742 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Binu and the Great Wall: หยาดน้ำตาที่ไม่อาจซุกซ่อน
Binu and the Great Wall แต่งโดย ซูถง ฉบับภาษาอังกฤษ พิมพ์ปี 2008
ซูถง เป็นนักเขียนร่วมสมัยชาวจีน มีผลงานที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่ชาวไทยรู้จักกันดีคือ Wives and Concubines เพราะได้รับการแปลเป็นไทย และมีการซื้อลิขสิทธิ์มาทำเป็นละครไทยเรื่อง "มงกุฎดอกส้ม"
ความรู้สึกส่วนตัว เจ้าของบล็อกชอบอ่านงานประพันธ์ที่มีตัวเอกเป็นสตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยสนใจพฤติการณ์ ความคิด ความอ่านของสตรี ดังนั้นชื่นชอบงานเขียนของซูถงเป็นพิเศษ เพราะเขาชอบเล่าเรื่องของสตรี ทั้งยังเล่าได้ดีและลึกซึ้งยิ่ง
Binu and the Great Wall เป็นการหยิบเอา "ตำนานรักเมิ่งเจียงหนี่ว์" มาเล่าใหม่ได้อย่างมีเสน่ห์ ไม่น่าเบื่อเลย ซูถงใช้การเล่าเรื่องแบบเหนือจริง ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนกับกำลังหลับฝัน แต่แม้จะเป็นแค่ความฝัน ตำนานรักที่ยิ่งใหญ่และน่าสะเทือนใจของผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างปี้นู๋ก็จะติดตรึงในใจผู้อ่านไปอีกนาน
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นสู่โลกแห่งความจริง เราอาจพบว่าปี้นู๋ช่างดื้อรั้นงมงาย ทว่าคนเราก็เป็นอย่างนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดของคนผู้หนึ่ง อาจดูเหลวไหลไร้สาระในสายตาผู้อื่น มีแต่คนที่จิตใจเข้มแข็งจึงกล้าหาญยืนหยัดกระทำตามความเชื่อของตนไปจนสุดทาง
ปี้นู๋ก็เป็นเช่นนี้ นางมีจิตใจที่เข้มแข็ง ดังนั้นสิ่งที่นางกระทำตราตรึงในความทรงจำของผู้คนตลอดกาล...
**********************
ในหมู่บ้านสวนท้อ การร้องไห้เป็นสิ่งต้องห้าม คนผู้เฒ่ามักสั่งสอนลูกหลาน
เด็กเอ๋ย...บรรพชนของผู้อื่นล้วนวางวายเพราะความอดอยากแร้นแค้น บ้างป่วยไข้ บ้างตายด้วยชรา มีบ้างวอดวายในสงคราม ทว่าบรรพชนของพวกเราเล่า... พวกเขาตกตายเพราะความอยุติธรรม ดวงตาของพวกเขาล้นปรี่ด้วยหยาดน้ำตา ชีวิตของพวกเขาล้วนจมหายในก้นทะเลน้ำตาของตนเอง
ดังนั้นผู้คนเมื่อทุกข์ร้อนคิดร่ำไห้ พวกเขาต้องเรียนรู้วิธีซุกซ่อนหยาดน้ำตาให้แนบเนียนที่สุด ทุกผู้คนล้วนมีเคล็ดลับในการซุกซ่อนหยาดน้ำตาของตนเอง ทว่าปี้นู๋กลับผิดแผกจากผู้อื่น มารดาของนางตายเมื่อนางยังเด็ก ตายไปพร้อมกับเคล็ดลับการซ่อนหยาดน้ำตา ดังนั้นปี้นู๋ร้องไห้อย่างเปิดเผยเสมอมา เด็กๆ ในหมู่บ้านต่างก็ไม่อยากเข้าใกล้ปี้นู๋ พวกเขามักถามไถ่กันเองด้วยความสงสัย
ปี้นู๋ประหลาดนัก ใบหน้าของนางไฉนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา?
ในหมู่บ้านสวนท้อ สตรีที่ไม่อาจซุกซ่อนหยาดน้ำตาย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนา สตรีที่ชำนาญการซุกซ่อนหยาดน้ำตาล้วนได้ตบแต่งกับบุตรหลานตระกูลคหบดี ขุนนาง หรือแม้แต่ช่างฝีมือ ล้วนมีอนาคตเรืองรองสดใส
ปี้นู๋เล่า... เมื่อนางเติบใหญ่ ตัวเลือกของนางมีจำกัดยิ่ง นอกจากเด็กหนุ่มกำพร้าชื่อ ว่านชี่เหลียงก็ไม่มีใครอีกแล้ว บุรุษ 1 คน กับต้นหม่อน 9 ต้น นี่คือสิ่งที่นางได้รับจากการแต่งงาน
ชี่เหลียงแท้จริงเป็นคนสัตย์ซื่อ ทั้งยังรูปงาม แต่ด้วยเป็นเด็กกำพร้า ถูกนำมาทิ้งไว้ที่ใต้ต้นหม่อน หญิงม่ายเจ้าของสวนหม่อนได้เก็บทารกผู้นี้มาเลี้ยง คนอื่นๆ ต่างพากันดูถูกเขา เด็กๆ ในหมู่บ้านเคยถามชี่เหลียง
ชี่เหลียง แกเป็นตัวอะไร แกหล่นมาจากฟ้าหรือ
ชี่เหลียงวิ่งไปถามหญิงม่าย หญิงม่ายผู้นั้นตอบว่า ชี่เหลียง เจ้าหาได้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า ข้าพบเจ้าที่ใต้ต้นหม่อน อาจบางทีเจ้าก็คือต้นหม่อน
เด็กน้อยชี่เหลียงเอาคำตอบนี้ไปบอกกับเพื่อนๆ เด็กพวกนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะ หลังจากนั้นผู้คนต่างเรียกเขาว่า ไอ้ต้นหม่อน
ในสวนหม่อนมีต้นหม่อน 9 ต้น ชี่เหลียงกลายเป็นต้นหม่อนต้นที่สิบ ต้นหม่อนพูดไม่ได้ ดังนั้นชี่เหลียงก็ไม่ปริปากพูดอีกตลอดมา
ชาวบ้านเมื่อพบเห็นชี่เหลียงก็พากันบอกว่า
เจ้าเป็นใบ้ ไม่อาจเรียนรู้การค้า เจ้ารู้แค่การการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จะเลี้ยงตัวรอดได้อย่างไร วันหนึ่งเจ้าก็ต้องโค่นต้นหม่อนลงเพื่อใช้เป็นสินสอดแต่งงาน คิดดูสิใครจะมาแต่งงานกับเจ้า หญิงทั้งหมู่บ้านก็มีแต่ปี้นู๋เท่านั้นแหละ เพราะนางเป็นน้ำเต้า
มีแต่น้ำเต้าเท่านั้นที่ยินยอมพาดแขวนอยู่บนต้นหม่อน !
ด้วยเหตุนี้ชี่เหลียงกับปี้นู๋แต่งงานกันจริงๆ
นี่คือโชคชะตา ต่อมาทุกผู้คนล้วนรับรู้ นี่มิใช่โชคชะตาที่น่าเย้ยหยัน
ในบรรดาบุรุษผู้วายชนม์นอกหมู่บ้านสวนท้อ มีเพียงชี่เหลียงเท่านั้นที่ได้ฝังร่างในถิ่นสถานซึ่งเรืองนามในทั่วทั้ง 7 เมือง 18 แคว้น ในบรรดาสตรีที่ได้รับอนุญาตให้ร้องไห้ มีเพียงหยาดน้ำตาของปี้นู๋เท่านั้นที่รินไหลไปไกลถึงภูเขาทางทิศเหนือ
นี่กลับเป็นตำนานการร่ำไห้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหมู่บ้านสวนท้อ
ไม่นานหลังจากแต่งงาน ชี่เหลียงพลันหายตัวไป ปี้นู๋ร่ำไห้น้ำตานองอีกครา นางเที่ยวตามหาข่าวคราว จนพบว่าสามีของตนถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานเพื่อสร้างกำแพงใหญ่ทางทิศเหนือ ฤดูหนาวใกล้มาแล้ว ปี้นู๋จำได้ วันที่ชี่เหลียงหายตัวไปเขาไม่ได้นำเสื้อคลุมติดตัวไปด้วย ด้วยความรักที่ปี้นู๋มีต่อชี่เหลียง นางกลัวว่าสามีจะไม่มีเสื้อใส่บรรเทาความหนาวเย็นที่กล้ำกรายมา นางตัดสินใจขายทรัพย์สินที่มีทั้งหมดเพื่อซื้อเสื้อคลุมตัวหนา เงินที่เหลือเพียงเล็กน้อยถูกใช้เป็นทุนในการออกเดินทางเพื่อนำเสื้อคลุมไปมอบให้แก่สามี
เพื่อนบ้านต่างมองว่าปี้นู๋เป็นบ้าไปแล้ว นางคิดเดินทางไกลพันลี้เพียงเพื่อนำเสื้อคลุมตัวหนึ่งไปมอบให้แก่สามี ปี้นู๋คล้ายไม่ใส่ใจ นางบอกกับทุกคน
ถ้าข้ามีม้าข้าก็ควบม้าไป ถ้ามีลาข้าก็จะขี่ลา ถ้าข้าไม่มีอะไรเลยข้าก็ยังจะใช้สองเท้าก้าวไป สัตว์เดินทางไกลได้ไฉนข้าทำไม่ได้ ใครบอกว่าข้าไม่สามารถเดินทางไกลพันลี้
ทุกผู้คนในหมู่บ้านสวนท้อล้วนชำนาญในการซุกซ่อนหยาดน้ำตา แต่เมื่อฟังปี้นู๋พูดถึงตอนนี้ ดูเหมือนพวกเขาก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความเศร้า ความเห็นใจไว้ได้อีก
ก่อนออกเดินทาง ปี้นู๋ไปขอคำทำนายจากเหล่าหมอผีในหมู่บ้าน หมอผีพินิจกระดองเต่า พลันกล่าวต่อนาง
"อย่าไป หากเจ้าดื้อรั้นไปจะไม่ได้กลับมา เจ้าจะทอดร่างวางวายที่กลางทาง"
แต่ปี้นู๋ยังคงยืนกรานที่จะเดินทางนำเสื้อคลุมไปมอบให้แก่สามี พวกหมอผีต่างครุ่นคิดสงสัย
"เสื้อคลุมใดกัน ที่ควรค่าให้เจ้าไปตาย?"
"เสื้อคลุมสำหรับชี่เหลียง สามีข้าเอง ที่มีค่าควรกับชีวิตของข้า"
บรรดาหมอผีต่างทอดถอนใจ เมื่อปี้นู๋คิดใคร่ไป ผู้ใดก็ไม่อาจทัดทาน ดังนั้นได้แต่ย้ำเตือน
"...อย่าลืม เจ้าต้องหาม้าจากหมู่บ้านเมฆครามเป็นเพื่อนร่วมทาง มีเพียงม้าจากหมู่บ้านเมฆครามเท่านั้นที่จะนำชีวิตเจ้ารอดกลับมา!"
ปี้นู๋หาทางซื้อม้าเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง ทว่าการค้าสัตว์พาหนะล้วนถูกควบคุมโดยกองทัพหมดสิ้น เพื่อนร่วมทางหนึ่งเดียวที่นางพานพบกลับเป็นกบตัวหนึ่ง กบซึ่งเกิดจากดวงวิญญาณของหญิงตาบอดที่จมน้ำตายเพราะตามหาบุตรชาย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก การถูกขโมย ถูกขาย ถูกจับกุม ล้วนเป็นประสบการณ์ที่แสนเข็ญสำหรับสตรีผู้หนึ่ง บางครั้งปี้นู๋ก็คิดใคร่ตาย แต่นางไม่อาจยินยอมตายอย่างสูญเปล่าที่กลางทาง ยิ่งไม่อาจยินยอมตายเพียงลำพัง ดังนั้นนางก้าวเดินต่อไป
ในที่สุดวันหนึ่งปี้นู๋มาถึงกำแพงใหญ่ กำแพงที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้านาง เป็นกำแพงซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อแรงงานของผู้คนมากหลาย รวมทั้งเลือดเนื้อของชี่เหลียงสามีนางเอง
ปี้นู๋ทราบข่าวการตายของสามีแล้ว นางสมควรทำประการใด?
ผู้เฒ่าผู้แก่แห่งหมู่บ้านสวนท้อต่างเคยพร่ำสอน
เด็กเอ๋ย... บรรพชนของพวกเราตกตายเพราะความอยุติธรรม ดวงตาของพวกเขาล้นปรี่ด้วยหยาดน้ำตา ชีวิตของพวกเขาล้วนจมหายในก้นทะเลน้ำตาของตนเอง
ที่ริมกำแพงใหญ่ ปี้นู๋เริ่มร่ำไห้ออกมา นางพอร่ำไห้ หยาดน้ำตาก็รินไหลอย่างไม่หยุดยั้ง...
Create Date : 11 เมษายน 2558 | | |
Last Update : 18 เมษายน 2558 7:26:21 น. |
Counter : 1056 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ซาเสียวเอี้ย: เสาะสำรวจจิตใจของจอมยุทธ์
ซาเสียวเอี้ย (นายน้อยที่สาม) มีชื่อตัวว่าเจี่ยเฮียวฮง เขาถือกำเนิดในหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ตอนที่เขามีอายุ ๑๑ ปี เขาก็สามารถโค่นมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักฮั้วซัว กลายเป็นอัจฉริยะกระบี่อายุเยาว์ ที่ต่อมาทั้งฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งคมคายสง่างาม และยังสัตย์ซื่อเที่ยงธรรม ตลอดชีวิตไม่เคยกระทำเรื่องด่างพร้อยมาเลย วีรกรรมของเขาเป็นที่เลื่องลือ และยังเป็นความหวังของวงศ์ตระกูลในการกอบกู้เกียรติภูมิของหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าที่กำลังตกต่ำให้กลับคืนเป็นกระบี่ที่หนึ่งในดินแดน
ไม่มีผู้ใดคาดคิด ณ ขณะที่ชื่อเสียงของซาเสียวเอี้ยเฟื่องฟูสูงสุด เขากลับพลันหายตัวไปจากวงนักเลง ยุทธจักรร่ำลือว่าเขาตายแล้ว มีบ้างไม่เชื่อ ดังนั้นต่างพากันออกค้นหา แต่ไม่มีใครพบพานซาเสียวเอี้ยอีกเลย
แท้ที่จริงซาเสียวเอี้ยยังมีชีวิต เขาละทิ้งเกียรติภูมิ ความสมบูรณ์แบบทั้งหมด ออกพเนจรร่อนเร่ด้วยหัวใจที่อ้างว้างเดียวดาย นั่นเป็นเพราะอะไร?
เราอาจตอบคำถามนี้ได้ด้วยหลักการ สูงสุดคืนสู่สามัญ คนเราเมื่อถึงจุดอิ่มตัว ความรู้สึกตื่นเต้นท้าทายย่อมลดน้อยถอยลง โลหิตที่เคยระอุอุ่นก็อาจจะเริ่มชาเย็น จะให้ยืนตระหง่านท้าลมฝนเหนือยอดผาตลอดกาลคงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเราต่างพบเห็น ผู้บรรลุถึงจุดสูงสุดยอดแท้จริงมักซ่อนเร้นกาย หันหลังให้แก่ความวุ่นวายที่รุกไล่มาไม่หยุดหย่อน
ขอเพียงมีความสงบทางใจ ไม่ว่าต้องเสียสละสิ่งใดล้วนคู่ควร
ลึกไปกว่านั้น เราเห็นอะไรจากหัวจิตหัวใจของลูกผู้ชายอย่างซาเสียวเอี้ย?
Julian Baggini นักปรัชญาชาวอังกฤษให้คำอธิบายเกี่ยวกับ เป้าหมายของชีวิต ไว้อย่างน่าสนใจ Baggini เห็นว่าเมื่อพูดถึง เป้าหมายของชีวิต คนจำนวนมากมักกระทำผิดพลาดโดยวิธีคิดที่อิงเป้าหมายอย่างตายตัว (Goal-orientated approach) Baggini มองว่าคนเหล่านี้เอาชีวิตในปัจจุบันของตนเองขึ้นพาดไว้บนเขียง แล้วใช้ความสำเร็จในอนาคตเป็นเครื่องชี้ชะตา นี่คือข้อผิดพลาดร้ายแรง เพราะอะไร?
เพราะ ณ ขณะหนึ่งเราอาจ นิยามเป้าหมายชีวิต โดยใช้ความสำเร็จตายตัวในอนาคตเป็นตัวชี้วัด เช่น จอมยุทธผู้หนึ่งอาจมีปณิธาน ฉันจะต้องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดิน เมื่อเหรียญแห่งโชคชะตาถูกโยนขึ้น มันก็จะนำพาเขาไปสู่ผลลัพธ์ ๒ ด้านเสมอ ไม่สำเร็จก็คือล้มเหลว
ถ้าหากเขาล้มเหลว นั่นก็หมายความว่านิยามเป้าหมายชีวิต ที่เขาเคยกำหนดไว้อย่างสวยหรูดิบดี ได้พังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า ฝันหวานว่าจะเป็นกระบี่อันดับหนึ่งแต่ท้ายที่สุดกลับเป็นได้แค่กระบี่ขี้แพ้ นักกระบี่จำนวนมากจึงมักเลือกหนทางตายหลังพ่ายแพ้การประลอง มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะ นิยามเป้าหมายชีวิตใหม่ แล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
ถ้าเขาทำมันสำเร็จ ได้เป็นกระบี่มือหนึ่งสมใจ คำถามคือเขาจะทำอะไรหลังจากนั้น? ชีวิตเมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุดยังมีอะไรเหลือให้เขากระทำ? เพราะเขาได้ นิยามเป้าหมายชีวิต เอาไว้ตายตัวแล้ว เมื่อเขาคว้ามันมาครอบครองได้สำเร็จ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือมรรคาที่เวิ้งว้างยาวไกลสุดสายตา ทว่าไร้จุดหมาย
หัวใจของซาเสียวเอี้ยหลังบรรลุมรรคากระบี่ก็เป็นเช่นนี้หรือไม่?
เอาเข้าจริงคนเราทุกคนล้วนมีเป้าหมายในชีวิต สิ่งที่ Baggini อยากจะเตือนก็คือคุณสามารถฟูมฟักเป้าหมายของคุณได้ แต่อย่าเอาไข่แห่งความหวังของคุณทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว มันจะสมเหตุสมผลมากกว่าถ้าคุณรู้จัก นิยามเป้าหมายที่หลากหลาย ที่สำคัญคือต้องเป็นเป้าหมายที่ควรค่าแก่การแสวงหา เป็นเป้าหมายที่นำมาทั้งความสุขในแต่ละขณะจิตปัจจุบัน และความสุขทางใจระยะยาว
เขาย้ำนักย้ำหนาว่าการตั้งเป้าหมายสูงสุดอย่างตายตัวเป็นเกมชีวิตที่สุดแสนอันตราย ไม่ว่าล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ เราก็จะทุกข์ เครียด เปลี่ยวเหงาอยู่ดี ที่สำคัญชีวิตคนเราจะตายวันตายพรุ่งยังไม่อาจล่วงรู้ เคราะห์หามยามร้ายไม่ทันถึงฝั่งฝัน พญามัจจุราชพลันมาลักขโมยเอาลมหายใจของเราไปเสียก่อน นี่ไม่ใช่ตกตายอย่างน่าคับแค้นใจหรอกหรือ?
ผู้คนจำนวนมากติดอยู่ในกับดัก เมื่อวันนั้นมาถึง พวกเขาเชื่อในอุดมคติ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ตั้งเป้าหมายยาวไกลแล้วดิ้นรนหอบพากายมุ่งไปให้ถึง แม้ปัจจุบันจะลำบากแสนสาหัสก็ให้อดทนไปก่อน ฟ้าหลังฝนต้องสวยงามแน่นอน เมื่อวันนั้นมาถึง ฉันจะ... (โปรดเติมความฝันของท่านในช่องว่าง)
ปัญหาก็คือ วันนั้น ของเราจะมาถึงเมื่อใดกัน และเราต้องยอมสละสิ่งดีงามเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไปมากมายเท่าใด เพียงเพื่อรอคอยรางวัลใหญ่ในอนาคต
ซาเสียวเอี้ยก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น เขาฝึกฝนกระบี่อย่างอดทน เฝ้ารอ วันของเขา แต่หลังบรรลุวิชากระบี่เขาพลันค้นพบความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่กัดกร่อนจิตใจ ดังนั้นเขาออกเรียนรู้ เคี่ยวกรำตนเอง เพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตที่ตนเองยังไม่รู้จักดีพอ
ท้ายที่สุดเขาพบ สิ่งที่เขาตามหาตลอดมา อยู่ในใจของเขาเอง
Baggini, Julian. 2007. "Whats It All about? Philosophy and the meaning of life". Oxford University Press.
Create Date : 12 มีนาคม 2558 | | |
Last Update : 12 มีนาคม 2558 15:43:02 น. |
Counter : 3235 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน เล่ม ๑ [Unspoilt Review]
แบบนี้ก็เรียกความรักหรือ?
เนื้อหาในเล่ม ๑ มีทั้งสิ้น ๒๔ บท โดยสรุปกล่าวถึงชีวิตใหม่ของบุตรีท่านรองเจ้ากรมอักษร ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่วังหลวงเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่นางใน
การเดินเรื่องค่อนข้างเร็วไม่เยิ่นเย้อ เล่าถึงวิถีชีวิตของลูกหลานขุนนาง ชายสมควรเข้ารับราชการรับใช้ราชสำนัก หญิงสมควรเข้ารับการคัดเลือกเพื่อเข้าวังปรนนิบัติฮ่องเต้ การปฏิบัติหน้าที่ของกุลบุตรกุลธิดาเหล่านี้สามารถมองได้อย่างน้อย ๓ นัย - เพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล - เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ - เพื่อความก้าวหน้ารุ่งเรืองของตนเอง
โดยสองนัยแรกสะท้อนให้เห็นหลักจริยธรรมที่ว่าด้วยความกตัญญู (Family Reverence) ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับรัฐ ตามคติปรัชญาจีนโบราณที่ยึดความกตัญญูเป็นรากฐานของมนุษยธรรม
ส่วนนัยที่สามยิ่งน่าสนใจ เพราะเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่คนผู้หนึ่งสามารถกระทำเพื่อตนเอง เป็นแรงปรารถนาส่วนบุคคลที่วิ่งวนอยู่รอบหลักการ หรืออาจบางทีซ้อนทับอยู่ในกรอบของจริยธรรมอันสูงส่งนั้นเอง
ซึ่งจากเนื้อเรื่องมีปมเงื่อนที่สำคัญคือตัวเจินหวนเองไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเข้าเป็นนางในมาแต่ต้น นางเพียงปรารถนาจะรักและได้รับความรักจากบุรุษดีงามที่นางพึงใจสักคน ก่อนได้รับเลือกเข้าวังนางกล่าวว่า
ถึงแม้ฮ่องเต้จะเป็นผู้ปกครองใต้หล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในใจข้า อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถรักข้าได้เพียงคนเดียว
แม้ว่าการที่สามีสามารถมีภรรยา (และนางบำเรอ) ได้หลายคน ไม่ว่าระดับฮ่องเต้ ขุนนาง ลงมาถึงคหบดี จะเป็นที่ยอมรับในสมัยโบราณ แต่ทัศนคติที่สะท้อนผ่านตัวละครสาววัยแรกแย้มที่เปี่ยมไปด้วยความฝันอันบริสุทธิ์สวยงาม ก็สื่อให้เห็นว่า หัวอกภรรยาล้วนต้องการให้สามีรักนางคนเดียวทั้งนั้น
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าความปรารถนาของพวกนางก็คือเกียรติยศของครอบครัว ที่ถูกพาดวางไว้อย่างหนักหน่วงบนบ่านุ่มนวลของสตรีวัยเยาว์ เพื่อเกียรติอันสูงส่งนี้ พวกนางเดินเข้าสู่ความโหดร้ายของวังหลวง สถานที่ซึ่งคุกรุ่นไปด้วยเพลิงแห่งความริษยา มีบ้างบางนางถึงกับต้องสังเวยด้วยชีวิต
เจินหวนเดิมทีไม่ได้เต็มใจเข้าวัง แต่เมื่อนางสำนึกตัวว่า พลาด ลงเรือลำนี้แล้วนางก็ไม่คิดถอยหลัง อันที่จริงนางเองก็มีความกล้าหาญทะเยอทะยานเช่นกัน นางปรารถนาชีวิตใหม่ที่ท้าทายดังนั้นนางปฏิเสธเวินสือชูอย่างไร้เยื่อใย ต่อมาเมื่อเข้าวังนางก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกขั้น เพราะนางต้องก้าวออกจากการฟูมฟักของบิดามารดามายืนหยัดบนลำแข้งของตนเอง ทัศนคติของนางก็ค่อยๆ ผันเปลี่ยนไปจากเติม
ความเพ้อฝันถึงความรักอันสวยหรูของเด็กสาวไร้เดียงสาค่อยๆ หักเหสู่ความจริงที่น่าพรั่นพรึง ความจริงที่แสนจะห่างไกล และแทบจะตรงข้ามกับสิ่งที่นางเคยวาดฝันไว้อย่างสิ้นเชิง ความรักในวังหลวงไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษรูปงามกับสตรีสะคราญโฉม ไม่ใช่รักแท้ที่น่าเคลิบเคลิ้มชวนฝันเหมือนนิทานหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า แท้ที่จริงมันคือการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความโดดเด่น ความโปรดปราน และการอยู่รอด นี่คือความรักประเภทไหนกันนะ?
และตรงนี้มีจุดน่าค้างคาใจเล็กน้อย คือเจินหวนในวัย ๑๕ ปี ดูจะเฉลียวฉลาดและเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเกินไป รู้จักใช้ทั้งพระเดชพระคุณ และยังรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของบริวาร เราไม่มีโอกาสได้เห็นพัฒนาการของเจินหวนในช่วงก่อนเข้าวังหลวง แต่ผู้แต่งก็พยายามปิดช่องว่างตรงนี้ด้วยการแสดงให้เห็นว่าเจินหวนมีความรู้และไหวพริบดี นางได้รับการ รั้งไว้ ก็เพราะความรู้เชิงอักษรของนาง ผู้แต่งยังย้ำผ่านมุมมองของผู้เป็นบิดาว่านางเป็น นักปราชญ์ในหมู่สตรี ตรงนี้ถ้ามองด้วยมุมมองของคนในยุคโบราณก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะวิถีชีวิตของเด็กหญิงสมัยก่อนต่างจากเด็กในยุคปัจจุบัน พวกนางล้วนถูกอบรมอย่างเข้มงวดในเรื่องหลักการ จารีต และความเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมมาแต่เล็กแต่น้อย พออายุได้ ๑๕-๑๖ ปี ก็ถือว่า เป็นผู้ใหญ่ พอที่จะออกเรือนแล้ว
เมื่อสตรีที่เพียบพร้อมจากทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมกันเพื่อปรนนิบัติเอกบุรุษแห่งใต้หล้า ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุด ผู้สามารถดลบันดาลเกียรติยศ ทรัพย์สิน ทุกสิ่งสรรพ์ กับเหล่าสนมนางในที่มีจำนวนมากมายจนแทบนับไม่ถ้วน พวกนางล้วนต้องดิ้นรน ผูกมิตร สร้างเครือข่าย เสแสร้ง วางอุบาย ต่อสู้ห้ำหั่น เพื่อช่วงชิงความรัก และเพื่อรักษาชีวิตของตนเองและพวกพ้อง
แม้นิยายเรื่องนี้จะเล่าผ่านมุมมองของเจินหวน แต่การสรุปว่าเจินหวนคือนางเอกที่ดีงามก็ออกจะรวบรัดเกินไป ถือว่าผู้แต่งสร้างตัวละครสตรีนางนี้ได้มีมิติทีเดียว
ฝ่ายใน อันเป็นสถานพำนักของเหล่าสตรีเลอโฉมมากหลาย ดูไปงดงามราวกับท้องทุ่งที่ปลูกกุหลาบสะพรั่งละลานตา ทุ่งกุหลาบที่มีภยันตรายแฝงตัวอยู่อย่างมิดชิด ขอเพียงท่านเดินผ่านโดยไม่ระมัดระวังจะได้รับบาดเจ็บจากคมหนามที่กระหายใคร่ลิ้มรสโลหิตของท่าน การฟาดฟันอย่างถึงพริกถึงขิงในสมรภูมิกุหลาบสีเลือดเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้...
ป.ล. เนื้อหาทั้งเรื่องมี 10 เล่มจบ ตอนนี้มี group สำหรับพูดคุย ดูแลโดยบรรณาธิการ และผู้แปล (คุณดารินทิพย์) ที่รับหน้าที่แปลเล่ม 2 - เล่มจบ ตามลิงค์ https://www.facebook.com/groups/zhenhuan.novel/
Create Date : 11 มีนาคม 2558 | | |
Last Update : 20 เมษายน 2558 0:22:20 น. |
Counter : 1282 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|