ทะเลทุกข์...กว้างไกล กลับใจ......คือฟากฝั่ง
ตั้งต้นปฏิบัติ



พระธรรมเทศนาของ พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อบุญเพ็ง กัปปโก)
เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
อบรมอุบาสก อุบาสิกา ในงานทำบุญคล้ายวันเกิดครบ ๗๑ ปี
ณ วิหารวัดป่ากู่ทอง ตำบลกู่ทอง อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒


การนั่งปฏิบัติ คือ นั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือเบื้องขวาทับมือเบื้องซ้าย ตั้งกายให้ตรง แล้วก็หลับตาแต่ให้หายใจ หูก็ต้องฟัง ใจก็ให้ตั้ง อย่าไปกังวลกับเรื่องอะไรต่างๆ เรามุ่งเฉพาะใจให้ตั้งใจมั่นเป็นสมาธิ อย่างอื่นเราก็อย่าไป ยุ่งเกี่ยว อย่าส่งเสียงรบกวนกัน คือให้อยู่ในอาการแห่งความสงบ
ครั้งแรกให้สงบภายนอกก่อน กายเราก็สงบ วาจาเราก็ต้องให้สงบ ต่อไปเราจะสงบภายใน คือ ใจ ใจมันท่องเที่ยว คิดหน้าคิดหลัง คิดซ้าย คิดขวา คิดบน คิดล่าง คิดสารพัดต่าง ๆ นานาประการ เมื่อจิตยังไม่สงบอาการก็ต้องเป็นไปในทำนองนั้น

ต้นของความคิดมันเกิดจากที่ไหนและมันอยู่ที่ไหน ต้นของความฟุ้งซ่านมันอยู่ที่ไหน ต้นของความวุ่นวายมันอยู่ที่ไหน เราก็เข้าไปดูบ้าง ส่วนปลายนั้นก็คือ ความวุ่นวาย คือ ความฟุ้งซ่าน ความคิดมาก ทีนี้เราจะเขาไปดูต้นมัน ต้นมันออกจากไหน อยู่ที่ไหน เราก็จะได้หาวิธีเข้าไประงับ คือเราจะต้องระงับตรงที่มันวุ่นวาย ตัววุ่นวายนั้นคือตัวทุกข์


เราอย่าปล่อยไปตามกระแสของโลก กระแสโลกมันไม่มีที่สิ้นสุด ให้เราทวนกระแสโลกเข้ามาที่ท่ามกลางหน้าอกเรานี้ เรียกว่า โอปนยิโก น้อมมาหาธรรมะ ธรรมะมันอยู่ตรงนี้ เราอย่าไหลไปตามโลก คือส่งจิตไปตามโลก ไปตามทุ่งไร่ ทุ่งนา ไปตามรั้ว ตามสวน ไปตามบ้าน ตามช่อง ไปตามผู้ ตามคน สารพัดแต่มันจะไป เขาเรียกว่าไหลไปตามกระแสของโลก ให้เราทวนกระแสของโลก ครั้งแรก ทวนเข้ามาที่ปลายจมูกก่อน เวลาหายใจเข้า เราก็ตามรู้เข้าไป เวลาหายใจออก เราก็ตามรู้ออกมา รู้ทางเข้าทางออกของลม เรียกว่า อานาปานสติ อย่าไปเอาเรื่องอื่นมา ให้น้อมเข้าไปในทรวงอก น้อมเข้าไปที่ปอด ที่ลมหายใจเข้าไป เราอย่าปล่อยไปตามกระแสของโลก กระแสโลกมันไม่มีที่สิ้นสุด ให้เราทวนกระแสโลกเข้ามาที่ท่ามกลางหน้าอกเรานี้ เรียกว่า โอปนยิโก



เมื่อเรากำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก ชำนิชำนาญพอเข้าใจแล้ว เราก็กำกับคำบริกรรมไปด้วย คือหายใจเข้าเราก็ว่าพุท หายใจออกก็ว่าโธ พุทโธ พุทโธ กำหนดเข้าไปที่ทรวงอก ตามรู้เข้าไป สำหรับคนใหม่ยังไม่เคยทำก็ให้กำหนดอย่างนี้อย่างเดียว อย่าเพิ่งไปอยากรู้อะไรให้มันมากนัก อย่าให้ความอยากของเราเป็นเครื่องก่อกวนความสงบของจิต กำหนดเข้าไปในทรวงอกไม่ต้องส่งไปที่อื่นให้มาดูบ้าน ที่กำลังจะนั่งอยู่นี้บ้าง มันเคลื่อนย้ายได้ มันเจ็บมันปวดได้ ความเจ็บความแก่ความตายมันก็อยู่กับบ้านหลังนี้ ให้มาดูบ้านหลังนี้ที่มันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตาเราได้อาศัยมาตั้งแต่แรกเกิด

เราเกิดวันไหนเราก็ไม่รู้ว่าเราเกิดวันนั้น ๆ ตายเราก็ไม่รู้วันที่เราจะตาย ถ้าคนอื่นไม่บอกเราก็ไม่รู้วันที่เราเกิด ที่เราว่า เราเกิดมาวันนั้น ๆ เพราะคนอื่นบอก แม่บอก พ่อบอก ไม่ใช่ว่าเรารู้ ส่วนที่เราจะตายเราก็ไม่รู้ว่าเราจะตายวันไหน เดือนไหน พ.ศ.ไหน ปีไหน แต่คนที่เขารู้ว่าเราตายนั้น คือ คนที่ยังไม่ตาย แต่รู้ก็ตายไม่รู้ก็ตาย ตายแน่ ที่มันตาย คือ ลมหายใจเข้า หายใจออกมันหมด เราก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้า

ทีนี้ให้เราทวนกระแสกลับเข้ามาดูบ้านที่เราว่าเราตาย บ้านมันแตกสลักหักพัง ถ้าเราเอามาทำดี มันเจ็บมันปวด แต่ถ้าเอาไปสนุกสนานมันไม่เป็นไร มันทำได้ตลอดวันตลอดคืน มานั่งภาวนามันก็เจ็บขาเป็นเหน็บ พอเจ็บขาแล้วเกิดกระวนกระวายใจ ไม่เอาแล้ว ใจไม่สู้ หาว่ามันเจ็บ หาว่ามันปวด เราก็เลยสู้ไม่ได้ ทำงานอย่างอื่นทำได้ แต่จะมานั่งภาวนาหาความสงบใจของตัวเองเพื่อให้เกิดความสุขสบายขึ้นเพื่อยังบุญกุศลให้เกิดขึ้น โดยมากมันไม่ค่อยจะสู้ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปสนใจ ส่วนร่างกาย ให้เสก พุทโธ พุทโธ พุทโธ คือให้เอาที่ใจ เพ่งเข้าไปในทรวงอก กำหนดเข้าไป ในทรวงอก นำเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปสู่วงใน

พระพุทธเจ้า พระธัมมะเจ้า พระสังฆเจ้า ที่อยู่ในถ้ำกลางหน้าอกของเรา ไม่ค่อยแสวงหา มักจะไปหาแต่ พระพุทธเจ้าข้างนอก ไปเท่าไรก็ไม่เจอ พระพุทธเจ้า พระธัมมะเจ้า พระสังฆเจ้า ที่อยู่ในถ้ำกลางหน้าอกของเรา ไม่ค่อยแสวงหา มักจะไปหาแต่ พระพุทธเจ้าข้างนอก ไปเท่าไรก็ไม่เจอ ถึงเราจะไปหาในถ้ำ ในป่าลึกดงหนาก็ตาม แต่เมื่อเวลาเรา เจอพระพุทธ เจอ พระธรรม เจอพระสงฆ์ ก็ที่ท่ามกลางหน้าอกเรานี้ ไม่ได้ไปเจอที่อื่น ก็เพราะท่านอยู่ตรงนี้

วิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ทำกันอยู่นั้น ก็เพื่อหาพระพุทธเจ้า พระธัมมะเจ้า พระสังฆเจ้า แต่ว่าจะเจอหรือไม่เจอก็ไม่รู้ ก็หากันอยู่อย่างนั้น แต่ที่จะเจอท่าน จริง ๆ นั้นมันเจออยู่ที่ ถ้ำกลางหน้าอกเรานี้ จะไปถ้ำสั้น ถ้ำยาวที่ไหนก็ตาม ถ้ำเวสสันดรก็ตาม ถ้ำปราบเซียนก็ตาม ถ้ำที่ไหนที่ไหนก็ตามก็มีแต่ถ้ำ ไม่มีพระพุทธเจ้าที่จะไปนั่งคอยเราอยู่ ไม่มีพระธรรมที่จะไปคอยเราอยู่ไม่มีพระอริยสงฆ์จะไปคอยเราอยู่ ก็ท่านอยู่ในหัวใจเรา อยู่ที่ถ้ำกลางหน้าอกเรานี่ เสกพุทโธลงไปกำหนดพุทโธ เข้าไป ไม่ให้ทำอย่างอื่นก ไม่ให้ไปยกหนักยกเบาไปแบกไปหามอะไร แค่นั่งพุทโธเท่านั้น ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันลำบาก

เมื่อเวลาเราทำดี ก็ต้องทนเอาหน่อย ทำใจของเราไป กำหนดไป อย่าไปยุ่งกับสิ่งอื่น ตั้งใจให้ดี ๆ เพื่ออะไร ก็เพื่อความสงบของจิต สันติ คือ ความสงบ สมาธิ คือ ความตั้งใจมั่น แล้วมันไปสงบตั้งมั่นตรงไหน ก็ในถ้ำกลางหน้าอกของเรานี้ อย่าไปกังวลกับอย่างอื่น ดูหัวใจตัวเอง ว่ามันคิดมันปรุงมันแต่ง มันนึกอะไร ก็ให้ระวังด้วยสติและปัญญาของตัวเอง ก็ตัวเองไม่ทำเพื่อตัวเองแล้วใครจะมาทำให้ ถ้าตัวเองไม่สงบใครจะมาทำความสงบให้ ถ้าตัวเองไม่ทำดีใครจะมาทำดีให้

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของเราทั้งนั้น อย่าไปหวังคอยคนอื่น อย่าไปยึดคนอื่นว่ามาเป็นที่พึ่งของเราและเราจะไปพึ่งคนอื่น มีแต่องค์สมเด็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของเราจึงอยากจะให้พวกเราเสกพุทโธ คำเดียวเท่านั้น เพ่งเข้าไปข้างในอย่าส่งออกไปข้างนอก โอปนยิโกน้อมเข้าไป ทวนกระแสโลก อย่าไหลไปตามโลก อย่าไหลไปตามกาย ตามหู ตามจมูก ให้รวมเข้าไปจุดเดียวคือจุดข้างใน
เมื่อเรารวมเข้าไปจุดตรงนั้น เราตั้งไว้ตรงนั้นแล้ว ความวุ่นวายก็ค่อยจะสงบลง ค่อยระงับไป จางไป อะไรทั้งหลายก็เลยเบาไป แต่พอนั่งครั้งแรกอารมณ์ต่าง ๆ มันก็รุมก่อน พอนานไป นานไปอารมณ์ทั้งหลายมันก็ค่อยหมดไป ค่อยจางไป จางไป ทีนี้มันก็เบา กายก็เบา ใจเราก็เบา อารมณ์มันก็เบา นั้นหละผลลัพธ์ของมัน แต่อย่าไปคิดว่าจะเอาทีเดียวให้มันได้เลย ถ้าไม่ได้ก็จะเบื่อและก็จะหนี

อย่าไปคิดว่าจะให้จิตของเรานี่สงบก่อนแล้ว จึงจะไปปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำมันไม่มีทางที่จะสงบได้ เราจะไปคิดว่าให้จิตสงบเสียก่อน ให้มันสบายเสียก่อน ให้มันหมดภาระเสียก่อน แล้วจึงจะไปทำ จิตมันจึงจะสงบ นั้นแหละ พอไปทำเข้าแล้วมันยิ่งฟุ้งซ่าน มันไม่ได้เป็นเหมือนอย่างเราคิด คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว จิตมันจึงจะสงบ คิดว่าจิตมันจะสงบด้วยตนเอง มันเป็นไปไม่ได้ หากเราไม่ฝึก ไม่ตั้งข้อสังเกต และไม่ได้ฝึกหัด มันเป็นไปไม่ได้ มันสงบไม่ได้ เราจะต้องเป็นผู้แก้ไข เราจะต้องเป็นผู้รู้ เราจะต้องเป็นผู้ กำจัดในเรื่องอารมณ์ ก็คือเอาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปก่อน

ให้กำหนดพุทเข้าไป โธออกมาเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นไม่ต้องไปวิพากษ์ วิจารณ์ วัดนี่มันจะเป็นยังไง ก็อย่าไปวิพากษ์ วิจารณ์ มันจะสวย จะงาม อะไรก็อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ อันนี้มันของภายนอก แล้วเราก็ไม่จำเป็นที่จะมาปรับปรุงตกแต่ง สร้างอะไรมันหรอก คนที่เขาสร้างมันมี ไม่ จำเป็นที่เราจะไปนั่งคิด นั่งปรับปรุงตกแต่ง เราเอาเฉพาะ พุทโธ คือเราเอาพระพุทธเจ้าองค์เดียว พุทธัง สรณัง คัจฉามิ พระพุทธเจ้าเป็นสรณะและก็เป็นที่พึ่งของเรา เราจะพึ่ง พระพุทธเจ้า ไม่ได้พึ่งวิหาร ไม่ได้พึ่งวัด ไม่ได้พึ่งต้นไม้ ไม่ได้พึ่งอะไรทั้งสิ้น เราจะพึ่งแต่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ใจเราอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั้น พระธรรมก็อยู่ที่นั้น พระอริยสงฆ์สาวกก็อยู่ตรงนั้น ไปอยู่ที่ใจอันเดียว แต่ว่าคนละชื่อ อันหนึ่งชื่อพระพุทธ อันหนึ่งชื่อพระธรรม อันหนึ่งชื่อพระสงฆ์ แต่อยู่ที่ใจของเราอันเดียว ถ้าใจของเราตั้งอยู่ในองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระธรรมก็พร้อมที่จะมีมา ณ ที่นั้น พระอริยสงฆ์สาวกก็พร้อมที่จะต้องมีมา ณ ที่นั้นอย่าไปสงสัย ให้ปลงจิตปลงใจของเราให้ลงสู่สภาพความสงบอย่างเดียว

ถ้าใจของเรามีความสงบตั้งมั่น เป็นสมาธิแล้ว ท่านทั้งสามนั้นพร้อมที่จะอยู่กับเรา และเราก็พร้อมที่จะอยู่กับท่าน ธรรม 84,000 พระธรรมขันต์ ก็อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปเสาะแสวงหาอะไรให้ลำบาก พุทธ ธรรม สงฆ์ ก็เป็นสรณะที่พึ่ง ต่อเมื่อท่านทั้งสาม อยู่กับเราและเราก็อยู่กับท่านแล้ว ก็แสดงว่าเราได้ที่พึ่งแล้วมิใช่หรือก็พากันคิดกันเสียบ้าง

ไม่รู้ว่าพากันไปกี่ถ้ำ แล้วได้อะไรมา ไม่เห็นได้อะไร ป่าก็ไม่รู้ว่าไปทะลุมากี่ป่า แล้วไม่เห็นได้อะไร ก็อยู่เท่าเดิม ไปมาแล้วก็เท่าเดิม แล้วไปปฏิบัติสำนักไหน ก็ไปจนพอแล้ว ก็ไม่เห็นได้อะไรมา ก็ยังอยู่เท่าเดิมไม่เห็นใครได้อะไร เพราะเรามันไปหาข้างนอก แท้ที่จริงท่านอยู่ข้างในนี้ แต่เราไม่มีใครเลยที่จะทวนกระแสโลกเข้ามาสู่พระธรรม

พระพุทธเจ้ามายังความสงบให้เกิดขึ้น ที่เราเสกพุทโธ พุทเข้าไป โธออกมา ก็เพื่อพระพุทธเจ้ามายังความสงบให้เกิดขึ้น เมื่อความสงบเกิดแล้ว พระธรรมก็เกิดตรงนี้ เมื่อมีพระธรรม ใครเป็นผู้ปฏิบัติตามธรรม ก็ใจเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตามความรู้ที่ตัวได้รู้ได้เห็นมา ที่ปฏิบัติตามธรรมคือใคร นั้นหละพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ก็อยู่ตรงนั้น เมื่อเรารู้ธรรมเห็นธรรมปฏิบัติตามธรรมนั้นเรียกว่า พระสงฆ์

เราคิดว่าจะไปอยู่แต่กับพระหรือ พระจึงจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นฆราวาส ท่านไม่อยู่ด้วยหรือ การพวกทำบุญสุนทานก็มีแต่ชาวบ้านไม่ใช่หรือมาทำ และชาวบ้านโดยมากก็มีแต่ผู้หญิง ไม่ว่าที่ไหน ผู้หญิงออกหน้าและก็มามาก ก็เมื่อเรามาทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งสาม จะให้พึ่งไม่ได้ พวกเราจะพากันมาทำไม แล้วจะพากันมารักษาทำไม รักษาเอาไว้ทำไมถ้าพระศาสนาถ้าเป็นที่พึ่งไม่ได้

ที่เราพากันมารักษา และมากระทำ ก็เพื่อว่าท่าน ทั้งสาม เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เฉพาะแต่เพศชายที่จะมาบวชเป็นพระเท่านั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านไม่ได้เลือกบุคคล ไม่เลือกเพศ เพราะใจนั้นจะเป็นเพศหญิงก็ไม่ใช่ จะเป็นเพศชายก็ไม่ใช่ จะเป็นเพศอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะมีแต่ตัวรู้เฉย ๆ แต่ว่ามาอาศัยร่าง พอมาอาศัยร่าง ถ้าเป็นร่างผู้ชายเราก็สมมติเป็นผู้ชาย ถ้ามาอาศัยร่างผู้หญิง เราก็สมมติว่าผู้หญิง ส่วนใจผู้ที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่หญิงและก็ไม่ใช่ชาย ในธรรมท่านก็กล่าวไว้อยู่แล้ว ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ใจก็สักว่าใจ จิตก็สักว่าจิต ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น มีแต่ตัวรู้เฉย ๆ ดังนั้น ทำไมทั้งสามพระองค์จะอยู่กับเราไม่ได้ และเราจะอยู่กับท่านไม่ได้ ก็เราไม่ได้เอาร่างกายไป แต่เราเอาใจไปฝากไว้กับท่าน ให้ท่านทั้งสามรักษา ให้ท่านรับรอง จะเป็นใจใครก็ตาม ถ้าหากว่ามีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ท่านทั้งสามนั้นก็สามารถที่จะเข้าไปอยู่ตรงนั้นหมด และสามารถที่จะเป็นที่พึ่งได้หมด

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น ท่านไม่เลือกใคร ไม่เลือกเด็ก เลือกหนุ่มเลือกสาว เลือกเฒ่าเลือกแก่ เลือกหญิง เลือกชาย ท่านยอมรับเป็นที่พึ่งของหัวใจแห่งสัตว์โลกทั้งหลายได้ทั้งนั้น ขอให้หัวใจนั้นมีความสงบเท่านั้น ถ้าใจนั้นยังหาความสงบไม่ได้ คิดว่าการรับรองคงจะน้อย แต่ก็อาศัยกิริยาอันที่กระทำนั้นเป็นบุญ พระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ท่านไม่ได้อยู่ด้วยความวุ่นวาย ท่านอยู่ด้วยความสงบ ท่านไม่ได้อยู่ด้วยความเอิกเกริกเฮฮา

วิสัยของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีแต่ความสงบ ถ้าจิตเรามีความสงบ ไม่ต้องเรียกร้องและไม่ต้องไปขอพรว่าให้ท่านมาเป็นที่พึ่ง เมื่อท่านอยู่แล้ว และเราก็อยู่กับท่านแล้ว จะไปขอร้องอะไรที่ไหน เมื่อท่านมาอยู่กับเรา เราก็มีความสุข ใจเราอยู่ตรงไหน ความสุขก็อยู่ตรงนั้น ใจเราอยู่ที่ไหนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่ที่นั้น

ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ท่านก็อยู่กับเราด้วย และไม่มีการเคลื่อนย้ายหนีอยู่กับเราตลอด เมื่อเราแตกตายทำลายขันธ์ ใจเราไปอยู่ที่ไหน ท่านก็ตามไป บุญก็ไปด้วยกัน คุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ก็ไป ด้วยกัน แล้วไปที่ไหน ก็บุญพาไป พระพุทธพาไป พระธรรมพาไป พระสงฆ์พาไป ก็เพราะท่านอยู่กับใจเรานะ ไม่ใช่ว่าท่านไปนั่งคอยเราอยู่ เราตายไปแล้วเราจึงจะไป ไม่ใช่ว่า พอเรากราบไหว้เสร็จ สวดมนต์เสร็จแล้วท่านจะไปนั่งคอยอยู่ พอตายก็คิดว่าจะไปหาท่าน มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็ในเมื่อจิตของเรามันรวนเรอยู่ จะไปสู่สุขคติ สวรรค์ ก็คิดถึงบ้าน คิดถึงไร่ ถึงนา ถึงรั้ว ถึงสวนก็วกกลับมาอีก คิดถึงทรัพย์สมบัติของตัวเอง ซึ่งได้หาเอาไว้มาก แล้วตัวเองเอาไปไม่ได้ก็วกกลับลงมา เสียดายก็ไปสุขคติไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยมานั่งเฝ้า นอนเฝ้า ยืนเฝ้ากระดูกของตัวเองที่บรรจุเอาไว้ในธาตุ เอาไว้ในกำแพงวัด เอาไว้ในธาตุที่เราไปก่อสร้างที่วัด ไม่ไปไหนเพราะตัวเองก็ไม่มีอะไรที่จะพาไป จะไปสู่สุขคติมันก็ไม่ไป เพราะมันคิดถึงตัวเองก็วกมาอีก มาเฝ้าอยู่คอยลูกเต้าเขาไปบังสุกุลให้ นำอาหารไปให้ ก็พอได้อยู่ได้กินกับเขาเท่านั้น

ถ้าจิตมันรวนเร แม้สุขคติมันก็ยังไปยาก จะเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ไม่เอา ไม่รู้ไปเอาอะไร ก็รู้อยู่ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ที่พึ่ง เราก็ยังไม่เอา แล้วพากันไปเอาอย่างอื่น ไม่รู้ไปเอาอะไรมา สิ่งเหล่านั้นจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้หรือไม่ ก็หาได้พากันคิดไม่ คิดเอาตามใจของตัวเองตามอำนาจของกิเลส
ก็ความรวนเรนี่แหละ ที่ทำให้ขาดพระรัตนตรัย ที่ว่าเราจะถึงไตรสรณคมน์ ไม่ใช่ง่าย พูดเอาพูดได้ แต่จะไปถึงจริง ๆ ไม่ได้ถึงง่าย ๆ อย่าไปคิดเอาง่าย ๆ ก่อนจะถึงพระพุทธ ก่อนจะถึงพระธรรม ก่อนจะถึงพระสงฆ์ เราเพียงไปทำพิธีขอกันเท่านั้น เหมือนกับเราที่กล่าว ขอบวชเนกธัมมะ และขานนาคกัน ขานคำขอบวชกัน นี้มันเป็นเพียงพิธีกรรม แต่ว่าจะให้เข้าไปถึงจริง ๆ นั้น มันยังไกลอยู่ ไม่ใช่ใกล้ ถ้าได้เข้าถึงท่านทั้งสามแล้ว ท่านทั้งสามก็จะเป็นที่พึ่งของเรา เรียกว่าถึงไตรสรณคมน์
การถึงไตรสรณคมน์ ก็คือเข้าถึงพระพุทธ เข้าถึง พระธรรม เข้าถึงพระสงฆ์ ถ้าเข้าถึงในจิตของเราได้แล้ว ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านไม่ได้ใช้ ในเมื่อเราถึงท่านทั้งสาม กิเลสอะไรที่จะมาสู้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ กิเลสมันก็หมดเท่านั้น

แต่ว่าการเข้าถึงโดยพิธีกรรม แบบที่เรากระทำนั้น สมมติกันไปเพื่อเป็นการดึงศรัทธา แต่จะให้เข้าถึงจริง ๆ เพื่อจะได้เป็นสรณะและจะคุ้มกันเราไม่ให้ไปสู่อบายภูมินั้นยังไม่รับรอง เพราะใจเรายังขาดความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก็เพราะอยากให้ใจเราทั้งหลายสงบตั้งมั่นเป็นสมาธินี้แหละ จึงให้เสกพุทโธ ให้ภาวนาพุทโธ ให้เจริญพุทโธ ภาวนาก็แปลว่าเจริญ เจริญในพุทโธ เจริญในธัมโม เจริญในสังโฆ เจริญในความสงบ เราปรับปรุงจิตของเราให้มีความเจริญหรือไม่ มีแต่เอาความเศร้าหมองมาให้จิต มีแต่เอาความวุ่นวายมาให้จิต มีแต่เอาความทุกข์มาให้จิตตัวเอง ไม่เห็นใครที่จะนำความสงบสุขเข้าไปให้จิตตัวเองเลย แล้วเราจะไปนำท่านทั้งสามมาเป็นสรณะที่พึ่งของเราได้อย่างไร

ถ้าจิตของเราขาดจากความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ อำนาจของกิเลสมันมาผลักดันคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตของเราหายหมด ไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงกิริยาที่เราเคยกระทำมา ถ้าจิตของเรามีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ถึงแม้มันจะกำเริบก็ตาม แต่ก็ยังมีส่วนที่จะระงับยับยั้งได้ทันควัน คือยังมีการแก้ปัญหาตัวเองได้ เพราะหลักของความสงบ ยังสามารถที่จะเข้าไประงับความวุ่นวายได้ และสิ่งเหล่านั้นมันก็จะจางไป แล้วก็หายไป ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเข้าไประงับเลย เมื่อเกิดโมโห และโทโสขึ้น

ที่พวกเราทั้งหลายได้มีโอกาส มาทำอย่างนี้ ไม่ใช่ของง่าย เรามีโอกาสเพียงเล็กน้อยก็ให้ทำเอาบ้าง อย่าพากันมาแต่แค่ฟังเฉย ๆ ฟังแล้วก็พากันหนีไป ไปทำเองก็เลยไม่รู้จักว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร ทำเอาอะไรก็ไม่รู้เรื่อง พวกเราทั้งหลายฟังเทศน์มาแล้วไม่รู้ว่ากี่ครั้ง ไม่รู้ว่ากี่กัณฑ์ แต่เวลาเขานั่งสมาธิภาวนานั้น ยังไม่รู้เรื่อง แล้วไปฟังทำไมมากมายเกินไป ฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ฟังแล้ว จะมาปฏิบัติด้วยตัวเองก็ยังไม่เป็น เพราะการฟัง มีแต่ฟังเฉยๆ แต่เมื่อเวลาที่จะมาปฏิบัติ เลยทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้ว่าทำได้อะไร ก็ได้แต่คำยอเท่านั้น ก็เมื่อท่านยอให้ ก็ดีใจเท่านั้น พอท่านยอให้ว่า ได้บุญอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะได้จริง ๆ จัง ๆ เหมือนท่านยอนั้นหรือไม่ก็ไม่รู้ เพราะเราสำรวจตัวเองไม่เป็น และไม่รู้จักว่าเราได้หรือเราเสีย

เรื่องของความสงบคืออะไร ก็ไม่รู้ โดนยอเท่านั้นก็พอใจแล้ว จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ ขอให้ยออย่างเดียว ถ้าเราจะมาพูดกันจริง ๆ จัง ๆ ไม่ชอบ ชอบยอ นี่เขาเรียกว่าธรรมมะยอ ที่จะเอาความจริง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นภายในจิตใจของตัวเองนั้นมันไม่มี ทีนี้เราจะไปได้ธรรมมะที่ไหน ที่จะมาเป็นสรณะที่พึ่งของตัวเอง

ธัมโมหะเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษา ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าเราปฏิบัติดีแล้วท่านก็คุ้มกันไม่ให้ไปตกอบายภูมิ อบายภูมิ หมายถึงภูมิที่หาความเจริญไม่ได้ ได้แก่ นรก เปรต สัตว์เดรัจฉาน อสูร เมื่อไม่ได้ไปตกอบายภูมิ ก็ไปสุขคติสวรรค์เท่านั้น นั้นคือธรรมย่อมรักษา ผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว ก็คือให้ไปสู่สุขคติ อันดับแรกก็คือสวรรค์ ต่อไปจะมีอะไรก็ทำเอาเอง จะไปสู่พรหมโลกไปก็เอาเอง เพราะการปฏิบัติของเรามันเข้มเข็ง และคุณสมบัติของธรรมมันเกิดมาก ธัมโมหะเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษา ผู้ปฏิบัติธรรม

ด้วยผลงานของการปฏิบัติ มันก็ส่งผลไปเอง ผลงานไม่มีอะไรเลยก็จะวิ่งไปแล้ว เป็นแต่เพียงว่ามารักษาศีลอุโบสถ รักษาศีล ๘ อพรหมจารีย์ ปราศจากเรือนชานบ้านช่อง ถือว่าเป็นพรหมแล้ว จะได้ไปพรหมโลก ไม่ใช่เป็นง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก ถ้าเราไม่ทำเอามันไม่ได้หรอก ทำอย่างไรก็เหมือนที่เรากำลังทำอยู่คือนั่งเสกพุทโธ เสกเข้าไปตรงไหน เสกเข้าไปตรงถ้ำกลางหน้าอกนี้

นี่แหละเรียกว่ามัชฌิมา คือ ความเป็นกลาง และตั้งอยู่ในความเป็นอัตตะ สัมมา ปณิธิ ก็คือตั้งตนเอาไว้ชอบ ตั้งไว้ที่ไหน ก็ตั้งไว้ในถ้ำนี่ ถ้ำอันนี้มันเคลื่อนย้ายได้ กลับไปบ้านเราก็เอาไปได้ ไปทุ่งไร่ ทุ่งนา ก็เอาไปได้ ไปป่าไปดง ก็เอาไปได้ ขึ้นรถลงเรือไปเหนือไปใต้ก็เอาไปได้ขอให้เราท่านทั้งหลาย ตั้งสำนักเอาไว้ในถ้ำกลางหน้าอกของตัวเอง จะเป็นสำนักสมถกรรมฐานก็ดี สำนักวิปัสสนากรรมฐานก็ดี ให้ตั้งเอาไว้ที่ถ้ำกลางหน้าอกของ ตัวเอง เมื่อตั้งแล้วเราเอา ไปไหนไปได้ สมมติว่าเรามาตั้งตรงวัดนี้เป็นสำนักสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อเราออกจากวัดนี้ไป สมถะกรรมฐานก็ไม่มีอีก วิปัสสนา ก็ไม่มีอีก ก็เลยทิ้งเอาไว้ที่วัด ตัวเองก็เลยไม่ได้อะไร

ถ้าเรามาเอาตัวของเรา เอาที่ถ้ำกลางหน้าอกเรา เป็นสำนักสมถกรรมฐาน และสำนักวิปัสสนากรรมฐาน อันนี้เคลื่อนย้ายไปไหนเอาไปได้ ไปอยู่ที่ไหนไปได้สำนักนี้ต้องติดตามไปตลอด แต่ส่วนใหญ่เราก็มักปล่อยจิต ปล่อยใจไปภายนอก ที่อยู่ในตัวเองเลยไม่มีเลย สำนักสมถะไม่มีเลย ความรู้ซึ่งเกิดขึ้นจากสำนักสมถะ คือ ปัญญา ก็ปัญญาที่เรียกว่าวิปัสสนา ก็เลยไม่มี ก็เพราะเราไม่รู้ว่ามันอยู่กับตัวเอง ตกลงเราก็เลยงมกันอยู่นี่ เรียกว่างมเข็มในทะเล ยิ่งกว้างกว่าทะเลอีก

ทะเลมันก็ยังมีขอบเขต แต่จิตของเรามันไม่มีขอบเขต ทีนี้เราจะมาหาจิตตัวเอง จะหาตรงไหน ไม่รู้ว่าจะไปถามใครว่าเห็นจิตของดิฉันไหม เห็นจิตของข้าพเจ้ามานี่ไหมแล้วใครเขาจะรู้ แม้แต่ตัวเองผู้ที่ไป ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเอง เอาไปเอามาก็เลยหลงโลก หลงสงสาร หลงโวหาร หลงสมมติ มันหลงอยู่นี่ รู้ว่าตัวเองหลงไหมนี้ หรือเข้าใจว่าตัวเองดี มันหลงทั้งนั้น

พวกที่นั่งฟังอยู่นี้ก็หลงทั้งนั้น ผู้ที่เทศน์อยู่นี้ก็หลง หลงต่อหลง มาเจอกัน ถ้ารู้มันไม่ได้มาอย่างนี้ ไปแล้วนิพพาน อันนี้เขาเรียกว่าหลงต่อหลงเจอกัน ไม่ใช่ว่ารู้ ยังงมหาเข็มอยู่ ยังไม่เจอว่าเข็มมันอยู่ตรงไหน ก็คือว่าใจเรานะ มันอยู่ตรงไหน มันยังหาไม่เห็น มันหลบตรงไหน เอาตรงนี้มันก็วิ่งไปโน้น เอาตรงโน้นมันก็วิ่งมานี้ ดักหน้าดักหลัง ตามมันไม่ทันเลย เมื่อตามไม่ทันอย่างนี้นะ หลงไหม คิดเอาเองนะ ว่าตัวเองหลงไหม

ทางที่จะไปหาความสิ้นสุดของตัวเองเลยไม่เจอ แต่ทางวนเวียนนั้นเจอตลอด คือเรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด เผลอตลอด แต่จะเข้าไปถึงหนทางอันสิ้นสุดนั้น ยังไม่เจอ งมกันอยู่หากันอยู่ เดี๋ยวก็ทำบุญตรงนั้น เดี๋ยวก็ทำบุญตรงนี้ ไม่รู้ว่าจะทำไปถึงไหน จัดงานก็จัดกันอยู่อย่างนี้ ที่สิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน ไม่มีอีก ก็เพราะมันหลง ต่างคนต่างหลง มาเจอกันอย่าเข้าใจว่าตัวเองรู้ และก็มาวุ่นวายกันอยู่นี้ มาทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่นี้ กูดีมึงดีอยู่นี้แหละ

นั่นเพราะยังงมเข็มไม่เจอ คือยังหาจิตของตัวเองยัง ไม่เจอ มันจึงหลงไหลเวียนว่ายตายเกิดอยู่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ จำเป็นก็จะต้องอยู่อย่างนี้ โดยธรรมชาติ ก็ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ใครจะมาทำลายธรรมชาติได้ ไม่มีใครทำลายได้ นอกจากตัวของตัวเองเท่านั้น ทำโดยวิธีไหน ทำโดยวิธีตั้งสำนักสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน เอาไว้ในถ้ำตัวเอง คือ ถ้ำกลางหน้าอก สมถะ คือ ความสงบจิต ทำจิตใจของตัวเองให้สงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วยังปัญญาให้เกิดขึ้น นั่นแหละเรียกว่าสำนักวิปัสสนากรรมฐาน สมถะมันเป็นเหตุ วิปัสสนามันเป็นผล

เมื่อใจเรามีความสงบในตัวเองแล้วคือ มีสำนักสมถกรรมฐาน และวิปัสสนาในตัวเอง แล้วจะไปถามอะไรกับใคร มันก็ไม่จำเป็นก็เรามันมีพร้อม แต่ทำบุญตามประเพณี เรา ก็ทำ เรื่องประเพณีนี่มันเป็นเรื่องภายนอก ประเพณีในคือ ประเพณีศีล ประเพณีสมาธิ ประเพณีปัญญาไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้ พวกเราเสียหายไหม ให้ตัดสินด้วยตนเองนะความเสียหายหรือความบกพร่องของจิตเราเป็นมากันแล้วกี่ภพกี่ชาติ แทนที่มันจะไปแต่ก่อนมันก็ไม่ไป ตอนที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ท่านมารื้อขนสัตว์ ถอนขนสัตว์ตอนนั้น มันทิฏฐิมานะกล้ามันไม่ยอมรับมันดื้อและมันก็จึงได้ตกมาถึงปัจจุบันนี้

ใช่ว่าเราจะพบแต่พระเจ้าโคตมะเท่านี้ มันหลายพระ-พุทธเจ้ามาแล้ว แต่มันยังดื้อ รู้ว่าตัวเองดื้อไหมละ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมาบังคับให้เราทั้งหลายไปนิพพานกันให้หมด แต่จะ พูดให้เราทั้งหลายฟัง ในเรื่องดื้อของตัวเอง ความดื้อมันเท่ากันผู้ฟังกับผู้เทศน์มันก็เท่ากัน มันดื้อเท่ากัน ถ้ามันไม่ดื้อมันจะมาอย่างนี้หรือ ดื้อเหมือนกัน มันจึงมาเจอกัน ดื้อต่อดื้อมาเจอกัน นี่กิเลสเห็นไหม ก็เพราะมันดื้อนี่แหละ มันจึงได้มาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ ทำมาหาอยู่หากินลำบาก ค่ำไม่ได้ยืน คืนไม่ได้อยู่ ทำไร่ ทำนา ทำสวน ทำมาค้าขาย จะว่าเป็นสุขก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นทุกข์ก็ไม่ใช่ มันพออยู่ไปได้ ถึงเวลาแล้วก็ตายกันไป ตายไปแล้วก็บอกให้ไปสู่สุขคติซะ อ่านประวัติกันแล้วขั้นสุดท้ายก็ขอให้วิญญาณไปสู่สุขคติเถิด มันง่ายถึงขนาดนั้นหรือ ถ้ามันง่ายจะมานั่งภาวนาเจ็บแข็งเจ็บขาทำไม เวลาตายไปแล้วก็ให้เขาไปอ่านประวัติตัวเองแล้วก็บอกให้ไปซะเลยสุขคติ ถ้ามันง่ายถึงขนาดนั้น

อันนี้มันเป็นไปไม่ได้ให้พากันคิดเสียบ้าง เราก็เฒ่าชะแรแก่ชรามาแล้ว ไม่ใช่ว่าเด็กว่าเล็กอะไร พอที่จะไปสอนยากที่จะไม่เข้าใจ เหลืออีกไม่กี่วันข้างหน้านะ เรื่องตายเราจะมามัวเมาอะไร ให้รีบเสาะแสวงหาคุณธรรมที่มันมีในตัวของตัวเอง คือ ความสงบตั้งมั่น เป็นสมาธิ แล้วนำความสุขเข้าไปสู่ดวงจิต ดวงใจของตัวเอง เมื่อมีความสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีความสุขในดวงจิตดวงใจของตัวเองแล้ว ก็ถือว่าเราได้เข้าถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะได้ส่งเราไปสู่สุขคติ ก็ให้พากันคิดเสียบ้างอย่ามัวแต่จะเอาประเพณีอยู่แค่นี้

ส่วนด้านจิตใจตัวเอง จะมาฝึกหัดดัดแปลง นั่งบำเพ็ญภาวนา ทำจิตใจตัวเองให้มีความสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิบ้าง ก็ไม่อยากจะทำ ดีแต่ให้เขาหลอกว่า เขาว่ามีปาฏิหารย์นะ เขาเหาะได้ หรือเขาหายตัว อะไรบ้างก็ไป ถ้าเขาหลอกก็ไปเพราะอะไร ก็เพราะตัวเองมันไม่รู้ นี้โดนเขาหลอกทั้งนั้น ถ้าเขาเหาะได้จริง ๆ แล้วเราเหาะกับเขาได้ไหม ก็ไม่ได้อีก สู้เราจะมาทำตัวเองให้เหาะได้เหมือนเขาไม่ดีหรือ พวกเราก็โดนแต่เขาหลอกเท่านั้น เดี๋ยวก็สำนักนั้นเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวก็สำนักนี้เป็นอย่างนี้ ก็ไปกัน นี้หละทำให้เราพากันเสียหายอยู่เดี๋ยวนี้ เรียกว่าลืมตนลืมตัวไป

พระพุทธเจ้าบอกว่า ศีลก็อยู่กับตัวเอง ธรรมก็อยู่กับตัวเอง บาปก็อยู่กับตัวเอง บุญก็อยู่กับตัวเอง สวรรค์ก็อยู่กับตัวเอง พรหมโลกก็อยู่กับตัวเอง พระนิพพานก็อยู่กับ ตัวเอง พระพุทธเจ้าก็บอกอยู่อย่างนี้ แล้วก็ยังไม่ฟังพระพุทธเจ้า ดันทุรังไปทางอื่น เราจะไปหาที่ไหนคิดให้ดีนะ นี่ให้ข้อคิดนะแล้วเราก็จะได้รีบเร่ง บำเพ็ญจิตของตัวเอง ให้มีความสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ด้วยการภาวนา

ในถิ่นของเรานั้น มันไม่ค่อยมี ที่จะมาสอนกันเรื่องภาวนา สอนในเรื่องปฏิบัติ แต่เรื่องประเพณีนั้นมีมาก ต่อไปจะได้จัดปีละครั้ง ๆ จะยากจะง่ายก็ตาม เพื่ออะไร ก็เพื่อคนท้องถิ่นให้รู้จักหลักของการปฏิบัติบ้าง ถ้าบางคนมีบารมีก็อาจเป็นไปได้ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง เราจะไปรู้หรือว่าใครมีหรือไม่มี ไม่มีใครรู้ แต่ว่าเรายังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ไม่เข้าเส้นทาง ไม่รู้จังหวะ ตัวเองมีหรือไม่มีแล้วก็ปฏิเสธตัวเองว่าไม่มีบารมี แท้ที่จริงก็มีอยู่แต่เราก็หาได้เข้าใจไม่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ มีแต่ปฏิบัติในเรื่องประเพณี จารีตต่าง ๆ ที่โบราณของเราได้ทำเอาไว้ ก็ยึดเอาอันนั้นตลอด แต่หลักของการปฏิบัติอย่างนี้ มันไม่มี

เพราะฉะนั้นในวันนี้ ก็ได้ให้อุบายหลักการปฏิบัติ แก่พวกเราชาวพุทธที่ได้พากันมาร่วมจัดงานในวันนี้ แล้วก็มาเริ่มวันนี้เป็นเบื้องต้น จึงได้มาประกาศการกระทำของตัวเองที่ได้ปลูกฝังสถานที่นี้ เป็นที่ปฏิบัติขึ้นมา ขอให้พวกเราเข้าใจเอาไว้อย่างนี้ ปีต่อไปจึงค่อยมากระทำใหม่ มาบวชใหม่อีกที และก็พากันมาปฏิบัติอีกที

ดังที่ได้แสดงมาเห็นจะสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.





Create Date : 06 มีนาคม 2553
Last Update : 6 มีนาคม 2553 18:00:05 น. 0 comments
Counter : 242 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jingjoknoi
Location :
Fl United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Jingjoknoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.