Group Blog
 
All Blogs
 
ตอบโจทย์ อัตราเงินเดือน และผลตอบแทน ด้วยหลัก Supply Demand และ Expectation

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยสงสัยว่าทำไม rate เงินเดือนของแต่ละสายอาชีพถึงมีความแตกต่างกัน อะไรเป็นตัววัดว่าเราควรจะได้รับเงินเดือนเท่าไหร่ ทำไมอาชีพบางอาชีพที่ทำงานหนักกว่า ถึงได้รับเงินเดือนน้อยกว่า ทำไมเถ้าแก่บางคนนั่งอยู่เฉยๆกลับได้รายได้มากกว่าคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ 

เมื่อผมโตขึ้นมาจนได้เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน ผมได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Supply&Demand แรกๆผมก็เรียนไปเพราะมันเป็นวิชาที่ต้องเรียน แต่พอสังเกตุดูดีๆ ผมเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ สิ่งที่ผมเคยสงสัย ควานหาคำตอบ ถ้ามองให้ออก มันล้วนตั้งอยู่บนหลัก Supply Demand ทั้งสิ้น

ก่อนที่เราจะรู้ว่า เป็นลูกจ้างแบบไหนถึงจะได้ เงินเดือนสูง เราต้องมองย้อนกลับไปว่า บริษัทที่ประกอบธุรกิจแบบไหนที่จะมีกำไรมากจนสามารถจ่ายเงินเดือนลูกจ้างแพงๆได้ ย้อนกลับไปที่ว่า บริษัทมีกำไรจากสินค้า หรือ บริการ อะไร

เรียกว่า ตลาดสินค้าและบริการ

ซึ่งการจะตอบได้ว่า สินค้าหรือบริการ แบบไหนที่จะทำกำไรให้กับบริษัทได้ ก็ตั้งอยู่บนหลัก Supply Demand อีกเช่นกัน การที่สินค้าจะมีมูลค่าที่มากขึ้นได้ มีสาเหตุมาจาก 
1.Demand ของสินค้าสูง
2.Supply ของสินค้ามีน้อย
อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง

ลองคิดถึงอาหารราคาแพงๆดูจะเห็นภาพได้ อาหารแพงๆบางอย่าง จริงๆแล้ว รสชาติไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย คุณค่าทางสารอาหารบางทีน้อยกว่าอาหารราคาทั่วไป แต่ทำไมราคาถึงได้แพง

คำตอบก็คือ Supply ของอาหารมีน้อย อาจจะเป็นเพราะ หายาก หรือ นำเข้า หรือมีกุ๊กที่ทำเป็นน้อย เป็นต้น

ตรงจุดนี้ผมเชื่อว่าทุกคนยังเข้าใจ แต่ความจริงที่คนจำนวนมากลืมคิดถึง ก็คือ
"Supply และ Demand มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา"

คนที่ไม่เข้าใจก็จะหลงเข้าไปติดกับดักและเจ๊งในที่สุด

ตัวอย่างหนึ่งก็คือ กระแสชานมไข่มุก กาแฟสด กำลังมาแรง Demand สูง ทำให้กำไรของธุรกิจมีมาก เมื่อคนเห็นดังนั้นก็แห่กันไปประกอบธุรกิจชา กาแฟ ทำให้ Supply ของชา กาแฟ สูงขึ้นเกินกว่า Demand สุดท้ายกำไรของธุรกิจก็หดลง

แล้วต้องทำยังไง? ตรงนี้แหละที่ท้าทาย และน่าสนใจ คำตอบคือ เราต้องมองให้ออก ว่า trend ในอนาคตจะเป็นอย่างไร อนาคตไกลแค่ไหน? ก็ต้องไกลพอที่เราจะสามารถเตรียมตัวรองรับ เตรียมทุน และเปิดธุรกิจเป็นเจ้าแรกๆได้นั่นเอง หรือถ้าธุรกิจมันใหญ่เกินที่เราจะเปิดได้ เราก็ไปมองว่า บริษัทที่ประกอบธุรกิจนั้นมันต้องการลูกจ้างตำแหน่งอะไร หรือก็คือ Demand ของแรงงานในอนาคต

ถ้ามองกันจริงๆแล้ว การทำงานเป็นลูกจ้าง ตัวของเราเองก็เปรียบเสมือนสินค้าตัวหนึ่ง ถ้าคุณสมบัติ หรือความรู้ความสามารถในการทำงานของเรา เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน ก็เหมือนกับว่า Demand ของเราสูง ก็เป็นธรรมดาที่เราจะได้รับเงินเดือนสูง

อีกมุมหนึ่งถ้าหากว่าจำนวนคนที่มีคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถแบบเรามีเยอะ ในตลาดแรงงาน ก็เปรียบเสมือนว่า Supply คนแบบเรามีมาก ก็เป็นธรรมดาที่บริษัทนายจ้างจะมีตัวเลือกเยอะ ไม่ต้องง้อคนอย่างเรา ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนสูงๆให้เรา เราอยู่ไม่ได้ เค้าก็ไปรับคนใหม่

ว่าไปแล้วคนจำนวนไม่น้อยก็ติดกับดักที่คล้ายกับในตลาดสินค้าและบริการ

กล่าวคือ วันนี้เห็นว่าอาชีพอะไรได้เงินเดือนสูงๆก็ส่งลูกหลานไปเรียนสายนั้น คนอื่นก็คิดแบบเดียวกัน เรียนแบบเดียวกัน ถึงเวลาเรียนจบมา Supply ก็ล้นตลาด อัตราเงินเดือนก็หด ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วแรงงานเหล่านี้ก็ไม่แตกต่างไปจากผู้ประกอบการที่ตัดสินใจเปิดร้านขายชา กาแฟรุ่นหลังๆ

คนบางคนบอกว่าเรียนแทบตายจบมาเงินเดือนน้อยนิด นั่นแสดงว่าที่เรียนมายังยากไม่พอ เพราะคนที่เรียนแบบเดียวกันก็จบกันมาเยอะแยะ Supply ยังล้น แสดงว่ายังไม่ยากพอ หรืออาจจะเป็นเพราะคนที่เริ่มเรียนมีจำนวนมากจนถึงแม้อัตราคนเรียนจบจะน้อยก็ยังทำให้ล้นตลาดได้ 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร สุดท้ายแล้วเมื่อคนเราทำงานไปเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าคนเราจะเริ่มมีความชำนาญพิเศษ หรือ Specialized ในด้านใดด้านหนึ่ง จนทำให้ตนเองมีคุณค่าเฉพาะขึ้นมาได้ จนทำให้เราเข้าไปอยู่ใน Niche Market 
สุดท้ายคนที่ทำแบบเราได้จะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะเราใช้เวลาพัฒนาตนเองตลอดเวลา Supply ของคนที่ทำแบบเราได้ก็จะน้อยลง 

สิ่งที่ตัดสินอัตราเงินเดือนในช่วงกลาง ถึงช่วงสุดท้ายของวัยทำงานก็คือการพัฒนาตนเองในระหว่างทำงานนั่นเอง เช่นเดียวกันถ้าเปรียบกับตลาดสินค้าและบริการ ก็เปรียบเสมือนธุรกิจที่สามารถทำให้สินค้าและบริการของตน แปลกกว่าชาวบ้านสร้าง Value ขึ้นมาได้

สิ่งต่างๆเหล่านี้ คนจำนวนหนึ่งมองไม่เห็น ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลัวที่จะต้องพัฒนาตนเอง กลัวที่จะทำสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยทำ สุดท้ายวันเวลาผ่านไป ไม่ได้มีความรู้ความสามารถอะไรเพิ่มขึ้นมาจากวันแรกที่ทำงานเลย ก็เป็นปกติที่จะไม่ประสบความสำเร็จ

อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะคำนึงถึงก็คือหลัก Five Force แต่ถ้าจะพูดถึงคงยาว ลองไป Search Google หาเอานะครับสำหรับคนที่ไม่เคยเรียน 

ผมขอยกตัวอย่างแค่ 1 ใน Five Force ละกัน ผมคิดว่าสำคัญที่สุดคือ "Threat of new entrants" 

หลักที่สำคัญของมันก็คือการวิเคราะห์ว่า ความรู้ความสามารถที่เรามี หรือที่เราจะเรียนในอนาคต มันง่ายต่อการเลียนแบบรึเปล่า ใช้เวลาเรียนแค่ไม่กี่ปีก็ทำได้อย่างเรารึเปล่า ยิ่งเราสร้างตัวเองให้เป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น และยังเลียนแบบได้ยาก ก็จะยิ่งทำให้คุณค่าในตัวเราสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ

วันนี้เมื่อคิดเป็นแล้ว ก็อย่าไปเสียดายเวลาที่ผ่านมา ถ้าเราเรียนจบมาเป็น Mass คนทำแบบเราได้มีเยอะ ก็เริ่มพัฒนาตนเองให้เป็น Niche ตั้งแต่วันนี้ครับ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่สายเกินไป 

ปัจจุบันผมเองเพิ่งเรียนจบตรีมาสายการเงิน โดยตอนที่เลือกเรียน ผมเลือกเรียนสายนี้เพราะมีคนบอกว่าได้เงินเดือนดี ตอนจบมารู้สึกว่าคนจบแบบผมมีเยอะเหลือเกิน แต่ผมยังโชคดีที่ชอบการลงทุนในหุ้นมาก ผมจึงมีแรงที่จะศึกษา ค้นคว้า และผมฝันไว้ว่า วันหนึ่งผมจะเป็นคนที่พิเศษให้ได้ 

พยายามกันต่อไปครับ :)

ขอบคุณที่อ่านกันจนจบบทความนะครับ
ติดตามอ่าน มุมมองและบทความของผมได้ที่ Page :  //www.facebook.com/JoOfGlueInvestmentTalk 

ส่วนใหญ่จะหนักไปทางการวิเคราะห์หุ้นนะครับ ฮ่าๆ แต่จะพยายามเขียนให้ครอบคลุมเรื่องธุรกิจ และการงาน เมื่อมีโอกาสครับ



Create Date : 21 มกราคม 2556
Last Update : 21 มกราคม 2556 14:42:03 น. 3 comments
Counter : 4232 Pageviews.

 
โหย ทำตัวเองให้เป็น Niche ยากหง่ะ


โดย: Fon IP: 61.91.102.210 วันที่: 21 มกราคม 2556 เวลา:16:20:22 น.  

 
เห็นด้วยครับ ไม่ว่าชีวิตเราจะเดินไปทาง Super Employee หรืออยากจะเป็น Entrepreneur ก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่า Concept ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่อย่างที่ได้กล่าวไว้ครับ :)


โดย: Fight IP: 58.137.162.41 วันที่: 21 มกราคม 2556 เวลา:18:07:19 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่กระตุกความคิดของผม


โดย: หนุ่ย IP: 124.121.253.59 วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:6:26:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jo_oF_GluE
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add Jo_oF_GluE's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.