Ich bin der Welt abhanden gekommen (I am lost to the world)
Group Blog
 
All Blogs
 
Porcupine Tree Deadwing 2005 Tour: Seattle, October 18, 2005

มารายงานคอนเสิร์ตโปรเกรสสีพกันต่อหลังจากที่หายไปนาน ช่วงนี้มีวงโปรเกรสสีพแห่กันเข้ามาเล่นกันที่ Seattle เป็นชุด เริ่มจาก Porcupine Tree, The Moody Blues, Jethro Tull และ Australian Pink Floyd Show เรียกว่าคุณตาคุณลุงกะฟันให้หลานๆ ล้มละลายกันไปเลย รอบนี้กะจะไปดูให้ครบแต่อาจต้องกินตั๋วคอนเสิร์ทแทนข้าวไปอีกเป็นเดือน แต่ก็เอา_ะ ถ้าคุณปู่ คุณตา คุณน้า คุณลุง มีแรงมาเล่น ผมก็มีแรงไปดูเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยมีตังค์ก็ตาม

เริ่มด้วยวงแรก Porcupine Tree วงนี้ยังไม่ถีงระดับคุณลุง แค่ระดับพี่อยู่ตอนนี้ จะว่ากันไปแล้วก็เป็นวงที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักกันในวงกว้างซักเท่าไหร่ แม้กระทั่งในกลุ่มแฟนเพลงโปรเกรสสีพก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเป็นวงระดับ cult วงหนึ่ง ที่มีสาวกเดนตายติดตามเป็นจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน Porcupine Tree นั้นเป็นวงจากเกาะอังกฤษซึ่งมีฐานแฟนเพลงอยู่ในยุโรปซะเป็นส่วนใหญ่ ในอเมริกานั้นคนรู้จักกันค่อนข่างน้อย ยังห่าง Dream Theater อยู่อีกหลายขุมนรกใหญ่ๆ ตอนนี้ทางวงเลยวิ่งรอกทัวร์อเมริกาเป็นว่าเล่นกะขยายฐานเสียงว่างั้นเถอะ ที่ Seattle ทางวงเคยมาเล่นสดๆ ร้อนๆ เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ตอนนั้นกะจะไปดูแต่ก็ตัดสินใจไม่ไปเอาวินาทีสุดท้าย เลยสัญญากับตัวเองว่าถ้ามันมาเล่นอีกจะไปดู ผ่านไปไม่กี่เดือนทางวงก็กลับมาเล่นใหม่อีกแล้วทันควัน งานนี้ก็เลยต้องทำตามสัญญาถึงแม้จะไม่เคยฟังเพลงของวงเลยก็ตาม ก่อนไปดูเลยต้องทำการบ้านหนักหน่อย อาศัยฟังตัวอย่างฟรีใน amazon เอาซะเป็นส่วนใหญ่

Richard Barbieri, Steven Wilson, Gavin Harrison, Colin Edwin



ก่อนรายงานคอนเสิร์ทก็ขอเล่าถึงทางวงสั้นๆก่อนเพราะคาดว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักวงนี้มาก่อน (เหมือนผม) วงนี้ตั้งขึ้นโดย Steven Wilson ในช่วงต้นปี 90 ตอนแรกมีอยู่คนเดียวนี่แหละ แต่งเองเล่นเองหมดทุกอย่าง ลองอ่านประวัตินายคนนี้ดูเลยรู้ว่าไอ้หมอนี่มันอัจฉริยะชัดๆ เพราะนอกจาก Porcupine Tree แล้วพี่แกยังมีโปรเจคในมืออีกเป็นกระบุง อย่างเช่นวงดูโอสองวงคือ No-Man กับ Blackfield วงแรกแนว ambient ออกเทคโนหน่อยๆ แนว Moby วงสองออกแนวร็อค ทั้งสองวงเหมือนกันคืออีกฝ่ายทำหน้าที่ร้องกับแต่งเนื้อร้องส่วนที่เหลือตา Wilson เหมาหมดตั้งแต่แต่งดนตรี เรียบเรียง เล่นเครื่องดนตรีทุกอย่าง, mix, engineer, produce เองเสร็จสรรพ เท่านั้นยังไม่พอ ยังโดดไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงโปรเกรสสีพเดธเมทัลอย่าง Opeth อีกตะหาก กลับมา Porcupine Tree ต่อ ต่อมาแกก็หาสมาชิกที่เหลือได้ โดยได้ Colin Edwin เล่นเบส, Richard Barbieri อดีตมือคีย์บอร์ดวง Japan และ Chris Maitland มาตีกลอง ดนตรีออกแนว psychedelic/space rock แบบ Pink Floyd มีการสร้างซาวด์เอฟเฟคและบรรยากาศแบบ ambient หลอนๆพร้อมกับแจมดนตรีกันยาวเหยียดไปเรื่อยๆ บางทีมีแม้กระทั่งดนตรีเทคโนมาแจมด้วย! จนมาชุดหลังๆ ถึงทำเพลงสั้นลง เน้นๆ เนื้อๆ ขึ้น พร้อมกับเล่นดนตรีหนักขึ้นเรื่อยๆ มีริฟฟ์กีต้าร์แบบ Prog Metal ไม่รู้ติด Opeth มาหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่ทิ้งซาวด์แบบ psychedelic โดยยังมีคีย์บอร์ดสร้างบรรยากาศเวิ้งว้างเป็นระยะๆ จะว่าไปแล้วก็นับเป็นวงที่มีเครดิตพอสมควรคือเคยทัวร์เป็นวงเปิดให้ Yes มาแล้ว หรือขนาด Robert Fripp ก็เคยมาเล่นเปิดให้ Porcupine Tree เช่นกัน ออกอัลบั้มมาหลายชุดแต่เริ่มมาดังในวงกว้างจริงๆ กับชุด In Absentia ซึ่งได้มือกลองคนใหม่คือ Gavin Harrison จนชุดต่อมาคือ Deadwing ซึ่งเป็นชุดที่เล่นหนักที่สุดออกมาแนวๆ Prog Metal ประมาณนั้นเลย ถ้ายังนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ก็คงเป็นตามที่ Mojo Progressive Rock edition บอกไว้คือประมาณ Pink Floyd + Megadeath นั่นแหละ ถ้าสนใจก็ตามไปที่ //www.porcupinetree.com/ ละกัน แต่บอกตามตรงว่าฟังจากตัวอย่างเพลงแล้วเพลงค่อนข้างจะติดหูยากซักหน่อย (จริงๆ วงโปรเกรสสีพก็เป็นแบบนี้เกือบหมด) ถ้ามาดูเล่นสดอาจจดีขึ้น



คอนเสิร์ตรอบนี้เล่นที่ The Moore Theater ในดาวน์ทาวน์ Seattle ตอนสองทุ่มตรง The Moore เป็นโรงละครเก่าแก่ (มาก) อายุเกือบร้อยปีของ Seattle ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักจุคนได้ประมาณพันกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นที่ประจำสำหรับวงที่ไม่ได้อยู่ใน main stream แต่ก็มีสาวกมาดูแน่ๆ จำนวนหนึ่ง อย่างคราวล่าสุด Dream Theater ก็มาเล่นที่นี่ หรือถ้าใครมี Live Evolution ของ Queensrÿche ก็อัดเสียงกันที่นี่เหมือนกัน คืนนี้คอนเสิร์ตเป็นแบบ general admission คือมีราคาเดียว $25 ซึ่งถือว่าถูกมาก อยากนั่งตรงไหนก็นั่งไปเลย ถ้าอยากนั่งใกล้ๆ ก็ต้องมาเร็วหน่อย ผมเข้าไปนั่งประมาณ 20 นาทีก่อนเริ่มได้ที่นั่งแถวขวาประมาณกลางๆ โรงชั้นล่าง เริ่มจากวงเปิดก่อนชื่อวง Marjorie Fair จาก L.A. ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน วงนี้ตอนเริ่มเล่นออกแนว Pink Floyd นิดหน่อยตรงที่มีซาวด์เอฟเฟคต์สร้างบรรยากาศล่องลอย แต่พอเพลงขึ้นก็ออกแนว Brit Pop ไปซะเฉยๆ เพลงที่เล่นคืนนี้มีแต่เพลงเนิบๆ ฟังเพลินดี เสียงนักร้องนำก็ออกนุ่มๆ ฟังรีแลกซ์สุดๆไปเลย มีการฉายหนังขึ้นจอด้วยแต่ออกลูกทุ่งนิดหน่อยคือเอาโปรเจคเตอร์วางบนเก้าอี้ตรงกลางเวทีเฉยเลย หนังเป็นภาพธรรมชาติฉายวนเป็นลูปไปเรื่อยๆ ดูเพลินๆ เข้ากับเพลงดี ดูวงนี้เล่นไปเล่นมาบางทีก็ขำเหมือนกันคือทั้งมือกีต้าร์มือเบสชอบเดินก้มตัวเล่นโดยที่กีต้าร์แกว่งอยู่ตรงเข่า เหมือนเดินหาของอะไรกันไม่รู้ เล่นอยู่ประมาณ 45 นาทีก็พักครึ่งแบกข้าวของเข้าไปเก็บหลังเวที



พักครึ่งประมาณ 20 นาที คนดูจำนวนหนึ่งเริ่มไปยืนออกันตรงหน้าเวที (แต่โทษที ตอนที่ทางวงเล่นเพลงนั้น แต่ละคนยืนดูนิ่งๆ แทบไม่ขยับกันเลย) คนเริ่มเข้าจนดูเกือบเต็มโรงชั้นล่าง ส่วนชั้นบนเป็นไงไม่รู้เหมือนกัน ใช้ได้เหมือนกันนิ ถึงว่าคนจะโหรงเหรงซะแล้ว จนพลพรรค Porcupine Tree เดินขึ้นมาเวทีพร้อมกับอัดกันก่อนเลยกับ Open Car จากชุด Deadwing ซึ่งเป็น prog metal เต็มสูบ ที่เซอร์ไพรส์มากคือตา Steven Wilson นี่หน้าเด็กมาก ตัวผอมๆ ผมยาวประมาณบ่า ใส่แว่น ดูเหมือนเด็กเนิร์ดมหาลัยมากว่าร็อคเกอร์ แต่ฝีมือนี่ร้ายมาก คืนนี้นอกจากสมาชิกทั้งสี่แล้วยังได้ John Wesley มาช่วยเล่นกีต้าร์เสริม ตา John นี่อาจนับได้ว่าเป็นสมาชิกคนที่ห้าของวงก็ว่าได้เพราะช่วยเล่นตั้งแต่ในสตูดิโอยันทัวร์คอนเสิร์ตเกือบทุกงาน เสร็จแล้วต่อด้วย Blackest Eyes เพลงดังจากชุด In Absentia ระหว่างเล่นก็มีฉายหนังขึ้นจอเหมือนกันแต่ดูมืออาชีพกว่าวงเปิดเยอะ หนังของ Porcupine Tree จะออกหลอนๆ คล้ายๆในวีดีโอซาดาโกะเรื่องเดอะริงประมาณนั้นแหละ เล่นเสร็จแล้วถึงคราวพี่สตีฟทักทายคนดู แกบอกว่ามาเล่นรอบนี้เวทีใหญ่กว่าทั้งคลับที่มาเล่นคราวที่แล้วซะอีก แสดงว่าเรา(หมายถึงทางวง)กำลังมาถูกทางแล้ว(กำลังดังขึ้นว่างั้นเถอะ)



เสร็จแล้วก็ถึงตาเบรคอารมณ์กันด้วยเพลงช้า Lazarus ผมชอบเพลงนี้มากเลย เสียงเปียโนพริ้วชวนฝันเอามากๆ จากนั้นก็เล่นเพลงเก่าๆ เริ่มจาก Hatesong ตามด้วย Don’t Hate Me จากชุด Stupid Dream และเพลง B-side อย่าง Mother And Child Divided (เป็นเพลงแถมในแผ่น Deadwing dvd เวอร์ชั่น) เป็นเพลงบรรเลงยาวสิบนาทีกว่า เพลงส่วนใหญ่ที่เล่นคืนนี้มาจากชุด In Absentia และ Deadwing ซึ่งออกเป็น prog metal ผสม psychedelic ซึ่งช่วงกลางเพลงมักจะมี keyboard sequence ออกหลอนๆ เกือบทุกเพลงก่อนที่จะอัด prog meta กันต่อจนจบแต่ละเพลง แต่ถึงแม้จะเล่น prog metal แต่กีต้าร์ไม่ได้โซโล่ไฟแลบแบบเมทัลนะครับ เสร็จแล้วต่อด้วย Mellotron Scratch เพลงช้าอีกเพลงที่โชว์ประสานเสียง, So Called Friend b-side อีกเพลงที่แถมอยู่ในแผ่น Lazarus single, Arriving Somewhere but not Here เพลงมหากาพย์ยาวสิบกว่านาทีจากอัลบั้มล่าสุด, Heartattack In a Layby, The Start of Something Beautiful แล้วปิดด้วย Halo หลังจากปล่อยให้คนดูตบมือเรียกได้นาทีสองนาทีทางวงก็ขึ้นมาอังกอร์ด้วยเพลงสุดโปรดของแฟนๆ อย่าง Radioactive Toy เล่นจบคนดูเริ่มตะโกน Train ๆ ๆ พี่สตีฟเลยปิดคอนเสิร์ตคืนนี้ด้วยเพลงที่น่าจะดังที่สุดของวงแล้วคือ Train จากชุด In Absentia



คืนนี้คนที่เด่นที่สุดของงานนี้คือ Steven Wilson แบบไม่ต้องลุ้น พี่แกเล่นริฟฟ์มือเป็นลิงเลยคืนนี้ รองลงมาคือ Gavin Harrison ซึ่งรัวกลองแบบเมทัลกระจาย ส่วนลุงมือเบส Colin Edwin นั้นเล่นได้เก๋ามาก แต่ออกจะนิ่งไปนิด ทางด้าน Richard Barbieri นั้นคีย์บอร์ดเอาไว้สร้างเอฟเฟคต์กับบรรยากาศแบบ ambient ซะเป็นส่วนใหญ่เลยไม่มีโชว์โซโล่อะไรเป็นพิเศษ คอนเสิร์ตโดยรวมๆ แล้วชอบมากครับ คุ้มค่าตั๋ว(ถูก) ค่อนข้างประทับใจ Steven Wilson เกินคาด ว่าแล้วก็ถึงคราวต้องหาแผ่นของวงมาฟังจริงๆ จังๆ ซักที





Create Date : 21 ตุลาคม 2548
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2548 17:42:21 น. 1 comments
Counter : 750 Pageviews.

 
วงนี้ผมก้อชอบเหมือนกันครับ
ผมไปได้ dvd concert วงนี้มาจากร้านบูมเมอแรงครับ
เสียง dts ภาพ widescreen ทุกอย่าง perfect ครับ
เล่นเพลง arriving somewhere but not here ได้มันหยดครับ


โดย: jurud IP: 125.24.79.156 วันที่: 15 ตุลาคม 2550 เวลา:19:35:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

<โหน่ง>
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Hello, I'm William Shatner and I'm a shaman.
Friends' blogs
[Add <โหน่ง>'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.