ยอมเป็นคนเลวที่ชัดเจน ดีกว่าเป็นคนดีที่คลุมเคลือ
Group Blog
 
All Blogs
 
บันทึกการบวช ปี 2564

บันทึกการบวช

ผมอยากจะใช้พื้นที่ตรงนี้ เพื่อบันทึกเรื่องราวที่ผมได้บวชครั้งแรกในชีวิตเอาไว้ เพื่อวันหนึ่งจะได้กลับมาอ่านก่อนที่ผมจะลืมมันไปเสียก่อน

เหตุที่เลือกที่จะบวช:

ย้อนกลับไปตอนนั้น

- การงานที่ทำอยู่มีเรื่องเครียดมาก (งานที่ทำอยู่ต้องรับ Oncall 24/7) มีปัญหาเยอะ แล้วเราก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ส่งผลให้นอนไม่หลับ เครียด วิตกกังวลตลอดเวลา เวลามีโทรศัพท์เข้ามาก็จะผวา ส่งผลต่อชีวิตประจำวันมาก (ต้องทานยานอนหลับเลยทีเดียว ซึ่งเราได้จากจิตแพทย์ที่เราเคยไปพบมา) เลยคิดว่า ถ้าเราได้พักสักหน่อย ตัดเรื่องงานออกจากชีวิตไปสักช่วงหนึ่ง เราน่าจะได้พักผ่อน กายและใจ จะได้มีพลังมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

- อยากเรียนรู้เรื่องธรรมะและการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง (วิปัสสนา) ตอนเด็กๆ เคยเข้าวัดกับที่บ้าน (คุณน้าที่บ้านเป็นคนถือศีล 8 ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ทุกวัน) จริงๆ แล้วผม ก็ปฏิบัติธรรมอยู่บ้างหล่ะ (เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ) แต่ไม่ได้ทำแบบต่อเนื่อง เดี๋ยวๆ ก็เลิก เพราะมันมีอะไรที่จะต้องทำหลายอย่าง (ต้องอยู่กับมือถือ คอยเช็คอีเมล บลา บลา) รวมถึง อยากรู้ว่าเราจะเอาหลักธรรม กลับมาปฏิบัติ/ใช้ ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ ใช่ไหม และเอามาใช้ได้อย่างไร

ด้วยสาเหตุ 2 ข้อนี้ เลย ทำให้ตัดสินใจ ที่จะบวช

ทำไมต้องเลือกวัดนี้: (วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)

- สถานที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ครอบครัวสามารถมาทำบุญ ใส่บาตรได้ (แต่จริงๆ ที่บ้านมาประมาณ 3 ครั้ง เพราะช่วงโควิด ด้วย รวมถึงถ้าจะมาใส่บาตรจะต้องออกจากบ้านที่กรุงเทพกันก่อน 6 โมงเช้า เลยไม่ได้มาบ่อยมาก)

- เนื่องจากที่บ้าน (คุณแม่ กับคุณน้า) ฟังธรรมะของหลวงพ่อ สุรศักดิ์ เป็นประจำ เราก็ได้ยินได้ฟังบ้าง และชอบแนวทางที่ท่านสอนเรื่อง วิปัสสนา ซึ่งท่านสอนแล้วเข้าใจง่าย ไม่ได้นอกลู่นอกทางไปในเรื่องเหนือธรรมชาติ ปาฏิหาริย์ ภูตผี ปีศาจ อะไรพวกนั้น เน้นการปฏิบัติวิปัสสนา ล้วนๆ เทศน์กี่ครั้งก็จะเป็นไปในแนวทางวิปัสสนาตลอด เลยคิดว่าวัดนี้นี่ล่ะเป็นวัดที่เราจะต้องบวช

ติดต่อไปที่วัด:

- เราลองโทรไปหาที่วัดด้วยเบอร์ที่ได้มาจาก อินเทอร์เน็ต มีแม่ชีรับสาย ก็ถามท่านเรื่องอยากจะบวชกับทางวัด ซึ่งท่านแม่ชีไม่ได้ดูเรื่องการบวชโดยตรงเลยไม่มีข้อมูลบอกเรามากเท่าไหร่ เลยให้เบอร์ ไวยาวัจกร กับเรามา เราเกือบจะวางสายแล้วโทรไปหา ไวยาวัจกร อยู่แล้ว แต่โชคดีมาก ทางไวยาวัจกร เดือนมาพอดี แม่ชีเลยยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับเราเลย เราเลยบอกว่าเราอยากจะบวช (ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าเข้าพรรษาเมื่อไหร่ ไม่ได้เช็คเลย ฮ่าา แค่อยากบวชก็รีบโทรไปหาวัดเลย) ซึ่งทาง ไวยาวัจกร ท่านบอกว่า วัดกำลังจะกลับมาเปิดรับ โครงการบวชพระใหม่พอดี (หลังจากที่ปิดโครงการนี้ไป 1-2 ปี เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด) เราเลยรีบยืนยันว่าต้องการจะบวช ซึ่งเป็นช่วงเข้าพรรษาพอดี (กรกฎาคม 2564) เลยนัดวันไปยื่นเอกสารที่วัด โดยจะต้องมีพวก บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ผลตรวจโควิด ประวัติการฉีดวัคซีน ผลตรวจ HIV (เพิ่งรู้ว่าจะบวชพระต้องตรวจเลือดหา HIV ด้วย ตอนเราไปตรวจเลือด พยาบาลก็ถามเราว่าไปมีความเสี่ยงมาเหรอคะ เราก็หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เลยครับ แต่จะไปบวชจะต้องใช้ผลตรวจ นางก็งงๆ เหมือนเรา ว่าบวชพระสมัยนี้ต้องมีผลตรวจด้วยเหรอ แต่เราว่าก็ดีแล้วปลอดภัยไว้ก่อน) ผลตรวจยาเสพติด (อันนี้พอเข้าใจได้ว่า บางคนติดยาเสพติดแล้วมาบวช อาจจะสร้างปัญหาให้กับทางวัดได้) และก็ไปยื่นให้ที่วัด เป็นอันเสร็จในเรื่องการลงทะเบียนยืนยันการบวชของเรา

เริ่มเป็นนาค:

- ทางวัดมีกฎว่า ก่อนที่จะบวชพระต้องเป็นนาค ประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งตอนนั้น เราก็จะต้องใส่ผ้าขาว (อังษะ สบง) โกนผม ให้เหมือนพระ เป็นการปรับตัว ถือศีล 8

ทำวัตรสวดมนต์ (เช้า-เย็น) ปฏิบัติธรรม (นั่งสมาธิ เดินจงกรม) โดยในวันที่จะปลงผมนาค พวกนาคที่จะบวชรุ่นนั้น 14 คน ก็นุ่งชุดขาว (ชุดอุบาสก) แล้วก็จะมี พ่อ-แม่ ญาติ พี่น้องเอากรรไกรมาตัดผมเรา แต่ไม่ได้ตัดทีเดียวหมดนะ ตัดกันคนละฉืบสองฉืบ แล้วเรามาวางบนใบบอน ที่เราถืออยู่ แล้วก็จะมีญาติ/หรือเจ้าภาพ จากนาครูปที่หนึ่ง ไล่มาตัดผมนาครูปที่ 2, 3.. 14 จนครบ พ่อกับแม่เราก็ตัดผมนาคข้างๆ เราไล่ไปจนถึงคนสุดท้าย

เรายังจำได้ว่าตอนที่ตัดผม มีป้าผู้หญิงคนหนึ่ง (น่าจะเป็นญาติ ของนาค คนก่อนหน้าเรา) ตอนตัดผมเราก็พูดกับเราเบาๆ (ตอนนั้นเราไม่ได้หันไปดู) บอกว่าขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม และขอให้บุญนั้นส่งผลให้ป้าได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน เราฟังแล้วก็รู้สึกตื้นตัน และทำให้เรามุ่งมั่นตั้งใจเอาไว้ว่าจะถือศีล และปฏิบัติอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เสียโอกาสและเวลาที่ได้มาบวชในครั้งนี้

- พอญาติพี่น้องตัดผมของนาคจนครบทุกคน พระพี่เลี้ยงและพระที่มาช่วย ก็มาโกนผมให้นาคทุกคน แล้วเราก็ไปล้างหน้าและเปลี่ยนจากชุดขาว (ชุดอุบาสก) เป็นชุดนาค (ตอนนั้นก็จะมีพระพี่เลี้ยงมาช่วยแต่งด้วย เพราะเรานุ่งผ้าสบงไม่เป็น) ซึ่งชุดนาคก็จะประกอบด้วย อังษะ กับ บิณฑบาต (ผ้านุ่ง) แล้วก็รัดประคด (เข็มขัด) แล้วก็ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน จากนั้นก็แยกย้ายไปที่กุฏิที่ถูกกำหนดให้นาคแต่ละคนอยู่ และจะเป็นกุฏิที่เราจะอยู่ตอนเป็นพระด้วย

กิจวัตรประจำวันตอนที่เป็นนาค:

- หลังจากที่เรากลับไปที่กุฏิ พระพี่เลี้ยงก็นัดนาคทุกคนไปรวมตัวกันที่โบสถ์ แล้วแบ่งกลุ่มให้ว่าใครอยู่กลุ่มไหน, งานของแต่ละกลุ่ม (กวาดใบไม้หน้าถ้า, ทำความสะอาดโบสถ์, เส้นทางการไปบิณฑบาต ในแต่ละสาย, ฯลฯ) แล้วก็สอนวิธีนุ่งสบงอีกที (เราเองก็ยังนุ่งไม่เป็น เพราะตอนที่เปลี่ยนจากชุดอุบาสกมาเป็นชุดนาค พระพี่เลี้ยงนุ่งให้และสอนแบบไวมาก เราตามไม่ทัน ฮ่าาาาา) แล้วก็อธิบายกิจวัตรประจำวันของนาค เมื่อจบการ brief จากหลวงพี่ เราก็แยกย้ายกันไปจัดของกันที่กุฏิใครกุฏิมัน

โดย กุฏิที่พวกเรา (นาคทุกคน) อยู่จะเป็นกุฏิไม้ ไม่ใหญ่นัก มีพัดลม มีปลั๊กไฟ และที่สำคัญมีลานเดินจงกรมใต้กุฏิ ซึ่งเราสามารถเดินจงกรมได้อย่างเป็นส่วนตัว กุฏิของเราอยู่ค่อนข้างห่างกัน เรียกได้ว่าเป็นส่วนตัวเลย เหมาะแก่การปฏิบัติมาก แต่ห้องน้ำ จะเป็นห้องน้ำรวม ซึ่งเราก็จะต้องแบ่งกันใช้ ซึ่งก็ไม่เป็นประเด็นอะไร (แต่เราแอบกังวลอยู่บ้างเพราะเวลาเราถ่ายหนัก เราลีลาเยอะ เราต้องเล่นมือถือเปิดไรดู เปิดอะไรฟังเพลินๆ (The Ghost อิอิ เราชอบมาก) แต่มาอยู่ที่วัด เราทำแบบนั้นไม่ได้ เลยแอบกังวลหน่อยๆ)

- ในตอนเช้าเราต้องตื่นประมาณ ตี 4:00 โดยพระพี่เลี้ยงก็จะเปิดเสียงธรรมะของหลวงพ่อ เป็นการปลุก (ในเสียง หลวงพ่อจะเทศน์เหมือนเป็นการกระตุ้นว่าชีวิตเราน้อยนัก ให้รีบปฏิบัติ อย่ามัวแต่นอน อะไรประมาณนั้น) ซึ่งเราก็ตื่นมาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน (ส่วนตัวเราจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้สัก ตี 3.45) จะได้ไม่ต้องแย่งเข้าห้องน้ำกับใคร

จากนั้น เวลาประมาณ ตี 4:30 ก็ไปทำวัตรเช้า เราก็จะเอาหนังสือสวดมนต์ ไฟฉาย ออกจากกุฏิ ไปรวมตัวกันที่ลานหน้าถ้ำ โดยมีพระสงฆ์อยู่บนถ้ำแล้ว นาค แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา สวดมนต์ อยู่ข้างล่างหน้าลาน ซึ่งผมนั่งชันเข่าได้ไม่นานเลย (30 วินาที ก็ไม่ไหวแล้ว) ทรมานมาก เลยต้องกระโย่กระโหย่ง ไปเรื่อยๆ แต่ก็ตั้งใจว่าจะต้องทำให้ได้ เพราะตอนบวชจะต้องนั่งท่านี้ 20 นาที

เมื่อสวดมนต์ เสร็จ ประมาณ ตี 5:30 พวกเรา (นาค) ก็แยกย้ายกันไปรอพระที่จะเดินไปบิณฑบาต ตามเส้นทางที่พระพี่เลี้ยงกำหนดไว้ให้ (ซึ่งเราจะต้องรอประมาณ 6 โมงเช้า หรือจนกว่าแสงสว่างพอที่จะเห็นลายมือตัวเอง หรือแยกสีใบไม้ ได้) จากนั้นก็เดินตามพระท่านไปเพื่อช่วยถือของที่ได้มาจากญาติโยม ผมจะได้เส้นทางหลังวัด (ในผลัดแรก) ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีแต่ของก็เยอะอยู่ ประมาณ 2 ย่ามได้ (บางเส้นทางของเยอะมาก ใช้เวลาประมาณ เกือบชม ก็มี) เสร็จแล้ว เราก็นำอาหารที่ญาติโยมใส่บาตร มารวมกันและแยก ข้าว แกง น้ำ ขนม ฯลฯ ที่โรงทาน และช่วยแม่ชี จัดใส่ถาด ซึ่งก็จะเสร็จประมาณ 7 โมง กว่าๆ

- หลังจากที่ช่วยจัดอาหารเสร็จ เราก็มานั่งรอที่ลานหน้าถ้ำ จนถึงเวลา 7.30 พระสงฆ์ก็จะมาพร้อมกันที่บนถ้ำ และก็จะมีการถวายอาหารจากญาติโยม หรือจากเจ้าภาพ ต่อจากนั้น หลวงพ่อสุรศักดิ์ จะกล่าว สัมโมทนียกถา (คือการกล่าวถึงกุศล บุญ ที่ได้จากการให้ทาน เพื่อให้ญาติโยมฟังแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ) ประมาณ 15 นาที แล้วพระสงฆ์ก็สวดให้พร จากนั้นพระสงฆ์ก็จะพิจารณาอาหาร เสร็จแล้วก็เป็น นาค แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา และคนงานของวัด ตามลำดับ

- พวกเราก็เอาอาหาร (เป็นถาด) มากินกันหน้าถ้ำ ส่วนพระสงฆ์ท่านก็ฉันบนถ้ำ จนเสร็จ เราก็เอาถาดไปล้างแล้วก็ตาก ตามจุดที่วัดเตรียมไว้ให้ แล้วก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติที่กุฏิของแต่ละคน

- หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็กลับมากุฏิเพื่อเดินจงกรมเพราะเป็นการย่อยอาหารไปด้วย สลับกับนั่งสมาธิ (เรามารู้ว่า การที่เราเดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ จะทำให้นั่งสมาธิได้นานขึ้น คงเป็นเพราะว่าตอนเราเดินจงกรม จิตเราคงจะเริ่มมีสมาธิมากขึ้น ความฟุ้งที่เกิดขึ้นมันจะเบาบางไปในระดับหนึ่ง พอมานั่งสมาธิต่อมันเลยนิ่งกว่าเดิม) เราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง 10:00 โมง

- ทุก 10:00 โมง จะมีเสียงตามสายดังมาที่กุฏิ ให้เราได้ฟัง (ลำโพงของวัด ดัง และชัดมาก ทำให้เราได้ยินเสียงชัดเจน) ซึ่งในระหว่างที่ฟังเสียงเทศน์หลวงพ่อ เราจะนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมไปด้วยก็ได้ โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ ท่านจะเทศน์การปฏิบัติวิปัสสนา บางครั้งท่านก็เทศน์เรื่องประวัติของพระอริยสงฆ์ในพระไตรปิฎก ซึ่งเราก็เห็นถึงความพยายามของ พระอริยสงฆ์รูปนั้นในการปฏิบัติธรรม เห็นความลำบาก ความสูญเสีย ความเสียสละของท่าน ทำให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติของเราต่อไป

- ตอนประมาณ 11:00 โมง ทางวัดจะจัดเตรียมโรงทานขนาดเล็ก ซึ่งมีอาหารเพล ให้นาค ซึ่งผมทานได้อยู่สัก หนึ่งอาทิตย์ จากนั้นผมก็ตั้งใจว่าจะลองกินข้าวมื้อเดียวดู เพื่อจะได้ให้มีความคุ้นเคย เพราะตอนเป็นพระจะฉันมือเดียว

- ตั้งแต่เวลา 13:30 - 14:30 หลวงพ่อจะนำปฏิบัติ (ผ่านเสียงตามสาย) ด้วยการเดินจงกรม 1 ชั่วโมง เราก็เดินจงกรม ตามไปด้วย เสียงจะเปิดนำปฏิบัติประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นก็จะปิดเสียงตามสาย แล้วเราก็เดินจงกรมต่อไป โดยมีสติรู้สึกถึงกายทั่วพร้อม เวลาเดินเหยียบทราบมีความละเอียด ร้อนบ้างเย็นบ้าง ละเอียดบ้าง หยาบบ้าง ขาที่ก้าวเหยียด มีความตึง ความอ่อน ก็ให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา เวลาฟุ้งซ่าน หรือจิตใจมันแว๊ปไปคิดเรื่องงาน เรื่องที่บ้าน เราก็ระลึกรู้สึกตัวกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งแรกๆ ตอนเริ่มปฏิบัติ ฟุ้งซ่านมาก แบบว่าจะกว่าจะสงบลงได้เป็นชั่วโมงเลย (ภายหลัง หลวงพี่ที่บวชด้วยกัน ท่านบอกว่า การที่เรารู้ว่าเราฟุ้งซ่านถือว่า เราเริ่มมีสติแล้ว เพราะสมัยก่อนเราฟุ้งซ่านหรือหลงไป เราไม่เคยรู้สึกตัวเลย พอฟังอย่างนี้เราก็พอจะมีกำลังใจสู้ต่อไป)

- ต่อมาเวลา 14:30 - 15:30 ทางวัดก็เปิดเสียงของหลวงเพื่อนำปฏิบัตินั่งสมาธิ โดยท่านจะสอนให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน โดยจะมีเสียงท่านนำประมาณ 15 นาที แล้วเราก็นั่งสมาธิ ต่อไป ซึ่งส่วนตัวผมก่อนมาบวช ไม่เคยนั่งได้นานเป็นชั่วโมง นั่งได้แค่ 15-20 นาที ก็เริ่มเมื่อยแล้ว พอมาฝึกแบบจริงๆ จังๆ ก็เริ่มนั่งได้นานขึ้น ถ้าจำเป็นจะต้องขยับขาจริงๆ แบบไม่ไหวแล้ว ก็จะค่อยๆ ขยับขาแบบมีสติ เห็นความปวด เห็นว่าความปวดหายไป แล้วเดียวมันก็กลับมาใหม่ พยายามอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ตอนที่นั่งสมาธิแบบไม่ต้องกังวลใจเรื่องงาน ไม่ต้องกังวล เรื่องเช็คอีเมล ในมือถือ มันช่างมีความสุขจริงๆ เป็นความรู้สึกปลอดโปร่ง มีอิสระมาก สงบ และมีความสุขมากจริงๆ หลังจากนั่งสมาธิแล้วจะมีเสียงหลวงพ่อนำแผ่เมตตา (15:25) เป็นอันเสร็จการนั่งสมาธิ

- กิจกรรมหลังนั่งสมาธิคือการทำความสะอาดบริเวณวัด (15:30) ทางพระพี่เลี้ยงท่านจะแบ่งกลุ่มของพระใหม่ ด้วยจำนวนเท่าๆ กันและมอบหมายงานให้ทำความสะอาด เช่น กลุ่ม A ทำความสะอาดลานหน้าถ้ำ ไปช่วยพระบิณฑบาต เส้นทางหน้าวัด เป็นต้น แล้วก็จะมีการเปลี่ยนหน้าที่กันทุกวันพระ วนไปแบบนี้ เพื่อให้นาค ได้เรียนรู้เส้นทางบิณฑบาต และรู้จุดต่างๆ ของวัดในการทำความสะอาดได้

- จากนั้นพวกเราก็ไปอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วไปทำวัตรเย็น ตอน 18:30 ที่ลานหน้าถ้ำ จนถึง 19:30 แล้วเราก็แยกย้ายกันกลับกุฏิ เพื่อไปปฏิบัติต่อ เป็นอันจบกิจวัตรประจำวัน


----------- เดียวมาเขียนต่อ ตั้งใจว่าจะจะทยอยเขียนจนครบ ตั้งแต่ เป็นนาค จนถึง ลาสิกขา --------


Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2565
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2565 11:45:41 น. 0 comments
Counter : 695 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หนึ่งจุดแดงแห่งตงง้วน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Penetration Testing
Penetration Testing
Friends' blogs
[Add หนึ่งจุดแดงแห่งตงง้วน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.