เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน พักแพคลองคะ มาฝากค่ะ แค่ 1 คืนก็สนุกได้เต็มที่แล้วค่ะ
+++ เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน พักแพคลองคะ มาฝากค่ะ แค่ 1 คืนก็สนุกได้เต็มที่แล้วค่ะ ^____^
ไปเที่ยวเพิ่งกลับมาค่ะประทับใจมากเลยค่ะเลยอยากเอามาเขียนเล่าให้คนอื่นได้มาเก็บข้อมูลก่อนไปเที่ยวบ้างค่ะ
ขอเกริ่นนำก่อนเดินทางของพวกเราก่อนนะค่ะ เริ่มแรกคือพวกเราไปกัน 3 คน 3 สาว ก็หาข้อมูลในเน็ตกันพอสมควร จะปลอดภัยไปไหมถ้าไปแต่ผู้หญิง หาที่พักที่ไหนดีที่ราคาหารสามแล้วพอสู้กันไหว และแล้วพวกเราก็ได้ที่พักเป็นแพนางไพร แพของอุทยานแห่งชาติเขาสก แต่เหตุก่อนเดินทาง 2 วัน คนที่เราประสานเรื่องที่พักก็โทรมาบอกพวกเราว่าแพนางไพรปิดปรับปรุงนะต้องเปลี่ยนแพ และพอดีก่อนวันเดินทางก็บังเอิญว่ามีน้องที่ทำงานไปเที่ยวที่เดียวกันกับพวกเราน้องเขาเลยมารวมกลุ่มกับพวกเรา เลยกลายเป็นทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 5 คนค่ะ ก่อนหน้านี้ที่จองแพนางไฟรไว้คือ ห้องพัก 2 ห้อง พัก 3 คน และ 2 คน พอแพนางไพรปิดปรับปรุง ป้าแกก็โทรมาสอบถามพวกเราว่าเปลี่ยนเป็นแพอื่นได้ไหมแต่ต้องนอนรวมกันทั้ง 5 คนนะ เป็นแพของคลองคะ เป็นบ้านหลังใหญ่นอนได้ 6 คนมีห้องน้ำในตัว 2 ห้อง ตอนแรกฟังชื่อแพคลองคะ ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อนะตอนค้นหาในเน็ตเจอแต่ review ของแพอื่น เราเป็นคนคุยโทรศัพท์กับป้าด้วยเพื่อนยกให้เราตัดสินใจเลยว่ายังไง เลยถามว่าถ้าห้องน้ำสะดวกเอาก็ได้ค่ะเพราะจะเดินทางแล้วอีก 2 วัน ไม่มีเวลาเลือกแล้ว แต่ขอราคาเท่าเดิมค่ะ สุดท้ายก็เลยได้พักที่แพคลองคะ พอรู้ชื่อแพก็ไปหาข้อมูลในเน็ตใหม่อีกครั้ง เจอคนที่เคยไปพักแพคลองคะเขียนถึงแค่อันเดียว แต่เห็นภาพเห็น vdo แล้วก็ได้อยู่ สวยอยู่ บ้านหลังใหญ่ดูมั่นคงด้วย เกริ่นซะยาวเลย ไม่รู้มีคนอ่านหรือเปล่า ฮ่าๆ
@การเดินทาง
-เครื่องบินจากกรุงเทพฯไปยังสุราษ
พวกเราเริ่มเดินทางออกจาก กรุงเทพฯ ด้วยสายการบินนกแอร์ เครื่องออก 7.00 น. และไปถึงสนามบินสุราษณ์ตอน 8.10 น. ค่ะ ก็ถือว่าเป็นทริปที่พวกเราต้องตื่นเช้ากันเพื่อไปขึ้นเครื่องตั้งแค่วันเดินทางค่ะ
-รถตู้จากสนามบินไปยังเขื่อน
พอไปถึงสุราษพวกเราก็รอรถตู้มารับที่สนามบิน สำหรับรถตู้พวกเราก็ติดต่อไว้ล่วงหน้าก่อนค่ะ เพราะมันไม่มีรถประจำทางที่สนามบิน รถที่พวกเราติดต่อเป็นรถตู้ประจำทาง สุราษ-ตาขุน-เขื่อน คิวอยู่ในเมืองสุราษ ถ้าเริ่มต้นที่คิวไปถึงเขื่อน คนละ 150 บาท แต่ถ้าให้เขาไปรับที่สนามบินจะคิดคนละ 200 บาท (เขาจะไปส่งถึงท่าเรือเลยค่ะแต่ก็บอกเขาก่อนนะค่ะ) ต้องโทรไปแจ้งเขาก่อนว่าเราจะถึงสนามบินสุราษกี่โมง รถตู้เขาจะออกทุกหนึ่งชั่วโมง ทริปพวกเราถึงสนามบินสุราษ 8.10 น. เลยได้ขึ้นรถตู้เที่ยว8โมงเช้าแต่กว่าจะมารับเราที่สนามบินก็เกือบ9โมงแล้วค่ะ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไปยังท่าเรือประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ (เบอร์รถตู้ค่ะ ที่สุราษฎ์ โทร 077-287059 ขาไปนะค่ะส่วนขากลับพวกเราก็ขอเบอร์คนขับไว้ค่ะตอนกลับก็โทรหาก็พอดีมีรถจากคิวเดียวกันมาส่งผู้โดยสารเขาก็โทรหากันให้รอรับเรากับไปด้วยด้วยเลยค่ะ หรือขากลับจะเอาเบอร์อีกคิวสำรองไว้ก็ได้ค่ะ เบอร์โทร. คิวรถตู้เขื่อนที่เขื่อนค่ะ 086-692 6241)
ระหว่างที่นั่งรถตู้มาจนถึงเขื่อนรัชประภาในรถตู้เหลือคนอยู่ 5 คน กลุ่มพวกเรา 3 คน อีก2คนก็เป็นนักท่องเที่ยวกำลังจะไปพักที่แพคลองคะเหมือนกันกับพวกเราค่ะ คนขับรถตู้เลยใจดีจอดรถแวะเขื่อนให้พวกเราได้ลงไปถ่ายรูปสันเขื่อนกับป้ายเขื่อนรัชประภา กันค่ะ ระหว่างเดินทางกับรถตู้ก็เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออกตลอดเวลาค่ะ จังหวะที่ลงไปถ่ายรูปฝนหยุดแล้วแต่ถ่ายได้ไม่กี่รูปฝนก็เริ่มลงมาอีก ก็เปียกกันนิดหน่อยค่ะ
-จากท่าเรือไปยังแพที่พัก การเดินทางจากท่าเรือไปยังแพคลองคะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ ค่าเรือแล้วแต่แต่ละที่จะคิดค่ะเขาจะคิดเป็นราคาเหมาจ่ายต่อ 1 ลำมีราคา 1,800 บาท 2,000 บาท หรือ 2,200 บาท แต่ว่าจะนั่งได้ไม่เกิน 10 คนค่ะ แต่ของพวกเราได้ราคา 1,800 บาท หาร5ก็เฉลี่ยคนละ 360 บาทค่ะ (ตอนเรือไปส่งพวกเราที่แพเรือก็อยู่รอพวกเราที่นั่นเลยจนกว่าพวกเราจะกลับเพราะว่าระยะทางไปกลับค่อนข้างไกลถ้ากลับมารับอาจจะไม่คุ้มกับค่าเรือที่เก็บค่ะ) เนื่องจากทริปเรามีคนมาเพิ่มอีก 2 คน กลุ่มพวกเราไปถึงแล้ว 3 คนส่วนน้องอีกสองคนโทรไปถามว่าถึงไหนแล้วน้องเขาเพิ่งได้ขึ้นรถตู้ช่วงประมาณ 9โมงครึ่งพวกเราเลย ใช้เวลาที่เหลือถ่ายรูปบริเวรรอบๆ ระหว่างรอน้องอีกสองคน กลุ่มเรา 3 คนไปถึงประมาณ 10โมงเช้า น้องมาสบทบอีก2คน ถึงประมาณ 11 โมง เช้า ระหว่างรอก็เห็นนักท่องเที่ยวลงไปหลายกลุ่มแล้ว และแต่ละคนใส่เสื้อกันฝนกันหมด เพราะเรือที่พาไปเป็นเรือหางยาวมีมุงหลังคือนิดหน่อยแต่ไม่ได้บังฝนทั้งหมด และอากาศวันนี้ก็คือเดี๋ยวฝนเดี๋ยวแดด ค่ะ ใครที่จะไปช่วงฤดูฝนก็เตรียมเสื้อกันฝนไปด้วยนะค่ะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมก็ซื้อที่ท่าเรือได้ค่ะ เขาขายชุดละ 35 บาทค่ะ อ่อลืมบอกค่ะ ก่อนลงเรือต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานก่อนนะค่ะคนละ 40 บาทค่ะ
ภาพแรกถ่ายจากหน้าต่างตอนเครื่องขึ้น และภาพอีกสองภาพเป็นภาพตอนนั่งรถตู้มีฝนตกเป็นระยะตลอดทาง
ภาพวิวสันเขื่อนและป้ายชื่อเขื่อนที่พี่คนขับรถตู้ใจดีจอดรถให้พวกเราได้ถ่ายรูปกัน ^^
ภาพนี้เป็นภาพบริเวรท่าเรือระหว่างที่เรารอน้องอีกสองคนมาสบทบก่อนลงเรือค่ะ
@ตามด้วยบรรยากาศตอนนั่งเรือกันค่ะ เรือจะเป็นเรือลักษณะตามภาพด้านบนที่ถ่ายตรงบริเวรท่าเรือไว้นะค่ะ หลังคาเขาเอาขึ้นเอาลงได้ง่ายๆค่ะ พอคนครบก็ได้เวลาที่พวกเราลงเรือกันบ้างแล้วค่ะ พวกเรา 5 คนมีเสื้อกันฝนซะ 3 คนไม่มีอีก 2 คน คือเรากับเพื่อนกะว่ามันตกๆหยุดๆ เตรียมผ้าบางๆ มาผืนหนึ่งคงพอช่วยกันสาดได้บ้างเลยไม่ยืมซื้อเสื้อกันฝนนะค่ะ ฮ่าๆ ถือว่าโชคดีระหว่างเดินทางไม่เจอฝนเลยมาเจอช่วงเดียวช่วงที่ใกล้จะถึง น้องที่ขับเรือก็บอกพวกเราล่วงหน้าว่าด้านหน้ามีฝนนะเลยได้เตรียมผ้าเตรียมอะไรมาบังฝนบ้างก็เปียกอยู่นะค่ะแต่แค่ชื่นๆ ไม่ถึงกับเปียกทั้งตัวค่ะ (อ่อตอนเดินลงเรือโดนแอบถ่ายรูปกัน พอขากลับมาขึ้นเรือเขาเอาภาพมาให้ดูกลุ่มพวกเราไปกัน 5 คน คนละรูปๆ สรุปมีเราซื้ออยู่คนเดียวก็จ่ายไปกับค่าภาพ 100 บาท ที่เหลือไม่มีใครเอาเพราะเขาถ่ายแบบไม่รู้ตัว แบบว่าไม่ได้แอ๊กกัน แถมใส่เสื้อกันฝนกันอีก ฮ่าๆ)
นั่งในเรือแล้วถ่ายไปเรื่อยๆ จังหวะสวนทางกับเรือของกลุ่มอื่นค่ะ
ชอบสีน้ำสีเขียวสดสวยดีค่ะ
เขามันมองหน้าตาคล้ายๆ กันหมด พวกเราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ ก็คิดๆกันว่าถ้าให้มาขับเรือเองคงมองไม่ออกทิศไหนเป็นทิศไหน ฮ่าๆ
กล้องไม่ค่อยชัดเท่าไหล่ภาพเลยเบลอๆ ค่ะ จะเห็นว่ายอดเขาจะมีหมอกอยู่เพราะวันที่เดินทางมีฝนตกเป็นระยะๆ ตลอดวันค่ะ
@ถึงแล้วที่พักพวกเรา ณ แพ คลองคะ
ที่แพ คลองคะ มีแพที่อยู่ในน้ำอยู่ 4 แพ แต่ละแพ มีห้องน้ำในตัว 2 ห้องอยู่ฝั่งซ้ายและขวา เตียงก็มี6เตียง ซ้าย 3 ขวา 3 (เตียงสูงนิดหนึ่งตอนขึ้นลงต้องปีนขึ้นค่ะ ^^") มีพัดลมในห้องด้วยค่ะ (แต่ไฟเป็นไฟปั่นใช้ได้ 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มเท่านั้น (ถ้าคิดว่าต้องเข้าห้องน้ำช่วงมืดๆก็พกไฟฉายมาด้วยก็ดีนะค่ะ) ปลั๊กไฟในห้องมี 3 ตา ถ้าไปคนเยอะหรืออุปกรณ์เยอะควรเตรียมปลั๊กสามตาไปด้วยค่ะ ) และมีแบบที่อยู่บนบกอีกไม่แน่ใจว่า 3 หรือ 4 หลัง แต่คิดว่าไม่มีคนพักตรงบนบกเพราะดูหญ้าขึ้นรกๆนะค่ะ ค่าที่พักเราติดต่อไว้กับป้าคือ คิดเป็นราคาต่อหัวคนละ 700 บาทต่อ1คืน ราคานี้รวมที่พักและอาหาร3มื้อ คือ มื้อเที่ยง มื้อเย็น ของวันแรก และมื้อเช้าของอีกวันค่ะ
ในห้องพักก็จะมีหมอนกับผ้าห่มให้คนละ1ชุด แต่ไม่มีผ้าขนหนูให้นะค่ะ ใครไปที่นี่ให้เตรียมผ้าขนหนูไปด้วยนะค่ะ ส่วนห้องน้ำก็จะมีแต่สบู่เหลวล้างมือค่ะ ไม่มีสบู่สำหรับอาบน้ำกับแชมพูสระผมนะค่ะควรเตรียมไปด้วยค่ะ
มีระเบียงทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านค่ะ มีเชือกสำหรับตากผ้าด้านข้างและด้านหลังค่ะ ลมพัดแรงเย็นดีค่ะ ถ้าตากผ้า ( หากกลัวว่าจะปลิวก็เตรียมที่หนีบผ้าติดมือไปด้วยได้นะค่ะ )
เรือแล่นไปใกล้ที่พักแล้วมองเห็นที่พักของพวกเราแล้วค่ะ เห็นในภาพมีแพเยอะใช่ไหมค่ะ แต่แพที่เยอะๆ ฝั่งซ้ายมือนั้นเข้าพักไม่ได้นะค่ะเพราะเป็นของกลางที่โดนยึดมากำลังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอยู่ค่ะ พักได้แค่ 4 แพที่เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ๆนะค่ะ
บ้านพักในน้ำที่บอกว่ามี 4 หลังที่บอกไว้ค่ะ
ส่วนตรงนี้เป็นจุดที่บอกว่าอยุ่บนบกนะค่ะ ที่ไม่แน่ใจว่ายังมีคนพักอยู่ไหมนะค่ะ ลืมถามรายละเอียดนะค่ะ
ให้เห็นภาพชัดเจนอีกนิดค่ะ ที่บอกว่าเข้าพักไม่ได้เพราะเป็นของกลางที่ถูกยึดมานะค่ะ แต่สวยนะค่ะ เสียดายที่ไม่สามารถใช้งานได้ค่ะ
ถึงแพแล้วก็ถ่ายป้ายชื่อแพไว้หน่อยค่ะ แพคลองคะ
ตรงนี้เป็นจุดที่ลงชื่อเข้าพักและแสดงความคิดเห็นค่ะ มาถึงวันแรกทาง จนท. เขาจะมอบถุงดำให้ห้องพัก 1 ใบนะค่ะพร้อมถ่ายรูปเพื่อเป็นการตกลงสัญญากันว่าขยะที่พวกเราทิ้งจะทิ้งในถุงดำนี้และจะเอาถุงดำนี้กลับไปด้วยตอนที่ออกจากแพค่ะ และที่เห็นหนังสือกองๆ อยู่ตรงนั้นเป็นมุมที่ให้แขกหยิบหนังสือไปอ่านได้ค่ะ ก็มีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ (ถ้าใครไปพักแพนี้ มีหนังสือดีๆ อยากแบ่งปันเอาไปให้เขาได้นะค่ะ อันนี้คิดเองว่าเขาน่าจะรับค่ะ แหะๆ)
ส่วนตรงนี้เป็นจุดที่กินข้าวนะค่ะ ถ้าได้เวลาอาหารให้มากินที่จุดนี้ค่ะ เขาจะจัดเตรียมให้เป็นโต๊ะแยกตามแขกที่พักแต่ละแพค่ะ
ถึงแล้วที่พักของพวกเราค่ะ เดี๋ยวเข้าไปดูด้านในกันค่ะ
ถ่ายจากด้านนอกเข้าไปจะเห็นว่ามีเตียงนอนและห้องน้ำอยู่สองฝั่งตามภาพนะค่ะ
ภาพนี้ถ่ายมาฝั่งเดียวนะค่ะ ความจริงอีกฝั่งจะเป็นหน้าต่างกระจกใส และมีผ้าม่านตรงหน้าต่างหน้าบ้านด้วยค่ะ
ห้องน้ำค่ะทั้งสองฝั่งจะเป็นลักษณะเดียวกันเลยค่ะ มีอ่างล้างหน้า ชักโครก และจุดอาบน้ำค่ะ
ระเบียงด้านหลังแพค่ะกว้างขวางดีวิวก็สวยด้วยนะค่ะ เพราะด้านหลังเป็นภูเขา ได้ยินเสียงนก เสียงชะนี ร้องด้วยค่ะ
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ถ่ายรูปเสร็จบางส่วนเพื่อนแอบมางีบด้านหลังแพค่ะ เขาบอกว่าลมเย็นีเลยมานอนจุดนี้กันค่ะ ดีไม่กลิ้งลงในน้ำ ฮ่าๆ
วิวด้านหน้าแพค่ะ จะเห็นว่าตรงนี้มีขอนไม้ยื่นออกมาเป็นจุดที่เขาทำไว้ให้สำหรับเป็นจุดเล่นน้ำค่ะ
มาดูชัดๆ ตรงปลายค่ะ มีม้านั่งและมีจุดให้โดดน้ำด้วยค่ะ
ท่าเรือของแพค่ะจะเห็นว่ามีเรือ 3 ลำเพราะช่วงที่เรามาพักมีแขก 3 แพค่ะ เรือก็จะจอดรอและกลับพร้อมแขกเลยตามที่บอกข้างต้นนะค่ะ
ด้านหลังแพค่ะถ่ายจากบริเวรจุดกินข้าวค่ะ เขาติดป้ายไว้ด้วยว่าห้ามตกปลาเพราะปลาที่นี่เยอะมากค่ะ
+++Update ภาพปลาบริเวณริมแพ กับจุดที่เขาเรียกว่ากุ้ยหลินเมืองไทยเพิ่มนะค่ะ+++
ปลาไม่แน่ใจว่ามันคือปลาตะเพียนหางแดงหรือเปล่านะค่ะไม่ได้ถาม จนท. เขานะค่ะ
ภาพนี้ลองเอามือจุ่มไปถ่ายในน้ำดูค่ะยิ่งเอามือลงไปปลายิ่งมาเยอะเลยค่ะมันคงนึกว่าอาหาร ^^
ส่วนเจ้าปลาตัวนี้ตัวอย่างใหญ่มันมากินขนมปังที่พวกเราโยนให้เจ้าปลาตัวเล็กที่มาทำตาละห้อยหน้าแพของเราแต่พอให้เจ้าตัวเล็กกลายเป็นว่าเจ้าตัวใหญ่ตัวนี้มาแย่งตัวเล็กเลยต้องว่ายออกห่างๆ แหะๆ
ส่วนภาพนี้เป็นจุดที่เขาเรียกว่ากุ้ยหลินเมืองไทยค่ะ ภาพนี้น้องคนขับเรือพาพวกเราไปดูกันตอนขากลับค่ะแวะถ่ายรูปด้วยเฉยๆ ค่ะ แต่ถ้าใครซื้อทัวร์ก็จะมีโปรแกรมให้ว่าวันนี้ไปไหนบ้างอะไรยังไงแต่พวกเราไม่ได้ซื้อโปรแกรมทัวร์ค่ะ ซื้อแต่ที่พักและเช่าเรือ ขากลับเรือเขาก็พาไปดูจุดนี้เพราะว่ามาเขื่อนรัชชประภาแล้วไม่ได้มาจุดนี้คือมาไม่ถึงกุ้ยหลินเมืองไทยค่ะ (อ่อตอนนั่งรถตู้เข้าไปในเขื่อนคนขับรถตู้เขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนนี้ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวแต่พอดีมีต่างชาติมาเห็นเขาสามลูกนี้แหละค่ะเขาบอกว่ากุ้ยหลินเมืองไทยตั้งแต่นั้นก็เลยเริ่มเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวค่ะ) +++update ภาพอาหาร 3 มื้อ+++
ภาพนี้อาหารมื้อเที่ยงของวันแรกที่ไปถึงแพค่ะ ส่วนกลับถามพี่ จนท.ว่าพี่ค่ะกับเติมได้ไหมค่ะ พี่เขาบอกว่าเติมไม่ได้ ฮ่าๆ แต่ข้าวเติมได้ สงสัยมื้อแรกทาง จนท. เขาคงคิดว่าพวกเราคงกินไม่เยอะเลยไม่ได้ทำเผื่อเพราะมื้อต่อไปพี่เขาบอกกับพวกเราว่าเติมกับได้ ^^"
แกงพริกเผ็ดสมชื่อ แต่ก็อร่อย ไก่เยอะมาก พวกเรากินกัน 5 คน ไก่เหลือเยอะเลย น้องที่ไปด้วยกันก็บอกว่าตักกินแต่ไก่ยังเหลือเยอะเลย แต่อิ่มมากๆ ฮ่าๆ
++++ update ภาพตอนไปดูสัตว์ลงมากินน้ำ และพายเรือไปดูน้ำตกค่ะ++++
ภาพกิจกรรมอื่นๆ ตอนอยู่ในนี้นะค่ะ เช่น เล่นน้ำ พายเรือ ดูสัตว์ค่ะ (ตอนน้องที่ขับเรือมาบอกพวกเราว่าพรุ่งนี้เช้าหกโมงให้มาพร้อมกันที่เรือเพื่อจะได้ไปดูสัตว์กันแต่ไม่แน่ใจว่าจะเห็นหรือเปล่า พวกเราร้องถามพร้อมกันเลยห่ะหกโมงเช้่า และแล้วก็ต้องตื่นเช้ากันอีกวัน ฮ่าๆ) ส่วนน้ำตกที่พูดถึงนี้อยู่ไม่ไกลจากแพที่พักเรามากเท่าไหร่ พี่ จนท. บอกพวกเราว่าใช้เวลาพายประมาณ 15 นาที ถ้าช้าจริงๆ ก็ 30 นาทีก็ถึง ตอนเย็นพวกเราพายเรือไปดูกันแต่พายไปไกลที่พักไปทุกทีไม่เห็นวี่แววของน้ำตกเริ่มเหมื่อยกับการพายเรือ เลยสรุปกันว่าไม่ดูกันแล้วเน๊อะ แต่พอตอนเช้าที่น้องที่ขับเรือพาพวกเราไปดูสัตว์ลงมากินน้ำกัน ปรากฏว่าไปไม่เจอสัตว์อาจจะเป็นเพราะพวกเราสายนิดหน่อย บวกกับฝนตกค่ะเลยได้เห็นแต่นกเหงือกเห็นแต่ไกลตัวเลยค่ะมันอยู่บนยอดไม้ แต่ก้ได้เห็นน้ำตกที่พยายามไปแล้วไม่ถึงในตอนเย็นกันแล้วค่ะ เลยตั้งเป้ากันว่ากลับไปเราเอาเรือพายมากันเองนะ ฮ่าๆ
นี่แหละค่ะคือน้ำตกที่ว่า ภาพนี้พยายามซูมจากเรือตอนเช้าที่น้องคนขับเรือพาไปดูสัตว์ค่ะ อันนี้ภาพวิวตอนเช้าตอนนั่งเรือไปดูสัตว์เช่นกันค่ะ อากาศตอนเช้าเย็นสบายมากๆเลยค่ะ ++++++++มาเล่นน้ำกันค่ะ +++++++++
ภาพว่ายน้ำมีไม่เยอะเพราะว่าแบตกล้องหมดเลยไม่ได้ถ่ายด้วยตัวเองค่ะภาพนี้ขอมาจากเพื่อนค่ะ
พายเรือเสร็จก็มาเล่นน้ำกันเพราะเขาบอกว่าให้เล่นได้ถึงแค่หกโมงเย็นค่ะ แต่ก็หนำใจอยู่ค่ะว่ายไปว่ายมาอย่างเหนื่อยค่ะ (ปล.ภาพนี้แอบติดภาพแขกอีกแพนะค่ะ แหะๆ แต่มองไกลๆไม่เห็นหน้าชัดคงไม่เป็นไรนะค่ะ ถ้าเจ้าตัวมาเห็นเข้าก็ขอโทษด้วยนะค่ะ ^^") ภาพนี้เพื่อนในกลุ่มเราแต่เห็นหน้าไม่ชัดคงไม่เป็นไรแล้ว ^^ ++++++++หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จก็ไปเก็บกระเป๋ากันค่ะ +++++++++ระหว่างที่นั่งกลับน้องเขาพาแวะไปดูและถ่ายรูปกับกุ้ยหลินเมืองไทย ก่อนขึ้นฝั่ง และอยากบอกว่าขากลับพวกเราลืมบอกให้น้องเขาเอาหลังคาลงต้องนั่งตากลมเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงฝั่งค่ะ โชคดีตอนเช้าแดดไม่แรงค่ะ และส่วนใหญ่จะไม่มีแดดค่ะ ^^" ปิดท้ายด้วยภาพท่าเรือหลังจากขึ้นฝั่งแล้วค่ะจบแล้วค่ะ เบอร์ป้าที่ประสานเรื่องเรือและแพให้กับเราคา ลูกชายป้าเป็น จนท. ของอุทยานค่ะ สำหรับใครที่สนใจพักแพของอุทยานเขาสกนะค่ะสอบถามป้าได้ว่ามีแพอะไรบ้างเพราะตอนแรกที่พวกเราติดต่อไปคือแพนางไพรแต่สุดท้ายก็ได้แพคลองคะแทนค่ะ เบอร์ป้าค่ะ 0872691466 สรุป ทริปนี้พวกเราไปวันที่ 21 มิย 2556 กลับ 22 มิย 2556 ค่ะ- อากาศไม่ร้อนเย็นสบายถ้าไปช่วงนี้ไม่ต้องพกพัดไปก็ได้ค่ะ เอาร่มกับเสื้อกันฝนไปดีกว่าค่ะ - ยุง ในแพไม่มียุง ยากันยุงไม่ต้องเอาไปก็ได้ค่ะ - สบุ่ แชมพู ยาสีฟัน ผ้าขนหนูเตรียมไเองด้วยนะค่ะที่นี่ไม่มีให้ค่ะ - ขยะใช้แล้วทิ้งในถุงดำขากลับต้องหิ้วถุงดำมาทิ้งบนฝั่งด้วยค่ะเป็นกฏของที่นี่นะค่ะ - ไฟฉาย เพราะไฟใช้ได้ 6 โมงเย็นถึงสี่ทุ่มค่ะ ถ้าเข้าห้องน้ำหลังสี่ทุ่มกับตอนเช้าๆต้องใช้ไฟฉายแน่นอนค่ะ - ตัวหนีบผ้ากันผ้าปลิวเวลาตากที่ระเบียงลมแรงค่ะ (อันนี้แล้วแต่นะค่ะไม่เอาก็ได้ค่ะ) update ส่วนของค่าใช้จ่าย เพิ่มนะค่ะ นับตั้งแต่สนามบินสุราษนะค่ะ- รถตู้จากสนามบินไปท่าเรือคนละ 200 บาท /ค่ารถตู้ขากลับถ้าเข้าเมืองสุราษ 150 บาท - ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท - ค่าเรือเหมาลำ 1,800 บาท นั่งได้ไม่เกิน 10 คน - ค่าที่พักบวกอาหารคนละ 700 บาทต่อวันค่ะ ++++++หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังจะไปนะค่ะ ^^ +++++++
Create Date : 24 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 25 มิถุนายน 2556 15:21:47 น. |
|
27 comments
|
Counter : 39840 Pageviews. |
|
|