ผมกับเทคโนโลยีที่ผ่านเข้ามา Part1

ใครยังใช้ Hi5 อยู่บ้างงงง ยกมือขี้น (น้องๆสก๊อยยกกันพริ๊บ)

นานมาแล้วตั้งแต่ได้เริ่มใช้งานเจ้าหนังสือรุ่น(Facebook)
บางคนแทบจะลืมไอดีกับรหัสผ่านของเจ้า Hi5 ไปเลย
ในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาโลกของเทคโนโลยีก้าวหน้า
ไปอย่างมากมายมหาศาล มากจนน่าตกใจ

สมัยก่อนวิธีการติดต่อกันส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเขียนจดหมาย 
แล้วถ้าเป็นเรื่องที่ต้องติดต่อแบบเร่งด่วนก็ต้องใช้วิธีการเขียนโทรเลข 
ที่เพิ่งถูกยกเลิกวิธีนี้ไปไม่นานก่อนหน้านี้ ตอนเด็กๆผมค่อนข้างใช้วิธี
การเขียนจดหมายติดต่อกับน้องสาวที่สนิทกันอยู่บ่อยๆ ผมเก็บไว้
ทุกฉบับ บางครั้งทำความสะอาดห้องก็หยิบออกมาอ่าน มันทำให้เรา
ได้กลิ่นไอของบรรยากาศเก่าๆลอยฟุ้งขึ้นมาให้ได้คิดถึงเวลานั้นๆ
หรือการเขียนจดหมายหาเพื่อนต่างโรงเรียน (Pen friends) 
ที่ครูภาษาไทยจะให้นักเรียนเขียนจดหมายไปหาเพื่อนที่มีเลขที่เดียวกัน 
ห้องเดียวกันกับเพื่อนโรงเรียนอื่น ถ้าเพื่อนคนนั้นๆตอบจดหมายกลับมา
ก็จะได้คะแนนส่วนนั้นไป แต่ปัจจุบันเด็กสมัยนี้ผมไม่รู้ว่าครูเค้ายังมีการ
ให้นักเรียนเขียนจดหมายหาเพื่อนอยู่แบบนี้อยู่รึเปล่า 

ต่อมาก็เป้นการใช้โทรศัพท์ (มีสาย) สมัยนู้นจำได้ว่าถ้าคนที่มีธุระ
โทรมาหาพ่อเค้าต้องโทรเข้ามาที่ทำงานพ่อ แล้วลูกน้องของพ่อก็จะ
วิทยุมาบอก พ่อผมเค้าก็ต้องขับรถไปเพื่อรับโทรศัพท์ ดูๆไปมันก็เป็น
อะไรที่ดูยุ่งยาก แต่ทำไงได้วิธีการติดต่อกันมันไม่สะดวกสบายเหมือน
สมัยนี้

หลังจากนั้นมันเริ่มเป็นยุคของเพจเจอร์ หรือที่เรียกกันว่าวิทยุติดตามตัว
สมัยนั้น จะมีผู้ให้บริการอยู่หลักๆไม่กี่เจ้า เช่น 1188  1144  142  152  
วิธีการจะส่งข้อความก็ต้องโทรศัพท์เข้าไปที่คอลเซนเตอร์ บอกเบอร์เพจ
แล้วก็บอกข้อความ หรือบางทีไปในที่ๆไม่มีสัญญานก็สามารถโทรไปถาม
ได้ว่ามีข้อความส่งมารึเปล่า เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อ ในความคิดผม
คนที่ทำงานนี้ได้คงต้องมีความอดทนอดกลั้นสูงน่าดู เพราะถ้าเป็นผมเอง
คงมีหลุดขำต่อข้อความที่มันประหลาดๆ หรือหวานๆเลี่ยนๆ แน่นอน 

สมมติเช่น 

คอลเซนเตอร์ : 1188 สวัสดีค่ะ
ผม : เรียก 1431231 ครับ
คอลเซนเตอร์ : ข้อความที่ต้องการส่งค่ะ
ผม : อยากฝากดาวบนท้องฟ้า
คอลเซนเตอร์ : อยากฝากดาวบนท้องฟ้าค่ะ
ผม : ไปบอกเธอหลับฝันดี
คอลเซนเตอร์ : ไปบอกเธอหลับฝันดีค่ะ
(คอลเซนเตอร์คิดในใจ แกจะฝากฟ้าไปบอกเค้าแล้วโทรมาให้ชั้นบอกทำไม)

ฮ่าๆ มันเป็นอะไรที่ตลกนะ ที่ๆคนนึงจะไปบอกข้อความที่เราอยากส่ง
ให้แฟนเราฟังอะ ทำไปได้ ฮ่าๆ  แล้วไอ้พวกกลอนหวานๆพวกนี้สมัยก่อน
เค้าจะมีพิมพ์เป็นเล่มๆขายเลยนะ น่าจะเป็นของสำนักพิมพ์ใยไหมหรือ
อะไรสักอย่างนี้แหละ ขายดีมากกก มีข้อความแบบต่างๆให้เลือกส่ง 
ไม่ว่าจะอวยพรวันเกิด แสดงความยินดีบอกรักแฟน เยอะแยะมากมาย 
ผมก็เป็นหนึ่งในลูกค้าเค้าแหละ 555




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2555    
Last Update : 17 มกราคม 2557 12:53:51 น.
Counter : 368 Pageviews.  

เรื่องจริงหรือความฝัน

เคยไหมที่ตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าเรื่องที่ฝันมันจะเป็นจริง ตื่นมาแล้วต้องลุกมาดูว่าเรื่องที่ฝันไปมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ


หลายครั้งที่ฝันว่าพ่อกับแม่ตายแล้วต้องตกใจตื่นขึ้นมาแล้วโทรถามพวกเค้าว่าเป็นไงบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรรึเปล่า แต่มันก็เป็นแค่ความฝัน เพราะพ่อกับแม่เรายังสบายดี (เค้าว่ากันว่าฝันเห็นใครตายจะเหมือนต่ออายุให้เค้า อันนี้เป็นเรื่องดี) 

พอดีเมื่อวานได้รับรู้เรื่องที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไรเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ของพี่ชาย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี แล้วก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ (มันเกี่ยวกับการสวมทะเบียนเหมือนที่เคยมีข่าว) จนเราเก็บเอามาฝันถึงรถของเรา 

ผมมีรถที่ใช้อยู่หนึ่งคัน พ่อเป็นคนดาวน์ให้ แล้วเราก็เป็นคนผ่อนเอง มันเลยกลายเป็นลูกรักที่เรารักมากกก เลยตั้งชื่อให้ว่า "น้องงาดำ" ในฝันผมฝันว่ารถเราโดนยึด ทั้งๆที่เราก็จ่ายค่างวดทุกงวด ก็ไปเถียงๆเค้า จนเค้าเข้าใจแล้วก็กลับไป แต่พอวันต่อมาเราตื่นขั้นมาแล้วพบว่าลูกรักของเราได้หายไปจากที่จอดรถ ในฝันแบบว่าโทรหาพี่ๆที่รู้จักกันให้ช่วยกันตามหา โทรหาตำรวจให้เค้าตั้งด่านสกัด คือทำทุกวิถีทางที่จะสามารถช่วยให้รถเราไม่ต้องถูกขโมย คิดไปต่างๆนาๆว่า รถเราต้องโดนแยกชิ้นส่วน โดนขับไปชายแดนเอาไปขายฝั่งนู้น โดนนู่นนี่นั่นสารพัด จนแบบว่าท้อแท้สิ้นหวังจนร้องไห้ ร้องไห้หนักมาก (เหมือนมีใครตาย 555 (มาคิดตอนตื่นจะร้องไห้ทำไมเยอะแยะ)) คือแบบว่าสุดๆอะ ฝันร้ายสุดๆ จนสะดุ้งตื่นขั้นมา กระเด้งตัวจากที่นอนลุกไปดูที่หน้าต่างว่ารถเรายังอยู่ไหม แบบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะรักรถได้เท่านี้ ขนาดแค่ฝันยังเพ้อเจ้อได้มากมาย 555 แต่มันยังดีที่มันเป็นแค่ฝัน  ถ้ามันเป็นเรื่องจริงผมคงเสียใจมากๆ เพราะเรารักของเรา 

มีเรื่องฝันจะเล่าให้ฟังอีก แต่อันนี้เรื่องดีมากๆๆๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมฝันว่าเห็นพ่อได้เข้าเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อแต่งชุดเต็มยศเลย ทุกคนแต่งตัวสวยงาม ในฝันเป็นเรื่องดีมากๆ หลังจากนั้นประมาณไม่ถึงเดือนพ่อผมก็ได้รับแต่งตั้งให้เลื่อนยศทั้งๆที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้เลื่อนเลย แล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว มีอีกครั้งแต่คราวนี้ฝันว่าพ่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เลื่อนยศอีกครั้ง ผมเล่าให้พ่อฟัง ตัวเค้าก็ยังคิดเลยว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อนเลย 

ถือว่าความฝันมันก็อาจจะส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่และความเชื่อของคนไทยแหละ ไม่งั้นคนเค้าคงไม่นอนเร็วเพื่อที่จะได้ฝันเห็นเลขเด็ดก่อนวันที่ 1 กับ 16 ของทุกเเดือนหรอกเนอะ 555

ตอนนี้ก็ตี 1 แล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะ ขอให้ฝันดีก็เป็นดี ฝันร้ายก็เป็นดี นะ




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2555    
Last Update : 15 ตุลาคม 2555 0:09:51 น.
Counter : 580 Pageviews.  

To the beautiful you

เป็นชื่อของซีรี่ส์เกาหลีที่เพิ่งดูจบไป เนื้อเรื่องประมาณว่า พระเอกบาดเจ็บจากการเป็นนักกีฬาแล้วจะไม่เล่นกีฬาอีก นางเอกเห็นแล้วอยากให้พระเอกกลับมาเล่นกีฬาได้อีกครั้ง เลยปลอมตัวเป็นผู้ชายมาอยู่ในโรงเรียนชายล้วนเพื่อที่จะทำทุกทางให้พระเอกกลับมาเล่นกีฬาได้ ตอนหลังจึงเริ่มสนิทกัน จนเกิดเป็นความรัก จำได้ว่าเรื่องนี้เอาเนื้อเรื่องมาจากการ์ตูนเรื่อง Hana-Kimi ปิ้งรักสลับขั้ว และเคยทำเป็นซีรี่มาแล้วฉบับญุี่ปุ่น กับไต้หวัน แต่เคยดูฉบับไต้หวันแบบผ่านๆ


เนื้อหาโดยรวมในซีรีส์ชุดนี้ออกแนว Feel good เนื้อเรื่องเบาๆ แต่แฝงความเศร้าไว้เล็กๆน้อยๆ แต่โดยรวมดูแล้วสนุกดี

นักแสดงในเรื่อง

Min Ho แสดงเป็น Kang Tae Joon
Choi Seol Ri แสดงเป็น Goo Jae Hee
Lee Hyun Woo แสดงเป็น Cha Eun Kyul
Kim Ji Won แสดงเป็น Seol Ha Na
Suh Joon Young แสดงเป็น Ha Seung Ri
Kang Ha Neul แสดงเป็น Joo Ji Chul
Hwang Kwang Hee แสดงเป็น Song Jong Min

เรื่องนี้ผมชอบความรักของพระรองที่มีต่อนางเองดี มันดูแบบแอบรัก ดูแล้วกุ๊กกิ๊กดี ฮ่าๆๆ

หาดูซีรี่ส์เรื่องนี้ได้จาก youtube หรือเว็บที่ดูหนังได้ฟรีครับ (ผมดูจาก //www.kodhit.com)











 

Create Date : 11 ตุลาคม 2555    
Last Update : 13 ตุลาคม 2555 0:49:28 น.
Counter : 564 Pageviews.  

ลูฟี่ เจ้าหมาบ้าพลัง

เมื่อวานเป็นอีกวันที่ได้รับข่าวร้าย คือเพื่อนในกลุ่มโทรมาบอกว่า เจ้าลูฟี่ หมาของเค้าตายแล้ว ได้ฟังตอนแรกตกใจมาก เพราะบ้านของเขาติดกับบริษัทที่เราทำงานอยู่ และเราเล่นกับมันทุกวัน ทักทายกับมันก่อนทำงานทุกเช้า


เพื่อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เค้าออกมาใส่บาตรตอนเช้าเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมื่อวานเค้าดันลืมปิดประตูรั้วลูฟี่มันเลยวิ่งออกไปทางถนนใหญ่ โดยมีหมาตัวเล็กอีกตัวชื่อโทะโม่ะ วิ่งตามไป ตัวเพื่อนเองก็ตกใจรีบวิ่งตามทั้งวิ้งทั้งเรียกมันก็ไม่หยุด จับได้ทันแต่เจ้าตัวเล็ก วิ่งไปถึงหน้าหมู่บ้านได้ยินเสียงโครมครามเหมือนรถชนอะไรสักอย่าง พอถึงก็เห็นมีมอเตอร์ไซด์คันนึงล้มอยู่ และเจ้าลูฟี่นอนอยู่ แต่มันพยายามจะลุก แต่มันลุกไม่ได้ คงเป็นเพราะแรงกระแทกทำให้ข้างในบอบช้ำมีเลือดออกจากปาก แต่ไม่มีแผล ตามจริงแถวๆนั้นมันจะมีโรงพยาบาลสัตว์อยู่ตรงนั้นด้วย แต่วันนี้ดันปิด เพื่อนก็ไปกดกริ่งเรียก ทั้งเรียก ทั้งทุบประตู ก็ไม่มีใครเปิด ตัวเพื่อนเองตกใจมากเพราะตอนวิ่งออกมาไม่ได้หยิบอะไรติดตัวออกมาเลยยืมโทรศัพท์พี่่ยามหน้าหมู่บ้านโทรศัพท์หาแฟน บอกว่าหมาโดนรถชน เค้าก็รีบออกมา 

เพื่อนเล่าอีกว่าตอนมันอยู่ในรถสภาพคือลิ้นมีสีม่วงแล้ว มีเลือดออกจากปาก หายใจกระตุก พยายามจะลุก แล้วก็ดิ้นๆ สักพักใหญ่มันก็หายใจแรง แล้วมันก็นึ่งไป เพื่อนตกใจบอกแฟนว่ามันนึ่งไปแล้ว (เล่าถึงตอนนี้เพื่อนร้องไห้ใหญ่เลย) แล้วเพื่อนก็เรียกมัน ทั้งเขย่าทั้งเรียก แต่มันก็นิ่ง มันไม่หายใจแล้ว ลูฟี่มันจากไปแล้ว T T สงสารเพื่อน สงสารหมา และสงสารมอเตอร์ไซด์ เพราะเพื่อนเล่าว่าตัวเค้าเองก็เจ็บจากการชนเหมือนกัน

จะเล่าเรื่องลูฟี่ให้ฟังนะครับ มันเป็นหมาพันธ์โกเด้นท์รีทีฟเวอร์ ตัวค่อนข้างใหญ่ มีแรงเยอะมาก ส่วนตัวผมจะแวะทักทายมันก่อนเข้าบริษัททุกเช้า มันจะชอบวิ่งมาหน้าประตูแล้วก็เอาตัวถูกับรั้วให้เราจับมันเล่น พอตอนเย็นมันจะมีข้าวเหนียวหมูปิ้งมาขาย ผมก็จะซื้อข้าวเหนียวเผื่อมันห่อนึงประจำๆ เพราะมันเป็นหมาที่ชอบกินข้าวเหนียวมากก มากกว่ากินหมูปิ่งซะอีก พูดแล้วคิดถึงมัน ต่อไปนี้ผมคงเหงาเพราะไม่มีใครให้เล่นก่อนทำงาน ซื้อข้าวเหนียวให้กินก่อนกลับบ้านแล้วว T T

หลับให้สบายนะเจ้าลูฟี หมาบ้าพลังของพวกเรา ไว้มีโอกาสจะทำบุญข้าวเหนียวไปให้นะเพื่อน










 

Create Date : 07 ตุลาคม 2555    
Last Update : 7 ตุลาคม 2555 20:51:34 น.
Counter : 1056 Pageviews.  

ชีวิตของฉัน (ที่ไม่ค่อยมีไรน่าสนใจ)

วันนี้ว่างๆ ไม่มีงานทำ อัพบล็อกเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังดีกว่าเนอะ ^^



ปกติผมมีชื่อเล่นจริงๆว่า "โจ้" แล้วก็มีชื่อเล่นเล่นๆ ว่า โจ
ชื่อโจ จะเป็นชื่อที่ ที่เรียนภาษาใช้เรียก
เพราะว่าฝรั่งเค้าออกเสียง โจ้ ไม่ได้เลย ให้เรียกว่า โจ แทนง่ายดี
แต่จะมีชื่อที่บ้านเรียกเป็นฉายาว่า "อีเหี่ยว" เพราะตอนเด็กจนถึงตอนนี้ ผอมมากๆ เลยได้ชื่อนี้มาแบบฮาๆ แต่ก็เคยทะเลาะกะพี่ชายเพราะว่าเรียกเราแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนจนเพื่อนเอาไปล้อ ก็บอกเค้าว่าเลิกเรียกงี้ซะที แต่จนแล้วจนรอดถึงตอนนี้แม่งก็ยังไม่เลิกเรียก ก็เลยบอก "อะเมิงอยากเรียกไรเมิงก็เรียกตามสบายละกัน กรูยอมละ"



ชีวิตในวัยเด็กไม่ค่อยมีเพื่อนมากเพราะว่าพ่อรับราชการต้องย้ายที่ทำงานบ่อยมากๆ ประมาณ2-3ปีย้ายที แต่ก็ดีนะ เพราะว่าการย้ายทีนึง มันก็คือการที่พ่อเราได้เลื่อนยศ : ) ดีใจกะพ่อจริงๆ Congratulations ค้าบบบพ่อ



ชีวิตในวัยรุ่น ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย เพราะว่าพ่อเป็นคนเข้มงวดมากต้องอยู่ในกฏระเบียบตลอด สมัยเรียนประถม พ่อจะเขียนตารางไว้เลยว่า ต้องตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าวเช้า ไปโรงเรียน เลิกเรียน ทำการบ้าน
พักผ่อน เข้านอน ตามเวลาเป๊ะๆ ผมไม่ชอบหรอก แต่ก็ต้องทำนะเพราะว่าไม่ทำจะโดนไม้เรียว แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะว่าจนปัจจุบันทำให้เราเป็นคนมีระเบียบวินัยไปเลย ขอบคุณจริงๆครับ



เล่าวีระกรรมที่เคยดื้อให้ฟังบ้างดีกว่า
ประมาณ ป.2 ที่บ้านจะมีอ่างอาบน้ำใหญ่พอตัว เป็นอ่างแบบจ้วงตัก เราก็แบบบอกพี่ชายว่าลงไปว่ายกันเถอะ แม่งก็ไม่มีปฏิเสธเลย พี่น้อง 2 คนแก้ผ้าลงเล่นน้ำกันเงียบกริ๊บอยู่พักใหญ่ แต่เสียงน้ำมันกระฉอกดังเหมือนคนลงไปว่ายน้ำ แม่เลยถามว่าทำไรกัน ก็บอกไปว่าไม่ได้ทำไรนะ พ่อเลยบอกให้ออกมาได้แล้ว พอออกมาพ่อเดินไปดูในอ่าง น้ำขุ่นคลั๊กเลย
เพราะตะกอนข้างล่างมันลอยขึ้นมาเต็มไปหมด จนต้องปล่อยน้ำทิ้งไปหมด แค่นั้นแหละ พ่อเดินไปหยิบไม้เรียวมาเลย มีการบอกให้เอาผ้าเช็ดตัวออกด้วย ฟาดใส่ก้นที่ไม่มีไรป้องกันเลย นั่นคือแบบว่าเจ็บสุดที่เคยโดนตีละมั้ง คิดแล้วขำ อยากว่ายน้ำก็ไม่บอกให้เค้าพาไปว่ายที่สระเลยโดนซะ เข็ดไป!!
แล้วก็ประมาณ ม.3 เคยแอบพ่อเล่นไพ่ โดนจับได้ โดนพ่อฟาดซะระบมไปหมด (ม.3 ยังโดนฟาดอยู่เล้ยยยยย คิดดู)
แต่พ่อเค้าไม่ใช่ว่าเอะอะฟาดๆ อย่างเดียวนะ เค้าจะบอกก่อนว่าทำไมถึงโดนตี แล้วทำแบบนี้เราสมควรโดนเท่าไร ให้พิจารณาเอาเอง ก็มีต่อรองกันไป แต่ก็นั่นแหละ โดนอยู่ดี...T_T



ตั้งแต่เกิดมาจนถึง ม.5 ไม่เคยมีแฟนกะเค้าเลย อยู่เป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์มาตลอด เป็นคนขี้อายมากๆ เวลามีใครมาคุยด้วยจะไม่ค่อยกล้าคุยกะเค้า จนมาถึง ม.5 เทอม 2 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เค้ามีการเลือกประธานนักเรียนคนใหม่
เพื่อนผมคนนี้ซึ่งในห้องจะรู้ว่าแม่งเป็นตัวแสบในห้อง ดันไปสมัครกับเค้าด้วย ไอ้เราก็แบบเออมรึงกล้าสมัครกูก็กล้าช่วยมรึง ที่นี้เพื่อนคนนี้มันก็มีแฟนอยู่ ม.3 ก็มาช่วยทำป้ายหาเสียง เค้าก็พาเพื่อนๆเค้ามาช่วยทำ เราก็สังเกตละแหละว่ามีน้องคนนึง แบบว่าโก๊ะได้ใจ แต่ยังเฉยๆกะน้องเค้านะ แอบดูอยู่ห่างๆ แค่คิดว่าน้องมันโก๊ะแบบน่ารักดี หุหุ ก็ได้พูดคุยกันจนแบบว่ามารูทีหลังจากเพื่อนน้องเค้าว่าเค้าก็ชอบเรา อ๊าาาาาก จริงดิ ^o^ ไอ้เราก็แอบดีใจๆ เพราะเราก็แบบว่าเริ่มชอบน้องเค้าละไง แต่ยังเก็บอาการอยู่
เอ้อ ลืมบอก สรุปเพื่อนผมมันก็ไม่ได้เป็นประธานนักเรียน (ใครเค้าจะไปเลือกเมิงละ แม่งแสบซะขนาดนี้) หุหุ แต่มันก็ยังได้เป็นคณะกรรมการอยู่ดี กรูดีใจกะเมิงจริงๆ เพื่อน ฮ่าๆ
ต่อๆ แล้วมีวันนึงพักเที่ยงอยู่ เห็นเค้ากับเพื่อนๆนั่งคุยกันอยู่ เราก็เดินไปคุยด้วย อยู่ๆ เค้าก็ถามว่า ผมอะมีแฟนรึเปล่า ผมบอกว่าไม่มี
น้องแม่งแสดงอาการดีใจเวอร์ ผมก็ถามว่าจะรู้ไปทำไม จะให้ไปเป็นแฟนหรอ เค้าเลยบอกได้ปะละ แค่นั้นแหละ ผมก็บอกเอาสิ ลองดู
แต่ในใจแบบว่า ดีใจโว้ยยยยยย มีแฟนกะเค้าซะที ^^ ร่าเริงสุดพลัง 555

จนขึ้น ม.6 ก็คบกันในฐานะแฟน แม่เค้าก็ถามเค้าว่า เลือกแฟนทำไมไม่เลือกแบบว่า แมนๆ หุ่นดีๆหน่อย ไปเลือกทำไมกระดูกเดินได้ แน๊ะ!!! มีมาแซวเค้าคุณแม่ก็
ระหว่างคบกันผมยอมรับว่าทำตัวไม่ดีหลายอย่างมากมาย ไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแล เคยทะเลาะกันจนแทบจะเลิกกัน จนผมต้องโทรไปง้อแบบว่า
เสียเงินค่าโทรศัพท์เยอะมาก เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่มือถือยังไม่ค่อยนิยมใช้กันในหมู่นักเรียน ค่าโทรนาทีละ 5 บาท โทรเครียล์กัน 2-3 ช.ม.
กินแกลบกันเลยทีเดียว ก็ตกลงว่าคบกันต่อ ก็หายงอนกันไป แต่ผมก็นั่นแหละเหมือนเดิมไม่เอาใจใส่ดูแล
จนจบ ม.6 เป็นช่วงคาบต่อของชีวิตเลย เอ็นซ์ทรานไม่ติด เลยบอกพ่อว่าตกลงจะไปเรียนรามนะ พ่อก็โอเค แต่ให้ไปอยู่กับญาติ วันที่จะมา กทม. ( ลืมบอกผมเป็นเด็กบ้านนอกมาก่อน แต่ตอนนี้เป็นเด็กกรุงเทพฯแล้ว ^ ^/ ) น้องเค้าก็มาส่งถึง บขส. ก่อนขึ้นรถน้องเค้าก็มาคุยกะผม แต่อารมณ์ตอนนั้นแบบว่าหูอื้อไปหมด เพราะว่าตื่นเต้น ไม่เคยจากพ่อแม่ไปไหนไกลๆคนเดียวเลย แต่ได้ยินว่าแค่ว่า สัญญานะ ผมก็เลยตอบส่งๆไป ว่าสัญญา (แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอะไร) ก็ร่ำลากันไป

ผมก็ใช้ชีวิตที่ กทม. ตามปกติ แต่ก็ยังโทรคุยกับน้องเค้าอยู่แต่น้อยลงมาก อารมณ์ประมาณรักแท้แพ้ระยะทาง ผมว่าผมเลวอะ เหมือนแบบว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วจะคบกันทำไม ก็เลยแบบค่อยๆหายไปจากชีวิตน้องเค้าเลย (เล้วเลว) เพราะว่าเผื่อว่าจะได้คบคนใหม่ที่นี่ได้ (เลวได้อีก) ตอนนี้ก็คิดถึงอยู่นะ แต่ผมไม่กล้าไปคุยไปเห็นหน้าน้องเค้าแล้วแหละ สงสารน้องเค้า
แต่ก็นั่นแหละเหมือนฟ้าดินลงโทษว่าไปทิ้งน้องเค้าไว้ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่มีแฟนเลยสักคนเดียว (สงสัยเพราะผิดสัญญาแน่ๆเลย T_T ทำไงดี)



ชีวิตเด็กมหาลัยเปิด คงรู้กันอยู่แล้วว่าเรียนรามต้องมีความรับผิดชอบพอสมควรในระหว่างเรียนเพราะว่าถ้าไม่ไปสอบก็หมายถึงว่าไม่ผ่าน
แล้วก็ตามมาด้วยการเรียนไม่จบ ตอนปี 1 ผมเข้าซุ้ม (ซุ้ม คือ เหมือนเป็นที่ๆไว้ให้ได้มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เพราะว่าการเรียนรามจะไม่มีเพื่อนที่นั่งเรียนในห้องประจำ เหมือนมหาลัยปกติ) ก็ได้มีเพื่อน มีรุ่นพี่ ไว้ปรึกษาเรื่องเรียน โดยปกติถ้าวันธรรมดาผมก็จะเข้าซุ้ม ไปถึงก็จะชวนเพื่อนๆไปเรียนแต่แบบว่าเข้าไป 5 นาทีก็ออกมาแล้ว (ไม่ดีๆ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) แล้วก็ชวนกันไปดูหนัง ทำอยู่แบบนี้ประจำ จนจบปี 1 ผลเก็บ G ไม่ได้เลย จนขึ้นปีต่อมาๆ ก็เข้าซุ้มบ้าง เพราะว่าทุกปีจะมีการพาน้องใหม่ไปรับน้อง ก็ไปกับเค้า ทำแบบนี้โดยไม่ได้เข้าเรียนเลย ใช้อ่านหนังสือเอา จนเรียนจบ (ไม่เชื่อละสิ) นับเวลาเข้าเรียนได้ไม่ถึง 5 ชม.เลยมั้ง (ไม่ได้โม้นะ แต่จบมาได้แบบงงๆ 555 )
ส่วนเรื่องมีแฟนนี่ไม่ต้องพูดถึงเรียนรามไม่มีแน่นอนเพราะถ้าไม่เข้าเรียนโอกาสได้เจอผู้คนเลยน้อย ผมเลยมีแค่เพื่อนในซุ้มที่สนิทกันจริงๆ
ประมาณ 2-3 คน ไว้ปรึกษาเรื่องลงทะเบียนแค่นั้น จนเริ่มทำงาน



ชีวิตทำงาน ผมโชคดีอย่างคือตอนเรียนอยู่ปี 3 ผมรู้จักกับพี่คนนึงก็สนิทกันพอสมควร เค้าเพิ่งเปิดบริษัทเอง ทีนี้เค้ารู้มาว่าผมอะใช้คอมคล่องเลยโทรมาชวนให้มาทำงานด้วย (เริ่มทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบนะค้าบบบบบบ เก่งปะละ) เดือนแรกได้เงิน 4000 กว่าบาท ดีใจมากกกก เงินก้อนแรกที่หาได้ด้วยตัวเอง ว่าจะให้พ่อกับแม่ แต่ก็นั่นแหละ เอาไปใช้หมด แต่เค้าก็บอกว่าไม่ต้องให้ ให้เราเก็บไว้ใช้เอง ทำงานที่นี่มาได้ตอนนี้ก็ 4 ปีละ เงินเดือนก็ปรับตามเวลาแหละ แต่ไม่พอใช้เลยยยยย T_T เพราะเป็นพวก รายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง หุหุ
เรื่องมีแฟนก็ไม่ต้องพูดถึงอีกเช่นกัน เพราะที่บริษัท มีแต่ผู้ชาย !!!!! แถมบริษัทยังอยู่ในหมู่บ้านอีก โอกาสเจอผู้คนเลยน้อยมาก
กิจวัตรประจำแต่ละวันก็ ตื่น อาบน้ำ กินข้าว ทำงาน กินข้าว ทำงาน ไปเรียน กลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ นอน วนๆอยู่แค่นี้ จริงๆมันก็เป็นวงจร
ที่น่าเบื่อนะ แต่เราก็ชอบที่ได้ทำแบบนี้แหละ ไอ้อยากไปหางานใหม่ก็อยากนะ แต่อยู่ที่นี้แล้วเราสบายใจ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ก็อยู่ๆไป



แต่ไม่แน่ว่าปีหน้าอาจจะมีโอกาสได้ไปเมืองนอกเมืองนากับเค้า เพราะลุงผมเค้าเปิดร้านอาหารไทยที่เท็กซัส เค้าก็อยากให้ผมไปช่วย
ตอนนี้เลยได้แค่รอให้เค้าทำเรื่องหาที่เรียนให้ด้วยอยู่ หวังว่าคงจะได้ไปนะ ^^



ชีวิตผมมันก็มีแค่นี้แหละ ยอมรับว่าใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นไม่คุ้ม ไม่มีชีวิตวัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ค่อยมีเพื่อน แถม ไม่มีแฟนด้วย
ก็หวังกันต่อไปว่าอนาคตอาจมีอะไรที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเดิมๆแบบนี้บ้าง หุหุ หวังว่านะ ^^



ยังไงถ้ามีไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตจะเอามาเล่าให้ฟังอีก



ใช้ชีวิตให้คุ้มค่านะครับ ขอบคุณที่อ่าน โชคดีครับ



ปล. เป็นการเขียนบล็อกที่ยาวววววววววววววววววที่สุดในชีวิต




 

Create Date : 15 มกราคม 2553    
Last Update : 15 มกราคม 2553 13:46:04 น.
Counter : 2330 Pageviews.  

1  2  3  

JORO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]











Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add JORO's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.