All Blog
จดหมายถึงเจ้าตัวเล็ก ฉบับที่ 11 - เป็นลูก 34 ปี เป็นแม่ 3 ปี

เมื่อวาน วันที่ 14 มีนาคม 2555 เป็นวันเกิดแม่ - แม่อายุครบ 34 ปีเต็มแล้วค่ะ



แม่แอบตกใจ แกมงุนงงเล็กน้อย ที่เวลามันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

ยังรู้สึกเหมือนเมื่อไม่นานมานี้ ยังลั้ลลา เล่นกระโดดยาง เป่ากบ สะสมสติ๊กเกอร์ เล่นเกมกดอยู่เลย



ช่วงอายุที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1

มันเป็นเวลาที่แสนยาวนาน ในความรู้สึกแม่ แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า

เวลานั่งอยู่ในห้องเรียนแสนน่าเบื่อ คอยเร่งวัน เร่งคืนให้ถึงตอนปิดภาคเรียน

จะได้นอนตื่นสาย กลิ้งไปกลิ้งมาดูทีวี อ่านหนังสือการ์ตูน ว่างๆ ก็ออกไปเล่นเกมตามร้านเกมส์

สมัยก่อน (20 กว่าปีแล้วนะลูก) ไม่มีร้านเกมส์เยอะเหมือนสมัยนี้หรอกลูก

แถมเด็กผู้หญิง เค้าก็ไม่ฮิตไปเล่นเกมส์กัน - มีแม่นี่แหละ แหกคอก ไปนั่งเล่นกะเค้า

แม่รู้จักเกมที่ผู้ชายเค้าเล่นกัน - จนทุกวันนี้ป่ะป๊าเอามาแซวแม่บ่อยๆ



พออายุเข้าเลข 2

เป็นช่วงเวลาของการผ่านจากเด็กไปสู่ผู้ใหญ่

เริ่มต้องรับผิดชอบชีวิตมากขึ้น ต้องออกมาผจญโลกกว้างด้วยตัวเอง

เริ่มเลี้ยงดูตัวเอง เริ่มตัดสินใจชีวิตตัวเอง

เป็นช่วงของการค้นหาตัวตนล่ะมั้งคะ- เวลาเหมือนหยุดนิ่งในบางครั้ง และเคลื่อนไหวไปในบางที

...สำหรับบางคน มันเป็นเวลาของการทดลอง ในสิ่งที่ไม่เคยทำ

ค้นหาว่าตัวเองอยากทำอะไร ต้องการอะไร

จะลอง ก็ต้องลองในช่วงอายุนี้แหละค่ะ

แม่ยังเคยคิดว่า ไม่น่าไปเรียนต่อเลย --- เพราะกว่าจะเรียนจบ ก็อายุ 25 แล้ว

เพื่อนๆ ไปทำงานกันถึงไหน มีประสบการณ์มากกว่าเราไปไหนต่อไหนแล้ว

เราเพิ่งจะมานับหนึ่ง ... แต่มาคิดอีกที ถ้าไม่ได้เรียน แม่ก็คงไม่ได้รู้จักกับป่ะป๊า

แล้วก็ไม่ได้มาเป็นแม่ของหนูสองคน จริงไม๊คะ



พอพ้นเลข 2 ที่น่าตื่นเต้น --- ช่วงวัยของเลข 3 เหมือนหมดช่วงโปรโมชั่นความสนุก

ชีวิตจริงเริ่มแล้วค่ะ - จะทำอะไร จะดำเนินชีวิตไปทางไหน มันต้องตัดสินใจแล้ว

ทำเล่นๆ ไม่ได้แล้ว ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ไม่พอแล้วค่ะ

ต้องรับผิดชอบพ่อแม่ ต้องรับผิดชอบครอบครัว รับผิดชอบต่ออนาคตของตัวเองและคนในครอบครัว



...สำหรับคนอื่น แม่ไม่รู้

แต่สำหรับแม่ เวลาในแต่ละวัน ผ่านไปรวดเร็วมากๆ จนบางครั้งตั้งตัวไม่ติด

เผลอแป๊บเดียว ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ - หนึ่งเดือน - หนึ่งปี - สองปี - สามปี ...



ก่อนหน้าที่แม่จะมีลูก

แม่ก็ไม่ค่อยได้คิดถึงภาระของการมีลูกสักเท่าไร

เคยคิดแค่ว่า - อยากมีลูก เพราะอยากรักลูก อยากดูแลเอาใจใส่ลูก เหมือนอย่างที่ตัวเองเคยคิดอยากมี

แต่ไม่รู้หรอกว่า "วิธีการ" มันคืออะไร



จนมาวันนี้ ถึงได้รู้ซึ้งว่า ... การเป็นลูกที่ดี กับการเป็นแม่ที่ดี มันยากเย็นพอๆ กัน



... แม่เอง ก็ไม่ใช่ลูกที่ดีนักหรอกค่ะ - 34 ปีที่ผ่านมา

แม่ก็ยังไม่รู้ว่า แม่เป็นลูกที่ดี สำหรับคุณยายหรือยัง

แม่เคยดื้อ เคยเกเร เคยทำหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทำให้คุณยายไม่พอใจ เสียใจ มาหลายต่อหลายครั้ง

แม้จนถึงวันนี้ แม่พยายามจะแก้ไข ในสิ่งที่เคยทำผิดพลาด - พยายามจะแก้ตัวใหม่

แต่ด้วยภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบต่างๆ ที่มีในวันนี้ แม่ก็คงทำมันได้เท่านี้



สำหรับการเป็นแม่ของลูก นับตั้งแต่ตั้งท้องซิดนีย์ จนถึงวันนี้ ซิดนีย์อายุ 2 ขวบ 5 เดือนแล้ว

ตั้งแต่หนูอยู่ในท้องแม่

แม่ก็ยังคิดทบทวนตัวเองมาตลอดว่า - แม่เป็นแม่ที่ดีหรือยัง



แม่มีคำตอบให้ตัวเอง โดยไม่เสแสร้งหรือลำเอียง

แม่รู้ว่า แม่ยังเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวอยู่ - แม่ไม่ได้เป็นแม่ที่ทุ่มเทให้กับลูก 100%

แม่ยังมีพื้นที่ส่วนตัว ที่แม่อยากทำ อยากเป็น อยากอยู่



แม่ไม่รู้ว่า แม่คนอื่นๆ เป็นเหมือนกันหรือเปล่า

แต่สำหรับตัวแม่เอง - แม่พยายามไม่กดดันตัวเอง ที่จะต้องคอยเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง

หรือสละความสุขทั้งหมด เพื่อลูก



แม่เสียสละให้ลูกได้ --- ในสิ่งที่แม่ให้ลูกแล้ว แม่จะไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง



แม่ไม่ชอบเลย - เวลาที่ใครบอกว่า เพราะมีลูก แล้วไม่ได้ทำแบบนั้นแบบนี้ ต้องเสียเงินเสียทอง

มีลูกแล้ว ไม่สวย - ไม่มีเวลา - หุ่นไม่ดี - ลดน้ำหนักไม่ได้ - อดนอน ฯลฯ



ทุกวันนี้ แม่ก็ไม่สวย หุ่นไม่ดี ตาโบ๋ หน้าโทรม อดนอน ปวดหลัง สารพัด

แต่แม่ไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะลูก

ไม่เคยคิดว่านี่คือการเสียสละ ไม่คิดว่านี่คือความทุกข์ใดๆ

เพราะแม่ทำอย่างเต็มใจ - ไม่ได้มีใครบอกให้แม่ทำ ไม่มีคนบังคับให้แม่ตื่นมาอุ้มลูกกลางดึก

ไม่มีใครบังคับให้แม่มานั่งปั๊มนมตอนตี 3

ไม่มีใครมาบอกให้แม่ต้องกระเตงลูกไปสนามเด็กเล่น แทนที่จะไปเสริมสวยทำผมตามร้านในวันหยุด



แม่เลือกเอง ที่จะทำหรือไม่ทำ



เวลาของแม่ กับลูก ... แม่ไม่รู้ว่าเหลือเท่าไร

แม่ให้ลูกเต็มที่ เท่าที่แม่ให้ได้ โดยไม่ทุกข์ใจ ไม่เรียกร้องสิ่งใดๆ ตอบแทน

ถ้าพรุ่งนี้แม่ตายไป แม่จะเสียใจแค่ไหนที่วันนี้ไม่ได้หอมลูก





ขอให้แม่เป็นคนที่จากลูกไปก่อนดีกว่า - เป็นคำอธิฐาน ในวันเกิด ครบรอบ 34 ปี ของแม่ในปีนี้ค่ะ




Create Date : 17 มีนาคม 2555
Last Update : 17 มีนาคม 2555 23:21:06 น.
Counter : 577 Pageviews.

0 comment
จดหมายถึงเจ้าตัวเล็ก ฉบับที่ 10 วันที่ซิดนีย์โดนแม่ตีเป็นครั้งแรก

วันที่ 9 ก.พ. 55

เป็นเวลา 9 วันแล้ว ที่เด็กน้อยจอมซนทั้ง 2 คนอยู่บ้านโดยปราศจากพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแล



ทำเอาชีวิตของคนในบ้านปั่นป่วนไม่น้อยเลย

ปกติแล้ว ตอนที่วินวินยังไม่เกิด ซิดนีย์คนเดียว จะมีคนคอยดูแลอยู่หลายคน

สมัยแรกๆ มีพี่เลี้ยงถึง 2 คน คนนึงจะคอยดูแลซิดนีย์เต็มตัว ส่วนอีกคนจะเป็นผู้ช่วยแม่บ้านและคอยมาสลับเปลี่ยนกัน เวลาคนแรกเหนื่อยมากๆ



แต่หลังๆ ตั้งแต่ซิดนีย์ครบ 1 ขวบ - ตลาดพี่เลี้ยงก็ซบเซาอย่างมาก

แม่ไม่สามารถหาพี่เลี้ยงมาทดแทนคนเก่าได้ อย่าว่าแต่ 2 คนเลย แค่ 1 คนก็ยังไม่รู้จะไปหาที่ไหน



ถึงมีเงิน ก็ใช่จะหาลูกจ้างได้ - อันนี้คือสัจธรรมของโลกยุคใหม่ สมัยนี้

บางทีแม่ยังสงสัย แกมประชด ว่าไอ้คนสมัยนี้มันไม่ทำงานทำการกันหรือไง

จะหาคนทำงานทีนึง ก็หาแสนลำบาก ไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร

แล้วไอ้ที่เรียนๆ หนังสือตามมหาวิทยาลัย วิทยาลัย พาณิชย์ต่างๆ เยอะแยะ จบไปแล้วไปทำอะไรกัน



แต่จะว่าไป ก็ไม่ใช่จะจริงทั้งหมดหรอกนะ

ถ้าเอาแบบเวอร์ๆ ก็ไปจ้างพี่เลี้ยงตามศูนย์ แต่เห็นราคาแล้วจะเป็นลม

บ้านเราจ้างไม่ไหวหรอกลูกเอ๋ย

พี่เลี้ยง 1 คนจากศูนย์ คิดค่าจ้างเดือนละ 9000-12000 แล้วแต่ประสบการณ์ แถมต้องมีที่พักและค่าอาหารให้ต่างหาก วันละ 100 เป็นอย่างต่ำ

รวมๆ แล้วต้องมี 15000-20000 ถึงจะจ้างพี่เลี้ยงได้ 1 คน

ไม่ต้องจบ ป.ตรี ก็มีรายได้ 15000 ได้แล้วนะเนี่ย



แม่เริ่มบ่นนอกเรื่องแล้วใช่ป่ะ



กลับมาที่บ้านเราต่อ



ทุกวันนี้ แม่ต้องคอยผลัดกะป้าแม่บ้าน 2 คน คอยดูแลซิดนีย์กับวินวิน

เพราะอาม่าไม่ค่อยสบาย ไม่มีแรงตามรบกะซิดนีย์ แถมอุ้มวินวินเดินก็ไม่ไหวเพราะขาหักยังไม่หาย



กลางวันแม่ต้องพาซิดนีย์ไปอยู่ในออฟฟิศด้วย

เลยเป็นที่มาของการโดนลงโทษ ณ บ่ายวันนี้



ปกติแล้ว แม่เป็นคนค่อนข้างใจเย็นกับลูกมาก

ซึ่งคนในบ้าน ทุกคน ไม่เคยเห็นแม่ด่า หรือว่าลูกแรงๆ ยิ่งคำหยาบยิ่งไม่เคยพูด เพราะแม่ไม่ชอบ

หลายครั้ง คนจะบอกว่าแม่ไม่ดุลูก หรือว่าแม่ตามใจ

แม่กลับไม่เคยคิดว่าแม่ตามใจลูกสักครั้ง

ถ้าแม่ให้ ก็คือให้ --- ถ้าไม่ให้ แม่ก็ไม่ให้ ซึ่งทั้งหมดยืนอยู่บนเหตุผลที่แม่ทบทวนมาคิดดีแล้ว ซึ่งอาจจะตรงใจใครหรือไม่ก็แล้วแต่

และแม่เชื่อลึกๆ ว่า แม่เข้าใจธรรมชาติของเด็กมากพอ



เด็กทุกคนต้องซน - แต่ไม่ควรดื้อและก้าวร้าว

และเด็กจะเลียนแบบ ตามผู้ใหญ่สอน หรือผู้ใหญ่ทำ นั่นคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด



วันนี้ซิดนีย์เกเรมาก รื้อของเล่นกระจายเต็มออฟฟิศ รื้อของในลิ้นชักแม่มาเล่น เอากระปุกออมสินแม่เทเหรียญออกมาหมดเต็มพื้น

ซึ่งปกติแม่ไม่ว่า เพราะแม่คิดว่า เด็กก็ต้องเล่น จะให้มานั่งเฉยๆ ทำอะไรล่ะ อายุแค่ 2 ขวบ ก็ต้องเล่นแบบนี้

แม่ไม่เคยดุ ไม่เคยว่าลูก เวลาเล่นของเล่น

แต่พอเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง โวยวายเอาแต่ใจเสียงดัง แม่เตือนหลายคำ ป่ะป๊าดุหลายคำ ยิ่งตะโกนเสียงดัง

สุดท้ายเอาของเล่นมาตีหลังแม่ แม่บอกไม่ฟัง

แม่เลยเอาไม้บรรทัด ฟาดเข้าที่ขา 2 ข้าง 2-3 ครั้ง- ท่ามกลางความตกตะลึงของคนในออฟฟิศ และอากงกับป่ะป๊า

เพราะไม่คิดว่าแม่คนนี้ จะตีเด็กได้ลง



ซิดนีย์คงตกใจปนเจ็บ ร้องไห้เสียงลั่น .... แต่แทนที่จะวิ่งหนีไปหาคนอื่น

กลับโผมากอดขาแม่

...คงกลัวแม่โกรธ...

ซึ่งแม่ก็โกรธจริงๆ - แม่บอก "ไปเลยนะ ไม่ต้องมากอด พูดไม่ฟัง บอกหลายครั้งทำไมไม่เชื่อ"

เด็กหญิงยิ่งร้องเสียงดัง กอดแม่ไม่ให้ไปไหน

แม่ถาม "จะเงียบไม๊ อยากโดนตีอีกไม๊"

.... แต่สุดท้ายแม่ก็อุ้ม พาเดินไปข้างนอก

ไม่ถึง 5 นาทีก็ยิ้ม หัวเราะ เหมือนดีใจที่แม่หายโกรธ แม่อุ้มแล้ว



แม่พากลับเข้ามา ซิดนีย์ก็ไปกดน้ำใส่แก้ว เอาช้อนมาตักกินเ่ล่น

ชวนแม่นั่งเล่นตรงบันได ตักน้ำใส่ช้อน ป้อนให้แม่กิน



แม่ถาม " เมื่อกี้ใครตี"

ซิดบอก "แม่ตี"

แม่ถาม "เจ็บไม๊"

ซิดบอก "เจ็บ...ไม่เจ็บ"

แม่เลยบอก "หนูอย่าดื้อสิ แม่จะได้ไม่ตี"

เด็กน้อยก็ยิ้มหวาน หัวเราะมีความสุข เหมือนลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ถึง 10 นาทีที่ผ่านมา



แม่แอบนึกเสียใจนิดนึง ที่ตีลูก

แต่อีกใจนึง แม่คิดว่าแม่ทำถูกแล้ว

เพราะแม่ไม่ได้ตีลูกพร่ำเพรื่อ หรือไม่มีเหตุอันควร

เด็กควรถูกลงโทษเมื่อทำผิด

และแม่ไม่เคยสนับสนุนหรือเห็นด้วยกับการลงโทษด้วยการตี



แต่แม่ไม่ยอมให้ลูกตีคนอื่น ไม่ว่าแม่ หรือ ใครก็ตาม

ลูกต้องรับรู้ว่า การตี ทำให้คนอื่นเจ็บ และเราไม่ควรทำร้ายร่างกายใคร โดยเฉพาะพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่



ตอนลูกร้องไห้เพราะโดนตี แม่ไม่สงสาร

แต่ตอนที่หนูยิ้มได้ แม่กลับน้ำตาซึม สงสารหนูมากจริงๆ



ขออย่าให้มีวันที่แม่ต้องตีหนูแบบนี้อีกเลยนะ



เป็นเด็กดีนะคะ



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 4:06:06 น.
Counter : 554 Pageviews.

2 comment
จดหมายถึงเจ้าตัวเล็ก ฉบับที่ 9 เด็กน้อยผู้มาเยียวยาทุกสิ่ง

ก่อนที่ซิดนีย์จะเกิด บ้านเราค่อนข้างเงียบเหงา และอึมครึม

อึมครึมในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความมืดนะคะ แต่หมายถึงบรรยากาศภายในบ้าน

ค่อนข้างตึงเครียด และมีเสียงประทัด ที่พร้อมจะปะทุตลอดเวลา

อันเนื่องมาจากงานที่เราต้องทำกันอยู่ทุกวันนี่แหละค่ะ

เรื่องบางเรื่อง อะไรบางอย่าง - มันได้ก่อตัว และเกิดขึ้นมานมนาน เกินกว่าแม่จะเข้าใจ

เพียงแต่ต้องเข้ามาอยู่ตรงกลาง ระหว่างเหตุการณ์นั้น ก็แสนจะอึดอัดและทรมาน

พอซิดนีย์เกิด - หนูก็เป็นคนนำความสว่างไสว และเสียงหัวเราะ รอยยิ้มเข้ามาในบ้าน

เหมือนนางฟ้ามาโปรด... แม่เปล่าพูดโอเวอร์นะ พูดจริงๆ จากใจ

อะไรๆ ที่ดูแย่และเลวร้าย ซึ่งแม่เคยเผชิญมันตามลำพัง

ก็ดูเหมือนกับว่า ค่อยๆ เบาบางและจางหายไป

แม้ว่าบางอย่าง มันจะยังคงอยู่ - แม่ก็สามารถมองข้ามมันไป

หรือมองมันด้วยสายตาที่สดใส แจ่มชัดยิ่งกว่าเดิม

แม่นึกขอบคุณซิดนีย์ทุกครั้ง เมื่อมองย้อนกลับไป

ในช่วงเวลาก่อนนั้น ... มันยากสำหรับแม่เหลือเกิน ที่จะยืนอยู่ในจุดเดียวกันนี้

แต่พอหนูมา หนูก็มารักษาบาดแผลหลายอย่าง ที่เกือบจะกลายเป็นแผลเป็น

ให้ค่อยๆ จางหายไป จนแทบไม่เห็นร่องรอย

แม่รู้ว่า ซิดนีย์ได้รับความรักมากมาย

และแม่รู้ว่าหนูมีความสุขทุกวัน แม้ว่าแม่คนนี้ จะไม่ค่อยมีเวลาได้เอาใจใส่หนูเท่าที่ควร

แม่พยายามอยู่เสมอนะ

วันนี้ ... วันที่เรามีวินวินมาอยู่ด้วย

หรือแม้แต่ตั้งแต่วันแรก วินาทีแรก ที่แม่รู้ว่า กำลังจะมีน้อง

คนแรก ที่แม่นึกถึง ก็คือซิดนีย์ - แม่นึกถึงหนูอยู่เสมอ

กังวล และเป็นห่วงหนูอยู่เสมอ

แม่เคยนึกเล่นๆ --- ด้วยความที่ตัวแม่เป็นลูกคนกลาง --- เป็นลูกคนที่ 2

แต่ก่อนก็เคยนึกน้อยใจ ว่าแม่ (คุณยาย) ไม่รัก

พอแม่มีลูก 2 คน แม่ก็ถึงบางอ้อ

คราวนี้แม่มานึกสงสารวินวินแทนแล้ว

วินวินน่าสงสาร... อืม ... จะเรียกว่าน่าสงสารก็ไม่ถูกซะทีเดียว

เรียกว่า น่าเห็นใจมากกว่า

การเป็นลูกคนที่ 2 มันน่าน้อยใจหลายอย่างจริงๆ นะลูก

อย่างแรก - ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติมิตรทั้งหลายก็ไม่เห่อ เพราะเคยเห่อคนแรกมาแล้ว

สอง - เสื้อผ้า ผ้าอ้อม ของเล่น รองเท้า ถุงเท้า ก็ต้องใช้ของเก่า ได้ซื้อใหม่ก็น้อยมาก

สาม - แม่ที่ไม่มีเวลา ก็ยิ่งไม่มีเวลา พอจัดเวลาได้ แม่ก็ต้องมาหาซิดนีย์ก่อน

ช่วงเวลาระหว่างวัน แม่แทบไม่ได้อุ้มวินวินเลยล่ะ

ตื่นเช้ามา แม่ต้องอุ้มวินวินออกจากห้อง มาส่งให้พี่เลี้ยง

แม่ต้องรีบไปอุ่นข้าวให้วินวิน เสร็จก็วางไว้ให้คนอื่นป้อน แล้วก็เผ่นไปอาบน้ำ

เตรียมละลายนมใส่ขวด เตรียมน้ำส้ม ปั่นผ้าใส่เครื่อง ปั๊มนมรอบแรกแล้วก็เผ่นไปทำงาน

และต้องแอบแว่บๆ มาปั๊มนมทุก 3 ชม.

ตอนเที่ยง แม่พยามจะพาซิดนีย์ไปกินข้าวด้วย เพราะอยากใช้เวลากับลูก

กลับมาก็มาปั๊มนมให้วิน เตรียมนมใส่ขวด เผ่นไปทำงาน

เลิกงานก็ต้องรีบไปตลาด ซื้อกับข้าว รีบกิน รีบอาบน้ำ

เพราะต้องพาวินเข้านอนตอน 1 ทุ่ม --- คราวนี้ก็เป็นทีของวินวินจะอ้อนแม่บ้างแล้วสิ

ชีวิตแม่ ได้ใช้เวลากับลูกน้อยไปนะ --- ในความคิดแม่

แต่มองอีกมุม

ยังดีกว่าหลายคนที่ทำงานนอกบ้าน --- แม่ก็เลิกคิดมาก ซึ่งกว่าจะเลิกคิดมากได้ ก็ปาไป 2 ปีกว่าแล้ว

ช่วงนี้ พี่เลี้ยงไม่อยู่

แม่ก็ต้องรับบทหนัก ต้องพาซิดนีย์ไปเลี้ยงในออฟฟิศด้วย

ปั่นป่วนน่าดู

แต่ลึกๆ ก็มีความสุขนะคะ แม้ว่าจะเหนื่อยกว่าเดิม แต่กลับรู้สึกได้อยู่ใกล้กับลูกมากขึ้น

ได้ยินเสียงลูกหัวเราะ

ได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุข

ได้เห็นมือน้อยๆ หยิบขนมเข้าปาก

ได้เห็นน้ำตาใสๆ อาบแก้มเวลาโดนดุ หรือโดนขัดใจ

ไม่ว่าจะเป็นอะไร

ช่วงเวลานี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่า ระหว่างเรา 3 คนแม่-ลูก

ที่แม่จะจดจำไว้ตลอดไป

เด็กน้อย 2 คน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกเหงาๆ ของแม่

ให้กลายเป็นโลกที่สว่าง สดใส และมีความหมายทุกวันค่ะ




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 0:53:28 น.
Counter : 478 Pageviews.

0 comment
จดหมายถึงเจ้าตัวเล็ก ฉบับที่ 8 เด็กชายนักท่องเที่ยว ตอนที่ 2

เด็กชายวินวินของแม่ เกิดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 54

นับจากวันนั้น จนวันนี้ ก็เป็นเวลา 7 เดือนกว่าๆแล้ว

เชื่อไม๊คะว่า 7 เดือนมานี่ เป็น 7 เดือนที่แม่วิ่งเข้า-ออก โรงพยาบาลมากที่สุดในชีวิต

อาจจะเรียกได้ว่า ทุกสัปดาห์เลยทีเดียว ตั้งแต่วินวินเกิด ถ้านับรวมตอนคลอดด้วย

เราสองคนก็เข้าไปนอนเล่นในโรงพยาบาลด้วยกันมา 4 ครั้งแล้ว



วินวินไม่เคยออกไปเที่ยวไหนเลย เคยไปแต่บ้านกับโรงพยาบาล จนเวลาไปรพ.ทีไร แม่จะต้องแอบแซววินวินทุกทีว่า มาเที่ยวอีกแล้ว สงสัยจะชอบเที่ยว เลยหาเรื่องมารพ.บ่อยๆ

วินคงยังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็ทำหน้าตาเหรอหรา อ้อแอ้ น่ารักไปตามประสา

วินวินไป รพ.ศิครินทร์เป็นประจำ ไปบ่อยซะจนนางพยาบาลจำชื่อได้ ทั้งชื่อเล่นชื่อจริง --- เอ่อ...มันน่าภูมิใจไม๊เนี่ย



นับจากครั้งแรกที่ไปนอนในรพ. จากอาการติดเชื้อ ไข้ขึ้น ครั้งแรกตอนอายุ 26 วัน

นอนไป 7 วัน พอออกมาได้ไม่นาน ตัวก็ร้อนขึ้นมาอีก ก็เลยได้เข้าไปนอนพักอีกรอบ แต่คราวนี้แค่คืนเดียว

รักษากับคุณหมอคนเดิม

แต่อาการใหม่ๆ ก็ตามมา จากที่แม่ทิ้งท้ายไว้ในบันทึกฉบับก่อน เรื่อง กรดไหลย้อน



ไอ้เจ้ากรดไหลย้อน --- หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า เด็กเป็นได้ด้วยหรือ

เป็นสิคะ ... เป็นก็เนื่องจากว่า กล้ามเนื้อหูรูดที่ปิดกั้นไม่ให้อาหาร (นม) ในกระเพาะ ไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหารของเด็กๆ ยังทำงานไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อยังปิดไม่สนิท ทำให้กรดในกระเพาะ หรือ นมที่กินเข้าไป ไหลย้อนขึ้นมา ทำให้เด็กๆ แหวะนม

ซึ่งจริงๆ แล้ว การแหวะนมก็มีหลายแบบ

แหวะมาก แหวะน้อย แหวะเป็นนมๆ แหวะเป็นเต้าหู้เละๆ แหวะเป็นน้ำย่อย แหวะเป็นเมือกๆ มูกๆ

แหวะแล้วยังยิ้ม หรือแหวะแล้วร้องไห้ทรมาน แหวะแล้วกินต่อ แหวะแล้วไม่กิน

โอ๊ย... สาระพัดแหวะ

แล้วจะรู้ได้ไง ว่ากรดไหลย้อน --- อ๊ะ น่านน่ะสิ



เอาอาการของวินวินมาตรงๆ เลยดีกว่า

วินวินจะแหวะนมทุกครั้ง หลังจากกินนมเสร็จ กินมากกินน้อยก็แหวะ แหวะแล้วจะร้องไห้งอแง แอ่นตัวไปด้านหลัง มีอาการเกร็งมือ เกร็งเท้า

แหวะจะมีลักษณะเป็นเมือกๆ ขาวๆ เหมือนน้ำมูก ปริมาณเยอะมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเยอะ

และพุ่งออกมาอย่างแรง (แถวบ้านเรียกอ้วก)

ช่วงอายุ 1-3 เดือนแรก วินวินน้ำหนักขึ้นดีค่ะ เดือนละ 1 กก. จากแรกเกิด 2.6 กก. ตอนอายุ 3 เดือน ก็ได้ถึง 5.3 กก.

แต่อาการแหวะ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และดูว่าทรมาน --- ลอง search google แล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่า นี่กรดไหลย้อนแน่นอน

แม้ว่าคุณหมอเด็กคนเดิม จะบอกว่าเป็นอาการแหวะปกติ และแนะนำให้กินนมให้น้อยลง

แม่เลยลองปรึกษาคุณหมอทำคลอดให้แนะนำหมอเด็กให้ใหม่ ก็ได้พบคุณหมอสันติ (จาก จุฬาเหมือนกัน)



พอเล่าอาการให้หมอฟัง คุณหมอก็ฟันธงเลยค่ะว่า นี่แหละ กรดไหลย้อน

คุณหมอวาดรูปกระเพาะและอธิบายอาการของโรคและการรักษาให้ฟังอย่างละเอียด

ที่วินวินแหวะแล้วต้องแอ่นตัวไปข้างหลัง เพราะเจ็บทรมานจากการที่กรดไหลย้อนขึ้นมา ทำให้แสบหลอดอาหาร

นึกถึงผู้ใหญ่สิคะ - ยังทรมานเลยนะ

สรุปแล้ว เจ้าชายน้อยของแม่ ก็ได้ยามากินเป็นของตัวเองอีก 1 ขนาน

เป็นตัวยา 2 ตัว ที่มาทดสอบความอึดของแม่

เพราะยาจะต้องกินทุก 6 ชม. - ห้ามขาด ห้ามเกิน กินวันละ 4 ครั้ง

และเป็นยาเม็ด ที่ต้องมาบด ผสม ละลายน้ำตอนที่จะกินเท่านั้น

แม่ของวินก็เลยต้องทำตัวเป็นนาฬิกาเดินได้

เวลา 6 โมงเช้า - เที่ยงวัน - 6 โมงเย็น - เที่ยงคืน แม่ต้องมาบดยากินวินกินตามเวลา

... ทำแบบนี้อยู่ 2 เดือนเต็มๆ ค่ะ ... กว่าวินวินจะหายจากกรดไหลย้อน

ส่งผลให้ ตอนนี้วินวิน ณ อายุ 7 เดิอนกว่า น้ำหนักไม่ไปถึงไหน หนักแค่ 7.3 กก. เท่านั้นเอง



คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ลูกแหวะมากๆ แหวะบ่อยๆ และมีแหวะเป็นเมือกๆ ก็อย่าวางใจ เพราะเจ้าตัวน้อยเค้าทรมานไม่ใช่น้อยเลยล่ะ





พอจบจากกรดไหลย้อน - แม่ก็อยากจะลั้ลลาเต็มที่ แต่วินก็ยังไม่ยอมง่ายๆ

วินยังขยันเป็นหวัด น้ำมูกไหล อยู่เรื่อยๆ ต้องแวะเวียนมาหาหมอเป็นประจำ

แถมตามตัวของวิน ก็เป็นผด ผื่น เม็ดแดงๆ รอยแตกแดงๆ ตามข้อพับต่างๆ

ผิววินวินจะไม่เรียบ เป็นสากๆ ทั้งตัว

แม่ต้องพาวินหาทั้งหมอเด็กและหมอผิวหนังก็ไม่หาย

คุณหมอผิวหนังจ่ายยาทามาให้ แม่แทบเป็นลม ค่ายาทาผิวอย่างเดียว เกือบ 3 พัน - ทาหมดไป 2 รอบ ผิวก็ยังสากอยู่ดี

คุณหมอสันติ ฟันธงอีกแล้ว

บอกแม่ว่า แม่จงงดนมวัวทุกอย่างโดยพลัน - แม่ยังไม่เชื่อ ยังแอบกินกาแฟเย็นของโปรด และขนมเบเกอรี่ต่างๆ อยู่บ่อยๆ

คุณหมอโรคผิวหนังก็ย้ำ - งดนมวัว งดถั่ว งดขนมปัง แป้งสาลี แอลกอฮอล์ อาหารทะเล อาหารหมักดอง งดๆๆๆๆ งดให้หมด



ด้วยความนิสัยดื้อรั้นของแม่ - อ๊ะ ไม่เชื่อๆ นมวัวนิดหน่อยกินได้น่า อย่างอื่่นไม่กินไม่เป็นไร แต่กาแฟเย็นกะขนมเค้กขอเหอะ

ยังดื้อกินอยู่เรื่อยๆ แม้จะลดปริมาณลงบ้าง



แต่ทุกคนมันต้องมีจุดตัดสินใจค่ะ



มันมาแบบร้ายแรงด้วยค่ะ



ตอนอายุได้ 4 เดือน วินวินป่วยเป็นหวัด - ติดจากซิดนีย์นี่แหละค่ะ

แต่ซิดนีย์หายก่อน วินยังไม่หาย ....ทำยังไงก็ไม่หาย

และยิ่งนานก็ยิ่งไอ น้ำมูกยิ่งเยอะ ล้างจมูกทุกวัน ก็ยังไอ น้ำมูกก็เยอะ

จนคืนนึง วินไอ ไอมากๆ ไอแล้วก็ร้องไห้ทรมาน ไอแบบคนที่หายใจไม่ทัน ร้องไห้น้ำตาไหลน่าสงสารมาก

รุ่งเช้าแม่รีบพาวินไปหาหมอ - คราวนี้ชื่อคุณหมอพนัสค่ะ



หมอเอ็กซเรย์แล้วบอกว่า วินวินเป็นปอดบวม



คงรู้แล้วใช่ไม๊คะ ว่าเราต้องนอน รพ.กันอีกแล้ว



แม่กับวินวิน 2 คน ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว - แต่เป็นการรักษาที่ทรมานกว่าครั้งแรก

เพราะกระบวนการมันเจ็บตัวกว่าเยอะ



วินต้องโดนดูดเสมหะ (โดยการสอดสายยาง) วันละ 2 รอบ --- เจ็บค่ะ เจ็บจริงๆ

ล้างจมูก ทุก 6 ชม. - กินยา และฉีดยาฆ่าเชื้อเข้าทางเส้นเลือด

วินต้องให้น้ำเกลือด้วยค่ะ เพราะกินนมไม่ได้ ... ไอมาก



คุณยายเป็นห่วงวินวินมาก --- เป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อเล่นวินวินนี่แหละค่ะ



แรกเกิด แม่ตั้งชื่อให้หนูว่า ซัมเมอร์ - เพราะให้คล้องจองกับ ซิดนีย์

แต่พอมาป่วย เป็นปอดบวม ยายเป็นห่วงหลาน ก็เอาดวงหลานไปดู

หมอดูบอกว่า ชื่อนี้ร้อน และหนูเกิดวันอาทิตย์ ไม่ถูกกับอะไรร้อนๆ

ให้เปลี่ยนชื่อให้เย็นๆ - แม่ก็ปรึกษากับป่ะป๊า ... ป่ะป๊าบอกตามใจแม่ (จริงๆ ขี้เกียจคิดล่ะสิ...)

แม่ก็คิดไปคิดมา เลยให้หนูชื่อ วินเทอร์ (Winter) จะได้เย็นๆ --- ก็เป็นด้วยประการฉะนี้ล่ะค่ะ



หลังจากรักษากันอยู่นาน เราสองคนแม่ลูกได้นอนกันอยู่ที่ รพ. 3 วัน - ถึงได้กลับบ้าน



ระหว่างที่อยู่ รพ. แม่ก็หาข้อมูลในอินเตอร์เนต

อ่านไป คิดไป อ่านอะไรเยอะแยะไปหมด

สงสารลูกค่ะ



เพราะสิ่งที่อ่านมา ก็รู้สึกว่า เรานี่เองเป็นคนทำให้ลูกทรมาน



ยังจำกรดไหลย้อนกันได้ใช่ไม๊คะ

การแหวะนมของเด็กเล็กๆ นอกจากจะเกิดจากการกินมากเกินไป บางครั้ง มันก็เกิดจากการที่กระเพาะ ไม่สามารถย่อยโปรตีนแปลกปลอมได้

โปรตีนแปลกปลอม มาจากไหนล่ะ

ก็มาจากแม่นี่ไง - แม่กินกาแฟ กินขนมเค้ก มีทั้งนม ทั้งเนย ทั้งแป้ง

กินมาตั้งแต่วินวินอยู่ในท้อง กินเยอะมากค่ะ กินทุกวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะทำให้วินวินแพ้นมวัว

พอวินวินเกิดมากินนมแม่ --- หมอบอกไม่รู้กี่หน แม่ก็ยังไม่ยอมสละความอยากของตัวเอง ยังดื้อกินของที่หนูแพ้อีก

ทำให้หนูทรมาน



ตั้งแต่นั้น แม่ก็สัญญากับวินวินว่า แม่จะไม่กินกาแฟเย็นและขนมเค้ก ขนมปังอีก

จนกว่าวินวินจะหย่านมแม่



แล้วเราก็เกี่ยวก้อยกัน



เชื่อไม๊ค่ะว่า แม้ว่าวินวินจะยังป่วย ยังหายใจมีเสียงครืดคราด ยังไม่สบาย มีน้ำมูกต้องล้างจมูกอยู่ทุกวัน

แต่ผิวพรรณของวินวิน เนียนเรียบแล้ว โดยไม่ต้องทายาอะไรเลย



แม่เคยคิดว่า

ถ้าแม่รู้ว่าวินวินแพ้อะไร แล้วแม่เลิกกิน ทำให้วินวินหายป่วย หายไม่สบาย แล้วแข็งแรงอย่างเด็กคนอื่น

แม่จะยอมแลก ไม่กินสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตเลยก็ยังได้



วินวิน บอกแม่ได้ไม๊.....




Create Date : 23 มกราคม 2555
Last Update : 23 มกราคม 2555 12:19:07 น.
Counter : 2339 Pageviews.

2 comment
จดหมายถึงเจ้าตัวเล็ก ฉบับที่ 7 เด็กชายนักท่องเที่ยว ตอนที่ 1
เมื่อคราวก่อน แม่ทิ้งท้ายไว้ตอนเราเก็บข้าวของออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯ แบบลั้ลลานิดๆ

เพราะยังกังวลนิดหน่อยเรื่องวินวินตัวเหลือง

ไอ้ตัวเหลืองนี่ก็แปลกนะลูก ... เพราะคำแนะนำมันมีหลายสูตร

ก่อนออกจากโรงพยาบาล - คุณพยาบาลย้ำนักหนาว่า ให้วินวินดูดนมแม่เยอะๆ จะช่วยขับสารเหลืองออกได้เร็วขึ้น

สารเหลืองนี่จะว่าไปมันก็อันตรายอยู่พอสมควร จากที่แม่ไปหาอ่านข้อมูลในอินเตอร์เนต

อ่านมาก จิตก็ยิ่งตก - แต่โชคดีที่แม่มีน้ำนมให้วินวินกินตั้งแต่วันแรก

หน้าอกมหึมาที่สุดในชีวิตแล้วลูกเอ๋ย ... แอบเศร้าที่มันคงไม่ใหญ่เท่านั้นอีกแล้วชีวิตนี้ เหอๆๆๆ...

เด็กชาายวินวินกลับบ้านมาวันแรก ได้เจอกับซิดนีย์ ดูเหมือนจะยังงงๆ อยู่

ไม่รู้จักอิจฉาหรืออะไร เพราะซิดนีย์ยังเล็กอยู่ ก็มองๆ น้อง แบบอยากจะเล่นด้วย แต่ก็ยังงงๆ ว่าน้องคือตัวอะไร

ซิดมาจับแขนจับขาน้อง แล้วก็มองว่าแม่อุ้มอะไรอยู่

อากง อาม่า ป่ะป๊า ก็สอนให้ซิดนีย์เรียกชื่อน้อง ซิดก็เรียก "...ฮัมเม่อ..." เพราะตอนนั้นซิดยังพูด ซ.โซ่ ไม่ได้

แม่แอบดีใจนิดๆ ที่ซิดดูเหมือนจะรักน้องดี โล่งอกค่ะ

แต่อะไรๆ ก็ดูจะทุลักทุเลอยู่ เพราะหลังจากคืนนั้น ซิดนีย์กับแม่ ก็ต้องจัดระเบียบสังคมกันใหม่

จากที่เคยนอนด้วยกัน แม่ก็ต้องพาวินวินเข้าห้องนอนก่อนตอนหัวค่ำ พอวินวินหลับ แม่ก็อุ้มวินวินออกมานอนข้างนอก แล้วพาซิดนีย์เข้าไปกล่อมให้หลับ แล้วค่อยอุ้มซิดนีย์ออกมาส่งให้อาม่าพาไปนอนบนบ้าน

เป็นแบบนี้อยู่หลายวันค่ะ หลังๆ ซิดนีย์ติดทีวี แม่ก็ต้องแอบหลบเข้าห้อง แล้วก็นอนพร้อมวินวินไปเลย

ส่วนซิดนีย์ อาม่าก็มาพาไปนอนด้วยบนบ้าน

...บอกตรงๆ ว่าแม่คิดถึงซิดนีย์มากๆ ...

แต่ก็จนใจ เพราะทำอะไรไม่ได้

จากวันนั้น ตั้งแต่ก่อนไปคลอด จนกระทั่งวันนี้ 7 เดือนกว่าแล้ว แม่ก็ไม่ได้นอนห้องเดียวกับซิดนีย์อีกเลย

แต่ความตั้งใจของแม่ คิดว่า ถ้าวินวินโตกว่านี้ และซิดนีย์ใกล้จะเข้าโรงเรียน แม่ก็จะพาซิดนีย์มานอนด้วยเหมือนเดิม

เพราะมีเหตุผลหลายอย่าง ซึ่งแม่จะเล่าให้หนูฟังในคราวหน้านะคะ

กลับมาที่เจ้าชายตัวน้อย --- วินวินตัวเหลืองค่ะ เหลืองจริงๆ

กดตรงไหนก็เหลือง ผิววินวินจะออกแดงกว่าซิดนีย์แรกเกิดมาก พอกดผิวดู ก็เหลืองใช้ได้เลย

แม่ก็แอบกังวล พอครบ 7 วัน ก็เลยพาวินวินไปเจาะเลือดตรวจอีกที

...นี่แหละค่ะ ที่มาของความงง

คุณหมอที่ รพ.ศิครินทร์บอกว่า ค่าที่วัดได้ ไม่อันตราย แต่... ถ้ายังไม่ลด ก็ต้องให้น้องงดนมแม่

...เอ่อ ... แม่ก็งงสิคะ --- คนนึงบอกให้กินนมแม่เยอะๆ อีกคนบอกให้งดนมแม่

ก็เลยกลับบ้านมาหาข้อมูลตามสไตล์ ... ก็พบว่าจริงดังที่เขาว่าทั้งสองอย่าง

คือ ให้ดูดนมแม่เยอะ ก็ช่วยขับสารเหลือง แต่ในนมแม่ก็มีสารบางตัวที่ทำให้ตัวเหลืองเพิ่มขึ้น (อ่านแล้วงงกันไม๊คะ)

อยากเคลียร์ ต้องเปิด google แล้ว search กันดูนะคะ จะกระจ่างใจขึ้นค่ะ

จบจากตัวเหลือง ก็มาเรื่องสะดือค่ะ

สะดือสองคนพี่น้องนี่หลุดยากหลุดเย็นกันทั้งคู่จริงๆ ค่ะ

ตอนซิดนีย์ 1 เดือนกว่าๆ กว่าจะยอมหลุด ต้องโดนคุณหมอจี้ออก

แต่ของวินวิน อักเสบค่ะ ครึ่งเดือนถึงจะหลุด เลือดกระจาย ก็ได้ไป รพ.กันอีกรอบ

พออายุได้ 2-3 อาทิตย์ ก็รู้สึกว่าวินวินท้องป่องค่ะ

ไปตรวจ หมอก็จับเอ็กซเรย์ ดูเห็นในท้องมีลมเยอะ แถมวินอึพุ่งแรงมาก เหมือนมีความดันในท้อง

หมอก็กลัวเป็นลำไส้อุดตัน พูดไปพูดมา น่ากลัวอีกแล้ว

คืออาจจะต้องผ่าตัด หมอนัดให้มาพบคุณหมอผ่าตัดให้ตรวจอีกที

แม่ก็พาวินมาตรวจ - ค่อยโล่งใจได้ คือหมอบอกว่า วินวินยังถ่ายด้วยตัวเองได้ดี ก็ไม่น่ามีปัญหา

แต่ถ้าเมื่อไรไม่ถ่ายหลายวัน ต้องรีบมาทันที ... จบไปอีกหนึ่งเคส...

แต่ไอ้ที่สาหัสมันก็ตามมาตอนวินวินอายุ 25 วันนี่แหละค่ะ

คืนนั้น วินวินตัวร้อน ร้อนมากๆ เลย แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ประสาแม่ รีบหายาลดไข้ให้หนูกิน

เช็ดตัว เช็ดหัว ติดแผ่นเจลลดไข้ เสร็จแล้วคืนนั้นก็นั่งอ่านข้อมูลในเน็ต

ถึงพบว่า อาการไข้ขึ้นของเด็กทารก (เด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน) ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ค่ะ

ไม่ควรกินยาลดไข้ด้วย (อ้าว...ทำไงล่ะ ให้กินไปแล้ว)

และมีโอกาสเป็นโน่น นี่ นั่น..... สยองค่ะ อ่านไปแล้วนอนไม่หลับ เป็นห่วงวินมาก

รุ่งเช้าก็รีบพาไปหาหมอโดยพลัน

หมอจับวัดไข้ - วัดไข้ได้ 37.5 องศา คือมีไข้ต่ำๆ ค่ะ

เนื่องจากอายุของวินน้อยมาก

ถ้าไข้ขึ้น มันแสดงถึงอาการติดเชื้อบางอย่าง ซื่งอันตรายสำหรับเด็กวัยขนาดนี้

หมอให้ admit ค่ะ...เพื่อคืนนี้จะต้องคอยวัดไข้ ถ้าถึง 37.8 เมื่อไร ต้องเข้าเกณฑ์รับยาทันที แต่ถ้าไม่มีไข้ก็กลับบ้านได้ แล้วไปวัดไข้ต่อที่บ้าน

เอาล่ะสิ

วันนั้นแม่ไปกับอากงค่ะ - แม่ก็งงๆ ไม่รู้จะทำไง

อากงเป็นห่วงหลาน ก็บอกให้นอนที่รพ.นี่แหละ อยู่ใกล้หมอ เท่าที่ฟังหมอก็ไม่สบายใจ อย่าเสี่ยงดีกว่า

แม่ก็เลยขอกลับมาบ้าน มาเก็บข้าวของ

คิดว่านอนคืนเดียว ก็เตรียมของไปนิดหน่อย ไปบอกลาซิดนีย์แบบใจหวิวๆ

เป็นห่วงวินก็ห่วง ห่วงซิดก็ห่วง - กลับไปที่โรงพยาบาลอีกทีตอนเย็นๆ

คืนนั้นก็ได้เห็นภาพที่ทรมานใจมากๆ ภาพหนึ่ง

พอวินวินไปถึง ก็ถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดผู้ป่วยเด็ก

แล้วคืนนั้น ก็ต้องโดนวัดไข้ทุก ชม. ค่ะ

ปรากฎว่า มีไข้ถึงจุดที่หมอกำหนด --- ขั้นตอนการรักษาก็เริ่มขึ้น.........

วินวินอายุไม่ถึงเดือนเลยค่ะ - มือยังเล็กจิ๋ว ตัวก็เล็ก โดนจับถอดเสื้อผ้าเช็ดตัว

และโดนเจาะเลือดค่ะ และเสียบสายน้ำเกลือเพื่อเวลาต้องฉีดยาฆ่าเชื้อ

ตอนพยาบาลช่วยกันจับวินวิน เตรียมแทงเข็ม

แม่ทำใจแข็งไปยืนดู

ภาพที่เห็นทำเอาน้ำตาไหลเลยค่ะ มือหนูเล็กมาก เส้นเลือดก็เล็ก แทบจะเล็กกว่าเข็มที่แทงเข้าไปอีก

พยาบาลเล็งแล้วเล็งอีก หนูก็ร้องไห้ - แม่ไม่รู้หนูเจ็บ หรือตกใจ หรืออะไร

แต่แม่สงสารวินวินจับใจ ทนดูจนเขาเจาะเสร็จไม่ไหว ต้องออกมารอที่ห้องพัก

คุณหมอเป็นห่วงมาก โทรมาหาที่ห้องพักหลายครั้ง

พร้อมกับอธิบายว่า ต้องเก็บอุจจาระ ปัสสาวะ และเลือดไปตรวจเพาะเชื้อ

และวินวินต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างน้อย 3-7 วัน ให้ได้รับยาฆ่าเชื้อครบตามโดส

แม่เห็นภาพวินวินในชุดคนป่วย ที่มือโดนเจาะเข็มเสียบไว้ แล้วทรมานใจบอกไม่ถูก

เด็กน้อยตัวจิ๋วของแม่ เกิดมาไม่กี่วัน

บอกตรงๆ ว่าใจแม่ตอนนั้นกลัวมาก

กลัวว่าวินวินจะไม่ได้อยู่ด้วยกันกับแม่แล้ว

คุยกับตัวเองแล้วก็สับสนไปมา - ไม่น่าทำหมันเลย ถ้าลูกเป็นอะไรไปก็มีลูกอีกไม่ได้แล้ว

แล้วลูกจะหายไม๊ - ไปติดเชื้ออะไรมาจากไหน - ลูกจะหายไม๊ แล้วยาที่ได้รับไปมีผลอะไรต่อสมองหรือเปล่า

ช่วงเวลาในโรงพยาบาลช่วงนั้นแม่ฟุ้งซ่านมาก เพราะอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่

คิดถึงบ้าน คิดถึงซิดนีย์ ทรมานจริงๆ ค่ะ

ป่ะป๊าก็งานยุ่ง แต่ก็พยายามมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ตลอด

ทุกครั้งที่พยาบาลมาฉีดยาให้วินวิน แม่ไม่กล้ามองเท่าไร

เพราะแม่รู้สึกว่าหนูคงเจ็บ ทรมาน

จนครบ 7 วัน เราก็ถึงได้กลับบ้านกัน

แต่สิ่งนึงที่ติดตามเรามา หลังจากที่แม่สังเกต

วินวินจะแหวะนมทุกครั้งที่กินนมเสร็จ

ซึ่งแปลกมากๆ เพราะซิดนีย์ตอนเล็กๆ ไม่เคยแหวะนมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

วินแหวะเก่งมาก แม่ก็ถามปรึกษาหมอตลอด

หมอบอกว่า กินเยอะไป ให้เว้นช่วงห่างขึ้น เพราะวินกินนมทุก 1.5-2 ชม. มันถี่ไป ให้กินแค่ทุก 3 ชม. พอ (ซึ่งแม่มารู้ทีหลังว่าไม่จริง - ตอนหลังแม่ก็ไม่ไปหาหมอคนนี้อีก)

ตอนนั้นแม่ก็พยายามทำนะคะ แต่ทำไม่ได้หรอก เพราะหนูร้องหิว จะกินนม แต่กินเสร็จก็แหวะตลอด

พอกลับมาบ้าน แม่ก็มาหาข้อมูลใน google เพื่อนรักอีกแล้ว

ถึงได้รู้ว่า ไอ้อาการแหวะนม และลักษณะนมที่วินแหวะออกมามันไม่ธรรมดา

แล้วก็ได้รู้จักและสัมผัสกับเจ้าโรค "กรดไหลย้อน" แบบใกล้ชิดกันค่ะ




Create Date : 17 มกราคม 2555
Last Update : 17 มกราคม 2555 22:35:12 น.
Counter : 461 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

bizkiss
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments