ชีวิตพอเพียงกับการเลี้ยงกล้วยไม้
Group Blog
 
All Blogs
 

การลงทุน แบบแนวพุทธ (Buddha Investor) ตอนที่ 1หลักคำสอนกาลามสูตรกับการลงทุนในหุ้น

พุทธ แปลว่า ผุู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผมได้ลงทุนมาแล้ว 3 ปี ซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้น หมดหลายพันบาท ทุกเล่มจะสอนด้านเทคนิค เช่น การดูกราฟแท่งเทียน การดูค่า P/E , P/BV ,ดูงบการเงิน,งบกำไรขาดทุน,งบกระแสเงินสด และดูตัวเลขอีกมากมาย ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นที่นักลงทุนต้องศึกษาก่อนสิ่งอื่น

แต่ไม่พบหนังสือเล่มใดสอนการควบคุมจิตใจ ควบคุมความโลภ กิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากรวยเร็ว รวยง่าย
ที่เข้าครอบงำนักลงทุนทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุดในการลงทุน
ผมเป็นคนเรียนหลักสูตรเก่า ซึ่งใน 1 สัปดาห์ตอนชั้น ม. 1-6 มีวิชาศีลธรรม เรียนสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง หลายๆครั้งผมไม่ค่อยได้อะไรมากนัก
แต่จะจำได้ลางๆ ที่ อาจารย์วิชัย และพระมาสอน สมัยเรียนอาจารย์วิชัยจะให้ฟังเทศเช้าวันอาทิตย์ ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ฟังท่านพุทธทาส ,หลวงพ่อปัญญา ฟังด้วยจดด้วยเพื่อเอามาสอบวิชา
ของอาจารย์วิชัย

พอเริ่มทำงาน อายุมากขึ้นมีประสพการณ์ชีวิตมากขึ้น หลักคำสอนที่เคยเรียนมันจะผุดในหัวขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนอายุมันจะได้ พอมาลงทุนในกองทุนรวม หุ้น จะพบว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมากในการลงทุน เราจะใช้อะไรมาบริหารจิตใจ ผมพบว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ครอบคลุมเหมาะกับการนำมาใช้ คำสอนของศาสดาเรามีมามากกว่า 2554 ปี คำสอน ของท่านเป็น อกาลิโก คือ ทันสมัย เป็นจริง ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นพันปี ไม่เคยล้าสมัย คำสอนเน้นให้ใช้ สติ และ ปัญญาในการ
ดำเนินชีวิต ไม่งมงาย ผมจึงเอามาเผยแพร่ในมุมมองของผม







หลักทางพุทธศาสนาที่จำเป็นสำหรับนักเล่นหุ้น

1.สติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรก
ผมเคยได้ยินคนสติแตก ที่เสียหุ้น คิดไม่ออก ฆ่าตัวตายก็เพราะขาดสติ
คนแตกตื่นขาดสติ เทขายหุ้นหรือซื้อหุ้นเพราะเชื่อข่าวลือของเจ้ามือคนปล่อยข่าว พอเรามีสติ ปัญญาก็เกิด
มีคำพูดเล่นๆในวงไพ่ว่า
>>มีสติมีสตางค์ เสียสติเสียสตางค์
ในการเล่นหุ้นเราจะขาดสติจาก
>> เกิดความโลภ เกินความรู้ที่มี ซื้อหุ้นปั่น หุ้นเขาว่า หุ้นผีบอก
>> เกิดจากความกลัว เนื่องจาก ความไม่รู้จริง ในหุ้นที่เราซื้อ
>> คิดนึกหรือฟุ้งซ่าน จากข่าว จริงข่าวลวง จากแหล่งต่างๆ
>> เกิดจากจิตใจที่หดหู่ ท้อแท้ จากการขาดทุนในการซื้อขายหุ้น ทำให้ขาดสติ จะทำในสิ่งที่ไม่มีสติ





2. ปัญญา คือ ความรอบรู้ ความฉลาด ตามหลักพันธู์กรรมที่มีสูตรอธิบายได้ดังนี้

Phenotype = Genetic+Environment

ความฉลาดเกิดจาก = พันธุ์กรรม+สภาพแวดล้อม

ทุกคนเกิดมาพันธู์กรรมไม่แตกต่างกันมาก แต่จะมาต่างกันตรงที่สภาพแวดล้อม คือ การศึกษาที่แตกต่างกันทำให้ระดับความฉลาดต่างกันครับผม แต่คนสมัยนี้ฉลาดแต่ไม่มีคุณธรรม ความฉลาดขั้นสูงผมเรียกว่า พุทธิปัญญา คือฉลาดด้วยมีคุณธรรมด้วย

พุทธิปัญญา (Cognitive) ในแง่จิตวิทยา คือความรู้ความเข้าใจและการรู้คิดของมนุษย์ หรือความคิดทุกชนิด การคิดอย่างมี
เหตุผล การจินตนาการ การพยากรณ์ล่วงหน้า การคิด
ในใจ การแก้ปัญหา และการแลกเปลี่ยนความคิด
ยังรวมถึงการแปลความหมาย การคิดแบบเบ็ดเสร็จ ตลอดจนถึงข้อเท็จจริง โดยใช้หลักทางศาสนาเป็นแนวทางเดิน เพื่อให้เข้าใจความจริงอันถ่องแท้ ว่ามีเหตุแล้วจึงมีผล ทุกสิ่งไม่มีเพียงด้านเดียว ต้องมองหลายๆด้าน ข้อนี้ผมยอมรับว่ายาก แต่ก็เอามาใช้ในการเล่นหุ้นได้อย่างดีเดียว

ผมขอยกตัวอย่างคำพูดยอดฮิต เช่น

>>ของฟรีไม่มีในโลก (น่าคิด ผมเชื่อคำพูดนี้)
>> เขาว่า ให้เอาห้าหาร (ในวงการหุ้น คำนี้ทำให้คนหมดตัวมามาก)
>> ผู้หวังดี (แต่ประสงค์ร้าย ไม่มีใครหวังดีกับคุณในโลกนี้ เท่ากับพ่อและ แม่ ส่วนคนอื่นไม่แน่เสมอไปหรอกครับ)
>> ฟังหูไว้หู (สำคัญมาก ผมอยู่ในอาชีพงานขาย สิ่งที่ลูกค้าบอกมักจะไม่เป็นจริง เสมอไป หรือเป็นจริงบางส่วน)
>> อัตตาหิ อัตโนนาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อันนี้จริงแท้แน่นอน
การหวังพึ่งคนอื่น เท่ากับคุณล้มเหลวตั้งแต่คิดแล้วครับ)
>> นัตถิปัญญาสมาอาภา (แสงสว่างใดเสมอปัญญาไม่มี จริงแน่นอน
ให้ความรู้ดีกว่าให้ทรัพย์สิน หากินได้ตลอดชีวิต )

สรุปเรื่องปัญญา หรือ ความรู้ในการเล่นหุ้นท่านต้องศึกษาเอง อย่าไปเชื่อคนอื่นๆ โดยไม่ใช้ปัญญาเราวิเคราะห์ เช่น เชื่อ มาร์เก็ตติง
บทวิเคราะห์ของ บล , ผู้หวังดี, เพื่อน,เจ้านาย เราต้องฟังแล้วค่อยๆคิดพิจารณาครับ

ข้อสังเกต: >ความฉลาดไม่ได้เกิดเอง แต่ความฉลาดจะค่อยๆสะสม
หรือ บางทีเราเรียกอีกคำว่า ประสพการณ์
>ความฉลาด Download ไม่ได้เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
>ความฉลาดจะอยู่กับเราไม่นาน มีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ วันนี้ฉลาด
พรุ่งนี้อาจโง่ได้ครับ

ในพุทธศาสนาก็มีหลักคำสอนด้านความเชื่อครับ แล้วเป็นหลักธรรมที่สุดยอด เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นประชาธิปไตยครับ คือหลัก
กาลามสูตร ไม่ใช่ กามสูตรนะครับ มีหลักดังนี้


กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ
เหมาะนำมาใช้เป็นหลักในการเล่นหุ้นมากครับ

1 อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
ข้อนี้ใช้ได้ดีในตลาดหุ้นครับ เพราะมีข่าวปล่อย ข่าวลือ เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างในการทำราคาหุ้น ทั้งขึ้นและลง นักลงทุนมือใหม่
ย่อมตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ ข่าวปล่อย โดยมีประโยคเด็ด คือ เขาว่าหุ้นตัวนี้ราคาจะขึ้น เพราะ..... โดยผู้ฟังยังไม่รู้ว่า เขาคือใคร แต่ก็เชื่อหัวปักหัวปำ โดยเอาเงินที่เก็บออมไปละลายทิ้ง

2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
เช่น ถ้าหุ้นตกให้ Cut loss หรือ ซื้อเฉลี่ย ไม่เป็นสูตรตายตัวเสมอไปครับ บางช่วงก็ใช้ไม่ได้ การเล่นหุ้นมี 2 ฝั่ง คือ คนที่ได้ กับคนที่เสีย
คนที่เชื่อแนวทางคนอื่นหรือ ทำตามคนอื่น มักจะอยู่ฝั่งคนที่เสีย

3.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
ข่าวลือเป็นของคู่กันกับ ตลาดหุ้น จริงบ้างเท็จบ้าง ส่วนมากจะเท็จ
ทำไมต้องมีข่าวลือ ก็เพื่อทำให้เกิดการเลื่อนไหวของราคา เกิดการซื้อการขาย สุดท้ายก็บรรลุเป้าหมายของผู้ปล่อย คือ การทำกำไรของผู้ปล่อยข่าว ผู้ที่เล่นหุ้นใหม่ ขาดความรู้ ขาดข้อมูล ไม่มีความมั่นใจในตัวเองศึกษาหุ้นที่ตัวเองน้อย จึงจะมักหาข่าวลือมาสนับสนุน มักจะเชื่อข่าวลือมากกว่าเชื่อตัวเอง ผมไม่ค่อยหวั่นไหวกับข่าวลือเพราะโชคดีทำงานขาย เป็นเซลล์มาตลอดตั้งแต่จบ อาชีพมันสอนทำให้เชื่อตัวเอง
มากกว่าเชื่อคนอื่น ถามว่าหวั่นไหวกับข่าวลือไหม มีครับแต่ผมเช็คข้อเท็จจริงก่อน เอาประสพการณ์มาจับว่ามันจะไปในทิศทางใด

4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
ข้อนี้สื่อถึงว่า หนังสือ หรือ ตำรา มันมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ถ้ายึดติดก็จะตกหลุมกับดักตำรา ตลาดหุ้นมีชีวิต ไม่มีตำราใดๆที่อธิบายได้ถูกเสมอ มันเป็นแค่แนวคิด ให้ผู้อ่านเอาไปต่อยอด ไม่ใช่ให้เชื่อถือหรือยึดเป็นสูตรสำเร็จตายตัวครับ

5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
ข้อนี้สื่อถึงการนึกเดา ที่ไม่มีหลักการ หรือ ข้อมูลมาสนับสนุนครับ เรียกว่าการเดาสุ่มครับ การเดาเป็นสิ่งจำเป็นในการเล่นหุ้นครับ
เราเรียกให้หรูในการเดาแบบมีหลักการของการเล่นหุ้นว่า บทวิเคราะห์ครับ ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง เพราะมันเป็นการเดาครับ ดังนั้นบทวิเคราะห์ของ
โบรก ที่ส่งทางอีเมลล์ อย่าไปเชื่อหัวปักหัวปำนะครับ ใช้ดูแนวคิดของคนที่เล่น ถ้าซื้อตามบทวิเคราะห์มีโอกาสติดดอยสูง มีคนในห้องสินธรแซวถ้าโบรคนี้แนะนำให้ทำอะไร ทำตรงกันข้ามได้เงินแน่่ๆ





6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา

ข้อนี้ผมมีประสบการณ์มากับตัวเอง การคาดคะเนในการลงทุนในหุ้น
มักจะไม่เป้นสูตรสำเร็จเสมอไป เช่น ปีนี้ปันผล 2 ครั้ง ปีหน้าอาจจะไม่เป็นไปเหมือนปีนี้ก้ได้ ซื้อแล้วคิดว่าราคามันจะขึ้น มันกลับดันลงเสียฉิบ
แต่การคาดคะเนจะแม่นเมื่อเรามีประสพการณ์และมีข้อมูลที่ดี มือใหม่มักจะคาดคะเน แบบมองโลกในแง่ดี แต่สำหรับตลาดหุ้นไม่ใช่ครับ โลกมันโหดร้ายครับ โดยเฉพาะตลาดหุ้นช่วงที่ผันผวน

7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
ในตลาดหุ้น จะมีสร้างเหตุผลมารองรับราคา หรือเรียกการปั่นราคา
เราจะสังเกตว่ามีการปล่อยข่าวให้เหตุผลต่างๆ นานา ทำให้รายใหม่คิดว่ามันมีเหตุแบบนี้ ผลมันน่าจะเกิดแบบนี้ ตลาดหุ้นไม่ค่อยมีเหตุผลจะใช้อารมณ์ของนักเล่นหุ้นเป็นหลัก ดังนั้นนักปั่นหุ้นจึงสร้างเหตุผล ทำให้คนซื้อมีอารมณ์ของความโลภมาครอบงำ ในความมีเหตุผล จะมีความไม่สมเหตุผลเจือปนอยู่ ต้องดูดีๆ เช่น ราคาหุ้นขึ้นถล่มทลายแต่ผลประกอบการไม่ดี หรือ ราคาหุ้นไม่เต็มบาท มานานนับชั่วโตคร แต่อยู่ๆวิ่งขึ้นแบบไม่มีเหตุผล ขึ้นไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ระวังให้ดีครับ

8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
ผมเชื่อว่าทุกคนมีแนวคิด และความเชื่อเป็นของตนเอง จากการเรียนรูู้
ประสบการณ์ในอดีดที่ผ่านมา คนเราจะเชื่อเพราะมันตรงกับความคิดของเขา หรือเรียกว่า ดลใจ ข้อนี้สอนให้เราเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่ยึดความคิดตัวเอง ซึ่งจำเป็นในการเล่นหุ้นเราต้องเปิดรับแนวคิดใหม่ๆครับ

9.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
ข้อนี้สอนให้เราอย่ายึดติดกับรูปภายนอกครับ เช่น เห็นบริษัทใหญ่โต
ผู้บริหารใช้รถหรู แต่งตัวดี ออกสื่อบ่อยๆ ก็คิดว่าหุ้นตัวนี้น่าซื้อ โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด รูปลักษณ์ปรุงแต่งง่ายครับ แต่ข้อมูลบริษัทถึงจะแต่งได้ แต่ก็ยากกว่าการสร้างภาพภายนอกครับ

10.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ยกตัวอย่างเช่น องคุลีมาร เชื่ออาจารย์โดยอาจารย์บอกให้ไปฆ่าคน แล้วตัดเอานิ้วมาร้อยเป็นสร้อยคอ ครบ 1,000 นิ้ว ก็จะสำเร็จวิชา การเชื่อต้องอาศัยหลักการและเหตุผล ไม่ใช่เขาเป็นอาจารย์แล้วสอนสิ่งผิด เราต้องเชื่อตามทุกอย่าง ระวังครับ ตลาดหุ้นมีผู้ตั้งตัวเป็นอาจารย์เยอะครับ ตราบใดท่านเกจิอาจารย์ท่านยังเล่นหุ้นอยู่เชื่อได้บ้างครับ สรุปท่านต้องเชื่อตัวเอง ลงทุนตามความรู้ที่มี ไม่ลงทุนเกินตัว เกินกำลังทรัพย์
ท่านจะมีความสุขในการลงทุนครับ

เห็นแล้วใช่ไหมครับ หลักคำสอนของศาสดาของเรา นำมาใช้ได้อย่างดีในการลงทุน เล่นหุ้น หรือ การดำรงชีวิตครับ คนไทยมีของดีแต่มองข้ามไปเชื่อตำราฝรั่ง ฝรั่งไม่ได้ฉลาด หรือหวังดีเสมอไปหรอกครับ


>>>ถ้าท่านเล่นหุ้น แล้วเครียด นอนไม่หลับ จดจ้อง จดจ่อแต่ราคา
หุ้นทั้งวัน ท่านต้องถอยออกมา หาหนังสือ ท่าน ว.วัชเมธี มาอ่าน
แล้วหาสิ่งอื่นทำ ชีวิตมีอะไรให้ทำมากกว่าเล่นหุ้นครับ และคนทีมีครอบครัว ลองใส่ใจเขาให้มากขึ้น บางครั้งท่านจะได้ความสุขใจมากกว่าได้กำไรหุ้นอีก นะครับ การลงทุนเป็นแค่กิจกรรมเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของกิจกรรมชีวิตเท่านั้น <<<
พบกับตอนต่อไปเมื่อสมองแล่นครับ เขียนยากมากครับ เพราะผมยังไม่บรรลุธรรม ยังมีกิเลสหนาอยู่




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 12 สิงหาคม 2554 22:31:29 น.
Counter : 2187 Pageviews.  

มาเล่าประสพการณ์การเล่นหุ้นของผม

หุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากเล่น อยากรวย อยากมีอิสรภาพทางการเงิน มีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน แต่จากการเมียงมองหุ้นมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทำให้ผมเรียนรู้ว่า มันเป็นสิ่งที่ยากมากจริงๆ ตามที่มีคนว่าไว้คนที่เล่น 100 คน คนที่จะประสพผลสำเร็จ มีไม่เกิน 10 คน ที่เหลือจะตกเป็นเหยื่อของตลาดเพราะมีสาเหตุหลักๆดังนี้
1.ไม่มีความรู้ เข้ามาเล่นแบบการพนัน เลยจบเห่
2.ไม่มีทุน เข้ามาเล่น สายป่านไม่ยาว ไม่มีเงินเย็น เลยเอวัง
3.มีความโลภเกินความรู้ ลงทุนเกินความรู้ เลยจบ
4. มีจิตใจที่อ่อนไหว เชื่อข่าวลือ เชื่อนักวิเคราะห์มากกว่าเชื่อตัวเอง
ไม่หาข้อมูลหุ้นด้วยตัวเอง
5. เจอสภาวะที่ผันผวน เช่นวันที่ผมเขียน 9 มิย 54 ตัชนีลงมาเกือบสัปดาห์ ลงมาที่ 1,016.85 จุด ในขณะต้นปี 1,050 จุด จะเห็นว่าผันผวนมาก มือใหม่อาจจะงงกับตลาด




แล้วทำอย่างไรจะเอาตัวรอดในการเล่นหุ้นละครับ ตามประสพการณ์
ที่เจ้านายผมทีเล่นหุ้นมา 20 ปี ให้เคล็ดลับไว้ดังนี้
1.ต้องใช่้เงินเย็นมาเล่น ห้ามเล่น Margin บลจ. ให้วงเงินมาเล่นห้ามเด็ดขาด เพราะความโลภไม่เคยปราณีใคร
2.เล่นหุ้นห้ามเชื่อคนอื่น ต้องหัดวิเคราะห์เอง ตามข่าวเอง
3. ชื้อช่วงมีวิกฤติ แล้วถือยาวเพื่อไปขายในอนาคต ถ้าไม่มีวิกฤติโอกาสที่จะทำรายได้จากหุ้นมีน้อย
4. ต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ คนจะประสพผลสำเร็จอยู่ที่มุมมอง และจิตใจอันแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
5. ศึกษาคนที่สำเร็จ เอาเยี่ยงแต่ไม่เอาอย่าง มีจินตนาการของตัวเองไม่ลอกความคิดของคนอื่น
6. มีจินตนาการ คาดเดาแนวโน้มของหุ้นที่ตัวเองจะซื้อ ว่าจะไปในแนวทางใด ถึงแม้จะคาดผิดช่วงแรกๆ แต่จะแม่นขึ้นเรื่อยๆ
7.บริหารความโลภ มีความรู้น้อย ซื้อน้อย ไม่โลภเกินความรู้ อย่าซื้อเพราะเขาว่า หรือมีคนบอกต่อว่ามันดี
8. อย่ารีบซื้อถ้าไม่มั่นใจ เพราะหุั้นมีให้ซื้อตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับคุณจะมีเงินซื้อมันหรือเปล่า
9.ต้อง อดทน และ อดทน และอดทน ถ้าคุณคิดว่าหุ้นที่คุณซื้อ มันดี
มันน่าจะให้ผลตอบแทน ที่ดี จงรอคอยให้เวลามันพิสูจน์ตัวมันเอง ถ้าไม่ใช่เราก้พร้อมจะเปลี่ยน ก้ถือว่าเราอ่านมันผิด
10.ศึกษาหาความรู้ ไม่มีใครแบ่งปันความรู้จนหมดเปลือก แนะนำท่านโดยไม่แทงกั๊ก ถ้าไม่ใช่ พ่อแม่พี่น้องของท่าน เชื่อตัวเองอย่าไปเชื่อคนอื่น


>>> โชคดีในการลงทุนครับ<<<




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2554    
Last Update : 9 มิถุนายน 2554 21:54:53 น.
Counter : 1343 Pageviews.  

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น นายทุนเล่นที่่ ตอนที่ 1

เป็นปกติของมนุษย์ที่ละกิเลสไม่ได้อย่างพวกเรา ย่อมจะมีความอยากได้ อยากมี อยากรวยและรวยยิ่งขึ้นไปเป็นจุดหมาย โดยมีความโลภเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน และมี อวิชาหรือความไม่รู้เป็นเพื่อนร่วมทาง

จากการศึกษาคนที่รวยอย่างยั่งยืนพบว่า เส้นทางเดินของเขามีดังนี้

1. ได้รับทรัพย์สมบัติจากตระกูล>เอามาต่อยอด> รวย (แต่บางรายไปไม่รอด กลับมาเป็นคนจนก็มี)
2. จนหรือฐานะปานกลาง>ได้รับการศึกษาที่ดีเป็นทุน>เห็นโอกาสลงทุน>รวย (แต่ก็ไม่ทุกคน)
3.ฐานะทั่วไป>การศึกษาก็ทั่วไป>มีคู่ครองที่มีฐานะ>ต่อยอด>รวย(ข้อนี้อยู่ที่โอกาสและพรมลิขิต555)

ส่วนผมไม่เข้าทั้ง 3 ข้อ ไม่รวยไม่จน มาดูมูลเหตุจูงใจของ

คนจนเล่นหวยครับ
หวยได้ถูกออกแบบมาสำหรับคนเงินน้อย ไม่ต้องศึกษามากแค่รู้จักตัวเลข 1-0 ก็เล่นได้แล้ว รู้ว่าแทงถูก 2 ตัว ได้บาทละ 60 บาท(ใต้ดิน) หรือคู่ละ 2000 บาท(รัฐบาล)
ก็แค่เลือกเลขที่ชอบ และคิดว่าใช่ จ่ายเงิน รอ........
วันหวยออก ....เช้าวุ่นวาย....บ่ายตื่นเต้น... เย็นหงอยเหงา
ข้อดีของหวยคือ ไม่ต้องศึกษาพื้นฐานเหมือนหุ้น ไม่ลงทุนเยอะเหมือนที่ดิน ลงทุนน้อยแต่ได้เยอะ อาศัยความฝัน เลขทะเบียนรถ (ผมเจ็บมาเยอะกับทะเบียนรถของผม) หนังสือพิมพ์วันหวยออก ที่จะใบ้ เลขเด็ดผ่านสัตว์ประหลาด ต้นไม้ประหลาด และ สูตรเด็ด หนังสือใบ้หวยโดยอาจารย์สำนักต่างๆ
ข้อเสียของหวย ยกตัวอย่างเช่น ซื้อเลขท้าย 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะถูก คือ 1 ใน 100 ที่จะถูก และอัตราได้เงินน้อยกว่าที่จ่าย ทำไมหรือครับ เพราะท่านซื้อเลขท้าย 2 ตัว จาก 00-99 เบอร์ละ 1 บาท จะใช้เงิน 100 บาทแต่ท่านถูก เพียง 1 ตัว ได้เงินมา 60 บาท ขาดทุน 40 บาท นอกจากจะซื้อ 1 เบอร์ แล้วถูกถึงจะได้กำไรนั่นคือคำนิยามของคำว่าดวงดี แต่คนจะดวงดีไม่ตลอด ถ้าเล่นไปเรื่อยๆจะขาดทุนครับ อีกอย่างคนที่ถูกหวยจะดีใจจนเก็บความลับไว้ไม่อยูู่ก็จะไปบอกคนอื่นๆ อาจจะถูกเพื่อนให้เลี้ยงได้ (ตอนเสียไม่ยอมหาร พอได้จะให้เลี้ยงซะงัน เพื่อนกินมีมากมายครับ555)

สำหรับคนชอบเล่นหวยก็ใช่ว่าไม่มีทางออกครับ คำตอบคือ

1.สลากออมสิน
2. สลาก ธกส

ออกรางวัลทุกเดือน ทุนไม่หาย มีจับรางวัลรถ บ้าน ทอง ส่วนจะถูกมากหรือน้อยขึ้นอยู่ ดวง คำเดียวเท่านั้น จากประสบการณ์ที่ผมซื้อมา (คนดวงไม่ดีอย่างผม) ถูกนิดหน่อยได้ประมาณ 3% ของเงินที่ซื้อครับ




ภาพประกอบ จาก ธกส

สำหรับมิตรรักแฟนเพลงหวย ผมให้ข้อคิดว่า

ซื้อได้ครับ อย่าให้เกิน 1% ของรายได้
และคิดว่าถ้าเรามีดวง หรือ โชคดีซื้อเพียงคู่เดียวก็ถูก ไม่จำเป็นต้องซื้อมากมาย

>>>คนจนคือประชากรร้อยละ 90 ของประเทศไทย จงภูมิใจเถอะคุณและผมก็เป็นประชากรส่วนใหญ่ครับ 5555<<<

ตอนต่อไป คนรวยเล่นหุ้น







 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 10 กรกฎาคม 2554 21:28:57 น.
Counter : 2064 Pageviews.  

ประสบการณ์การลงทุนครั้งแรกของผม

ประสบการณ์การลงทุนของผมไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากหลังจากศึกษาข้อมูลการลงทุนมานาน แบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง และไม่ค่อยได้ใส่ใจตลาดหุ้นตลาดทุน การลงทุนของผมก็ไม่คืบหน้าเลยจากทำงานมานาน 15 ปี ไม่เคยลงทุนอะไรเลย นอกจากซื้อบ้าน ซื้อรถ และมีเงินเก็บอีกนิดหน่อย

จนกระทั้งปลายปี 2551 ผมก็ได้เห็นพี่ที่บริษัทซื้อกองทุนLTF เพื่อลดภาษี ผมก็พอมีเงินเลยซื้อตาม 20,000 บาท ไม่ได้คิดอะไรมากหวังเพื่อเอาไปลดภาษี ช่วงเดือนมีนาคม 2552 ตอนซื้อก็ ไม่เคยดูดัชนีหุ้นประกอบ ไม่เคยดู NAV ว่าขึ้นหรือลง ซื้อไปเรื่อยๆ จนถึงปลายปีได้มา 12,000 หน่วย ( ลงทุนแบบหวังลดภาษีอย่างเดียวจริงๆขอสารภาพ ไม่รู้แนวโน้มของตลาดหุ้น ผมว่าผมโชคดีแค่ลงทุนถูกเวลาเท่านั้นเอง)
ต้นทุนเฉลี่ย 8.3 บาท ช่วงนั้นดัชนีหุ้นอยู่ที่ 700-800 จุด เอาไปลดภาษีได้ เงินคืนมาช่วงเดือน เมย 15 %ของยอดซื้อ เริ่มเข้าใจบ้างแล้ว (เริ่มโลภ) เดือน พค ราคาที่ซื้อไว้ เพิ่มมาเป็น 10.3 บาท (2 บาท/หน่วย) เนื่องจากดัชนีหุ้นกำลังขึ้น และ ช่วงเดือน ตค มีปันผลอีก 0.37 บาท โอ้!!!มัน 3 เด้งนี่หว่า เราไปงมหอยอยู่ที่ไหนกันนี่ ไม่เคยมีใตรบอกเราเลย ลงทุนแบบมวยวัดเลยเรา จากนั้นก็เริ่มศึกษาจากหนังสือ ช่องรายการมันนี่แชนแนล ถามเจ้านายบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะแนะนำเล่นหุ้นผมก็ไม่มีเวลา
เลยมองหาว่าอะไรที่ คนที่มีความรู้น้อย ลงทุนไม่มาก ปลอดภัยกว่าหุ้น
ชนะดอกเบี้ยฝากประจำได้ เลยมาพบกับกองทุนรวมครับ



กองทุนรวม( Mutual Fund) คือ

เป็นการรวบรวมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุน โดยบริษัทจัดการกองทุน เพื่อเอาไปลงทุนตามหนังสือชี้ชวน โดยเอากำไร หรือ ขาดทุนมาเฉลี่ยให้ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน ในแต่ละรอบบัญชี ทางกองทุนรวมจะได้ค่าบริหารและการจัดการกองทุน ผู้ลงทุนจะได้ปันผลหรือมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของหน่วยลงทุน ถ้าการบริหารงานมีกำไร พูดง่ายๆว่าเอาไปลงทุนแทนเราแล้ว เอากำไรมาแบ่งเฉลี่ยตามหน่วยลงทุนทั้งหมด
เพื่อการถ่วงดุลและมีการตรวจสอบให้เป็นไปตามนโยบายของกองทุน จะมีธนาคารหรือบริษัทจัดการกองทุนอืนๆ ที่ไม่มีส่วนได้เสียมาดูแลผลประโยชน์แทนเรา โดยจะมีค่าทำเนียมรายปีเป็นผลตอบแทน

ในการดำเนินกิจการจัดการลงทุน จะประกอบไปด้วย
1. บริษัทจัดการกองทุน (Investment Company) ผู้ที่มีบทบาทก็ผู้จัดการหน่วยลงทุน จะกำไรหรือขาดทุนก็อาศัยความสามารถของเขาครับ
2.ผู้ลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุน (Unit Holder)
3.ผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee)
4.ตัวแทนที่เปิดรับซื้อขายหน่วยลงทุน (ผมเลือก บลจ.ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคาร เพราะสะดวกในการซื้อขายและรับปันผล)
5.นายทะเบียนหน่วยลงทุน
บริษัทก็จะออกหน่วยลงทุน (unit trusts) มักจะออกขายราคาเริ่มต้นที่หน่วยละ 10 บาท ส่วนนักลงทุนที่สนใจในกองทุนรวมนั้นก็จะซื้อหน่วยลงทุนนั้นๆ และนักลงทุนก็ได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล (dividend) หรืออาจจะได้ในรูป กำไรส่วนต่าง (capital gain) ดอกเบี้ยรับ ส่วนลดรับ ซึ่งผลตอบแทนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของการบริหารโดยบริษัทจัดการกองทุนและผู้จัดการกองทุน ว่าจะมีความสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนหรือผู้ถือหน่วยลงทุนได้มากน้อยเพียงใด ในการวัดผลงานก็มีที่เวป Morning star ครับ



ประเภทของกองทุนรวม
1 กองทุนปิด (Close-end Mutual Fund)
เป็นกองทุนที่ขายหน่วยลงทุนจำนวนและเวลาที่กำหนด เมื่อครบอายุแล้วจึงสามารถขายคืนกลับได้ แบบนี้ผมไม่เอาเพราะไม่คล่องตัวในการลงทุน
2.กองทุนเปิด (Open-end Mutual Fund)
เป็นกองทุนที่ขายหน่วยลงทุนให้นักลงทุนเป็นไม่จำกัดขนาดและเวลาในการไถ่ถอน สะดวกซื้อสะดวกขาย

ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวม

1.แบบกำไรส่วนต่างราคาซื้อขาย (Capital Gain) กำไรของการลงทุนในกองทุนเปิดส่วนนี้ไม่ต้องเสียภาษี เช่น ซื้อมา 11 บาท/หน่วย ขายที่
12 บาท/หน่วย เอาส่วนต่าง
2.แบบรับเงินปันผล (Dividend) กำไรส่วนนี้ต้องเสียภาษีเงินได้ 10%
ผมจะนิยมแบบนี้ เพราะไม่ต้องการซื้อขายบ่อยเนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว บางกองทุนปันผลปีละ 0.5 - 2 บาท/หน่วย บางกองทุนปันผล 0.5 บาท แต่ปันผลหลายครั้งใน 1 ปี เมื่อเทียบกับหุ้นปันผลสู้ได้แน่นอนถ้าเทียบเป็น % ปันผล แต่หุ้นมีการซื้อขายทำกำไรได้วันละหลายรอบ แต่กองทุนขายได้วันละครั้ง หรือบางกองก็กำหนดวันขายในแต่ละสัปดาห์ขาดความคล่องตัว ไม่เหมือนหุ้น

กองทุนแต่ละกองทุนมีนโยบายในการลงทุนไม่เหมือนกัน ระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน

ถ้าเสียงน้อย ก็ลงทุนใน ตราสารหนี้ภาครัฐบาล(พันธบัตร) และ ตราสารหนี้ภาคเอกชน(หุ้นกู้) ,ฝากธนาคาร ฯลฯ แต่ผลตอบแทนก็จะน้อยไปด้วย เนื่องจากเสี่ยงน้อย

ถ้าเสียงมากขึ้น ลงทุนกองทุนตราสารทุน (Equity fund) คือ ลงทุนในหุ้น หรือ ลงทุนในทองคำ น้ำมัน ต่างประเทศ ผลตอบแทนก็มากขึ้นตามความเสี่ยง และผมจะเน้นกองที่มีปันผลเท่านั้นเพราะปันผลมาเราก้เก็บไว้เอาไปต่อทุนได้อีก ถ้ารอให้มูลค่าเพิ่มและขายเอาส่วนต่างผมไม่ชอบเพราะต้องดูราคา ถ้าผลประกอบการแย่ไม่ได้ดูมูลค่า Nav ลดลงขายไม่ทันทำให้เสียโอกาส
มาลองดู ตัวอย่าง กองที่ผมซื้อไว้ที่ลงทุนในหุ้นครับ












เป็นของ บลจ อยุธยา AYFSCAP ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลักครับ มาดูพอร์ทของกองทุนกันครับ

นโยบายการลงทุน>>ลงทุนในหุ้นทุนอย่างน้อยร้อยละ 75 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ราคาขึ้นอยู่กับหุ้นที่ลงทุน
นโยบายเงินปันผล>>จ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง โดยจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงของงวดบัญชีที่จ่ายเงินปันผล
การซื้อ/ขาย ขั้นต่ำ (บาท)>>> ตั้งแต่10000 บาท/ครั้ง

5 หมวดหลักทรัพย์แรกที่ลงทุน (ณ วันที่ 31 มี.ค. 2554)

หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค,หมวดธนาคาร,หมวดวัสดุก่อสร้าง
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม,หมวดพาณิชย์ >>> หุ้นก็เป็นหุ้นชั้นำของแต่ละหมวดทั้งสิ้น

มาดูการปันผล (บอกถึงความสำเร็จในอดีด ไม่ได้บอกอนาคต แต่เอาเป้นแนวทางได้ ดีกว่าไม่มีข้อมูล)
ประวัติการจ่ายปันผล (จ่ายทั้งหมด 15 ครั้ง, จำนวนเงินปันผลทั้งหมด 25.6100 บาท) ผมเอาย้อนหลัง 2ปีมาให้ดู
01 มี.ค. 54= 1.9000 บาท/หน่วย (ล่าสุดผมได้รับมาแล้ว)
27 ส.ค. 53= 0.5500 บาท/หน่วย
26 ก.พ. 53=2.1000 บาท/หน่วย
จะเห็นว่าปันผลดึงดูดใจมิใช่น้อย ใครที่จะซื้อก็รอช่วงหลังปันผลราคา Nav มันจะลด หรือ วันที่ดัชนีร่วง หุ้นที่กองทุนถือมูลค่าลด ค่า Nav ก็จะลดด้วย หรือบางคนอาจจะซื้อเฉลี่ยทุกเดือนก็ได้ วันที่เขียนหุ้นตก 23 จุด ราคา Nav จะประกาศตอน 21.00 น อยู่ที่=12.1506 บาท/หน่วย
พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อไม่ว่าหุ้นขึ้นหรือลง

กองทุนรวมเหมาะกับใคร

1.ผู้ทีไม่มีเวลามาลงทุนในหุ้น( ที่ต้องมีความรู้ เวลา เงินทุน จิตใจที่เข้มแข็ง ในการซื้อขายหุ้น ไม่ว่าจะกำไร หรือขาดทุน) นานๆเช็คราคาที
2.ผู้ที่เริ่มลงทุนใหม่ๆ ก่อนที่จะลงทุนในหุ้น เหมือนผมตอนนี้ ลงทนในกองทุนรวมหุ้นก่อนแล้วค่อยขยับมาลงทุนในหุ้นครับ
3.ผู้ที่ต้องการลงทุนแล้วได้ปันผลชนะดอกเบี้ยเงินฝาก และไม่เสี่ยงมากเหมือนเล่นหุ้นด้วยตัวเอง โดยไม่มีความรู้ ที่โอกาสรวยพอๆกับหมดตัว
4.สำหรับตอบคำถามยอดฮิตมีเงิน หลักหมื่นแล้วลงทุนอะไรที่ไม่เสี่ยงแล้วได้กำไร 8-10% ต่อปี
5.สำหรับคนทีบริหารความโลภได้ดี (โลภแบบพอเพียง)
6.เหมาะกับผู้ที่มีเงินเย็นถือได้นานๆหลายปี ไม่หวั่นว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง(หรือเป็น VI แบบภาคบังคับ) และไม่มีความรู้สึกอยากใช้เงินก้อนนี้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ( ให้คิดว่าเป็นเงินฝากประจำค่อยสะสมหน่วยลงทุน)

กองทุนนี้ไม่เหมาะกับใคร

1. เซียนหุ้นที่มีประสบการณ์ มองว่ากำไรแค่นี้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับกำไรที่ได้ในแต่ละช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น หรือกำไรในการซื้อขายแต่ละวัน
(ขาดทุนมักไม่พูดถึง)
2. สำหรับคนทีต้องการกำไรมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น
3.เงินร้อนที่หยิบยืมมาลงทุน

ผมก็ได้แนะนำน้องๆที่บริษัทแนะนำ 5 คน ซื้อ 2 คน ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้วครับ เลยเอามาเล่าให้ฟังเนื่องจากไม่มีใครแนะนำผม ทำให้ผมเสียเวลาไปงมหอย อยู่นานกว่าจะได้ลงทุนจริงๆ ทำให้เสียโอกาส หรืออาจจะโชคดีก็ได้ถ้าลงทุนช่วงปี 39-40 อาจจะ.....
คนเราบางที่กว่าจะเข้าใจอะไรก็นานนะครับ ยกตัวอย่างเช่น การซื้อ LTF เพื่อลดภาษี เชื่อไหมครับผมอยู่ฝ่ายขาย ทีมขายของผมมี่ 10 คน มีคนซื้อ LTF เพื่อเอาไปลดภาษี แค่ 50% เอง ไม่ต้องพูดถึงกองทุนรวมมีคนน้อยคนที่รู้ว่ามันคืออะไร

การลงทุนในกองทุน
ไปเปิดบัญชีกองทุน กับ บลจ. ที่สาขาของธนาคารที่เป็นตัวแทนขาย
เอกสารที่ใช้มีบัตรประชาชน บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เพื่อโอนปันผลเข้า จะได้ เลขผู้ถือหน่วยลงทุน (12 หลัก) พร้อมสมุดกองทุน บางกองทุนก็ไม่มี เพื่อเอาไว้ซื้อและขายหน่วยลงทุน จากนั้นเราก็ซื้อขายโดยกรอกใบคำสั่งซื้อกองทุน บางกองทุนมีเงื่อนไขการซื้อขาย เช่น ซื้อครั้งแรก 5000 บาท หรือ ซื้อครั้งละไม่ต่ำกว่า 10000 บาทแล้วแต่กองทุน

สุดท้ายผมให้ข้อคิดเรื่องการลงทุนไว้ว่า
....ความรู้จะทำให้เราลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเลือกลงทุนในสิ่งที่เราถนัด ทำให้มีความสุขในการลงทุนครับ......






 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 21:03:57 น.
Counter : 4643 Pageviews.  

สำรวจตัวเองก่อนที่จะบริหารเงินแบบพอเพียง

จากการที่เข้าไปอ่านกระทู้ที่ห้องสินธร ของพันทิพย์คำถามสำหรับผู้ทีอยากออมเงิน คือ อยากออมเงินแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก่อน อยากลงทุนควรทำอย่างไร

ผมเลยเอาประสบการณ์ของผมมาเล่าให้ฟัง

ช่วงแรก ผมเริ่มออมเงินเมื่ออายุ 27ปีแบบไม่มีหลักการนัก โดยซื้อทาวน์เฮ้าส์ 1 หลัง ราคา 1ล้าน++ แบบไม่คิดอะไรมากเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไปที่เข้ามาทำงาน กทม ที่อยากมีบ้าน ผ่อนเดือนละ 11,000 บาท ตอนนั้นเงินสดสำรองมีไม่เกิน 30,000 บาท เป็นการผ่อนแบบกัดฟัน พอดีทำงานฝ่ายขาย มีเบี้ยเลี้ยง ค่าคอมมิสชั่นเลยเอามาโป๊ะบ้าน ผ่อนหมดภายใน 12 ปี ตอนนั้นรู้สึกกดดัน ถ้าโดนไล่ออกเราจะมีปัญญาผ่อนบ้านได้ไหมนี่ ตอนนั้นไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่าย เดาเอาล้วนๆ ขนาดอยู่ฝ่ายขายที่อาชีพอยู่กับตัวเลข ยอดขาย ผ่านช่วงนั้นมายังนึกขำตัวเองเลยครับ อาสัยความกล้าอย่างเดียว

ช่วงที่ 2 เป็นช่วงอายุ 30 ปี เงินเดือนและรายได้มากขึ้นเหลือจากการผ่อนบ้าน ใช้เงินแบบไร้สาระอยู่ 2 ปี วันหนึ่งได้ไอเดียจากลูกค้าว่าเราต้องเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 5,000 บาท เพราะเขาถึงแม้รายได้จะมากแต่เขาใช้เงินอย่างระมัดระวัง ผมฮึดเลยเริ่มเก็บใหม่ได้เงินพอดาวน์รถ และแต่งงาน เงินก็หมดพอดีเงินเก็บไม่เหลือ เลยมาได้คิดว่าเราทำงานมา 10 กว่าปี ทำไมเงินสดเรามีน้อยถ้าตกงานเราจะทำอย่างไรเงินจะพอไหม มีครอบครัวและภรรยาที่เราต้องดูแล เลยมาสนใจเรื่องการเก็บออม






ช่วงที่ 3 อายุ 35 ถึงปัจจุบัน

ผมเริ่มจะหันมาบริหารเงินอย่างจริงจ้ง โดยซื้อหนังสือต่างๆมาอ่าน
ผมต้องตอบคำถามเรื่องการเงินของผมดังนี้

ข้อ1.ปัจจุบันมีหนี้อยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ >>>ผมจัดการทำบัญชีรวบรวมหนี้สิน โดยใช้โปรแกรม Excel รวบรวมหนี้สิน ปรากฎว่ามากพอดู ทั้งหนี้รถ บัตรเครดิต รายจ่ายประกันรถยนต์ ประกันชีวิต รายจ่ายประจำรายเดือน น้ำไฟ โทรศัพท์ ประกันรถยนต์ และ อีกมากมาย>>>ผมถึงบางอ้อ ว่าทำไมเงินสดไม่ค่อยมี
ข้อ2.รายได้มีเท่าไหร่ ติดลบหรือไม่ >>> รายได้มาจากเงินเดือนล้วนๆถ้าถูกไล่ออก ล่มจมแน่เรา ไม่ได้การต้องหารายได้แหล่งอื่นๆมาบ้างพอดีผมชอบดูรายการ Money chanal ของทรูผ่านจานสามารถ และทรูวิชั่น มาสะดุดคำว่า ให้เงินทำงานแทนคุณ ผ่านกองทุนรวม เข้าท่าผมก็เลยศึกษามาเรื่อยๆ แต่ผมเช็ตสุขภาพการเงินของผมโดย

เอา>> รายรับ - ค่าใช้จ่าย>>> สูสีกันเลยครับบางเดือนติดลบถ้าจ่าย ประกันชีวิต หรือ ประกันรถยนต์ ผมเลยคิดหนักโดยต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เช่น ค่าเที่ยว ลดการซื้อของไม่จำเป็น ใช้โทรศัพท์
ให้นานขึ้น จากเปลี่นยใหม่ทุกปี มาเปลี่ยนทุก 2 ปี หรือนานกว่านั้นและลดการซื้อของที่ไม่ได้ใช้บ่อยลง ปรากฎว่าค่าใช้จ่ายลดลงมีเงินเหลือครับ

ข้อ 3 ถ้าเราตกงาน เราใช้เงินวันละ 300-500 บาท เราจะอยู่ได้กี่วัน กี่เดือน กี่ ปี จากเงินสด หรือเงินฝากที่เรามี >>>> ปรากฎว่าไม่ถึง 3 เดือน ต้องไปขายของที่มีอย่างมากมาย เอามายาไส้ ผมเลยจัดการรวบรวมสิ่งของที่ผมซื้อเพราะความอยาก เช่น กล้อง เครื่อง เสียง ทีวี
กีต้า และอื่นๆที่ไม่จำเป็นปรากฎว่ามีมูลค่าซื้อ แบบสนองความอยาก ประมาณ30หมื่น เยอะ>>> เลยรู้ว่าความอยากของเรานี่ก็เป็นเงินมากมาย หลังจากนั้นก่อนจะซื้ออะไรต้องมีการตั้งงบก่อน ดูความจำเป็น
ข้อ 4 เวลาเกษียนมาเราต้องมีเงินใช้จ่าย เดือนละ 3 หมื่น ไปอยู่บ้านนอก ต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ โดยใช้สูตรคำนวน จากกองทุน กบข เจอตัวเลขจะเป็นลมครับ เกือบ 5 ล้าน เครียดครับทำงานเอกชนไม่มีบำเน็จบำนาญ แต่เรายอมไม่ได้ที่จะเป็นคนแก่ที่ต้องพึ่งลูกหลาน เราต้องแก่แบบมีคุณภาพครับ
ข้อ 5 ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สิน ส่วนไหนมากกว่ากัน >>> ถ้าเดาเอาโดยไม่ทำบัญชีแบบง่ายๆคงสรุปยาก ผมจึงทำบัญชีแบบง่ายๆโดยใช้
โปรแกรม Excel มี 2 แบบ คือ
1. แบบเทียบทรัพย์สินที่เป็นเงินสด เงินฝาก
หรือ สิ่งที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย เทียบกับหนี้สิน (ไม่เอาสิ่งของที่เปลี่ยนเป็นเงินยากๆมาคิด ) ถ้ามีมากกว่าหนี้สินก็สบายใจระดับหนึ่ง
2. ผมวางแผนการใช้เงิน แบ่ง 1 เดือน เป็น 3 ช่วงๆ ละ 10 วัน ว่ามีรายรับอะไรบ้างระหว่างนั้น และมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ติดลบหรือไม่ในช่วงนั้น ผมจะไม่ลงบัญชีรายวันเพราะเคยทำแล้วไม่สำเร็จ จะมาดูทุก 5 วัน โดยดูว่าเงินสดในกระเป๋าและ ATM เหลือเท่าไหร่ พอกับค่าใช้จ่ายในช่วงนั้นหรือไม่ ถ้าไม่พอต้องทำอย่างไร ด้วยความที่อยู่ฝ่ายขายต้องมีการ Plan ยอดขายล่วงหน้า 1 ปี ผมเลยเอาการวางแผน มาวางแผนค่าใช้จ่ายมาวางคร่าวๆ ทั้งปี โดยวางแผนในแต่ละเดือน ผมจะวางแผนค่าใช้จ่าย แบบประมาณไป 3 เดือนล่วงหน้า และใส่ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ล่วงหน้า เช่น เดือนไหนจ่ายประกันรถ ประกันชีวิต ก็จะใส่ไว้ก่อน ส่วนรายละเอียดก็ทำเดือนที่เราใช้ และเดือนถัดไปต้องใช้อะไรบ้าง ผมทำแบบนี้กระแสเงินสดจะไม่สะดุด เมื่อก่อนไม่ทำ มีเงินเยอะนึกว่าไม่ต้องจ่ายอะไร พอถึงเวลาจ่ายบัตรเครดิต ประกัน ถึงกับช๊อค ถ้าเราทำประมาณการล่วงหน้าจะพลาดยาก




ข้อ 6 ถ้าจะเก็บเงินเดือนละ 5,000-10,000 บาท ต่อเดือนเราต้องวางแผนเช่นไร โดยไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิต แล้วจะลงทุนแบบไหน ให้ชนะเงินฝากให้ไดผลตอบแทนสัก 5-10 % ต่อปี ประโยคทีว่า
ให้เงินทำงานแทนคุณผ่านกองทุนรวม จากรายการมันดังแว่วมาแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร อย่ากระนั้นเลยเพื่อความรวดเร็ว ผมเลยเอาเงินไปซื้อ
สลากออมสิน และ สลาก ธกส ให้เงินทำงานแทนเรา ผมดวงเรื่องเสียงโชคไม่ดี ถูกเลขท้าย สีตัว สามตัว เบ็ดเสร็จแล้วได้ 2 % ต่อปี
ชนะดอกเบี้ยฝากประจำแล้วเรา ชีวิตมีความหวัง แต่ความโลภเข้าตามันต้องมีอะไรที่ได้มากกว่านี้แน่ๆ หุ้นยังไง กองทุนรวมนั่นไง ต้องศึกษาก่อนค่อยลงทุน (เรียกเท่ห์ๆไปอย่างนั้นแหละครับ แบบว่ายังไม่มีเงิน เลยศึกษารอเงินเก็บครับ) ชีวิตเริ่มมีความหวัง

ข้อที่ 7 การวางแผนภาษี การซื้อ LTF และ RMF เพื่อลดภาษี ผมขอสารภาพเลยว่าผมโง่อยู่ตั้งนาน ไม่เคยคิดจะซื้อเอามาลดภาษีเลย ซื้อแต่ประกัน ดอกเบี้ยบ้านเอามาหักภาษี ผมเริ่มซื้อ LTF เมื่อปี 2551 นี่เอง ผมเป็นพลเมืองดี จ่ายภาษีให้นักการเมืองเอาไปถลุงเต็มเม็ดหน่วยมาตลอด ก็ได้ข้อมูลมาจาก Money chanal และ ห้องสินธร เลยเริ่มซื้อสะสมเรื่อยๆ ได้ลดภาษี ถ้าซื้อมาก่อนคงได้เงินคืนมากแน่ๆ อมโง่ตั้งนาน เพื่อไม่ให้โง่ยั่งยืน ผมเลยเอาข้อมูลไปบอกน้องๆที่บริษัทถึงข้อดีของLTF ผมเลือกเอาแบบมีปันผลด้วย ปีแรกๆมีน้องซื้อ 1 คน มีปันผล มูลค่าหน่วยลงทุนขึ้น สองเด้ง ปีต่อมาซื้อกันอีก 2 คน บางคนขนาดมันมีความรู้แล้วอยู่ฝ่ายขายยังไม่กล้าเลยครับ ผมก็แนะนำมันเรื่อยๆ เพราะผมไม่มีใครแนะนำ กว่าจะรู้ก็เสียโอกาสไปมากมาย โชคดีช่วงปี 51-52 ผมซื้อ LTF ของไทยพานิชย์กอง LT1 ต้นทุนเฉลี่ย 8 บาทหลังหักปันผลปัจจุบันราคาอยู่ที่ 14.51 ก็ได้ส่วนต่างพอสมควร ยังไม่รวมปันผล และหักภาษี

เท่าที่เล่ามาเพื่อนๆก็พอเอาเป็นแนวคิดได้ครับ

ตอนต่อไปจะเป็นเรื่อง การลงทุนในกองทุนรวม และ การเริ่มซื้อหุ้นของผมซึ่งเป็นการบริหารเงินของผมขั้นที่สอง มีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง

ก่อนจาก การลงทุนมีความเสี่ยง แต่สิ่งที่เสี่ยงมากกว่าคือ การไม่มีความรู้แล้วมาลงทุนครับ




 

Create Date : 09 มีนาคม 2554    
Last Update : 10 มีนาคม 2554 0:19:31 น.
Counter : 1393 Pageviews.  

1  2  3  

แจ้ห่ม47
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 109 คน [?]




ที่อยู่หลัก ลพบุรี ลำปาง และ ปทุมธานี
ที่อยู่ที่อื่นๆ ตามเขตการขายที่ดูแล ภาคตะวันตก ภาคใต้และ ภาคอิสานตอนบน (ทัวร์นกขมิ้นทุกเดือน เนื่องจากดูแลฝ่ายขายครับ ไม่ได้หนีหนี้ 555)
ภาพทุกภาพไม่สงวนลิขสิทธิ์ ถ้านำไปเผยแพร่เพื่อ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยไม่ผิดกฏหมายหรือศีลธรรม เพื่อนๆสามารถนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาติ ไม่หวงครับ ขอกันกินมากกว่านั้นแต่ขอให้อ้างอิงแหล่งที่มาของรูปด้วยครับ ขออภัยหากตอบท่านช้า หรือเข้าไปเม้นต์ท่านช้า ผมใช้เนตผ่านมือถือครับช้ามากๆขออภัย และ หากผิดพลั้งไป ต้องขออภัยเพราะความรู้ต่ำ
New Comments
Friends' blogs
[Add แจ้ห่ม47's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.