All Blog
ลางลิขิต : กิ่งฉัตร






ลางลิขิต 


บทประพันธ์ : กิ่งฉัตร


ISBN 974-85980-6-3 ฉบับปก สำนักพิมพ์อรุณ. พิมพ์ครั้งที่ 5. 2548.

จำนวน 475 หน้า ราคา 245 บาท


รายละเอียด

หลังจากพี่ชายหายตัวไปอย่างลึกลับ อคิราภ์ ก็ได้สืบหาตัวเขาสารพัดวิธี กระทั่งมาจบลงที่การขอให้ ติณณภพ ชายหนุ่มผมยาว แต่งดำทั้งชุด ผู้มีญาณสัมผัสพิเศษช่วยตามหาพี่ชาย เมื่อได้ข้อสรุปว่า อธิน พี่ชายของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว อคิราภ์จึงตัดสินใจออกไปตามหาศพพี่ชายที่รีสอร์ตแนบนที จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมกับติณณภพ และ วรันธร สถาปนิกสาว หัวฟูเป็นลูกตาลยี ผู้เป็นเพื่อนสนิทของอคิราภ์ ซึ่งพร้อมจะตามไปเพื่อกันอคิราภ์ออกห่างจากติณณภพ หมอดูที่วรันธรไม่ค่อยไว้วางใจนัก

และรีสอร์ตแนบนทีนี่เอง ที่พวกเขาทั้งสามได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับปริศนาการตายของอธิน ใครสักคนในแนบนที คือฆาตกรที่อำพรางตัวอยู่...


“สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำผิดครั้งแรก แต่ถ้าทำแล้วรอดไปได้

คราวนี้ครั้งต่อไปจะง่ายขึ้นละ

เพราะคนทำฮึกเหิมมั่นใจว่าทำผิดแล้วไม่ได้รับโทษ

การฆ่าคนก็เหมือนกัน ฆ่าคนแรกอาจจะยากหน่อย แต่คนที่สอง คนที่สาม...ง่าย

มือเปื้อนเลือดแล้วนี่ จะเปื้อนอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป

ทีนี้ใครเข้ามาขวางก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่กำจัดเสีย

ชีวิตคนอื่นไม่มีค่าอีกแล้ว

เหมือนกับผักปลา จะกำจัดทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ได้...”

- ลางลิขิต


REVIEW

ลางลิขิต บทประพันธ์ของ กิ่งฉัตร เคยทำเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นผมไม่เคยดู และไม่รู้จักมาก่อนเลย แต่จากนิยายที่ได้อ่านคิดว่าน่าจะสนุกพอสมควร 

ลางลิขิต ชื่อนิยายบอกชัดเจนถึงพล็อต คือมีเรื่องราวเกี่ยวกับอำนาจของ “ลางสังหรณ์” เข้ามาเกี่ยวด้วย นั่นคือ ติณณภพ ชายหนุ่มที่มีสัมผัสพิเศษ และลางหยั่งรู้ของเขานี่เอง ที่ลิขิตให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไป ลางขิลิตเปิดเรื่องที่ อคิราภ์ ได้รับรู้ความจริงจากพ่อหมอติณณภพว่า อธิน พี่ชายของเธอที่หายสาบสูญไปนานร่วมเดือน ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เพียงแต่ติณณภพสัมผัสไม่ได้ว่า อธินถูกฆาตกรรมโดยใคร และศพของเขาถูกซ่อนไว้ที่ใด ทำให้อคิราภ์ตัดสินใจออกไปหาสืบเรื่องพี่ชายที่รีสอร์ต “แนบนที” ซึ่งอธินเคยทำงานฝ่ายบัญชีให้จนกระทั่งหายตัวไป แม้ว่า วรันธร เพื่อนสนิทของอคิราภ์ จะพยายามเตือนเธอไม่ให้หลงเชื่อคำพูดหมอดู หรือยุ่งเกี่ยวกับติณณภพ แต่อคิราภ์ก็ไม่เชื่อ เธอนัดแนะกับติณณภพไปที่แนบนทีจนสำเร็จ เดือดร้อนถึงวรันธรต้องตามมาประกบเพื่อนสาวถึงกาญจนบุรี เลยได้ร่วมทีมค้นหาสาเหตุการตายปริศนาของอธินในครั้งนี้ด้วยอีกคนหนึ่ง ในฐานะกลุ่มนายหน้า ซึ่งสนใจจะซื้อที่ดินของแนบนที 

แล้วพวกเขาก็ได้พบเบาะแสแรกว่า “อธินขโมยเงินของรีสอร์ต แล้วหนีหายไป” ต่างจากญาณพิเศษที่ติณณภพสัมผัสได้ การตายของอธินจึงต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ

การสันนิษฐานตัวคนร้าย พุ่งเป้าไปที่ ศิรสิทธิ์ หรือคุณใหญ่ อดีตเจ้าของแนบนทีที่เพิ่งเสียกรรมสิทธิ์ที่ดินรีสอร์ตให้แก่ ศิรวิทย์ หรือคุณเล็ก ผู้เป็นน้องชายฝาแฝด ที่เพิ่งได้รับสิทธิ์หมาดๆ จากการที่ รุ่งรตี ภรรยาของเขาเพิ่งคลอดทายาทชายคนแรก ศิรวิทย์ต้องการขายแนบนที ในขณะที่ศิรสิทธิ์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสมบัติของตระกูลเอาไว้ เขาเลยออกโรงขับไล่กลุ่มนายหน้ากำมะลอ จนเผลอมีปัญหาไม่ถูกคอกับวรันธรอย่างรุนแรง กลายเป็นคู่พ่อแง่แม่งอนที่เรียกได้ว่า แย่งซีนบทพระเอก-พระนางคู่หลัก พอถูกเกลียดขี้หน้าบ่อยเข้า วรันธรเลยคิดเหมาเอาว่า ศิรสิทธิ์เป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกๆ ที่น่าจะฆ่าอธิน เพราะเขาดูใจคอร้ายกาจ แล้วก็เป็นเจ้านายใกล้ชิดของอธินมากที่สุด

ในขณะที่ติณณภพเองก็เริ่มระแคะระคายเช่นกันว่า “ใครบางคน” ในแนบนทีคือ "ฆาตกร" เพียงแต่เขายังต้องการหลักฐาน และการสารภาพจากปากคนร้าย ไม่ใช่ด้วยญาณสัมผัสเพียงอย่างเดียว งานสืบสวนเลยมาถึงจุดพีค เมื่อติณณภพและสองสาวพบสถานที่ซ่อนศพอธิน แต่ระหว่างนั้นมีคนร้ายมาซุ่มยิงอคิราภ์จนบาดเจ็บ ความเลยเริ่มแตกจนยากจะปิดบังได้อีก...

ว่าแต่ใครจะเป็นฆาตกรตัวจริง ต้องลองตามไปอ่านกันดูนะครับ 

ความสนุกของลางลิขิต คือกิ่งฉัตรสามารถตรึงเราไว้กับปริศนาการตายของอธินได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่พอจะเดาๆ ได้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่เพราะนิยายหลายๆ เรื่องของกิ่งฉัตรมักมีตัวละครลับออกมาหักมุมอยู่บ่อยๆ เราเลยต้องลุ้นกันไปจนถึงที่สุด

โดยภาพรวมแล้ว ลางลิขิต ถือว่าอ่านสนุกใช้ได้ มีหลายครั้งที่อ่านแล้วลุ้นระทึก กลัวว่าทีมนายหน้ากำมะลอของเราจะถูกจับได้ ว่าแอบมาสืบเรื่องการตายของอธิน แต่ติดตรงที่ผู้เขียนมักพรรณนาและบรรยายบรรยากาศ หรือฉากความงดงามของรีสอร์ตค่อนข้างมาก จนรู้สึกว่าล้นไปหน่อย เลยทำให้ปมการสืบหาการตายของอธินค่อนข้างอ่อนลงไปเลย ทั้งที่น่าจะวางปริศนาให้คนอ่านขบคิด สงสัย หรือชงให้เข้มข้นมากกว่านี้ได้อีก

นอกจากนี้ “ลางสังหรณ์พิเศษ” ของพระเอก ผมคิดว่ายังไม่สุดเสียทีเดียว เพราะถึงขั้นมีลางหยั่งรู้อะไรมากมาย เราเลยอยากเห็นติณณภพทำอะไรๆ ได้มากกว่าการครุ่นคิด ไตร่ตรองอยู่ในใจคนเดียว ซึ่งเราไม่ได้ล่วงรู้ความลับไปกับเขามากนัก จนกระทั่งติณณภพออกมาเฉลยให้ทุกคนฟังในตอนท้ายเรื่อง 

สีสันประจำเรื่องต้องยกให้คู่ปรับ “ศิรสิทธิ์-วรันธร” ที่คาแรคเตอร์ผู้ชายเท่ๆ ปากร้าย ต้องฉะฝีปากกับผู้หญิงขี้โวยวาย ปากไว ตรงไปตรงมา เจอหน้าแล้วต้องปะทะกันทันที หลายครั้งก็สร้างสีสันให้เรื่องได้ดี แต่บางทีก็เล่นเถียงกันจนอ่านแล้วเหนื่อยไปเลย แต่ส่วนตัวแล้ว ผมก็ชอบคาแรคเตอร์พระเอกแบบศิรสิทธิ์ และนางเอกแบบวรันธร เพราะดูเป็นคู่ขับเขี้ยวที่ลงตัวดีเหมือนกันนะ ส่วนด้านสำนวนภาษา กิ่งฉัตรนำเสนอได้ราบรื่นดีเช่นเคยครับ อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ แนะนำให้ลองอ่านกันดูครับ และขอทิ้งท้ายการรีวิวด้วยคติเตือนใจดีๆ ที่ตัวละครอย่างวรันธรได้รับในตอนท้ายเรื่องว่า


เรื่องทุกอย่างในสังคมโลกมันติดอยู่ง่าย ๆ ตรงนี้เอง

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

คิดจากมุมมองของเขาบ้าง ไม่ใช่ยึดอยู่กับมุมมอง

และความรู้สึกของตัวเองแต่ฝ่ายเดียว

- ลางลิขิต



ลางลิขิต

ปกใหม่ ชุดภาพวาดสีน้ำ

Cr.สำนักพิมพ์อรุณ


Jim-793009

08 : 11 : 2016




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 6 เมษายน 2560 14:36:37 น.
Counter : 6574 Pageviews.

10 comment
ขนมจีนป้าทองดี : กีรตี ชนา






ขนมจีนป้าทองดี 


บทประพันธ์ : กีรตี ชนา


ISBN 974-85766-3-9 ฉบับปก สำนักพิมพ์อรุณ. พิมพ์ครั้งที่ 2. 2545.

จำนวน 391 หน้า ราคา 200 บาท


รายละเอียด

น้อย ตั้งใจละทิ้งความหลังไว้ในคุก เพื่อเดินทางมาแสวงหาความฝันที่จะมีชีวิตใหม่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นี่หล่อนได้โอกาสมาเป็นลูกจ้างของ ร้านขนมจีนป้าทองดี ร้านขนมจีนที่อร่อยเลื่องชื่อประจำอำเภอ แต่ทว่า นางทองดี เจ้าของร้านกลับอยากจะขายมันเต็มแก่ เพราะฝันอยากจะได้เงินสักก้อนไปสร้างโรงเรียน เพื่อสานฝันของ ระวี ลูกชายที่หายตัวไปอย่างลึกลับภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และที่นี่น้อยยังได้รู้จักกับ สุดา หลานสะใภ้ของนางทองดี หญิงสาวที่มีความฝันอยากเป็นนักร้อง แต่กลับถูก ชัยยศ ผู้เป็นสามีคอยกีดกันมาโดยตลอด แต่แล้วใครจะนึกว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักพื้นเพอย่างน้อย จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ความฝันของนางทองดี และสุดาเป็นจริงขึ้นมาได้

ทว่าความฝันของน้อยเองเล่า ใครกันจะบันดาลให้หล่อน ในเมื่ออดีตของหล่อนเป็นตราบาปอันมหันต์เกินกว่าที่ตัวหล่อนหรือใครจะลืมเลือนได้ แม้ว่าความผิดนั้น...หล่อนก็หาได้เป็นคนก่อขึ้นมาไม่



“...เสี้ยวนาทีนี้หล่อนกำหนดชีวิตได้โดยการตัดสินใจของหล่อนเอง

ว่าจะสู้ชีวิตด้วยความหวัง

หรือทิ้งชีวิตแห่งความทุกข์ทรมานใจนี้...”

- ขนมจีนป้าทองดี



REVIEW

ขนมจีนป้าทองดี บทประพันธ์ของ กีรตี ชนา เป็นนักเขียนคนเดียวกันกับเรื่อง บ่วงบรรจถรณ์ ซึ่งเชื่อว่าแฟนนิยายหลายๆ คนน่าจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันมาบ้าง 

สำหรับเรื่อง “ขนมจีนป้าทองดี” ฟังชื่อแล้วก็นึกขัดใจ ไม่ใช่ว่าชื่อแปลก แต่เพราะเดาได้ยากเต็มที ว่านิยายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไรกันแน่ ทำไมต้องขนมจีนป้าทองดี แต่พอหยิบมาอ่านถึงเข้าใจว่า ท้องเรื่องเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้ฉากร้านขนมจีนป้าทองดี และถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไป หากแต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือแก่นของเรื่อง ซึ่งว่าด้วยความฝัน และความผูกพันอันลึกซึ้งของผู้หญิงต่างวัยสามคนคือ น้อย สุดา และ นางทองดี

ขนมจีนป้าทองดี เป็นเรื่องราวที่พูดถึงความหลังอันขมขื่น และความฝันของผู้หญิงทั้งสามคน รวมถึงความรักระหว่างแม่และลูก โดยเฉพาะ น้อย ซึ่งเป็นตัวละครหลัก น้อยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกแม่ทอดทิ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลยต้องไปอยู่เป็นเด็กรับใช้ในบ้าน นายแม่ ภรรยาของผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งรับเลี้ยงดูน้อย แต่เพราะน้อยเป็นคนอ่อนต่อโลก หล่อนจึงถูก นายเข้ม คนงานซ่อมตึกในโรงเรียนลวงไปข่มขืน กระทั่งนายแม่รู้ว่าน้อยตั้งท้อง นางก็ผลักไสน้อยให้ไปอยู่ที่อื่น เป็นเหตุให้นายเข้มย้อนกลับมาข่มขืนน้อยอีกรอบ เพราะดันมาพบเจอกันโดยบังเอิญ และนั่นคือจุดเริ่มต้นอันเลวร้าย ที่กดดันให้น้อยเดินไปสู่การเป็นฆาตกร ต้องติดคุกนานถึงห้าปี จึงพ้นโทษออกมาทำงานที่ร้านขนมจีนป้าทองดี

แต่แล้วความหวังที่จะมีชีวิตใหม่ของน้อยก็ไม่ง่ายนัก เพราะหมู่บ้านที่หล่อนย้ายไปอยู่ ดันมีคนปากบอนอย่าง นางเจือ ตามไปขุดคุ้ยคดีความเก่าๆ ของน้อยมาโพนทะนาให้ชาวบ้านได้รู้ จนทำให้น้อยจิตตกและเสียใจ แต่ดีว่านางทองดีกับสุดาเข้าใจและวางใจน้อย ผิดกับ ชัยยศ หลานชายนางทองดี ซึ่งมักหวาดระแวงและไม่ชอบน้อยเอาเสียเลย คอยแต่จะกีดกันสุดา ภรรยาของเขาให้ออกห่างจากน้อย แต่ทั้งหมดก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะสุดากับนางทองดีต่างก็ชื่นชมในตัวน้อย โดยเฉพาะวิธีที่น้อยทำให้นางทองดีสามารถหาหนทางขาย ร้านขนมจีน เพื่อเอาเงินมาสร้างโรงเรียนตามความฝันของลูกชายได้สำเร็จ

เรื่องราวในนิยายปูไว้อย่างตั้งใจจะให้กำลังใจแก่คนที่เคยทำผิดพลาด ให้พวกเขาได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสังคม เหมือนน้อยที่ได้รับการยอมรับและความไว้เนื้อเชื่อใจจาก นางทองดี และ สุดา อย่างที่หล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้รับ แต่ถึงอย่างไร ใจคนเรานั้นก็ถือเป็นสิ่งที่โลเลอ่อนไหวได้ง่ายที่สุด สามารถผันแปรไปได้ตามสิ่งเร้าแวดล้อมเสมอ เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนที่คอยปกป้องและวางใจน้อยมากอย่างนางทองดี กลับเป็นคนที่เข้าใจน้อยผิดอย่างเลวร้ายที่สุดเช่นกัน โดยที่นางเองแทบไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก

แต่จะด้วยเหตุอะไรนั้น ผมขออุบไว้ตรงนี้ อยากให้ลองไปหาอ่านกันดูนะครับ 

นิยายเรื่องนี้ออกแนวสะท้อนชีวิต ไม่ถึงกับดราม่าจัด ผู้เขียนเลือกทิ้งปมท้ายเรื่องหลายปมให้ผู้อ่านคิดต่อเอง และก็แทบไม่น่าเชื่อว่าตอนจบจะทำให้เราอึ้งไปกับการตัดสินใจของน้อย ซึ่งผู้เขียนตั้งใจจะให้คนอ่านร่วมคิด และตอบคำถามในใจแทนน้อยด้วย ว่าหล่อนเลือกหนทางที่ถูกแล้วหรือไม่

โครงเรื่องไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่การใช้กลวิธีค่อยๆ ผูกปม ค่อยๆ คลายปมให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยใคร่รู้ อยากตามอ่านไปให้ถึงบทสุดท้าย ถือเป็นวิธีดำเนินเรื่องที่ใช้ได้ เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้เข้มข้น หวือหวา หรือชวนให้ลุ้นระทึกมากนัก ออกจะเรื่อยๆ มาเรียงๆ ส่วนสำนวนภาษาถือว่าดี

เนื้อความหลายตอนได้สอดแทรกสาระ และข้อคิดเอาไว้มากมาย เช่น “ความผิดพลาดคือบทเรียน” ฉะนั้น เราควรให้โอกาสคนที่เคยทำผิดพลาดอย่างจริงใจ เพราะบางทีเราก็อาจไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเขามาก่อน ว่าเขาต้องทนทุกข์กับอะไรมาบ้าง เหมือนอย่างน้อยที่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมเสมอ เพียงเพราะหล่อนได้ชื่อว่าเคยเป็นฆาตกร เคยเข้าคุก ทั้งที่มันไม่ได้มีต้นเหตุมาจากตัวหล่อนเป็นคนก่อเหตุเลย ชีวิตของน้อยน่าเวทนามากๆ อ่านแล้วรู้สึกกดดันตามในบางช่วง เคราะห์ซ้ำกรรมซัดกันไป

โดยภาพรวมขนมจีนป้าทองดี ถือเป็นนิยายที่ให้สาระดีๆ เรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนบอกไว้ในคำนำว่า ขอยืมโครงเรื่องบางส่วนมาจากภาพยนตร์อเมริกันเล็กๆ เรื่องหนึ่ง แต่เพราะประทับใจมาก ผู้เขียนจึงต้องนำมาจินตนาการดัดแปลงเป็นนิยายแนวชีวิตแบบไทยๆ ลองอ่านกันดูนะครับ แล้วพอจะเดาได้ไหมว่ามาจากเรื่องใด...ส่วนผมเองยังเดาไม่ออกครับ


“...ลูกเอ๋ย แม่ก็ร้องไห้เหมือนเจ้า

แต่น้ำตาของแม่ที่ไหลออกมาบนหน้านี้

เป็นเพียงที่ล้นจากที่ไหลท่วมอยู่ในใจของแม่เท่านั้น...”

- น้อย, ขนมจีนป้าทองดี


สวัสดีครับ


Jim-793009 

06 : 09 : 2016




Create Date : 06 กันยายน 2559
Last Update : 6 กันยายน 2559 9:52:34 น.
Counter : 3510 Pageviews.

8 comment
ตุ๊กตา : วาณิช จรุงกิจอนันต์






ตุ๊กตา


บทประพันธ์ : วาณิช จรุงกิจอนันต์


ISBN 978-974-475-0778 ฉบับปก แพรวสำนักพิมพ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. 2551.

จำนวน 205 หน้า ราคา 135 บาท


รายละเอียด

หลังจาก สุวภาพ ตัดสินใจซื้อตุ๊กตาตัวหนึ่งจากห้างสรรพสินค้าให้ เด็กหญิงบูรณา ผู้เป็นลูกสาว ชีวิตที่ไม่ค่อยเต็มอิ่มกับความสุขของเธอ ก็ยิ่งทวีความทุกข์มากขึ้นไปอีก เมื่อสุวภาพพบว่า บูรณาออกจะติดตุ๊กตาตัวใหม่นี้มากกว่าตัวอื่นๆ ที่เธอเคยซื้อให้ และที่น่าแปลกใจมาก คือเธอรู้สึกได้ว่า ตุ๊กตาตัวนี้ดูเหมือนคนมากจริงๆ ทั้งรูปร่าง การกะพริบตา หรือแม้แต่เนื้อตัวก็นุ่มนิ่ม ร้อนผ่าวราวกับมีชีวิต 

นับวัน...สุวภาพก็เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติของตุ๊กตาได้มากขึ้น เธอคิดว่ามันเคลื่อนที่เองได้ พูดได้ ส่งเสียงได้ เหมือนกับเสียงประหลาดที่เธอได้ยิน “แม เอิว...นังล็อบปาเตีย ล็อบ ล็อบ”

ความน่ากลัวอันเกิดจากตุ๊กตาเป็นสาเหตุ ทำให้สุวภาพตัดสินใจนำมันไปทิ้งลงกองขยะ แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในเมื่อตุ๊กตามาเยือนเธอด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าบางอย่าง ซึ่งมีบูรณาเป็นสื่อกลางสำคัญ ฉะนั้น มันจึงย้อนกลับมาเยือนบ้านของสุวภาพอีกครั้ง

หนู...อยาก...กลับบ้าน


เธอมองดูตุ๊กตา

ตุ๊กตาตัวนั้นกะพริบตาครั้งหนึ่งให้เห็น

มันจ้องมองดูเธออยู่เช่นกัน

ตากลมโตสีฟ้าแกมเขียวนั้นวาวเป็นประกายราวกับดวงตาของคนจริงๆ

- ตุ๊กตา


REVIEW

ตุ๊กตา บทประพันธ์ของนักเขียนรางวัลซีไรต์ วาณิช จรุงกิจอนันต์ ผู้เขียนนวนิยายเรื่องดัง เช่น แม่เบี้ย เคหาสน์ดาว เป็นต้น ผมต้องขอยกให้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชื่นชอบ อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ เพราะต้องคอยลุ้นระทึกและเอาใจช่วยไปกับตัวละครทุกตัว อีกทั้งสำนวนภาษาของผู้เขียนก็ดีมาก คืออ่านแล้วลื่นไหล การเน้นใช้บทบรรยาย พรรณนา ในการเล่าเรื่องอย่างพอดีๆ ก็ยิ่งทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็วด้วย 

ตุ๊กตา เป็นนวนิยายขนาดสั้น ที่บอกเล่าเรื่องราวลี้ลับของตุ๊กตาตัวหนึ่ง ที่เข้ามาพัวพันกับชีวิตของ เด็กหญิงบูรณา กระทั่งเด็กหญิงสามารถสื่อสารกับตุ๊กตาได้ ผมขอเล่าเรื่องต่อจากรายละเอียดด้านบนอีกสักนิดว่า หลังจาก สุวภาพ นำตุ๊กตาไปทิ้งในกองขยะใกล้บ้าน มันก็ตกไปเป็นสมาชิกใหม่ของอีกครอบครัวหนึ่ง โดยมี เด็กหญิงพรรษา เป็นคนเก็บได้จากกองขยะ คราวนี้เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น เมื่อเด็กหญิงพรรษาเอาตุ๊กตาไปโรงเรียน แล้วตุ๊กตาดันหนีกลับไปหาเด็กหญิงบูรณา ซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เลยเกิดเหตุยื้อแย่งตุ๊กตาของเด็กหญิงทั้งสองจนโกลาหลไปทั้งโรงเรียน 

พอเรื่องราวประหลาดนั้นทราบถึง พันชั่ง ผู้เป็นลุงของเด็กหญิงพรรษา เขาก็เริ่มเอะใจกับความไม่ชอบมาพากลของเจ้าตุ๊กตาที่ดูเหมือนมีชีวิต ซึ่งเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดของมันมาตั้งแต่หลานสาวไปเก็บกลับเข้ามาไว้ในบ้านแล้ว เขาจึงตั้งใจจะนำตุ๊กตาตัวนั้นไปคืนให้แก่เด็กหญิงบูรณา แต่แล้วก็ปรากฏว่า สุวภาพไม่ยอมรับตุ๊กตาตัวนั้นคืน เลยเป็นที่มาของข้อสงสัยต่างๆ ที่พันชั่งยืนกรานจะสืบให้ได้ ว่าเหตุใดตุ๊กตาตัวนี้ถึงมีความประหลาด อย่างที่เรียกว่า “อาถรรพณ์” ก็คงไม่ผิด เพียงแต่เขามั่นใจว่ามันต้องมีต้นสายปลายเหตุ ทำไมตุ๊กตาถึงส่งเสียงร้อง “หนู...อยาก...กลับ...บ้าน”

แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ไปจบลงที่โรงงานทำตุ๊กตาแห่งหนึ่ง ใครอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แนะนำให้ลองหามาอ่านกันดูนะครับ เรื่องนี้แม้จะเริ่มต้นด้วยความน่ากลัวก็จริง แต่จุดจบค่อนข้างหดหู่ อีกอย่างคุณจะรู้สึกได้ว่าพลังของจิตวิญญาณคนเรานั้นแรงกล้ามากๆ

ความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือนักเขียนหยิบยกเอาประเด็นปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นในครอบครัว มาพ่วงกับอาถรรพณ์ของตุ๊กตา ลักษณะคล้ายกับเรื่องการสร้าง เพื่อนในจิตนาการ ของเด็ก ซึ่งตัวของเด็กหญิงบูรณากับพรรษาต่างก็เป็นแบบนั้นทั้งคู่ คนแรกสูญเสียพ่อ ส่วนคนหลังเสียทั้งพ่อและแม่ไปในเหตุการณ์อุบัติเหตุ แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือนิยายสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความคิดของผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กๆ อย่างบูรณานั้นได้อยู่กับแม่แท้ๆ แต่เพราะสุวภาพมักคิดว่าลูกเป็นเด็กมีปัญหา ไม่พยายามเข้าใจตัวตน หรือสิ่งที่ลูกสาวต้องการ บูรณาจึงแสดงออกในลักษณะที่ต่อต้านแม่ตลอดเวลา ในขณะที่พรรษาไม่เหลือทั้งพ่อและแม่ แต่การที่ผู้เป็นลุงอย่างพันชั่งคอยเอาใจใส่พยายามเข้าใจ และรู้จักวิธีเยียวยาความรู้สึกของหลาน เด็กหญิงพรรษาจึงพูดรู้เรื่องกว่ามาก เข้าใจเหตุผล และไม่ต่อต้านแบบดื้อหัวชนฝา ส่วนอาถรรพณ์เกี่ยวกับตุ๊กตานั้นก็พ่วงกับประเด็นการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งอ่านแล้วรู้สึกสลดใจมากจริงๆ

ถือเป็นนวนิยายที่อ่านจบแล้วอิ่มใจดีอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

สวัสดีครับ




ตุ๊กตา

ฉบับปก พิมพ์ครั้งแรก. มีนาคม. 2531

สำนักพิมพ์ อู่พิมพ์เพกา

เป็นปกที่หลอนๆ ดีนะครับ


Jim-793009

19 : 08 : 2016




Create Date : 19 สิงหาคม 2559
Last Update : 25 กันยายน 2559 0:11:10 น.
Counter : 4704 Pageviews.

12 comment
ช่อปาริชาต : ประภัสสร เสวิกุล





ช่อปาริชาต

บทประพันธ์ : ประภัสสร เสวิกุล

ISBN 974-601-469-2 ฉบับปก สำนักพิมพ์ดอกหญ้า. พิมพ์ครั้งที่ 9. 2536.

จำนวน 117 หน้า ราคา 55 บาท


รายละเอียด

เพราะความผูกพันในอดีตยังคงแฝงเร้นอยู่ในกาลเวลา และมีผลสืบเนื่องถึงปัจจุบัน ทำให้ ธันวา ฝันประหลาดบ่อยๆ เขามักฝันเห็นภาพเหตุการณ์การจากลาระหว่าง นายเยี่ยม (หลวงเนติลักษณ์ธำรง) และหญิงสาวชื่อ เอียด ลูกสาวของ พระยาอรรถสิทธินิติการ 

เอียดมักคร่ำครวญถึงนายเยี่ยม ชายคนรักที่ผิดคำมั่นสัญญาต่อเธอ ภาพเหล่านั้นธันวาได้เห็นซ้ำๆ จนเริ่มคิดมาก กระทั่งธันวาได้เข้าไปทำงานโฆษณาให้แก่โรงแรมอีสต์ อีเดน ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินบ้านพระยาอรรถสิทธินิติการในอดีต นับจากนั้นชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเขาเอาแต่ร่ำร้องหาเอียด เดือดร้อนถึง จักร นพพร และ วิลันดา บรรดาเพื่อนสนิทต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือธันวา และค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในห้วงกาลเวลา ว่าสิ่งที่ธันวากำลังเผชิญ คือวิญญาณของเอียดที่ลาลับไปแล้ว หรือ หล่อนยังติดอยู่ในอีกมิติเพื่อรอคอยธันวากันแน่


“...ผมจะกลับไปหาเธอ

ถ้าผมเผอิญเป็นนายเยี่ยมเมื่อชาติก่อน

ผมจะกลับไปชดใช้หนี้ของความรักที่ผมมีต่อเอียด

หรือถึงแม้ว่าผมจะเป็นนายธันวา

ผมก็จะกลับไปอย่างคนที่รู้ค่าของความรักของผู้หญิงคนหนึ่ง...”

- ช่อปาริชาต


REVIEW

ช่อปาริชาต เป็นนวนิยายขนาดสั้นของ ประภัสสร เสวิกุล บอกเล่าเรื่องราวของความรักต่างมิติเวลา และความผูกพันอันลึกซึ้งของหนุ่มสาวที่ไม่อาจแยกจากกัน แม้แต่เวลาก็ไม่อาจขว้างกัน และวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ “ไม่มีผีหรือวิญญาณ”

แม้จะดำเนินเรื่องโดยใช้ฉากและบรรยากาศแบบไทยๆ แต่ระหว่างที่อ่านนิยายเรื่องนี้ กลับทำให้รู้สึกถึงหนังตะวันตก ทำนองว่า จู่ๆ ชีวิตหนุ่มสมัยใหม่อย่าง ธันวา ก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเร้นลับ เริ่มจากความฝัน ตามมาด้วยความฝันที่ทับซ้อนอยู่กับความจริง จนกระทั่งตัวเขาตกไปอยู่ในสถานที่ ซึ่งเสมือนช่องทางเชื่อมต่อมิติเวลา จึงทำให้ธันวาได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตชาติของเขา ถึงขนาดคิดอยากจะกลับไปหา เอียด ให้ได้ จนเพื่อนๆ ต้องช่วยกันหาคำตอบ ว่าสิ่งที่ธันวาพบเจอเป็นเรื่องจริง หรือเขาคิดเพ้อไปเอง การแก้ปมปัญหาของเรื่องเลยต้องดึง วิทยาศาสตร์ และ การสืบหาหลักฐาน มาช่วยอธิบายและหาคำตอบ โดยตัวละครที่เข้ามาคลี่คลายตรงนี้คือ หมอวิทยา ผู้เป็นจิตแพทย์

ส่วนที่ผมรู้สึกงวยงงมีอยู่จุดเดียว คือ หลักฐานในอดีตบอกว่าเอียดถูกไฟคอกตายในบ้าน แต่การสันนิษฐานทางวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันบอกว่า เอียดยังไม่ตาย แต่ยังคงรอคอยนายเยี่ยมอยู่ในอีกมิติเวลา เลยรู้สงสัยว่า ตกลงเอียดตายแล้วหรือยัง ? เพราะเรื่องนี้ไม่ถึงกับเน้นความสำคัญหรือให้คำอธิบายที่ชัดเจนของเรื่อง “มิติคู่ขนาด” เป็นแต่เพียงการนำเสนอเรื่อง “ความรัก” เท่านั้น

ช่อปาริชาต ชื่อนี้ไม่ได้ปรากฏในนวนิยายโดยตรง แต่น่าจะเป็นการเลือกใช้ชื่อเพื่อสื่อความหมายถึงการระลึกชาติ เพราะเชื่อกันว่า ดอกปาริชาต เป็นดอกไม้วิเศษ ถ้าใครได้สูดกลิ่นแล้วจะสามารถระลึกชาติได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นในนวนิยายก็ปรากฏข้อความหนึ่งที่น่าจะหมายถึง “ดอกปาริชาต” อีกทั้งสัมพันธ์กับสถานที่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อมิติเวลา กล่าวไว้ในช่วงท้ายเรื่องว่า


ดอกไม้สีแดงที่ร่วงพรูลงมาไม่ขาดสาย ราวริ้วลายที่ประดับม่านหมอกที่โรยตัวหนาทึบอยู่ในสวนของโรงแรม “อีสต์ อีเดน...”


สำหรับเรื่องนี้ผมคิดว่าอ่านครั้งเดียวอาจยังไม่ลึกซึ้งพอ ถ้าว่างๆ ผมคงต้องหยิบมาอ่านอีกสักรอบ ใครยังไม่เคยอ่าน แนะนำให้ลองกันดูครับ

สวัสดีครับ


Jim-793009

21 : 07 : 2016




Create Date : 21 กรกฎาคม 2559
Last Update : 21 กรกฎาคม 2559 23:22:37 น.
Counter : 5126 Pageviews.

6 comment
เวลาในขวดแก้ว : ประภัสสร เสวิกุล






เวลาในขวดแก้ว


บทประพันธ์ : ประภัสสร เสวิกุล


ISBN 978-616-04-1568-7 ฉบับปก สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์. พิมพ์ครั้งที่ 38. 2556.

จำนวน 296 หน้า ราคา 195 บาท


รายละเอียด

เรื่องราวความผูกพันและชีวิตของ นัต (อ้วน) ป้อม เอก ชัย กลุ่มเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน รวมทั้ง หนิง น้องสาวของนัต และ จ๋อม เพื่อนสาวคนสนิทที่นัตแอบรู้สึกพิเศษต่อเธอมาตลอด 

จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่ง วันที่ทุกคนต่างก็ต้องเลือกทางเดินในชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครสามารถรั้งรอให้เวลาหยุดหมุน แล้วคงอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขได้ตลอดไป แม้แต่ความฝันก็อาจผันแปรไปได้ตามกาลเวลา พวกเขาจึงต่างเดินไปบนเส้นทางของตนเอง โดยไม่อาจพึ่งพาใครได้ และทำได้เพียงเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ไว้ในความทรงจำเท่านั้น


“ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้

สิ่งแรกที่ฉันจะทำ...

คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์

เพียงเพื่อมอบมันให้แด่เธอ”

- เวลาในขวดแก้ว


REVIEW

เวลาในขวดแก้ว บทประพันธ์อมตะของ ประภัสสร เสวิกุล ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ในหนังสือดี 100 เรื่องที่เด็กไทยและเยาวชนไทยควรอ่าน

หลังอ่านจบแล้ว ผมไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดหนังสือเล่มนี้จึงได้รับการยกย่อง ครองใจ และอยู่ในความทรงจำของนักอ่านหลายคนมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นับจากได้รับการพิมพ์ครั้งแรกกับสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เมื่อปี 2528 นั่นเพราะเนื้อเรื่องเวลาในขวดแก้ว ได้นำเสนอมุมมองและปัญหาสังคมเอาไว้มากมาย ภายใต้การดำเนินเรื่องบนมิตรภาพและความผูกพันของตัวละคร ได้แก่ นัต ป้อม เอก ชัย หนิง และ จ๋อม ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีภูมิหลังชีวิต และความฝันที่ต่างกันไป

พล็อตหลักของเรื่อง คือปัญหาในครอบครัวของนัตและหนิง สองพี่น้องที่พ่อ-แม่แยกทางกัน พ่อมีเมียใหม่ และแม่ก็ทนไม่ไหว จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีสามีใหม่ด้วย ปัญหาของผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมหันหน้ามาเจรจากัน ทำให้ลูกๆ เคว้งคว้างและว้าเหว่ เหมือนดังความรู้สึกของนัตซึ่งเป็นคนเล่าเรื่อง แต่แล้วเขาก็ได้ค้นพบความรู้สึกเดียวกันนี้จากบันทึกของหนิง เมื่อได้อ่านบันทึกนั้นเขาถึงได้รู้ตัวว่า ขณะที่เขาว้าเหว่และสิ้นหวัง เขาก็มีส่วนเติมความว้าเหว่ให้แก่น้องสาวด้วย แทนที่จะเติมกำลังใจให้น้อง ความว่า


“เรามีกันอยู่สี่คนพ่อ แม่ พี่ชาย และฉัน...เรามีกันอยู่แค่นี้ เรามีกันอยู่สี่คน เราต่างก็ร้องไห้คนเดียวและเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง เราต่างก็โดดเดี่ยว...”


แม่ของนัตค่อนข้างเผด็จการและขี้บ่น แต่ก็เป็นคนรักลูกมาก ส่วนพ่อของนัตชอบดื่มเหล้า และไม่เคยเชื่อมั่นในใคร แต่เขาเป็นคนทำงานเก่ง และมีคำสอนหนึ่งที่สอนนัตได้ดีมากๆ เกี่ยวกับการทำงานและการวางตัวในสังคมว่า


“ถ้ารักจะอยู่ในสังคมก็ต้องทำตัวแบบพระอาทิตย์ ถึงเวลาขึ้นก็ฉายแสงให้เต็มที่เลย แต่พอถึงตอนลงก็เก็บตัวให้มิดชิด แสงสว่างสักแอะเดียวก็ไม่ให้หลุดออกมา แล้วเราก็จะอยู่ไปได้นานเท่านาน”


เรื่องราวในช่วงต้นถึงกลางเรื่อง จะเน้นหนักไปในเรื่องปัญหาในครอบครัวของนัตเสียส่วนใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของนัตและหนิง พอค่อนมาท้ายเรื่องจะเน้นเรื่องความผูกพันระหว่างเพื่อน ที่ห่างหายกันไปในช่วงเวลาหนึ่ง เรื่องราวจะกลับมาเข้มข้นและชวนให้ติดตามอย่างมาก อ่านแล้วลุ้นตามไปด้วยว่าจุดจบของตัวละครจะเป็นยังไงบ้าง

โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่างนัตกับป้อม ซึ่งผู้เขียนวางความสัมพันธ์ของตัวละครคู่นี้ไว้ดีมากๆ คือเราอ่านตั้งแต่แรกแล้วรู้สึกเลยว่า มันมีความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้น เพียงแต่นัตผู้เล่าเรื่องไม่เคยมองเห็น และผู้เขียนก็ไม่ได้บอกออกมาตรงๆ กระทั่งช่วงท้ายเรื่องที่ป้อมพูดถึงนิยามความรักของตัวเองให้นัตฟัง ผมเลยคาดเดาว่าต้องใช่แน่ๆ อย่างเช่น


“ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก”

“สำหรับฉันรู้แต่ว่ามีคนเดียวที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต...แล้ววันหนึ่งแกจะรู้”


ยอมรับว่า ถ้าผมเป็นคนบ่อน้ำตาแตกง่าย ผมคงร้องไห้ไปกับความรู้สึกที่ป้อมมีต่อนัตแล้ว เพราะผมรู้สึกชอบ ‘ป้อม’ มาตั้งแต่ต้นเรื่อง ถึงอย่างนั้นตอนอ่านก็ยังขนลุกตามไปด้วย เพราะรับรู้ได้เลยว่ามิตรภาพและความรู้สึกของป้อมที่มีต่อนัต มันวิเศษสำหรับตัวเธอมากจริงๆ ดูจากข้อความสุดท้ายที่เธอเขียนให้นัต


“ตะแบกบาน

เธอเคยบอก

จะเก็บให้...สักวัน

ฉันรอคอย...ชั่วชีวิต

แต่วันนั้น...ไม่เคยมาถึง”


จุดเด่นของเรื่องข้อหนึ่งคือ ฉาก เหตุการณ์หลายๆ ฉากในเรื่อง เป็นภาพความทรงจำ ซึ่งผู้คนที่เคยผ่านช่วงเวลาเก่าๆ มาแล้ว หากได้อ่านก็ต้องประทับใจตามไปด้วยแน่ๆ หรือไม่ก็ทำให้หวนรำลึกนึกถึง เช่น ร้านหมาแหงนที่ขายขนมถั่วตัดและมีตู้เพลงหยอดเหรียญ ถนนที่มีดอกชมพูพันธุ์ทิพย์เบ่งบาน บ้านที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ชุมชนแออัดที่เป็นแหล่งแอบสูบกัญชาของวัยรุ่น เหตุการณ์ที่นักศึกษารวมตัวกันประท้วงรัฐบาล หรือจะเป็นบทกวีของท่านอังคาร และหนังสือปีกหักของนักปรัชญา “คาลิล ยิบราน” นอกจากนี้ ยังมีปัญหาครอบครัวแตกแยก ที่เข้ามาสร้างความเข้มข้นให้กับพล็อตเรื่องด้วย

ผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ กระชับ ทว่ามีความคมคาย กินใจ และใช้กลวิธีเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ คือ มีลักษณะตัดสลับเนื้อเรื่องแบบย้อนไปย้อนมา และวางปมให้เราต้องลุ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางครั้งฉากและซีนค่อนข้างสั้น เหมือนการฉายภาพยนตร์เลย แต่เรียงร้อยเรื่องได้เข้าใจและลงตัว

ตัวละครแทบทุกตัวมีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นและชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อความคิดและการกระทำของพวกเขาในเรื่อง เช่น

นัต เป็นคนห่วงใยเพื่อนและคนรอบข้าง แต่ลึกๆ แล้วแอบเป็นคนขี้เหงา ชอบที่จะเก็บความรู้สึกไว้กับตัวมากกว่า รวมถึงเป็นคนชอบโหยหาอดีต แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เรียนรู้ที่ก้าวไปข้างหน้า

ป้อม ลักษณะภายนอกเป็นสาวห้าว ชื่นชอบบทกวีและปรัชญา และยึดถืออุดมการณ์ของเสรีชน

เอก เป็นลูกจีน เตี่ยทำร้านขายของชำ เอกเรียนเก่งกว่าเพื่อนและตั้งใจเรียนจนสอบติดมหาวิทยาลัยตามความคาดหวังของครอบครัว

ชัย เป็นคนร่าเริง เฮฮา มีความฝันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ โชคร้ายที่ขาพิการหลังมีเรื่องชกต้อยในการแข่งขนฟุตบอล ชีวิตของชัยเลยเหมือนไร้จุดหมายนับแต่ตอนนั้น

นิยายเรื่องนี้นับว่ามีหลากหลายแง่มุมให้คบคิด รวมทั้งมีให้ข้อคิดแทรกอยู่ทุกช่วง ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ มุมมองของเด็กวัยรุ่นยุคก่อนที่มีอุดมการณ์ นึกถึงความก้าวหน้าของชาติ แล้วกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่เป็นธรรมในสังคม แต่ในเรื่องนี้ก็มีคำสอนทิ้งท้ายไว้ค่อนข้างดี ซึ่งมาจากมุมมองของ ครูวาทิน ครูสอนไวโอลินของนัต ความว่า


“ครูเข้าใจความหวังดีที่เธอมีต่อชาติและสังคม แต่ปัญหามันอยู่ที่พวกเธอมีไฟแต่ไม่มีฟืน มีความคิดแต่ขาดประสบการณ์ที่จะผลักดันให้ความคิดเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อมันล้มเหลวขึ้นมา พวกเธอก็โทษระบบและคนแก่ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ก่อนเธอแล้วเช่นกัน ครูอยากจะเตือนเธอว่า ลมที่แรงมักจะผ่านไปเร็ว สู้ลมที่ไม่แรงแต่พัดอยู่เป็นประจำไม่ได้ และไม่มีที่ไหนในโลกจะมีความยุติธรรม หากมีคนหรือสัตว์อยู่ร่วมกันมากกว่าหนึ่ง ต่างคนต่างก็เรียกร้องให้ได้มากที่สุด”


แนะนำให้ลองอ่านกันดูครับ เป็นอีกเรื่องที่จบได้อิ่มใจดี ทำให้เรานึกย้อนมองเวลาที่ผ่านมาในชีวิต ไม่แน่ว่าบางคนอาจจะอยาก ‘เก็บเวลาไว้ในขวดแก้ว’ เหมือนกับพวกเขาก็ได้


สวัสดีครับ




เวลาในขวดแก้ว

ฉบับปก แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 36

ปกนี้สวยดีนะครับ


Jim-793009

13 : 06 : 2016




Create Date : 13 มิถุนายน 2559
Last Update : 8 กันยายน 2559 17:56:34 น.
Counter : 13121 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

Jim-793009
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]



"เขียน" ถ้าสิ่งนั้นคือความสุขอย่างแรกที่เรามองเห็นและนึกถึง ^_^

วรรณกรรมจึงงามกว่าเพชร คมกว่าดาบ เป็นโอสถอันประเสริฐยิ่งของชาวโลก
- กฤษณา อโศกสิน

"หนังสือบางเล่มผมไม่ได้อ่านเพราะชอบหรือไม่ชอบ เมื่อเป็นนิยายรักยอดนิยม ถ้าไม่อ่านก็เสียโอกาสทำความเข้าใจคนอื่น...ดีสำหรับผม ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่านแล้วจะเข้าใจ หรือชอบในระดับเดียวกัน"
- ประชาคม ลุนาชัย [ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก]

"...สำหรับนักอ่าน หนึ่งในการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต คือการพบว่าตัวเองเป็นนักอ่าน ไม่ใช่แค่อ่านออก แต่ตกหลุมรักมัน ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตกหลุมรักหัวปักหัวปำ หนังสือเล่มแรกที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจะไม่มีวันถูกลืม..."
- Finders Keepers, Stephen King
New Comments