“A path is made by walking on it.”
Group Blog
 
All blogs
 

The Dancing Girl of Izu: ร่ายรำบนวิถีแห่งโชคชะตา




The Dancing Girl of Izu
แต่งโดย ยาสึนาริ คาวาบาตะ

คาบสมุทรอิซึเป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ทางทิศตะวันตกของกรุงโตเกียว มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม เต็มไปด้วยภูเขาและชายฝั่งเว้าแหว่ง พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภูเขาไฟ ทำให้มีบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมาก จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อสำหรับผู้ที่ชมชอบการอาบน้ำแร่

นักศึกษาหนุ่มวัย ๒๐ ปีผู้หนึ่งก็ชื่นชอบการอาบน้ำแร่ เขาใช้เวลาวันหยุดในช่วงปิดเทอมเดินทางมายังคาบสมุทรอิซึเพียงลำพัง จิตใจของเขาว่างเปล่าอย่างที่เคยเป็น เด็กหนุ่มอย่างเขามิได้มีเรื่องราวให้ต้องห่วงกังวลมากมาย

ทว่าระหว่างที่เขากำลังข้ามสะพานยูงะวะ คณะระบำเร่คณะหนึ่งได้สวนทางมา โฉมสะคราญที่เดินรั้งท้ายนั้นสะดุดความสนใจของเขาอย่างจัง ดูเหมือนนางจะมีอายุราว ๑๗-๑๘ ปี หนุ่มนักศึกษาหยุดยืนอยู่กลางสะพาน เหลียวมองดูแผ่นหลังของนางค่อยๆ ลับลาไป เมื่อเขาก้าวลงจากสะพานจึงพลันพบว่า จิตใจที่เคยปลอดโปร่งเสมอมา บัดนี้เปลี่ยนเป็นระอุอุ่นว้าวุ่นกว่าเดิมแล้ว

ดังนั้นนักศึกษาหนุ่มเดินเท้าเป็นระยะทาง ๑๕ ไมล์เพื่อติดตามคณะระบำเร่มาจนทันกันที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ร้านน้ำชาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มนักศึกษากับคณะระบำเร่ พวกเขาสองฝ่ายได้มีโอกาสเดินเท้าร่วมทางกันไปจนถึงเมืองชิโมดะอันเป็นสถานที่สุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปตามวิถีของตน

คณะระบำประกอบด้วยคน ๕ คน มีเอคิจิวัย ๒๔ ปี เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว นอกนั้นคือจิโยโกะภรรยาของเขา แม่ของจิโยโกะ ยูริโกะที่เป็นลูกจ้าง และคาโอรุเป็นน้องสาวคนเล็ก (ที่นักศึกษาหนุ่มตกหลุมรัก)

ในสังคมญี่ปุ่นยุคนั้น สถานะทางสังคมยังมีบทบาทอยู่มาก นักศึกษาจัดเป็นชนชั้นปัญญาชนที่เป็นอนาคตของชาติ จึงได้รับการยกย่องอย่างสูง ขณะที่พวกนางระบำถือเป็นพวกเต้นกินรำกินที่ผู้คนต่างหมิ่นแคลน แม้แต่เอคิจิเองก็ไม่ยอมให้นักศึกษาหนุ่มพักอยู่ในเรียวกังเดียวกับตน เขาเห็นว่า ‘นักศึกษาเป็นผู้มีเกียรติจึงไม่สมควรพักในสถานที่โกโรโกโสร่วมกับพวกเขา’ 

ตลอดทั้งเรื่อง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักศึกษาผู้นี้มีชื่อเรียกว่าอะไร เขาเป็นตัวละครที่ขมุกขมัวดุจไอหมอก เป็นคนหนุ่มที่อ่อนต่อโลก จิตใจอ่อนไหว แต่ก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นใคร่รู้ และรักการผจญภัย อย่างไรก็ดี การร่วมทางกับคณะระบำเร่ครั้งนี้ได้ลอกคราบวัยเยาว์ของเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง ตอนที่เขามาถึงร้านน้ำชา นักศึกษาหนุ่มคิดแอบตามคณะระบำเร่ไปแบบลับๆ จึงลอบถามหญิงเจ้าของร้านว่าคณะระบำนี้จะไปพักค้างคืนกันที่ใด

เจ้าของร้านบอกว่า
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนพวกนี้จะไปพักกันที่ไหน หากมีใครว่าจ้างพวกเขา พวกเขาก็พักกันที่นั่น ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นแห่งหนใด คนเช่นพวกเขาไม่อาจกำหนดจุดหมายปลายทางที่แน่นอน”

คำตอบของเจ้าของร้านฟังดูน่าหดหู่ ทว่าในใจของชายหนุ่มกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังอย่างไร้เดียงสา เขาคิดในใจว่า
‘เป็นอย่างนี้ก็ดีนะสิ ฉันจะจ้างให้เธอมาอยู่ร่วมห้องกับฉันในคืนนี้เลย!’

แต่ความฝันเพ้อเช่นนั้นไม่ได้เป็นจริง หนุ่มนักศึกษาร่วมทางกับคณะระบำเร่เป็นเวลาหลายวัน เขากลัดกลุ้มใจอยู่ตลอดเวลา จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่โอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์นั้นมีไม่มาก มารดาของคาโอรุคอยระมัดระวังความสัมพันธ์ของพวกเขาตลอดเวลา แม้แต่ที่พักก็ต้องแยกกันพักคนละแห่ง เพียงเพราะเขาเป็นนักศึกษา ซึ่งมีสถานะสูงส่งกว่าพวกนาง

กระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่นักศึกษาหนุ่มกำลังแช่กายอยู่ในบ่อน้ำร้อนของเรียวกัง ที่ฝั่งตรงข้ามเป็นบ่อน้ำร้อนสาธารณะ สายตาของเขาเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งกำลังจะลงอาบน้ำร้อน... เป็นคาโอรุ! หนุ่มนักศึกษามองดูนางด้วยสายตาตื่นตะลึง หญิงสาวที่เขาหลงใหล ยืนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เรือนร่างสะอาดบริสุทธิ์ของนางขาวโพลนกว่าหิมะ

ยามที่ปราศจากอาภรณ์และเครื่องประทินโฉม ตัวตนที่แท้จริงของนางเป็นเพียงเด็กหญิงอายุ ๑๓-๑๔ ปีเท่านั้นเอง นางเด็กกว่าที่นักศึกษาหนุ่มคิดไว้มากมายนัก เป็นเพียงเด็กหญิงไร้เดียงสาที่กล้าเปลื้องผ้าอาบน้ำโดยไม่รู้สึกเหนียมอาย เมื่อนางรู้ตัวว่านักศึกษาหนุ่มมองดูนางอยู่ นางยังหันมาโบกมือให้แก่เขา เรือนร่างทุกส่วนสัดแจ่มกระจ่างกว่าแสงอาทิตย์ที่สาดสะท้อนลำน้ำ

นักศึกษาหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกสายน้ำบริสุทธิ์ซัดซาดไปถึงหัวใจ เขาถอนใจคราหนึ่งแล้วหัวเราะออกมา เป็นการหัวเราะที่ปลอดโปร่งที่สุดในช่วงเวลาหลายวันมานี้

นักศึกษาหนุ่มยังคงรักคาโอรุอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ความกลัดกลุ้มที่รัดรึงจิตใจพลันสูญสลายสิ้นไปหมดแล้ว แท้ที่จริงความรักปลอดโปร่งถึงเพียงนี้ โล่งสบายถึงเพียงนี้ ไฉนคนจำนวนมากเลือกที่จะ Fall มากกว่า Rise up ในขณะที่มีความรัก?

การหยัดยืนขึ้นต้องใช้ความกล้าหาญ และพร้อมรับความผิดหวังอย่างไม่สะทกสะท้าน หนุ่มนักศึกษาเองก็ทราบ ความรักระหว่างเขากับคาโอรุยากจะกลายเป็นจริง เขาได้ทำเต็มที่แล้ว คาโอรุเองก็พยายามแสดงออกว่านางเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ความจริงนางยังอ่อนวัยนัก สภาพสังคมเวลานั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง มารดาของคาโอรุกีดกันพวกเขาไม่ให้สนิทสนมกันมากเกินไป ชาวคณะระบำเร่เห็นว่านักศึกษาหนุ่มเป็นคนดี... ทั้งดีทั้งสูงส่งจนพวกนางไม่คู่ควร

ในมือของคาโอรุถือกลองอยู่เสมอ ทุกคนในคณะล้วนต้องแบกหาม มือของพวกเขาไม่เคยว่างเปล่า ต่างต้องหอบหิ้วสิ่งของคนละสิ่งสองสิ่ง คณะระบำเร่ต้องเดินทางไกล ผ่านสถานที่แตกต่างมากหลาย บางแห่งติดป้าย ‘ไม่ต้อนรับขอทานและคณะร้องรำพเนจร’ พวกนางได้แต่ยิ้มแล้วเดินผ่านไป มือนุ่มนิ่มของคาโอรุแท้ที่จริงสมควรจับดินสอปากกาอยู่ในโรงเรียน แต่เวลานี้มือของนางต้องรัวกลอง ปากต้องร่ำร้องบทเพลง เพื่อแลกเศษเงินมาประทังชีวิต

วันหนึ่งนักศึกษาหนุ่มแย่งเอากลองของคาโอรุมาถือ เขารู้สึกประหลาดใจ หันไปบอกกับนาง
“กลองใบนี้หนักกว่าที่ฉันคิดไว้อีก”
เด็กหญิงได้แต่หัวเราะ

เมื่อมีงานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกรา คนเมื่อมีวันพบพาน ย่อมต้องมีวันแยกจาก
ที่ท่าเรือ คาโอรุมารอส่งนักศึกษาหนุ่มตั้งแต่เช้ามืด นักศึกษาหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ สองตาผสานกันในขณะกล่าวคำอำลา เขาให้สัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีกในช่วงฤดูร้อน เรือค่อยๆ ถอยออกจากท่า ไกลห่างฝั่งออกไปทีละน้อย ผู้คนที่ยืนอยู่บนท่าดูเลือนรางเต็มที นักศึกษาหนุ่มคล้ายมองเห็นคาโอรุกำลังชูมือโบกของบางสิ่งที่มีสีขาวมาทางเขา แล้วสายน้ำหยดใสก็ร่วงรินลงบนสองแก้ม


ท้ายที่สุดความรักของพวกเขาลงเอยอย่างไร?
อาจบางทีปมเงื่อนของเรื่องเล่านี้ได้ถูกคลี่คลายจบสิ้นแล้วตั้งแต่ต้น จากคำบรรยายบรรทัดแรกๆ ของผู้แต่งเอง

‘ผมเหยียบย่างสองเท้าลงบนวิถี ขณะที่ห้วงอกคุกรุ่นไปด้วยความคาดหวัง แต่แล้วไม่นานหยดฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มกระหน่ำเทลงบนเรือนร่าง ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าเพื่อก้าวผ่านมรรคาที่ลาดชันและคดเคี้ยวไปโดยเร็ว’




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2558 14:28:10 น.
Counter : 1488 Pageviews.  

รักข้ามกาลเวลา: เมื่อใจรักมั่นไปแล้ว ยังจะแก้ไขอย่างไรได้อีก?






ความรักเป็นเรื่องที่สุดแสนซับซ้อน ข้อนี้ทุกผู้คนล้วนทราบกระจ่าง
ทว่าความซับซ้อนนี้ มีที่สิ้นสุดอยู่หนใด? จะนำพาเราไปสู่หนไหน? ข้อนี้ยากบอกกล่าวออกมาได้จริงๆ

ทั้งนี้เพราะความรักอาจไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย หากขบคิดหาเหตุผลมากไปคงต้องกลุ้มใจตายแล้ว โปเยโปโลเย ตอน รักข้ามกาลเวลา ของผูสงหลิง* ก็เป็นเรื่องราวความรักที่ซับซ้อนยากอธิบายด้วยเหตุผลเช่นกัน ท่านใคร่ครวญดู คนผู้หนึ่งมีผู้อื่นคอยเอาใจใส่ห่วงใย ไฉนเขาไม่แยแสไยดี กลับไปตบแต่งเอาป้ายวิญญาณแผ่นหนึ่งมาเป็นภรรยา

ความรักชนิดนี้เองที่เรากำลังพูดถึง คนทุ่มเทรักไม่ได้โง่งมงาย คนถูกรักแม้ไม่แยแสสนใจก็หาได้ผิดอะไร เรื่องของเรื่องก็แค่รักปักใจ จนไถ่ถอนตัวเองไม่ขึ้น...

แค่โปรดอย่าถือโทษโกรธฉันเพียงเพราะรักของฉันไม่ดีพอ!


จางอี่ต้านเป็นหมอใจบุญ ประจำอยู่ที่วัดเซี่ยวซานที่มีฮุ่ยทงไต้ซือเป็นเจ้าอาวาส เขาให้การตรวจรักษาเจือจานแก่ผู้ป่วยไข้ที่ยากไร้ จึงได้รับความรักและเคารพจากชาวบ้านอย่างมากมาย วันหนึ่งอาหมิงกับอาเจิ้งมาขอยาเพื่อไปรักษาขามารดาของพวกเขา จางอี่ต้านตามมาที่บ้านพบฟ่งเหนียงนอนซมเซาอยู่บนเตียง หลังจากสามีตายไป ขาของนางก็มีอาการชาจนเดินไม่ได้ นางฐานะยากจนไม่มีเงินค่ายาจึงไม่ได้ไปหาหมอ อาการก็ยิ่งทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสงสาร จางอี่ต้านจึงเจียดยามาให้นางโดยไม่คิดเงิน เขายังทำเก้าอี้ไม้ไผ่ล้อเลื่อนมาให้ฟ่งเหนียง ทำให้ฟ่งเหนียงสามารถไปไหนมาไหนได้สะดวก นางมักไปไหว้พระที่วัดเซี่ยวซาน และประทับเงาร่างของจางอี่ต้านอยู่ในใจอย่างลึกล้ำ

ไม่นานฟ่งเหนียงก็ค่อยๆ หายจากการเจ็บป่วย นางสามารถเดินได้เป็นปกติ ต่อมาจางอี่ต้านขอให้นางย้ายมาอยู่ที่เรือนหลัง ในเขตรั้วเดียวกันกับตนเอง เพราะบ้านเดิมที่ฟ่งเหนียงและลูกๆ อาศัยอยู่มี “กลิ่นอายความตาย” รุนแรง

นอกจากเป็นแพทย์ จางอี่ต้านยังเป็นผู้พิทักษ์ป่า คอยดูแลปกป้องมิให้ผู้ใดมาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในป่า แล้วโชคชะตาก็บันดาลให้เขาได้พบกับคุณหนูสกุลหลู่ นามหลู่จินไฉ่ ที่มักออกมาล่ากวางเพื่อนำเลือดสดๆ ไปเป็นยารักษาโรคประหลาดของบิดา จางอี่ต้านหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ เขาเพียรห้ามนางไม่ให้ทำร้ายกวางบนภูเขา เพราะกวางเหล่านั้นมีเทพคุ้มครอง แต่หลู่จินไฉ่จำเป็นต้องหาเลือดไปรักษาบิดา ดังนั้นนางไม่เชื่อฟังจางอี่ต้าน ในที่สุดนางถูกเทพกวางลงโทษด้วยการบันดาลให้สายฟ้าฟาด จนนางพลัดตกเขาเสียชีวิต

แท้ที่จริงความเป็นไปของชีวิตคนนั้นเรียบง่ายเช่นนี้เอง ผู้ใดกระทำกรรมใดไว้ ย่อมต้องรับวิบากจากกรรมนั้น ทว่าผู้คนมิได้ยืดอกยินยอมรับผลแห่งการกระทำของตนเองเสมอไป มีบ้างดิ้นรนกระเสือกกระสนไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นชีวิตที่สมควรเรียบง่ายพลันกลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา

จางอี่ต้านรักหลู่จินไฉ่จริงๆ คนแม้ตายไปแล้ว เขากลับไม่อาจหักห้ามใจตนเองได้ ดังนั้นจางอี่ต้านได้แต่ตบแต่งเอาป้ายวิญญาณของหลู่จินไฉ่เป็นภรรยา ป้ายวิญญาณในผืนแพรแดง จางอี่ต้านก็สวมใส่ชุดแดงสดใส พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้บิดามารดา กราบไหว้กันเอง สุดท้ายส่งตัวเข้าหอ

ฟ่งเหนียงก็รักจางอี่ต้านจริงๆ ในคืนเข้าหอของจางอี่ต้าน นางแอบนำพระพุทธรูปสามองค์ไปซ่อนไว้ตามมุมต่างๆ ในห้องหอ คืนนั้นจางอี่ต้านกรีดเลือดเรียกวิญญาณ เขาเฝ้ารอหลู่จินไฉ่ทั้งคืน แต่นางก็ไม่อาจปรากฏกายออกมา นับเป็นคืนน้ำผึ้งพระจันทร์ที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง

ต่อมาจางอี่ต้านเปลี่ยนสถานที่ไปทำพิธีเรียกวิญญาณในป่า คราวนี้หลู่จินไฉ่ปรากฏกายได้สำเร็จ นางนั่งโล้ชิงช้าอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นแจ้งแก่จางอี่ต้านว่านางจะไปเกิดใหม่แล้ว วันที่ ๑๖ เดือน ๘ ของอีก ๑๘ ปีให้หลัง นางจะโล้ชิงช้ารอเขาอยู่ที่สวนหลังของบ้านเจ้ากรมหลู่ในมณฑลเหอเป่ย หากจางอี่ต้านรักนางจริงๆ ก็ให้ไปพบนางได้ที่นั่น จางอี่ต้านให้สัญญาว่าเขาจะไปหานางแน่นอน ทั้งสองประทับฝ่ามือกันและกันถึง ๓ ครั้ง นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สัมผัสกัน จากนั้นเงาร่างของหลู่จินไฉ่ก็ค่อยๆ เลือนหายไป

๑๘ ปี นั้นไม่นับว่านานจนเกินไป ทว่ากาลเวลากลืนกินอายุขัย จางอี่ต้านในอีก ๑๘ ปีให้หลัง ย่อมเป็นชายชราที่ร่วงโรยผู้หนึ่ง เขาไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ ดังนั้นจึงเดินทางไปหาอาจารย์เทียนถวอจื่อเพื่อถามหาวิธีปรุงยาอายุวัฒนะ อาจารย์เทียนถวอจื่อตักเตือนเขาให้ยอมรับความจริง ทว่าความรักทำให้คนมืดบอด จางอี่ต้านหอบตำรากองใหญ่กลับบ้าน คร่ำเคร่งค้นคว้า

ระหว่างที่จางอี่ต้านก้มหน้าก้มตาคิดค้นยาให้สำเร็จ ทุกวันเขามองเห็นฟ่งเหนียง ซึ่งอาศัยอยู่ในแนวรั้วเดียวกัน นางทั้งเย็บปักเสื้อผ้าให้แก่เขา ปรุงอาหารให้แก่เขา ต้มน้ำให้เขาอาบ ดูแลเขาทุกสิ่งอย่าง ในยามที่จางอี่ต้านทุ่มเทปรุงยาอายุวัฒนะไม่เป็นอันกินอันนอน หนวดเครายาวรุงรัง ร่างกายผ่ายผอม ฟ่งเหนียงเดินมาหาเขา นางยื่นหมั่นโถวใบหนึ่ง กล่าวต่อจางอี่ต้าน

“ท่านรับประทานหมั่นโถวเถิด นี่จึงเป็นยาอายุวัฒนะที่แท้จริง”


จางอี่ต้านยังคงหมกมุ่นต่อไป เขาไปขโมยคัมภีร์ถึงวัดเส้าหลิน ได้คัมภีร์มาสามเล่ม เป็นคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น คัมภีร์ฝึกกระดูก และคัมภีร์ร้อยสมุนไพร น่าเสียดายที่เขาถูกจับได้ จึงโดนไล่ออกมาจากวัด เขาได้แต่นั่งเศร้าร่ำร้องด้วยความผิดหวัง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเดินเข้าใกล้ เมื่อเงยหน้ามองดูกลับเป็นฟ่งเหนียง นางหิ้วตะกร้าสิ่งของเดินทางมายังวัดเส้าหลินเพื่อเยี่ยมเยียนจางอี่ต้านนั่นเอง

ก่อนลงจากเขา เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินได้ปรากฏกายขึ้น ท่านนำคัมภีร์ทั้งสามเล่มนั้นมามอบให้แก่จางอี่ต้าน ทว่าเมื่อเปิดออกดู คัมภีร์ทั้งสามล้วนมีเพียงหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า นี่ย่อมเป็นปริศนาธรรมที่ลึกล้ำ... เพียงแต่ใจของจางอี่ต้านไม่อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะรับรู้ เขาได้แต่ร่ำร้องจนแทบฉีกคัมภีร์ออกเป็นชิ้นๆ

ฟ่งเหนียงได้แต่มองดูจางอี่ต้าน มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน รองเท้าของจางอี่ต้านเก่ามากแล้ว นางค่อยๆ ยื่นมือไปถอดรองเท้าของเขาออก แล้วบรรจงสวมคู่ใหม่ให้แก่เขา นางคิดไม่ถึง รองเท้าที่นางสานเองกับมือด้วยความรัก จะเป็นรองเท้าที่จางอี่ต้านสวมใส่แล้วเดินจากไป จางอี่ต้านออกเดินทางตามหาเซียนวิเศษ สองเท้าที่สวมใส่รองเท้าคู่ใหม่พาร่างของเขาเคลื่อนไปดุจคนละเมอ

ฟ่งเหนียงยังคงสานรองเท้าให้แก่จางอี่ต้าน แม้มีหนุ่มใหญ่ผู้หนึ่งเฝ้าเพียรสู่ขอนางมาตลอด ๑๘ ปีที่ผ่านพ้น ฟ่งเหนียงกลับปฏิเสธชายผู้นั้นทุกครั้งครา นางยังคงแวะเวียนมาบ้านอาจารย์ของจางอี่ต้านบ่อยครั้ง เพื่อฝากรองเท้าไว้ให้เขา จางอี่ต้านมิได้กลับมาหานาง รองเท้าที่นางสานไว้ก็กองพะเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ ฟ่งเหนียงไม่ได้ทดท้ออาลัย นางเพียงบอกกล่าวต่อผู้คน

“หากจางอี่ต้านไม่มีรองเท้าสวมใส่ จะเสาะหาเซียนวิเศษพบได้อย่างไร?”

เจ้าอาวาสวัดเซี่ยวซาน ฮุ่ยทงไต้ซือ เคยกล่าวต่อจางอี่ต้าน
“ตั้งใจปลูกพฤกษา พฤกษาไม่งดงาม ไม่มีเจตนาปักหลิว หลิวกลับบานเป็นพุ่มพวง ท่านวาดหวังอย่างเลื่อนลอย ไม่สนใจความสุขเฉพาะหน้า ไยมิใช่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา?”

ทั้งจางอี่ต้านและฟ่งเหนียงล้วนไม่แตกต่าง พวกเขามีหัวใจที่น่ายกย่องเทิดทูน แต่ปัญหายิ่งใหญ่ข้อหนึ่งที่ทำร้ายจิตใจมนุษยชาติเสมอมาก็คือความรักที่ไม่สอดคล้องต้องกัน ดังนั้นผู้คนจำนวนมากรู้สึกความรักเป็นเรื่องเจ็บปวดเหลือคณา ทว่าเมื่อใจรักมั่นไปแล้ว ยังจะแก้ไขอย่างไรได้อีก?


* โปเยโปโลเย ตอน รักข้ามกาลเวลา
ผู้แต่ง: ผูสงหลิง, ผู้แปล: น. นพรัตน์




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2558 16:25:22 น.
Counter : 984 Pageviews.  

กระบี่นางพญา: แอบรักเขาข้างเดียว ก็เจ็บคนเดียวเท่านั้นเอง





 “หากเป็นคนที่ไม่รัก ต่อให้เขาทุ่มเทมากมายเพียงใด ก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี”

เจ้าของบล็อกได้อ่านเจอข้อความที่ฟังดูแสนหดหู่นี้ในเฟสบุ๊ค พออ่านแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ อดเขียนถึงตัวเอง เอ๊ย... อดเขียนถึงอาแชมิได้


กระบี่ไผ่ของอาแช
กระบี่ของอาแชทำจากไม้ไผ่ เป็นไม้ไผ่เรียวยาวที่เดิมทีนางใช้กวาดต้อนฝูงแพะภูเขา ฝูงแพะเชื่อฟังไม้ไผ่ของนางยิ่ง เมื่อนางทุบตีเพียงแผ่วเบาให้พวกมันไปทางซ้าย พวกมันก็พากันไปทางซ้าย ทุบตีให้ไปทางขวาพวกมันก็เลี้ยวเลาะไปทางขวา  แต่กับมนุษย์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ต่อให้นางเอากระบี่ไม้ไผ่ไล่ทุบตีผู้อื่นจนตาย ก็ไม่อาจบังคับผู้ใดให้เปลี่ยนใจมารักนาง...

ด้วยเหตุนี้ หัวใจของอาแชได้แต่ทุ่มเทรักผู้อื่นอยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อแอบรักเขาข้างเดียว ก็มีแต่ต้องเจ็บช้ำคนเดียวเท่านั้นเอง

เพราะความรักมักอยู่เหนือเหตุผล หัวใจคนเรายากจะขีดเขี่ยบงการ คนที่เรารักมากที่สุดอาจมองเห็นเราเป็นเพียงเพื่อนร่วมทาง ดังนั้นมีคนจำนวนมากแบกรักไว้ท่วมท้นอุรา แต่ไม่อาจบอกกล่าวคำ "รัก" ออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

อาแชก็เป็นเช่นนี้ นางมักเฝ้ามองดูฮ่วมลี่ (ฟ่านหลี) สังเกตการกระทำของเขา ไม่ว่าฮ่วมลี่กระทำสิ่งใด (นางเฝ้าคอยตามกดไลค์กดแชร์ 555555) ล้วนดูยิ่งใหญ่น่าประทับใจในสายตานาง ในความคิดของอาแช นางรู้สึกว่าฮ่วมลี่ดีต่อนางยิ่ง 

ฮ่วมลี่มาหาอาแชเป็นเวลาหลายวันเพื่อรอพบกับอาจารย์ของนาง การรอคอยเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย บางครั้งฮ่วมลี่ก็เล่าตำนานมากมายให้อาแชฟังเป็นการฆ่าเวลา อาแชนั่งอยู่ข้างกายเขา รับฟังเรื่องราวด้วยใจจดจ่อ ดวงตาสดใสของนางจับจ้องมองฮ่วมลี่แทบไม่กระพริบ

วันนี้ฮ่วมลี่เล่าตำนานพระสนมเซียงฮุยแห่งแคว้นฌ้อกับภูตคีรี เขาพร่ำพรรณนาถึงความงดงามของพระสนมเซียงฮุยด้วยสายตาเหม่อลอย

“ดวงตานางยังเรืองรองกว่า ใสกระจ่างกว่าสายธาร... ผิวพรรณของนางยังนวลเนียนกว่า อ่อนนุ่มกว่าเมฆขาวบนท้องฟ้า... ริมฝีปากของนางยังอ่อนช้อยกว่า สดใสกว่ากลีบของดอกไม้แดง... สุกปลั่งกว่าเกร็ดน้ำค้าง... มือที่คล้ายหิมะขาวของนางพอยื่นลงในลำน้ำเซียงกังแทบจะหลอมละลายไปในสายน้ำ...”

อาแชพลันถามว่า “ฮ่วมลี่ ท่านเคยเห็นนางมาหรือไร ไฉนบรรยายได้ละเอียดถึงเพียงนี้?”
ฮ่วมลี่ถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “เราเคยเห็นนาง เห็นอย่างละเอียดชัดแจ้ง”

ที่ฮ่วมลี่เอ่ยถึงกลับเป็นไซซีคนรักของเขาที่ถูกส่งตัวไปมอมเมาเจ้าแคว้นโง้ว (อู๋) ตามอุบายหญิงงาม หาได้หมายถึงพระสนมเซียงฮุยไม่ หัวใจของฮ่วมลี่พร่ำเพ้อถึงไซซีอยู่ตลอดเวลา ยามที่อาแชถอนดึงเคราขาวของเขาออกมาเส้นหนึ่งเขาจึงค่อยสะดุ้งตื่นจากฝันกลางวันเพราะความปวดแปลบ

หัวใจของอาแชมีแต่ความรักที่บริสุทธิ์สดใส นางไม่เคยคิดหาเหตุผล ไฉนตนเองจึงตกหลุมรักชายที่นางเองก็ไม่ทราบภูมิหลังอย่างฮ่วมลี่

นางใช้ความสามารถที่มีสนับสนุนส่งเสริมงานของฮ่วมลี่ ติดตามฮ่วมลี่ไปถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้แก่นักสู้แคว้นอ้วก (เย่ว์) เป็นเวลาสามวันเต็ม ไม่มีนักสู้คนใดสามารถลอกเลียนเพลงกระบี่ไม้ไผ่ของนางได้ พวกเขาจดจำได้เพียง “เงาของเพลงกระบี่” ที่อาแชใช้ออก กระนั้นฮ่วมลี่ก็พอใจยิ่ง เขามั่นใจว่าถ้าอาแชถ่ายทอดเพลงกระบี่ต่อไป กองทัพแคว้นอ้วกจะสามารถเอาชนะกองทัพแคว้นโง้วได้แน่นอน

อาแชไม่อาจบอกกล่าวคำ "รัก" ออกไป นางติดตามช่วยเหลือฮ่วมลี่ด้วยปากที่เงียบกริบ แม้ใจจะร่ำร้องคร่ำครวญ ทว่านางจะทนไปได้นานเพียงใด ?

วันที่สี่ฮ่วมลี่จะตามตัวอาแชมาอีก แต่กลับพบว่าอาแชได้จากไปแล้ว จากไปอย่างไร้ร่องรอย

สามปีให้หลังแคว้นอ้วกกรีฑาทัพเข้าบดขยี้แคว้นโง้วได้สำเร็จ ฮ่วมลี่นำทหารเกราะหนึ่งพัน และมือกระบี่ฝีมือดีอีกหนึ่งพันนายเข้าไปรับไซซีคนรักของเขาในตำหนักก้วงอัวเก็งของเจ้าแคว้นโง้ว ยามที่พวกเขาพบหน้ากันราวกับโลกทั้งใบได้หยุดนิ่ง ต่างโผเข้าหากัน พร่ำถ้อยคำห่วงหาอาทรต่อกัน พลันได้ยินเสียงแพะร้องดังขึ้นที่ด้านนอก

เป็นเสียงแพะภูเขาของอาแช นางกับฝูงแพะมาถึงที่นี้ มีเพียงจุดประสงค์เดียวคือเพื่อสังหารไซซีศัตรูหัวใจของนาง อาแชกวัดแกว่งไม้ไผ่ฟันฝ่าวงล้อมของทหารเกราะเข้ามาข้างใน เสียงอาวุธร่วงหล่นกรูกราว ทหารสองพันนายถูกแหวกออกเป็นทาง ท้ายที่สุดม่านประตูฉีกขาดจากกัน ร่างของอาแชในชุดเขียวก็เหินปราดเข้ามา ปลายกระบี่ไผ่พุ่งเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของไซซี     

แต่ปลายกระบี่นี้เพียงจดจ่อนิ่งอยู่ อาแชพิศดูรูปโฉมของไซซี ความอำมหิตพลันเลือนหาย กลายเป็นความผิดหวังท้อแท้ แล้วเปลี่ยนเป็นความเทิดทูนยกย่อง

“ในแผ่นดินกลับมีหญิงงามเช่นนี้ ฮ่วมลี่... นางยังงดงามกว่าที่ท่านบอกบรรยายอีก”

อาแชหัวใจสลายแล้ว นางไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก ได้แต่กู่ก้องกังวาลแล้วพลิกกายทะลวงหน้าต่างออกไป เสียงกู่นั้นคล้ายติดตามไล่หลังนางหายไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวของอาแชอีกเลย

มีเพียงเงากระบี่ของนางที่ตกทอดถึงคนรุ่นหลัง เป็นเงากระบี่ที่สามารถเอาชนะคะคานผู้คน แต่มิอาจมีชัยเหนือความรัก


อาแชปกป้องฮ่วมลี่จากการโจมตีของค่างขาว





 

Create Date : 25 เมษายน 2558    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2558 19:24:57 น.
Counter : 3763 Pageviews.  

Sky Burial: มหากาพย์ความรักจากทิเบต



“ชูเหวินเอนกายลงนอนฟังเสียงสายลม เธอคล้ายได้ยินเสียงของเคอจวินแว่วดังมาจากพุ่มไม้ พร่ำเตือนเธอให้ดูแลตัวเองให้ดี อย่าตากกายอาบน้ำค้างยามค่ำ ให้ระวังกองไฟที่กำลังเผาไหม้ อย่าออกท่องไปที่ใดเพียงลำพัง”   
………...................…….


Sky Burial: An Epic Love Story of Tibet
แต่งโดย เซฺวซินหราน
ฉบับภาษาอังกฤษ พิมพ์ปี 2004

หลังจากกองทัพประชาชนปักหลักอย่างมั่นคงบนผืนแผ่นดินจีน อุดมการณ์คอมมิวนิสต์เฟื่องฟูถึงขีดสุด คนหนุ่มสาวต่างมีปณิธานที่แรงกล้า มุ่งมั่นสรรค์สร้างสังคมในอุดมคติ คนจำนวนมากเก็บข้าวเก็บของมุ่งสู่ไร่นาในชนบทเพื่อบุกเบิกเกษตรกรรม บ้างก็ขึ้นเหนือเพื่อสำรวจหาน้ำมันดิบ บ้างฟันฝ่าป่าเขาเพื่อสร้างเส้นทางรถไฟ

เคอจวินและชูเหวินสองแพทย์จบใหม่ที่กำลังไฟแรง ก็กระตือรือร้นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เช่นกัน และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เคอจวินสมัครเข้าเป็นแพทย์ทหาร ปี 1958 เขาได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมกองทัพที่จีนส่งไป “ปลดปล่อย” ทิเบตทางทิศตะวันตก

ในเวลานั้น คู่รักมากมายจำต้องแยกจากกันเพื่ออุทิศตนทำงานให้แก่รัฐการ สตรีทั่วทั้งแผ่นดินจีนต่างเฝ้ารอคอยข่าวคราวจากบุคคลอันเป็นที่รักของตน หญิงสาวรอฟังข่าวจากคนรัก น้องสาวรอคอยพี่ชาย มารดารอคอยพบหน้าลูกชายตน พวกเธอล้วนเฝ้ารอด้วยความโหยหาอาวรณ์

ชูเหวินก็เช่นกัน แต่เธอไม่คาดคิด วันหนึ่งข่าวที่เธอได้รับ จะเป็นข่าวการตายของเคอจวิน สามีที่เพิ่งแต่งงานกับเธอได้เพียงไม่ถึงร้อยวัน

เธอจะยอมรับข่าวร้ายนี้ได้อย่างไร...

ชูเหวินไม่อาจยอมรับ เคอจวินอาจจะตายแล้วจริงๆ แต่อะไรกันเล่าที่เป็นสาเหตุการตายของเขา นี่คือปริศนาที่เธอปรารถนาใคร่หาคำตอบ จิตวิญญาณของเธอแทบโบยบินออกจากซูโจวไปสู่ทิเบต ดังนั้นเธอสมัครเข้าเป็นทหารเสนารักษ์ เข้าร่วมกองทัพเพื่อออกตามหาร่องรอยของเคอจวิน ชูเหวินย่ำเท้าเดินบนวิถีซึ่งเคอจวินเคยกรายผ่าน ราวกับไล่คว้าจับเงาของสามีตนเอง เงาที่นำพาจิตวิญญาณของเธอล่องลอยไป... ไปสู่หนใด ?

ทิเบต... โลกใหม่ซึ่งต่างจากโลกเก่าที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง

ในทิเบต ชูเหวินเผชิญกับความโหดร้ายของการต่อสู้ ทุกค่ำคืนจะมีทหารตกตายอย่างเงียบเชียบ นักรบชาวทิเบตใช้มีดลอบสังหารเหล่าทหารในกองทัพดุจภูติพรายที่ไล่ล่าดวงวิญญาณ ความตายคล้ายคุกคามชิดใกล้ชูเหวินและผองเพื่อนอยู่ในทุกขณะของลมหายใจ

บ่ายวันหนึ่ง คณะของชูเหวินพบพานหญิงสาวชาวทิเบตทอดร่างอ่อนล้า ลมหายใจรวยรินอยู่กลางทาง ชูเหวินช่วยชีวิตของนางไว้ พอนางค่อยดีขึ้น จึงสอบถามได้ความว่านางชื่อ จัวมา
พวกเธอสนทนากัน คำถามหนึ่งของจัวมาทำให้ชูเหวินต้องนิ่งอึ้ง บังเกิดความสับสนในใจ

“ทำไมเธอจึงละทิ้งบ้านเกิดมาที่นี่เพื่อฆ่าฟันชาวทิเบต?”   

ชูเหวินมายังทิเบตเพื่อเสาะหาร่องรอยการเสียชีวิตของสามี แต่ทางหนึ่งเธอก็ต้องทำงานรับใช้กองทัพปลดปล่อยประชาชน จัวมาเป็นคนแรกที่ทำให้ชูเหวินสำนึกได้ ว่าเธอเองกำลังพลัดหลงอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่เพียงไหน เธอเองก็สงสัย... เคอจวินเคยรู้สึกเช่นนี้หรือไม่!

“สงครามได้ขีดเส้นแบ่งแยกความรักและความเกลียดชังระหว่างผู้คนอย่างชัดเจน”
ความเป็นพวกเขา-พวกเราได้ถูกกำหนดขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือการฆ่าทำลายล้างอย่างไม่ลดละ

จัวมาเปรียบเสมือนเพื่อนทางจิตวิญญาณของชูเหวิน ทุกครั้งที่ชูเหวินมองดูจัวมา เธอคล้ายได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเธอเอง จัวมาเกิดในครอบครัวชนชั้นสูงของทิเบต นางหลงใหลในวัฒนธรรมจีน และเคยเดินทางไปปักกิ่งและซ่างไห่ ประสบการณ์สัมผัสสองวัฒนธรรมทำให้จัวมามองความขัดแย้งระหว่างจีนและทิเบตด้วยความหดหู่

จัวมาไม่เข้าใจความขัดแย้งระหว่างแผ่นดินเกิดกับแผ่นดินที่เธอใฝ่ฝัน ดังนั้นจัวมาได้แต่จากมา นางหันหลังให้กับความขัดแย้งและการสู้รบ เพื่อมุ่งสู่อิสรภาพ จัวมากับชายคนรักเดินทางมุ่งหน้าตะวันออก ที่หมายคือจีนแผ่นดินใหญ่ ลัดเลาะผาชันหุบเขาสูง ระหว่างทางกลับประสบพายุรุนแรง จนชายคนรักพลัดหายไปโดยไม่ทราบชะตากรรม จัวมาเพียงลำพังแทบไม่สามารถเอาตัวรอดบนวิถีที่โหดร้ายกันดาร กระทั่งกองทหารของชูเหวินผ่านมาพบเข้า จึงเก็บชีวิตที่ตกหล่นของนางคืนมาได้

หลายวันต่อมากองกำลังของชูเหวินปะทะกับนักรบเร่ร่อนชาวทิเบต เสียงปืนดังขึ้นรอบด้าน จัวมาฉุดมือชูเหวินหลบจากอันตราย พวกนางทั้งสองพลัดกับกองทหาร ชูเหวินสิ้นสติไป เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัวชาวทิเบต โดยมีจัวมาอยู่ข้างๆ

ในครอบครัวชาวทิเบตเร่ร่อน ที่เดินทางและตั้งเต็นท์ค้างแรมไปเรื่อยๆ ชูเหวินได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวทิเบตอย่างแท้จริง เธอได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดของคู่รักชาวทิเบต พิธีกรรมที่แปลกตา ค่านิยม ทัศนคติ รวมถึงศาสนาที่มีเนื้อหาแตกต่างจากที่เธอเคยรับรู้มาอย่างสิ้นเชิง

ชูเหวินเรียนรู้วิถีชีวิตแบบทิเบตเช่นนั้นเป็นเวลากว่าสามสิบปี เป็นสามสิบปีที่เธอยังคงเฝ้าตามหาข่าวคราวของเคอจวิน จัวมาได้พบกับชายคนรักที่พลัดพรากของนางแล้ว นางให้สัญญากับชูเหวิน ว่านางจะช่วยชูเหวินตามหาเคอจวินให้พบเช่นกัน พวกเธอเดินทางมุ่งหน้าสู่ลาซา ระหว่างทางจึงได้ยินคำกล่าวขานเกี่ยวกับผู้ทรงศีลนามเฉียงปา

ผู้เฒ่าเฉียงปาได้ปรากฏกายขึ้นอย่างลึกลับเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าท่านเป็นใคร สิ่งที่ทุกคนรู้ก็คือ ท่านมักปรากฏกายที่ริมทะเลสาบจาหลิง ขับร้องลำนำถึงแพทย์หนุ่มชาวจีนที่เอาตัวเข้ายุติศึกระหว่างกองทัพจีนและทิเบต

ผู้เฒ่าเฉียงปาเก็บสัมภาระห่อหนึ่งไว้อย่างดีเสมอมา เป็นห่อสัมภาระของแพทย์หนุ่มชาวจีนชื่อเคอจวิน ท่านตั้งใจหานักเดินทางที่ไว้ใจได้สักคน นำส่งมอบของสิ่งนี้ไปถึงมือของหญิงสาวที่เมืองซูโจว ทว่าหนทางแสนไกล สามสิบปีมานี้กลับไม่มีผู้ใดรับภาระนี้ได้ คิดไม่ถึงวันหนึ่งหญิงสาวจากซูโจวจะเดินทางข้ามฟ้ามาพบท่านเอง เมื่อท่านมอบมันให้แก่หญิงสาวผู้นั้น ความจริงเกี่ยวกับเคอจวินจึงแจ่มกระจ่าง

..........................................................

วันหนึ่งเคอจวินได้ยินเสียงร้องโหยหวนแปลกประหลาดจากบนเนินเขา เคอจวินและหัวหน้ากองพากันออกไปดู ที่นั่นพวกเขาได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ชวนขนพองสยองเกล้า

นกแร้งฝูงใหญ่กำลังลงทึ้งซากร่างของผู้คนอย่างตะกละตะกลาม ในกองซากศพพลันมีร่างหนึ่งกระดิกกายขึ้นในขณะที่นกแร้งถลากรงเล็บเข้าหา เคอจวินไม่รอรี เขารีบชักปืนลั่นไกใส่แร้งตัวนั้นจนร่วงหล่นแน่นิ่งกับพื้น ฝูงนกแร้งกระเจิงหนีไปหมดสิ้น จากนั้นเขารี่เข้าไปฉุดลากเจ้าของร่างนั้นออกมา ที่หลืบหินรอบข้าง ชาวทิเบตกลุ่มใหญ่พากันปรากฏกายขึ้น พร้อมกับมองดูเคอจวินด้วยสายตาโกรธแค้น

เคอจวินกลายเป็นปีศาจชาวจีนที่ขัดขวางพิธีฝังฟ้า* และยังลั่นไกสังหารนกศักดิ์สิทธิ์ที่ทำหน้าที่นำพาดวงวิญญาณสู่สรวงสวรรค์  
พวกเขาเชื่อว่าเมื่อนกศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งถูกยิงตาย นกซึ่งทำหน้าที่ทูตสวรรค์เหล่านั้นจะหนีหายไปและไม่กล้ากลับมาอีก นั่นหมายความว่าต่อไปวิญญาณของชาวทิเบตมีแต่ต้องลงสู่ห้วงนรกเท่านั้น

เจ้าของชีวิตที่เคอจวินช่วยมาได้ก็คือเฉียงปา ทว่าพวกชาวทิเบตต่างโกรธแค้นลุกฮือขึ้นต่อต้านกองกำลังต้นสังกัดของเคอจวิน พวกเขาถูกปิดล้อม ขาดทั้งอาหารและน้ำดื่ม เคอจวินตัดสินใจออกไปอธิบายการกระทำของตนเองต่อชาวทิเบต

เคอจวินวางปืนลงแล้วทรุดกายลงกับพื้น

“ข้าปรารถนาจะไถ่โทษต่อความผิดบาปที่ได้กระทำลงไป โดยใช้ชีวิตของตนเองเพื่ออ้อนวอนให้ทูตสวรรค์กลับคืนมา ตามความเชื่อของพวกท่าน นกศักดิ์สิทธิ์ไม่กินเนื้อปีศาจ หลังจากข้าตายไป ขอให้พวกท่านหั่นศพของข้าออกเป็นชิ้นๆ แล้วจงพิจารณาดูเอง ว่าพวกเราชาวจีนต่างจากพวกท่านชาวทิเบตหรือไม่ หากสวรรค์ส่งนกศักดิ์สิทธิ์ลงมา นั่นย่อมยืนยันว่าพวกเราทั้งชาวจีนและชาวทิเบต ล้วนไม่แตกต่างกันในสายตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสรวงวรรค์”

เคอจวินค่อยๆ ประคองปืนขึ้นมา สายตาเหม่อลอยไกลไปยังทิศตะวันออก ราวกับมองเห็นดวงหน้าของใครบางคนที่เฝ้ารอเขาอยู่ที่สุดขอบฟ้าเมืองซูโจว

เสียงปืนสนั่นขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ไม่นานหลังจากนั้น ฝูงนกศักดิ์สิทธิ์ก็พากันมาด้วยจำนวนที่มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผืนดินบนยอดเนินเต็มไปด้วยนกแร้งที่หิวกระหาย “อาจบางทีพวกมันได้รับรู้รสชาติความจริงใจของเคอจวินที่ปรารถนาสันติสุขระหว่างชาวจีนและทิเบต”

พวกชาวทิเบตมองดูเหตุการณ์บนยอดเนินด้วยสายตาแสดงความเคารพอย่างสูงสุด การเสียสละของเคอจวิน ทำให้พวกเขาประจักษ์ว่า แม้แต่ศัตรูอย่างชาวจีนก็สามารถขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้โดยการนำพาของนกศักดิ์สิทธิ์ นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีการรบราระหว่างชาวทิเบตและชาวจีนในเขตนี้อีกเลย

ผู้คนอาจขีดเส้นแบ่งแยกกันเอง ทะเลาะกัน รบรากัน หากแต่สวรรค์หาได้แบ่งแยกผู้คนไม่ แท้ที่จริงในส่วนลึกของจิตใจคน สวรรค์ได้ฝังของสิ่งหนึ่งเอาไว้ เป็นสมบัติล้ำค่าที่ติดตัวเรามาทุกคน นั่นคือความรักยิ่งใหญ่ที่อาจจะซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเราเอง

ชูเหวินใช้เวลากว่า 30 ปี ตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆ ในทิเบตด้วยหัวใจเปี่ยมล้นความรักที่มีต่อเคอจวิน และด้วยความรักนี้เองทำให้เธอได้ค้นพบความรักอันยิ่งใหญ่ของเคอจวินที่มีต่อมนุษยชาติ


*   ฝังฟ้า เป็นการอุทิศศพเป็นทานแก่นกแร้ง ถือเป็นการปล่อยวางตัวตน โดยเชื่อว่านกแร้งจะนำพาดวงวิญญาณขึ้นสู่สรวงสวรรค์ 
** เซฺวซินหรานแต่งนวนิยายเรื่องนี้ขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง




 

Create Date : 23 เมษายน 2558    
Last Update : 25 เมษายน 2558 16:03:44 น.
Counter : 847 Pageviews.  

Miss Chopsticks: ตะเกียบที่ค้ำจุนหลังคา




Miss Chopsticks
แต่งโดย เซฺวซินหราน
ฉบับภาษาอังกฤษ พิมพ์ปี 2008


สำหรับครอบครัวชาวชนบทในประเทศจีน สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดก็คือการไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชาย พวกเขาเห็นว่าเด็กผู้หญิงก็เหมือนกับตะเกียบ มีไว้ใช้สอยไปวันๆ ซ้ำยังเปราะหักง่าย ต่างจากเด็กผู้ชายที่เป็นเหมือนขื่อคานค้ำยันบ้านทั้งหลัง เพราะเด็กผู้ชายสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เอาการเอางาน เป็นเสาหลักของครอบครัว และยังสามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไป

หลี่จงกั๋ว หัวหน้าครอบครัวในหมู่บ้านเล็กๆ ของมณฑลอันฮุยก็คิดเช่นนี้ ซี่ไม้เล็กๆ อย่างตะเกียบไม่อาจแบกรับน้ำหนักของหลังคา การที่มารดาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชาย ครอบครัวย่อมไม่มั่นคง เปรียบเหมือนรอวันหลังคาล่มสลายลงมา สองสามีภรรยาจึงพยายามอย่างเต็มที่ ทว่าท้ายที่สุดกลับได้เด็กหญิงเป็นสิ่งตอบแทนถึงหกคน ตะเกียบเล็กบางหกอันสามารถรองรับหลังคาได้หรือ? ตัวหลี่จงกั๋วเองเมื่อไม่มีลูกชายสืบทายาทก็ต้องสูญเสียสถานะผู้นำของตระกูลให้แก่น้องชายของเขา

ดังนั้นการเกิดที่สมควรเป็นเรื่องมงคลจึงกลับกลายเป็นเรื่องน่าผิดหวังชวนให้หดหู่ หลี่จงกั๋วไม่แม้แต่จะตั้งชื่อให้แก่ลูกๆ ของตนเอง เพียงเรียกขานเด็กหญิงที่คลานต้วมเตี้ยมตามกันออกมาตามลำดับการเกิดของแต่ละคน

พี่สาวคนโตและคนรองถูกผลักไสให้แต่งงานกับชายที่พวกเธอเองก็ไม่รู้จัก หลี่จงกั๋วมีความคิดว่าลูกสาวล้วนแต่เป็นภาระ ดังนั้นยิ่งแต่งพวกนางออกไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเรื่องดี พี่สาวคนโตจึงถูกส่งไปแต่งงานกับพ่อม่ายชราที่แก่กว่าพ่อตาอย่างหลี่จงกั๋วถึง10 ปี ส่วนคนรองถูกจับแต่งงานกับชายพิการท่อนล่าง เธอไม่ได้ปริปากโต้แย้ง ในหมู่บ้านแห่งนี้ผู้หญิงย่อมไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆ รุ่งเช้าผู้คนกลับพบเธอกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ที่ก้นบ่อน้ำ เรือนกายของเธอสวมใส่ชุดชั้นในแค่ไม่กี่ชิ้น ก่อนฆ่าตัวตายเธอพับเก็บเสื้อผ้าไว้อย่างดีเพื่อส่งต่อให้แก่น้องๆ

อาสามหนีออกจากบ้านตอนอายุ 19 ปี เพราะเธอก็ถูกบังคับเช่นกัน ครั้งนี้ถูกบิดามารดาบังคับให้แต่งงานกับหนุ่มพิการผู้เป็นลูกชายเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น แต่อาสามไม่ยินยอม เธอยังโชคดีอยู่บ้างที่อารอง (น้องชายพ่อ) นึกสงสารในชะตากรรมของเธอ จึงช่วยให้เธอหนีรอดมาได้

อารองแม้จะเป็นผู้ชาย แต่ก็ต่างจากคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เพราะเขาทำงานเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ที่จูไห่ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในกว่างตง เขาไม่มีการศึกษาสูงนักแต่ก็พบเห็นโลกกว้างมามาก จึงมีความคิดอ่านก้าวหน้า ตอนที่เขาหยุดงานกลับมาเยี่ยมบ้านในวันตรุษจีน ก็ได้พบเห็นชะตากรรมที่น่าสงสารของหลานสาว ดังนั้นจึงพาเธอหลบหนีออกมา ระหว่างทางเขาพาอาสามไปหาภรรยาของกั๋วเชิง เพื่อนสนิทที่เขาไว้ใจในหนานจิงเพื่อให้ช่วยหางาน

อาสามนับว่ามาถูกที่จริงๆ ภรรยาของกั๋วเชิงเป็นคนค้าขายเก่งได้ฉายาว่า “แม่นางเต้าหู้” เพราะนางเปิดร้านขายเต้าหู้ทอดเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับต้นหลิวใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งนัดพบแรงงาน คนที่มาจากชนบทมักมายังที่นี้ เพื่อรอนายจ้างมาเลือกดูตัว

ภรรยาของกั๋วเชิงพาอาสามมาที่ต้นหลิวใหญ่เพื่อหางานทำ หนานจิงต่างจากบ้านนอกอย่างสิ้นเชิง ผู้คนหญิงชายพูดคุยกันเสียงดังจอแจ อาสามยังได้พบกับเรื่องที่เธอเองก็ต้องประหลาดใจจนปากอ้าตาค้าง พวกผู้ชายที่รุมล้อมเล่นหมากรุกอยู่ใกล้ๆ ต้นหลิวเห็นภรรยาของกั๋วเชิงจูงมือเด็กสาวแปลกหน้ามาก็พากันพูดจาแทะโลมหยอกเย้าอาสาม ภรรยาของกั๋วเชิงเข้าอกเข้าใจอาสามดีถึงกับของขึ้นอย่างแรง นางเทศนาใส่คนพวกนั้นเสียยกใหญ่ ฤทธิ์เดชของ “แม่นางเต้าหู้” ทำเอาทุกคนเงียบกริบ หันมามองดูอาสามด้วยความสำนึกเสียใจ 

อาสามเองก็เงียบกริบ เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นที่บ้านเกิดของเธอแน่นอน ในหมู่บ้านของเธอ ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าขึ้นเสียงกับผู้ชายเด็ดขาด และไม่มีผู้ชายคนไหนยินยอมให้ผู้หญิงลุกขึ้นต่อว่าตัวเองฉอดๆ

ที่เมืองใหญ่อย่างหนานจิง อาสามสัมผัสได้ถึงความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง เธอจึงมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ  ต่อมาอาสามได้งานในร้านอาหารจานด่วน เธอตั้งใจทำงาน เก็บเล็กผสมน้อย จนวันตรุษจีนมาถึงอีกครา อาสามหอบเงินเก็บกลับไปเยี่ยมบ้าน เธอพบว่าเพื่อนบ้านที่เคยดูถูกครอบครัวของเธอพลันเปลี่ยนแปรไป

พวกเขาอาจไม่ให้เกียรติผู้หญิง แต่เขาให้เกียรติเงินที่อยู่ในมือของผู้หญิง

หลี่จงกั๋วพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ทุกผู้คนต่างพากันอิจฉาที่ลูกสาวของเขามีงานและรายได้ดี วันหยุดวันสุดท้ายตอนที่อาสามเก็บกระเป๋าเตรียมกลับหนานจิง พวกเด็กผู้หญิงต่างพากันมารุมล้อม พวกเขาแทบก้มลงวิงวอนให้อาสามพาไปหนานจิงด้วย

วันตรุษจีนปีต่อมา อาสามกลับมาพาน้องๆ ไปอยู่ด้วยกันที่หนานจิง อาสี่เป็นคนหูหนวก อาห้าขึ้นชื่อเรื่องหน้าตาที่สุดแสนอัปลักษณ์ ส่วนอาหกเป็นลูกสาวคนเดียวที่เรียนจบมัธยมต้น แน่นอนว่าคนหูหนวกยากจะหางานทำ สำหรับผู้หญิงที่หน้าตาน่าเกลียดย่อมไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ส่วนผู้หญิงที่มีการศึกษาก็หางานทำได้ง่าย ดังนั้นหลี่จงกั๋วตกลงใจให้อาห้าและอาหกมาอยู่กับอาสามที่หนานจิง 

ชีวิตของตะเกียบสาวทั้งสามในหนานจิงจึงเริ่มต้นขึ้น พวกเธอต่างล้วนต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองก็มีคุณค่าเพียงพอที่จะถือกำเนิดมา และสามารถเติบใหญ่หยัดยืนบนลำแข้งของตนเองได้ไม่ต่างจากผู้ชาย ทั้งยังสามารถพลิกฟื้นสถานภาพที่แร้นแค้นของครอบครัวได้อีกด้วย 

อาสามเองก็ผ่านเรื่องราวมากมาย แม้เธอจะผิดหวังทุกข์ระทมเพราะความรัก เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานในร้านอาหารจานด่วน อาห้าผู้ขี้ริ้วเรียนรู้การทำงานในร้านสปาจีนอย่างตั้งใจ ส่วนอาหกที่มีการศึกษาอยู่บ้างก็มีความสุขกับการทำงานในร้านบุ๊คคาเฟ่ ที่มีหนังสือดีๆ ให้อ่านอย่างเหลือเฟือ

ชีวิตในเมืองของพวกเธอแม้เรียบง่ายธรรมดา แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมและทัศนคติของผู้คน มุมมองของพ่อและคนอื่นในหมู่บ้านชนบทได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง

ในวันหยุดปีใหม่ของปีต่อมา ตะเกียบสาวทั้งสามกลับไปเยี่ยมบ้านที่ชนบทในอันฮุยอีกครา อาห้าอวดรูปถ่ายยิ้มแฉ่งที่เธอถ่ายตรงหน้าที่ทำงานของตนเอง หญิงสาวที่หน้าตาขี้ริ้วบัดนี้ดูมีเลือดฝาดสดใสงดงามขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลี่จงกั๋วมองดูภาพถ่ายที่ลูกสาวนำมาอวดด้วยความทึ่งระคนภาคภูมิ 

พอผ่านพ้นปีใหม่ก็เข้าสู่ฤดูชุนเทียน ตลอดชีวิตของหลี่จงกั๋ว ผ่านพ้นชุนเทียนที่เวียนบรรจบซ้ำซากมานับครั้งไม่ถ้วน อย่างไรก็ดีนี่เป็นฤดูชุนเทียนครั้งแรก ที่ครอบครัวแซ่หลี่ของเขาอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เมื่อเหลียวมองดูรอบกาย ใบไม้ดอกไม้ต่างเริ่มผลิบานแล้วจริงๆ




ป.ล. Miss Chopsticks ถูกเขียนขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง ที่ผู้แต่งได้จากการสัมภาษณ์หญิงสาวชาวชนบทที่อพยพเข้ามาหางานทำในเมือง




 

Create Date : 19 เมษายน 2558    
Last Update : 21 เมษายน 2558 18:59:29 น.
Counter : 741 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Varalbastra
Location :
จันทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




My spirit listens and my yearning eyes
Strain to discover things they may not see.

《Chin Hwa》





..................
Friends' blogs
[Add Varalbastra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.