Once upon a time...
Group Blog
 
All Blogs
 

2. แล้ววันแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง (เข้า Operation Room)

หลังจากที่นัดกันไปนัดกันมา ไปตรวจตอนแรกกับ Dr.Satoshi แต่ตอนหลังผมก็ถูก refer ให้กับ Dr.Christopher Meckel (คิดว่าคงแบ่งเค้กกันน่ะครับ) ตอนนั้นผมพูดจาภาษาแพทย์ไม่เป็นเลย ดีที่ว่าแฟนของน้องรูมเมทเป็นหมอที่มาช่วยคุยให้ เลยพอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง (รู้เรื่องบ้าง) ไปหาแกมาหลายครั้ง แกก็ลงความเห็นว่าต้องผ่าเข่านะ เพราะเป็นที่เอ็น ACL ไอ้ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันสำคัญอย่างไรในตอนนั้น รู้แต่ว่างานนี้ผมก็งานเข้าสิ เรียนก็หนักอึ้งพอตัวอยู่แล้ว และก็ไม่รู้ว่าต้องติดต่อธุรการอะไรยังไง ก็ยุ่งยากสักพักเพราะเคสผมไม่ได้ใช้ insurance ก็เลยต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ประสานงาน เรื่องการรักษาพยาบาลของผม (Medical Coordinating Officer)

ตัดบทไปที่พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันต้องผ่าตัด วันที่ 11 มิ.ย.47 สักประมาณ 4 เดือนหลังเกิดเหตุ (ช่วงนั้นประมาณต้นๆควอเตอร์ที่ 6) ตอนนั้นก็พอเดินได้แล้ว เราก็ไปโรงพยาบาลอย่างตุ้มๆต่อมๆ เพราะเกิดมายังไม่เคยผ่าตัดเลย ไปถึงก็พูดจาภาษาแพทย์ไม่ค่อยพัฒนาเหมือนเดิม แต่ก็พอรู้ว่าต้องเจาะเลือดก่อน ซึ่งป้าๆพยาบาลก็พาเราไปเจาะเลือด โดนไปข้างซ้ายสามเข็ม จากแขนซ้ายเปลี่ยนมาแขนขวา ข้างขวาสี่เข็ม เพราะแกบอกว่าหาเส้นผมไม่เจอ กว่าจะได้ครบทิวป์ แขนแทบพรุน

ก็รอไปเรื่อยๆครับ ประมาณสักบ่ายสามกว่าๆ บุรุษพยาบาลก็พาขึ้นเตียง แล้วก็ลากไปเข้าห้องผ่าตัด ถึงตอนนี้ตาเริ่มพร่ามัวบ้างเล็กน้อย คุณหมอก็มาคุย How are you? จะตอบว่าแย่ก็กะไรอยู่ แกคงเรียกความสนใจนิดหน่อย แล้วเราก็ได้ดมยา (เอามาครอบจมูกกับปาก) ไม่ใช้การบล็อกหลังครับ สักพักร่างกายหนัก รู้แต่ว่ามีอะไรกุกๆกักๆ อยู่ช่วงล่าง แต่ก็ไม่รู้สึกอะไร รู้สึกตัวอีกทีตอนฟื้นล่ะครับ ประมาณสองทุ่มกว่าๆ

หมอเขาบอกว่าไม่ Admit นะ กลับบ้านได้เลย เราก็นึกว่าแน่ครับ แค่ผ่าแค่นี้เดี๋ยวกลับไปทำผัดไทยกินก็ได้ สักพักนึงรู้สึกว่ามึนหัว จะอ้วกมากๆ โลกหมุน เดินไม่ไหว แผลที่ผ่า (เจาะ) เริ่มทวีความปวดมากขึ้น จนแทบทนไม่ได้ น้องที่มาด้วยต้องมาประคองไปขึ้นรถ ซึ่งก็อ้วกไปตลอดทาง ตอนหลังรู้มาว่าเป็นผลของยาสลบ ซึ่งอาการนี้ผมเป็นไปอีกประมาณอาิทิตย์กว่าๆ ผมยังจดจำความทรมาณของมันได้จนถึงบัดนี้

ที่ร้ายไปกว่านั้น คุณหมอเขาแค่พันขาผมไว้ แต่เจาะขาไว้ตรงข้อให้ผมบีบยาใส่เอง โดยเอากระเป๋ายาชาพันรอบเอวไว้ แล้วก็บอกว่าถ้าเจ็บให้บีบยาเข้าข้อเอง อีกทั้งก็มี Cooling system ให้ผมด้วย เหมือนจะดีครับ แต่ไปไหนไม่ได้เลย (ตามรูป เข่าที่ผ่าผ้าพันไว้ กระเป๋ายาชาอันเล็กสีเทา และระบบหล่อเย็นซึ่งผมต้องเปลี่ยนน้ำทุกหกชั่วโมงเพราะสักพักมันจะร้อน) กลับมาอพาร์ทเม้นนอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปเดือนกว่า ดีที่ว่าแฟนน้องรูมเมทคอยช่วยดูแลทำอาหารให้ ต้องขอขอบคุณคุณหมอโอ๋และน้องหมูจริงๆ แต่กระนั้นผมก็ต้องเอาก้นลากพื้นไปทำธุระส่วนตัวในส้วมไปเดือนกว่าๆ สภาพไม่ต้องพูดถึง ปกติคนผ่าตัดเสร็จก็ต้องพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลใช่ไหมครับ แต่ที่อเมริกานี่ผมไม่รู้ว่ามันจะบานปลายหรือเปล่า เขาเลยให้ไปพักฟื้นที่บ้านแทน สภาพเลยเป็นอย่างที่เห็น



คิดแล้วนรกจริงๆครับ ตอนนั้นช่วงเรียนผมขออาจารย์ได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะเคี่ยวเหลือเกิน ไหนจะจิตใจย่ำแย่อีก ก็ซึมเศร้าไปพักใหญ่ครับ แต่ก็ผ่านมาได้ เหตุการณ์นี้ยังไม่สิ้นสุดครับ หลังผ่าผมต้องไป Follow up อีก และผมต้องไปทำกายภาพต่อด้วย ดูเหมือนจะราบรื่นครับ แต่ก็มีปัญหาด้านการเงินตามมาเพราะคนไฟล์ข้อมูลของผม รวมบิลแล้วส่งให้หน่วยต้นสังกัดผ่านรัฐบาล แต่แล้วทางนี้ก็ยังไม่ได้ตังค์ จนเป็นเหตุให้ผมถูกปฏิเสธการให้บริการกายภาพบำบัดแบบดื้อๆ (ไปถึงเขาบอกว่าไม่ให้มาแล้วนะ เพราะเขายังไม่ได้เงิน ไม่มีระบบเห็นใจหรอกครับ) ซึ่งต่อมาก็มีหมายศาลมาหาผมในเวลาต่อมา งานนี้วิ่งกันจ้าล่ะหวั่นเลยครับ แต่สุดท้ายก่อนวันขึ้นศาลเรื่องก็เงียบไปเพราะ International Office วิ่งเต้นให้ รวมถึงพี่ๆที่ประเทศไทยด้วย แม้ว่าจะหลายปีมาแล้ว ผมต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี่ด้วยเช่นกันครับ




 

Create Date : 04 เมษายน 2554    
Last Update : 5 เมษายน 2554 19:50:32 น.
Counter : 336 Pageviews.  

1. ที่มาของการผ่าเข่า

จากการที่พอจะได้เพื่อนอเมริกันมาบ้างซึ่งก็สนิทกันมาก เรียกว่าเป็นเพื่อนอเมริกันคนแรกเลยก็ว่าได้ แล้วเพื่อนผมคนนี้ขอให้ผมสอน Discrete Math ผมเลยงงอยู่สามตลบว่า นึกยังไงให้ผมสอน ทั้งที่ตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเลย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นคือไอ้เจ้าเพื่อน James นี่แหละที่ชวนผมไปเล่น Intramural Volleyball (กีฬาภายใน) เรียนก็แย่อยู่แล้ว แต่เพื่อนมาชวนผมก็เอ้าจัดให้ เพราะว่าคงต้องคบ(เอาใจ)เฮียแกไว้เผื่อต้องพึ่งเฮียเขาในอนาคต (ซึ่งก็จริงๆ ในวิชา Human Computer Interaction – HCI พี่แกเลือกผมให้ผมมาแหมะอยู่ในกลุ่มด้วย ผมก็มีหน้าที่ Yes กับทำอาหารไปเลี้ยงอย่างเดียว แหะๆ)

ก็ไปเล่นกับพี่เจมส์มาเรื่อยๆ ครับ แมตช์มันอาทิตย์ละครั้งได้ พอเล่นไปสักประมาณสามครั้ง วันนั้นเป็นวันที่ 10 ม.ค.47 เวลาประมาณ 18.30 น. จำได้ดีเลยว่าวันนั้นผมตีบอลที่หัวเสาแล้วกระโดดลงมา แล้วไปเหยียบปลายเท้าของฝ่ายตรงข้าม ผลปรากฏว่าเข่าบิด (ท่านนึกสภาพนะครับว่าตีบอลหัวเสา ตอนลงมาน้ำหนักตัวต้องลงมาที่ข้อเท้า แล้วเหยียบพื้นที่ไม่เท่ากัน ทำให้การทรงตัวไม่ balance ส่งผลให้หัวเข่ามันบิด บวกกับน้ำหนักตัวที่กระแทกลงมาด้วย) ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นข้อเท้าแพลงแล้วลามมาปวดมากๆถึงเข่า แต่ไม่ได้นึกถึงเอ็นหัวเข่าเลยครับ ตอนนั้นไม่รู้จะครางเป็นภาษาอังกฤษยังไง เล่นภาษาไทยมันเลย ก็นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ความเจ็บก็ยังไม่ทุเลาเลย เพื่อนเลยต้องพาไปที่ห้อง Emergency Room ของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด (ของโรงเรียนเปิดเฉพาะเวลาราชการครับ เจ๋งจริงๆเลย) นั่นคือที่ CHOMP (Community Hospital of the Monterey Peninsula) ออกจากโรงยิมประมาณหนึ่งทุ่ม ตอนนั้นก็ยังคิดว่าเป็นแค่แพลงเฉยๆครับ แต่ก็ปวดมากๆไปตลอดทาง ก็ไปถึง CHOMP เกือบๆ ทุ่มครึ่งได้

ไปถึงผมก็เลยบอกให้เพื่อนกลับไปก่อน ผมเกรงใจเพื่อน เพราะผมรอติดต่อหน้า Counter อยู่นานพอสมควรแล้ว เพราะกรอกประวัติสารพัด และเรื่อง insurance ด้วย (บังเอิญผมไปทุนราชการที่เขาซื้อเป็น deposit ไม่ใช่ซื้อ insurance ครับ หมายความว่า้ถ้าผมไม่เจ็บเขาจะคืนเงินก้อนนี้ให้รัฐบาลไทย) แล้วผมโทรบอกรูมเมทซึ่งเป็นน้องคนไทยให้ทราบแล้วน้องก็มาตอนดึกๆ (ผมก็เกรงใจเช่นกัน เลยบอกให้มาดึกๆ) ช่วงรอผมก็ไปรออยู่ในห้อง Emergency Room ครับ คุณพระคุณเจ้า สิ่งที่ผมเห็นมันไม่เห็นเหมือนในหนังเลย ที่วิ่งกันขวักไขว่แข่งกับเวลา นี่ทุกคนในห้องฉุกเฉินรอคอยหมอมาตรวจเหมือนคนไข้ OPD บ้านเราเลยครับ ร้องโอดโอยระงมเซ็งแซ่ ส่วนผมก็นั่งรอจนห้าทุ่มยี่สิบห้านาที (23.25 น. จำได้แม่นเลย เพราะรอตั้งแต่ก่อนสองทุ่ม) ถึงมีเจ้าหน้าที่เอาปรอทมาวัดไข้...แค่นั้น

หลังจากนั้นก็รอไปอีกครับ เกือบๆ ตีหนึ่ง พยาบาลถึงพาผม(ที่นั่งรถเข็นอยู่) ไปทำการเอ็กซ์เรย์และก็บอกว่า ตอนนี้เอ็นหัวเขาอาจฉีก จะให้ยาแก้ปวด (ไปซื้อข้างนอกนะครับ) แ้ล้วเดี๋ยวจะนัดมาใหม่ ผมก็...หา...(อึ้ง) แล้วก็ไปนัดที่เคาท์เตอร์ แล้วน้องก็พากลับบ้าน ยังกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ปวดก็ปวด รอเป็นชาติกว่าจะได้วัดเบื้องต้น อาการสงสัยเหล่านี้ก็หายไปเมื่อผมย้อนนึกถึงสภาพของคนป่วยในห้อง Emergency ที่ทุกคนก็แย่เหมือนกัน แต่ก็ต้องรอ ตอนนั้นไม่ทราบหรอกครัับว่าระบบสุขภาพที่นี่เป็นอย่างไร นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความเซ็งต่อ health system ที่กระผมมีโอกาสจะได้กล่าวต่อไป




 

Create Date : 04 เมษายน 2554    
Last Update : 4 เมษายน 2554 9:42:32 น.
Counter : 215 Pageviews.  


ouii
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Blog of the remembrance (as I can figure them out)
Friends' blogs
[Add ouii's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.