Once upon a time...
Group Blog
 
All Blogs
 

5. ได้ไปดู Australian Open ด้วย

ช่วงสักประมาณอาทิตย์ที่ 2 ของการเรียน ก็พอได้เพื่อนบ้างล่ะครับ (ทึกทักเอา) เพื่อนมันคงเห็นใจล่ะครับว่าผมไม่ได้ไปไหนเลย มันก็เลยมารับไปเที่ยวนอกโรงเรียน ช่วงนั้นมีการแข่งขันเทนนิสแกรนสแลม Australian open ครับ ดังนั้นคุณเพื่อนเลยลากไปดูด้วย ผมก็มึนๆ ตามเขาไป ช่วงปี 1999 น่าจะคลับคล้ายคลับคลาว่า Martina Hingis กับ Pete Sampras กำลังครองมือ 1 อยู่ จริงๆ แล้วผมชอบ Monica Seles (เป็นผู้ที่ตี FH BH ทั้งสองมือครับ แต่ที่โดดเด่นคือ Personality เธอตีเทนนิสอย่างเดียวครับไม่มีทะเลาะกับใคร วางตัวได้ดีมาก) กับ Michael Chang (คนนี้ผมปลื้มมากๆ ครับ อยากเป็นอย่าง Chang เลย ที่ผมตี BH สองมือก็เพราะ Chang นี่ล่ะครับ ) อยากไปดูมากๆ ช่วงนั้น Serena Williams ยังไม่ดังเท่า Hingis ครับ ที่ออสเตรเลียนี่เขาภูมิใจกับ Australian Open มาก เพราะเป็น 1 ใน 4 Grand slam ที่นักเทนนิสทุกคนปรารถนาจะเข้าร่วมการแข่งขัน (สำหรับผมถึงอยากมากถึงมากที่สุด) คนไทยทั่วไปคงอยากดู Premier League ที่อังกฤษ แต่สำหรับผมแล้วแกรนสแลมครับ

จะว่าไปก็มีกีฬาหลายชนิดครับที่ออสซี่นิยม เช่น คริกเก็ต (Cricket), (Austalian) Football หรือแม้แต่ รถฟอร์มูล่า 1 ไอ้เจ้า Cricket นี่ก็คล้ายๆ เบสบอลน่ะครับ มีผู้ปาลูก มีผู้ตี และมี Cricket อยู่หลังผู้ตี การเล่นก็ต้องขว้างลูกให้โดน Cricket นั่นล่ะครับ แต่ทางผู้ตีก็จะปกป้องมันด้วย (ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ เพราะมาจนบัดนี้ ผมยังงงกับ Cricket อยู่เลย) หรือแม้แต่ออสเตรเลี่ยนฟุตบอลครับ จะเป็นรักบี้(ส่งลูกไปข้างหลัง)ก็ไม่ใช่ อเมริกันฟุตบอลก็ไม่ใช้ ซ๊อคเกอร์(เท้าเตะ)ก็ไม่ใช่ ที่มันแตกต่างคือเวลาส่งลูกต้องส่งด้วยการชกไปข้างหน้าหรือการเตะ เอาเป็นว่าผ่านไปแล้วกันครับ เพราะจะพูดถึงออสเตรเลี่ยนโอเพ่นนี่นา

ก่อนเข้าชมใน Melbourne Park (สนามเทนนิสที่ใช้แข่งทั้งหมด) ต้องซื้อ Ground Pass ครับ ก็ $15 AUS ดูได้ทุกคอร์ตครับ ยกเว้น Court ที่อยู่ในโดม ถ้าจะเข้าดู Center court ต้องเสียตังค์เพิ่มครับ ถ้ารอบไม่ลึก (รอบแรก – รอบสาม) ราคาก็ประมาณ 2 – 3 เท่าของ Ground pass แต่ถ้ารอบ Semi final หรือ Final แล้ว เล่นเป็น $100 AUS up เลยครับ ตอนไปกับเพื่อนต้องเอารถจอดไกลๆ โน่น เพราะไม่มีที่ (เนื่องจากมีแข่ง Cricket ด้วย คนเลยเต็มทั้ง Cricket Stadium และ Melbourne Park เนื่องจากมันติดกัน) พอซื้อเสร็จก็แยกกันกับเพื่อนครับ มันบอกมันจะไปดูของมัน ไอ้ผมก็อยากดู Monica Seles ครับ เลยไปต่อคิวดูที่ Court1 การดูนั้นจะต้องเข้าที่ให้เสร็จก่อนที่ผู้เล่นจะเสิร์ฟครับ ผมรออยู่นานมาก เลยเปลี่ยนไปดูที่ Court 3 ครับ จำได้ว่าเป็นการแข่งขันระหว่าง Serena Williams กับ Mary Pierce ตอนดูดันไปนั่งซะใกล้ๆ (ประมาณแถว 3 จากคอร์ต) ปวดคอเลยครับ เพราะต้องมองตามบอลตลอด พอสองสาวแข่งกัน คุณพระคุณเจ้า ทำไม่ทั้งสองนางตีกันดุเดือดขนาดนั้น ลูกตกเกือบ Baseline ตลอดครับ ผมเลยเปรียบเทียบกับตัวเอง แม้ว่าเราจะเป็นนักเทนนิส แต่ฝีมือเราคงไม่น่าถึง 1 ใน 10 แน่ๆ (ไม่ได้ดูถูกตัวเองครับ แค่ปวารณาตัวเองเท่านั้น)

หลังจากนั้นก็จะพยายามเข้าชม Monica Seles ให้ได้ครับ ตอนนั้นแข่งกับ Sabine Appleman ที่ Court 1 ก็ได้เข้าชมครับ แต่โน่นนั่งปลายอัฒจรรย์ครับ มองเห็นแต่จุดเล็กๆวิ่งไปวิ่งมาไกลๆ ก็เลยตัดใจไปเดินดูคอร์ตอื่นครับ เดินไปสักพักเห็นชื่อ Amanda Coetzer อยู่คอร์ตประมาณ 12 เข้าไปดู ไม่น่าเชื่อครับ Amanda Coetzer ตอนนั้น Ranking ประมาณ 5 ของโลก ตัวเธอเล็กนิดเดียวครับ ไม่น่าเกิน 155 ซม. แต่ทว่าการเคลื่อนไหวของ Amanda นั้นเร็วมากครับ ผมถึงได้บางอ้อว่าถึงได้เป็นจุดเด่นของเธอนั่นเองครับ เดินไปเดินมาสักพักหมดมุขครับ เพราะเขาแบ่งเป็นรอบกลางวันกับรอบกลางคืน (Day session, Night session) ถ้าจะดูต้องรอ Night session ครับ เพราะเพื่อนพามาก็เฉียดบ่ายแล้วครับ นักเทนนิสแข่งรอบกลางวันเกือบหมดแล้ว อีกทั้งเพื่อนมันอยากกลับครับ ส่วนผมด้วยความที่ไม่รู้เรื่องว่าจะนั่งรถกลับโรงเรียนอย่างไร จะเอาตัวรอดได้อย่างไร เลยต้องกลับกับคุณเพื่อนครับ

หลังจากที่ได้ดูเทนนิสแกรนสแลมครั้งหนึ่งในชีวิตแล้ว เลยมีความตั้งใจว่าจะต้องดูให้ครบ 4 แกรนสแลมให้ได้ครับชีวิตนี้ เหลือแต่ Wimbledon (อังกฤษ – London), French Open (ฝรั่งเศส – Paris) และ US Open (USA – New York) เท่านั้น เอ่อ...




 

Create Date : 30 มีนาคม 2554    
Last Update : 2 เมษายน 2554 2:54:40 น.
Counter : 346 Pageviews.  

4. เมือง Melbourne

พอผ่านการเรียนไปได้สักพักสักเดือนกว่าๆ ครับ ผมเครียดจัด ไม่รู้ไปไหนดี ไม่มีคนคอยช่วยแนะนำว่าจะต้องทำอย่างไร อินเตอร์เนตตอนนั้นก็ยังหาที่เล่นไม่ค่อยจะได้ ซึ่งมีไว้ให้เป็นจุดๆ ในโรงเรียนครับ (พอเสาร์อาทิตย์อาคารต่างๆ ปิดหมด เลยหมดสิทธิ์ครับ) เลยรวบรวมความอัดอั้น ไปเดินนอกโรงเรียนคนเดียว จำได้ดีครับว่าตอนนั้นเดินๆ ไปเห็นป้าย Trespassing ยังไม่รู้จักเลย นึกว่าให้ผ่านได้ เพราะเดินๆ ไปแล้วเจอบ่อย พอรู้ความหมายคราวนี้ถึงบางอ้อเลย หน้าแตก ไอ้เรื่องหน้าแตกด้านภาษาอีกครั้งตอนนี้เพื่อนๆ ร้องเพลงกัน เราก็ถามว่าทำไมร้องกันได้ทุกคนเลย (เราก็ฮัมตามไป) มันบอกเป็น Anthem ตอนนั้นยังไม่รู้ความหมาย Anthem ครับ ตอนหลังรู้ความหมาย แล้วขำโคตรๆ ครับ ผมว่าเพื่อนมันคงงงอ่ะ ว่าผมจะถามทำไม อีกเรื่องที่หน้าแตก (ไม่เกี่ยวกับภาษาแต่อย่างใด) คือตอนที่เพื่อนคงเห็นเราไม่ได้ออกไปไหนครับ พอวันศุกร์ก็มาพาเราไปดริงค์ใน Mess นั่นแหละ ไม่รู้อีท่าไหนครับ กินไปกินมาเพื่อนมันจะหอบไปเที่ยวต่อข้างนอก ดันอ้วกใส่รถมันซะงั้น กระผมเลยต้องถูกทิ้งให้อยู่ในห้องต่อไป

ช่วงหลังๆ มาเริ่มรู้จักการเดินทางด้วย Train หรือ Tram มากขึ้น เสาร์อาทิตย์เลยเดินดุ่ยไปเลยครับ (คิดว่าหลงคงช่างหัวมัน เด๋วคงมีคนมาตามเองล่ะมั๊ง) ขึ้น Train จาก Suburb เข้าไปในเมือง ระบบ Transportation ในเมือง Melbourne นี้แบ่งออกเป็น Zone ครับ (นอกเมืองด้วย) ก็จะมี Train, Tram, Bus โรงเรียนผมอยู่ Zone 2 ปลายๆ เกือบ Zone 3 (มี Zone 1 – inner, Zone 2 – outer, Zone 3 – Suburb) เลยต้องนั่ง Train เข้าเมือง ก็ซื้อตั๋ววันเอาครับ (Day pass) จริงๆมันมีหลายราคา Zone เดียววันเดียว หรือต่าง Zone วันเดียว หรือจะซื้อเป็นเที่ยวก็ได้ครับ แต่ถ้าซื้อเป็น Zone ก็จะนั่งได้ทุกประเภท คือ เวลานั่ง Train ไปลงในเมือง ก็ต่อ Tram (รถราง) หรือ bus ในเมืองได้เลยครับ ขึ้นได้ทุกสาย แต่ดู Zone นะครับ ถ้านั่งเกิน Zone แล้วมีคนตรวจ เรื่องใหญ่ แต่โดยทั่วไปแล้วฝรั่งมักปฏิบัติตามกฎครับ ผมเลยได้ตรงนี้มาเยอะ (อยากจะบอกว่าคนไทยน่ะโคตรอ่อนตัวเลยครับ บางครั้งกฎไม่เป็นกฎ บางอย่างเลยเละเทะ อืมม์ผ่านดีกว่าครับ)

พอไปถึง Melbourne อย่างแรกเลยคือผมไปที่ Information booth ก็ลองถามเขาเรื่อง map ครับ ได้ผล ได้มาเพียบเลย แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน ลองคิดดูครับว่าถ้าเดินคนเดียว ไม่มีแฟน ไม่มีเพื่อน จะไปไหนฟะนั่น ตังค์ก็ไม่ค่อยจะมี อีกทั้งก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบไปไหน เพราะที่ผ่านมามีแต่คนลากไปตลอด ก็เลยลองไป Victoria market ไปโดย Tram ครับ ก็ขายของคล้ายๆ จตุจักรบ้านเราล่ะครับ แต่เล็กกว่ามาก ที่ต้องซื้อเลยคือตุ๊กตาหมีโคอาล่าแพ็ค 12 ตัว ซื้อมาเพียบครับ ที่ใล่ทิชชู่รูปจิงโจ้หรือโคอาล่าด้วย หรือแม้แต่ยังบ้าซื้อผ้าคลุมเบาะลายวัว(ขาวดำ) เลยครับพี่น้อง ตอนนี้ยังเอามาใช้กับรถในเมืองไทยที่ผมขับอยู่เลย พูดถึง tram (หรือ Public transportation) ในเมือง Melbourne สะดวกมากครับ ถ้ากรุงเทพฯ ทำได้นะ สุดยอดเลย เพราะจะลดปัญหารถติด + คนเอารถส่วนตัวมาใช้ได้มากเลย ผมชอบมากๆ จะไปที่ใดในเมือง สามารถไปได้หมดเลยครับ Tram ไม่ได้ ก็มี Bus รองรับครับ ทำให้ระบบ Transportation ดีมากๆ Melbourne เสียอย่างเดียวครับ คือ พอเย็นมาปั๊ป เงียบจริงๆ ร้านค้าปิดหมด คนละเรื่องกับกรุงเทพฯ เลยครับ ไม่มีหลับ อยากกินบะหมี่ตอนตี 2 ยังมีเลย (ว่าไปไม่มีที่ใดดีเท่าเมืองไทยแล้วครับ อาจมีข้อเสียเรื่องโน้น เรื่องนี้หน่อย แต่บวกลบคูณหารแล้ว เมืองไทย บ้านเกิดของเรานี่แหละ ดีที่สุดในโลก ดังนั้นผมไปคราวนี้โปรโมทเมืองไทยสุดๆ ครับ)

ตอนแรกตั้งใจว่าถ้ามีตังค์พอจะข้ามไป Tasmania และเลยไป New Zealand ด้วยครับ แต่ไปไม่รอด งบไม่พอ แถมหลังๆ เรียนแบบเอาเป็นเอาตายอีกครับ เลยจบข่าว พูดถึงเดินเที่ยวใน Melbourne ก็หรูแล้วครับ ไปเข้าห้างโน่นนี่นั่น ไปมหาวิทยาลัย RMIT ด้วยครับ เข้าห้องสมุดมันเลย บรรยากาศน่าเรียนมากๆ ครับ นี่ถ้าผมมาเรียนแบบมหาวิทยาลัย คงมีความสุขสุดๆ ได้เจอคนใหม่ๆ มีน้องๆ พี่ๆ คนไทยในมหาวิทยาลัยคอยชี้แนะแน่ๆ แต่ที่ผมมาเรียนมันคนละเรื่องกันเลยครับ แถมไปอยู่นอกเมืองโน่น ได้เข้าเมืองมาทีเลยไม่เจอคนไทยเท่าใดนัก ไปเดินตลาดก็เจอแต่แขกกับจีน แต่ทว่าเดินไปเดินมาก็เห็นร้านอาหารไทย (จริงๆ ตอนหลังทราบว่ามีเยอะมาก แต่ทำไมปี 1999 ผมไม่ค่อยเจอก็ไม่รู้ ) ผมได้แวะไปกินผัดกะเพราร้านไทยครั้งแรกด้วย ร้านอะไรจำไม่ได้แล้วครับ จำได้ว่านั่งโต๊ะแถวหน้าร้าน และสั่งกะเพรา จานละ $14 AUS แม้จะแพงแต่อร่อยโคตรๆ ครับ หายอยากเลย (ต่อมาหลังจากที่ได้ไปเรียนที่อเมริกาก็ถึงบางอ้อว่า ร้านอาหารไทย ไม่ว่าชาติใดในโลก นักเรียนไทยจองเสิร์ฟ ตอนนั้น Innocent ครับ)

จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เพราะยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าชอบเที่ยวหรือเปล่า เพียงแต่ผมชอบไปในที่ใหม่ๆ ไปศึกษาดูสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อน ผมลองถามตัวเองว่าชอบไปทะเลไหม ก็งั้นๆ ไปภูเขาล่ะ ก็งั้นๆ ไม่ไปก็ได้ ไม่ตายนิ แต่มีความปรารถนาส่วนตัวว่าอยากไปที่ไม่เคยไป เช่น ขั้วโลกใต้ หรือ ขั้วโลกเหนือ เป็นต้น (บ้าไหมครับพี่น้อง) สำหรับการเที่ยวใน Melbourne ตลอดการเรียนของผมนั้น ผมรู้สึกเสียดายความทรงจำมากๆ ครับ ผมถ่ายรูปเก็บไว้ตอนเดินเที่ยวเมลเบิร์นคนเดียว (ตอนที่การเที่ยวต่างแดนเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมมากๆ) แต่บัดนี้รูปต่างๆ มันมลายหายไปสิ้นแล้ว ตอนนั้นกล้องดิจิตอลยังไม่บูมครับ ต้องถ่ายรูปแล้วมาล้าง ตอนนี้หายหมด อยากระลึกความทรงจำเก่าๆ ที่ไป RMIT หรือแม้แต่ Victoria market ก็ไม่รู้ทำไง เลยได้แต่เขียน Blog นี้ล่ะครับ เพื่อเก็บเป็นความทรงจำที่ดีของผมในเมือง Melbourne ตลอดไป




 

Create Date : 30 มีนาคม 2554    
Last Update : 2 เมษายน 2554 2:54:26 น.
Counter : 468 Pageviews.  

3. เรียนหลักสูตร Signal Basic Course (1/99 ROBC) #2

พอจบภาค Technology Module แล้วเข้าภาคสนามนี่สิครับ ใบ้รับประทานของจริง เจอ Technical Terms เข้าไป ชาลีง่อยไปเลยครับ สอบตกด้วย เป็นการสอบตกครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เรียนอนุบาลมาเลย แต่ก็ใจชื้นว่าเพื่อนออสซี่ก็ตกเป็นสิบคนเหมือนกัน ไอ้เจ้าภาคสนามเนี่ยละครับ โหดมัน แถมฮาไม่ออกอีก เป็นหัวดำคนเดียวใน Class เวลาเขาฝึกกันเรื่อง cryptography Module เข้าก็ไม่ให้เข้าร่วม (คงความปลอดภัยของการสื่อสารเขาน่ะครับ กลัวเราไปล้วงความลับ เอ่อ อย่าว่าแต่ล้วงเลย แค่ฟังกระผมยังฟังไม่ออกเลย) จำได้ติดความทรงจำเลยครับว่า สถานที่ๆ ไปฝึกนั้นเรียน Pukkapunyal หนาวมากๆ ไม่ว่าฝนจะตก หิมะจะลง คนต่างชาติจะต้องอยู่นอกรถเท่านั้น เพราะในรถมันมีเครื่องมือสื่อสารอยู่ ทางผู้ที่ฝึกเขาไม่ให้เราแตะเลย (แล้วจะเอาตูไปด้วยทำไมฟะนั่น) ตอนหลังเลยพอเข้าใจว่า เอาไปใช้แรงงาน ตั้งเสาอากาศ (Antenna) ขดหลุมอะไรเทือกนั้นครับ ขุดไม่ธรรมดานะครับ ท่วมหัวโน่น ขุดเสร็จเกือบตี 4 พอ 6 โมงมันบอกให้กลบ เพราะจะย้ายที่ โอยจะบ้าตาย แล้วไม่ใช่หลุมเดียวนะครับ หยุดรถตรงไหน ขุดตรงนั้น ดังนั้นครับนายชาลีคนนี้เป็น Labor ชั้นดีซะงั้น

ตอนนี้ทางหลักสูตรเรียนเรื่อง Cryptography Module เขาไม่ให้เราเข้าร่วม ดังนั้นเขาเลยส่งกระผมไปทำงานที่ Brisbane ประมาณ 1 อาทิตย์ กับเพื่อนออสซี่อีกคน เพื่อนคนนี้เป็นลูกครึ่งครับ เลยไม่ได้ชั้นความลับที่สามารถเข้าเรียนได้ (คงกลัวเป็นสปายมั๊ง) แต่กระนั้นก็ด็ก็ได้ไปกับเพื่อนคนนี้ล่ะครับ เจ้า Kevin Burt ที่ Brisbane อากาศดีมากๆ แต่ Transportation ยังไม่ดีเท่า Melbourne ได้เจอพี่คนไทยโดยบังเอิญครับ แกไปเที่ยว ผมไปเดินเล่น ก็ชื่ออะไรจำไม่ได้ เขียนไว้ก็หาย (แล้วจะพูดทำไมเนี่ย) ประเด็นคือ พี่เขาทำงานเป็นพยาบาลอยู่ รพ.พระมงกุฎ ครับ บอกว่าให้ผมไปรักษาหรือไปหาได้ตลอด ก็ต้องขอโทษพี่แล้วกันนะครับ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปขอบคุณพี่ที่พระมงกุฎเลยครับ ตอนอยู่ที่โน่นก็ได้เล่นเทนนิสกับเจ้า Burt นี่ล่ะครับ กระผมว่าผมมั่นใจในฝีมือเทนนิสผมมาก (จะกล่าวในช่วงของเป็นนักเทนนิสนะครับ) พอไปเล่นกับเจ้า Burt มันกดผมไปซะ 6-1, 6-2 เสีย Self ไปเลยครับ แต่กระนั้นผมก็มีความประทับใจในเมือง Brisbane มากครับ เงียบ สะอาด แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่น่าอยู่ในระดับหนึ่งเลยครับ

กลับมาจาก Brisbane ก็ไปภาคสนามนั่นหละครับ จำได้ดีว่าวันฝนตกก็ต้องนอนนอกรถ หนาวแทบตาย (วันนั้น -5C) ก็ห้ามใส่ Beanie (ไอ้โม่ง) ปิดหู เพราะเขาบอกว่ามันจะไม่ได้ยิน คุณพระคุณเจ้าเกิดมายังไม่เคยทนทรมานความหนาวขนาดนี้มาก่อนเลยครับ นอนนอกรถตื่นเช้ามาน้ำแข็งเกาะหน้าน่ะครับท่านผู้ชม น้ำก็ไม่ได้อาบเป็นอาทิตย์ ซกมกสุดๆ ช่างเป็น 1 เดือนแห่งความทรมานจริงๆ แต่กระนั้นก็ดีครับเมื่อฝึกเสร็จแล้วมองย้อนกลับมา ก็สงสัยว่าทำไปได้อย่างไรเนี่ย จนถึงบัดนี้สิบกว่าปีมาแล้ว ผมยังจำความหนาวนั้นได้ดีเลยล่ะครับ จากที่ไม่ชอบความหนาวเท่าใดนัก แต่ตอนนี้ถึงขั้นโปรดปรานทีเดียว

พอภาคสนามจบก็เตรียมตัวจบหลักสูตรแล้วครับ มาหลังๆ เพื่อนบอกว่าพูดเก่งขึ้นนะ (แหงล่ะใบ้มาตั้ง 3 เดือน พอพูดได้ ประมาณว่ามรึงไม่รู้เรื่องก็ช่าง กรูจะพูด ทำนองนั้นครับ) มองย้อนกลับไปว่าถ้าเราเริ่มพูด เริ่มความกล้าตั้งแต่เดือนแรก คงจะทำให้การเรียนของเราราบรื่นมากกว่านี้แน่นอน มันอยู่ที่ความกล้าของเราครับ (หน้าด้านด้วย) ทั้งนี้การมาเรียนที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความกล้าของกระผมในการไปเมืองนอกในครั้งต่อๆ มาด้วยครับ และก็เป็นห้วงเวลาแห่งความทรงจำที่ดี (ที่จำได้แม่นเพราะมาเมืองนอกครั้งแรกแบบงงๆ อย่างข้างต้นล่ะครับ) และจะติดตรึงอยู่ในเบื้องลึกแต่สามารถงัดออกมาได้เมื่อเห็น Blog นี้ล่ะครับ




 

Create Date : 29 มีนาคม 2554    
Last Update : 2 เมษายน 2554 2:54:07 น.
Counter : 263 Pageviews.  

2. เรียนหลักสูตร Signal Basic Course (1/99 ROBC) #1

พอมาที่ Target Course ครั้งแรก ผู้ที่พามาก็มาส่งผมลงตรงที่ Mess เราก็ไม่รู้จะไปไหน ดุ่ยๆ เข้าไปหาเจ้าหน้าที่สักคน เข้าไปไม่มีใครซะงั้น (ก็มันวันศุกร์นิ) กว่าจะได้กุญแจห้องมา เล่นเอาเมื่อยมือเลย ก็เข้าไปในห้องแล้วก็อยู่ในนั้นแหละครับตลอดเสาร์อาทิตย์ เพราะไม่รู้จะไปไหน ไปยังไง มันมืดแปดด้านไปหมด จะเดินไปหาแมคโดนัลด์ทานก็ไกลโคตรๆ

ครั้นพอวันจันทร์เริ่มเปิดเรียน ไอ้เราก็เจอแต่ออสซี่ล้อมรอบโต๊ะเลย หลักสูตรที่ว่านี้จะเรียน Technology Module อยู่ประมาณ 4 เดือน แล้วจะเรียนภาคสนามประมาณเกือบ 2 เดือน มาถึงวันแรกก็ใบ้รับประทานครับ ทำไมมันพูดกันเร็วอย่างนี้ฟะ แถมสำเนียงก็ a เป็น i และก็ i เป็น oi มันทำให้กระผมอึ้งไปประมาณ 3 เดือน 3 เดือนจริงๆครับ ไม่รู้เจ้าพวกนี้มันพูดไรกัน วิธีการของกระผมก็คือ เดินมึนๆ ไปเรื่อยๆ ขนาดเขานัดทำอะไรยังไม่รู้เลยครับ วันๆ ต้องคอยอยู่อย่างเดียวว่าพรุ่งนี้เขาจะให้ทำอะไรหว่า ไอ้เรื่องเข้าใจ Material นั้น ตอนแรกลืมไปได้เลยครับ ไม่รู้เรื่องเลย ดีหน่อยตอนที่เป็น Technology module บางอย่างเป็นสิ่งที่ผมเรียนมาแล้ว เลยพอเอาตัวรอดได้เรื่อยๆ ต้องเข้าใจนะครับว่าเป็นการมาเมืองนอกครั้งแรกที่ไม่มีคนไทยหรือคนเอเชียอยู่ใน class เลย หัวดำเด่ๆ อีกทั้งมันทำให้เราเหมือนเป็นการสร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องตนเอง ช่วงนั้นเลย home sick กิน จำได้ว่าเวลาเขียนอีเมล์ไปหาเพื่อนๆ ที่เมืองไทย เขียนทีละประมาณ 2 หน้า A4 แบบประมาณระบายความอัดอั้นลงไปในอีเมล์นั่นละครับ

อีกทั้งเรื่อง Culture Shock นี่ซึ้งเลย เพราะว่าเราเจอวัฒนธรรมที่ต่างออกไป การกิน การเรียน ตอนเย็นยิ่งไม่รู้จะทำอะไร ออกไปจากที่พักกว่าจะเดินไปถึง Community ก็ท่าทางจะมากกว่า 40 นาที ประมาณช่วง 3 เดือนแรก ผมเหมือนปิดตัวเองครับ ตอนเรียนเขาต้องมี Coffee Break แล้วเพื่อนๆ มาคุยกัน ไอ้เราก็ไม่รู้จะคุยอะไร เลยกินมันซะอย่างเดียว หลังๆ ปรับตัวได้ครับ คุยแหลก หมดเวลา Coffee Break แล้วยังไม่อยากกลับห้องเลย อ้อ ที่ๆ ผมไปเรียนนี้เรียกว่า School of Signal ครับ ดูหรูว่าอยู่เมือง Melbourne แต่ที่ไหนได้ โน่นครับชานเมืองโน่น ประมาณกรุงเทพ – ปทุมธานี อย่างนั้นครับ เวลาจะไปไหนมาไหน ต้องเล่น train อย่างเดียวครับ แล้วไปต่อในเมือง เรื่องเมือง Melbourne ไว้ช่วงต่อไปนะครับ

มาต่อกันที่ Target Course ต่อ ไอ้กระผมเรียนวันแรกเขาให้ทดสอบ Calculus เราก็ทำไปไม่รู้ด้วยว่าผ่าน สอบเสร็จอาจารย์มานัด ไอ้เราก็ฟังไม่ออก ไม่รู้เรื่อง บอกว่าเจอกันวันเสาร์ เราก็เอาวะ มาสอบอีกครั้ง พอมาวันเสาร์ หน้าแตกดังโพละ อาจารย์บอกว่า เธอ(มรึง) น่ะผ่านแล้ว จะมาทำไม คนที่มาสอบนี่คือพวกที่ตก กระผมก็ต้องจรลีกลับไปในบัดดล ก็เรียนไปเรียนมา ถูลู่ถูกังมาจนได้ครับ 4 เดือน เรียนได้ประกาศชมเชยมาด้วย แถมทาง University of New South Wales ยังมี Letter of Offer มาอีก ไม่รู้ distinguished หรืองงว่าผมผ่านได้อย่างไรหรือเปล่า (คงอยากรู้ว่าไอ้เจ้านี้มันเรียนได้ไงซะมั๊ง) ยงงงๆ กันตัวเองว่า ในบางครั้งทำไมเพื่อนมันมาถามเราวะว่าเข้าใจหรือเปล่า เรื่องเข้าใจนั้นครับ 3 เดือนแรกลืมไปได้เลย แค่รู้ว่าวันๆ ท่านออสซี่จะทำอะไรต่อไปก็เท่านั้น แต่กระนั้นก็บอกเพื่อนมันไป (ไม่รู้มันจะเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ)

อีกประเด็นที่อยากพูดคือ สาวๆ ในหลักสูตรครับ โอ้โหไม่ยิ่งหย่อยไปกว่าชายชาตรีเลยครับ หน้าหวานๆ (แต่ตัวไม่เล็กนา แต่ก็ไม่บึกครับ) แต่พอออกกำลังกายร่วมกัน สาวๆ พวกนี้วิ่งเข้าชัยก่อนผมอีก (ผมว่าผมถึกแล้วนะ) ก็ยอมครับว่าแข็งแกร่งจริงๆ (ปกป้องผมได้แน่ๆ) เรื่องการออกกำลังกายนี่ก็ยอมครับ หลักสูตรนี้เหมือนมาสร้างความอึดอะไรทำนองนั้น วิ่ง 2 ไมล์กัน ไม่ถึง 10 นาที โอ้ว แถมมีออกกำลังโน่นนี่นั้นเพื่อเพิ่มความอึดอีก ก็มีการฝึกปีนเขาอีก (ที่เป็นปุ่มๆ ติดข้างฝาโรงยิมครับ แล้วเอาเชือกคล้องตัวเราไว้แล้วให้เราก้าวขึ้นไปทีละก้าวจนถึงบนสุดน่ะครับ คล้ายๆ X-game เทือกนั้น) ว่าไปแล้วก็ทำให้รู้ว่า ฝรั่งนอกจากตัวใหญ่แล้ว ยังอึด ถึก อีกด้วยครับ (ชมนะเนี่ย)




 

Create Date : 29 กันยายน 2552    
Last Update : 2 เมษายน 2554 2:53:55 น.
Counter : 284 Pageviews.  

1. ไปสู่แดนจิงโจ้ครั้งแรกในชีวิต

กาลครั้งหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว (ยังพอลางๆ ครับว่าประมาณต.ค.41) ตัวผมเองก็เริ่มทำงานด้านการสื่อสารได้สักปีกว่าๆ พอได้ทราบข่าวว่ามีทุนไปเรียนหลักสูตรสั้นๆ ด้านการสื่อสารที่อเมริกา (เกี่ยวกับออสเตรเลียยังไงเนี่ย) ตัวผมเองก็เลยไปสอบ (มีการสอบแข่งขันทางภาษาอังกฤษและการสอบวิชาด้านการสื่อสารครับ) ซึ่งผลออกมาผมก็ได้ไปประมาณต้นปี 43 แต่ทว่าทางพี่ๆ ที่ทำด้านการส่งตัวก็บอกว่า ตอนนี้มีทุนเหลืออยู่นะเป็นของออสเตรเลีย ไปเรียนประมาณ 6 เดือน ถ้าจะไปก็ไปเลยประมาณต้นปี 42 ตัวกระผมเองก็คิดหนักเอาไงดีว้า ใจนึงก็อยากไปอเมริกาครั้งแรกในชีวิต อีกใจนึงก็อยากไปเลยที่ไหนสักที่จะได้ไม่เสียเวลาและก็ได้ประสบการณ์กลับมาเพื่อการต่อยอดต่อไป ไอ้เรื่องไปนอก ผมเข้าใจว่าหลายๆ ท่าน แก่กล้ากว่าผมหลายสิบเท่านัก แต่ทว่าผมไม่อยากเก็บเรื่องของผมไว้แต่ในความทรงจำเท่านั้นล่ะครับ ถึงได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ เผื่อผ่านไปสักสิบปี กลับมาดู ก็เอ๊ะ กรูเขียนจากความทรงจำได้เยอะขนาดนี้เชียวหรือนี่ ก็แค่นั้นครับ

จริงๆ ตั้งแต่มัธยมแล้วครับ เกือบได้ไปเมืองนอกกะเขาแล้ว ทุน AFS น่ะ ไปๆ มาๆ ทำไมไม่ได้ไปก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้วครับ อ้อ จำได้แล้วครับ ผมเปลี่ยนโรงเรียนนั่นเอง (เปลี่ยนบ่อยเป็นว่าเล่นตั้งแต่อนุบาลแล้วครับ เรียนดรุณาศึกษาราชบุรี ถึง ป.1 มาต่อที่อนุบาลสุรินทร์ ถึง ป.6 แล้วต่อที่สุรวิทยาคารถึง ม.2 ไปต่อที่ วัดราชบพิธ ถึง ม.4 โอ้ว เยอะแยะครับ เพราะคุณพ่อผมเป็นข้าราชการเลยต้องย้ายตามตลอดน่ะครับ) ตอน Undergrad ก็วืด เพื่อนๆ ไปดูงานต่างประเทศกันก็แห้วซะงั้น เลยทำให้ผมเองมีความมุ่งมั่นในระดับนึงว่า ลองไปให้มันรู้ซิ ครั้งนึงในชีวิตต้องไปเหยียบประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้าน และไปด้วยตัวเอง ไม่อาศัยโชคชะตาฟ้าฝนให้ได้ ส่วนไอ้ที่ได้มานี่ก็ประมาณผีผลักครับ ซึ่งจากที่ต้องตัดสินใจตามข้างบนนั่น ผมตกลงใจว่าจะไป ก็บอกพี่เขาว่าจะไปออสเตรเลีย (ไปๆ มาๆ ก็ลงเอยที่ไปที่ออสเตรเลียซะอย่างนั้น) ซึ่งก็บอกพี่เขาไปประมาณปลายเดือน ธ.ค.41 ขณะนั้นน่าจะประมาณวันที่ 20 ธ.ค.41 พี่ก็บอกกลับมาว่าไปวันที่ 3 ม.ค. นี้นะ ไปฉลองปีใหม่ที่โน่นเลย ไอ้เราก็เอาละสิ เรือ(Ship)หายแล้ว มีเวลาแค่ ไม่ถึง 2 อาทิตย์เนี่ยนะ เกิดมาเด็กบ้านนอกคนนี้ยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินเลย แถมต้องไปต่างประเทศแบบฉายเดี่ยวอีก คิดแล้วปวดตับ เป็นไงเป็นกัน

ว่าไปแล้วก็เตรียมการแบบฉุกละหุกมากๆ ครับ ไหนจะวีซ่า พาสปอร์ต ไหนจะข้าวของสำหรับ 6 เดือน ไปคราวนั้นยังไม่รู้เลยว่าฤดูของซีกโลกใต้มันกลับตาลปัตรกับซีกโลกเหนือ ประมาณว่าเดือน ธ.ค.นึกว่าจะหนาว ที่ไหนได้ร้อนเรือหายมากๆ (หน้าร้อน) ก็อยู่บ้านนอกมาตลอดผลก็เป็นเช่นนั้นแล ที่จริงแล้วผู้ที่จะไปเรียนที่ออสเตรเลียได้ต้องผ่านการสอบภาษาอังกฤษของเขาที่เรียกว่า ADFELPS ก็จะคล้ายๆ IELTS นั่นล่ะครับ แต่ประเด็นคือสำเนียงครับ ไปถึงแบบว่าจะบ้า จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเขาให้ไปเจอที่ไกด์ เราก็ไกด์ไหนฟะ กว่าจะถึงบางอ้อ ว่าไกด์ คือ gate เล่นไปหลายชั่วโมง เฮ้อ หรือไอ้คำว่าฟรอไดด์ เหมือนกัน กว่าจะคุ้นว่าเป็น Friday เล่นเอาปวดม้ามเลยครับ ไอ้กระผมก็ดันสอบได้ในระดับผ่านเกณฑ์ซะงั้น (ขอคุยนิดนึงครับว่าอิ้งค์ผมไม่เคยต่ำกว่า A อะแฮ่ม! แต่พอเจอ ADFELPS เข้าไป...จ๋อยครับ) ทางพี่ๆ เขาเลยบอกว่าไม่ต้องเรียนภาษงภาษาที่เมืองไทยแล้ว ไปโลด ไปฉลองปีใหม่ที่โน่น (เหมือนผลักไสไล่ส่งยังไงก็ไม่รู้ครับ) ซึ่งถ้าเข้าคอร์สเรียนภาษาสไตล์ออสซี่ (คนออสเตรเลียเรียกตัวเองว่า Aussie ผมเลยเรียกตาม) ก็จะต้องเรียนประมาณ 5 เดือนครับ เพราะต้องพัฒนาทุกทักษะ (ฟัง พูด อ่าน เขียน) แต่ระดับนายชาลีคนนี้แล้ว (ขอใช้ชื่อชาลีนะครับ ห้ามออกเสียง ชา-ลี ด้วย ต้อง ช้าร์-ลี่-เยอ ชื่ออุ๋ย มันไม่เท่ห์) ไม่ต้องเรียนซะงั้น ก็ซวยสิครับ จะปรับตัวด้านภาษายังไงล่ะนั่น

วกกลับมาที่การเดินทางต่อครับ ไป Qantas ซะด้วย Direct Flight 10 ชั่วโมง ส่งตรงลงที่ Melbourne เลยครับ โรงเรียนมันอยู่ที่นั่นนิ รอคนมารับ (ไม่มาตูตายแน่ๆ) สภาพตอนนั้นทำตัวนิ่งมากครับ เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย อารมณ์ประมาณว่าถ้าท่านขึ้นเครื่องบินครั้งแรกไปต่างประเทศ คนเดียว ลงมาเจอป้ายภาษาอังกฤษเต็มไปหมด เลยทำให้ตาลาย ประมาณนั้นเลยครับ รออยู่สักพักก็มีคนมารับ (รอดแย้ว) พาไปเข้าที่พัก ทางเจ้าหน้าที่ที่นั่นก็มา brief ให้ฟังคร่าวๆ ไอ้นั่นอยู่นั่น ไอ้นี่อยู่นี่ ทำนี่ได้ ทำโน่นได้ ที่เขาเน้นก็คือ อย่าทำ smoke เพราะจะมีรถดับเพลิงมาภายใน 5 นาที ไอ้เราก็นะ อยู่เฉยๆ ดีกว่า

วันรุ่งขึ้นทางหลักสูตรก็ให้สอบภาษาใหม่อีกรอบ กลัวว่าที่ได้มามันจะฟลุ๊ค (ก็ฟลุ๊คจริงๆ นั่นล่ะครับ) แล้วต่อด้วยการให้เรียนคอร์สการปรับตัว (Familiarization Course) ซึ่งจริงๆ ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ ก็จะเรียนเกี่ยวกับการปรับตัว วัฒนธรรมของแดนจิงโจ้ การใช้ Public transportation (tram, train, bus) ใน Melbourne, Orientation และอื่นๆ อีกมาก ในส่วนของท่านชาลีคนนี้ ก็โชคดีมากๆ เช่นเดิม ได้เรียนแค่ 3 วัน ก็ถูกส่งตัวไป Target Course เลย จำได้ว่าเรียน Familiarization Course จากวันที่ 4 – 8 ม.ค. แล้วเริ่มเรียน Target Course วันที่ 11 ม.ค.42 ดังนั้นเสาร์อาทิตย์ที่ 9 และ 10 ยังกะติดคุกเลยครับ ไปไหนไม่ได้ คุยกับใครไม่ได้ ไม่มีตัวช่วยใดๆ ทั้งสิ้น อืมม์ นี่เราโชคดีตั้งแต่เมืองไทยมาเลยนะเนี่ย ภาษาอังกฤษออสซี่ก็ไม่ได้เรียน แถมมาถึงนี้ก็ถูกส่งตัวไป Target Course เลย ตอนแรกนั้นยังไม่ได้เข้าสังคมต่างชาติแบบออสซี่ล้วนๆ เท่าไรนักครับ เพราะมีหลายๆ ชาติ (ที่ไม่ใช่ Native Speaker) มาเรียน Familiarization Course ด้วย แต่พอเข้า Target Course ซึ้งเลยกับคำว่า Home Sick และ Culture Shock เป็นอย่างไร ไว้จะขยายความในตอนต่อไปครับ




 

Create Date : 24 กันยายน 2552    
Last Update : 2 เมษายน 2554 2:53:42 น.
Counter : 328 Pageviews.  


ouii
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Blog of the remembrance (as I can figure them out)
Friends' blogs
[Add ouii's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.