ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย


อ่านทีไรน้ำตาซึม ทุกครั้ง 
และยิ่งทำให้มีแรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิต!

จึงขอแชร์ ให้ท่านคับ เรื่องราวดีๆ..เกี่ยวกับการให้ ที่หลายคนคงเคยอ่านมาบ้างแล้ว..แต่อยากนำมาเล่าใหม่..สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่าน 

ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย สร้างมนุษย์ที่ดีแก่สังคมได้อย่างไร

ขอบคุณความยากจน ความเพียร ความมุ่งมัน ความชัดเจน และจริงใจ

ค่ำวันหนึ่งเมื่อ20ปีที่แล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเหมือนนักศึกษากำลังลังเลอยู่หน้าร้านบุฟเฟต์แห่งหนึ่ง เมื่อลูกค้าส่วนมากออกจากร้านแล้ว เขาจึงเดินเข้าร้านมาด้วยอาการเขินอาย
“ขอข้าวเปล่าถ้วยหนึ่ง ขอบคุณครับ ” เด็กหนุ่มก้มหน้าพูด
เจ้าของร้านบุฟเฟต์เพิ่งเปิดใหม่เป็นเถ้าแก่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มไม่เอากับข้าวก็รู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เขารีบตักข้าวพูนถ้วยส่งให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น
เด็กหนุ่มจ่ายเงินพร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ผมขอน้ำแกงราดบนข้าวสักหน่อยได้ไหมครับ?”
“ตามสบายเลยค่ะ ไม่คิดตังค์” เถ้าแก่เนี้ยพูด
เขากินไปได้ครึ่งถ้วย ก็สั่งอีกถ้วยหนึ่ง
“ไม่อิ่มใช่ไหม? ถ้วยนี้เดี๋ยวผมตักให้คุณมากหน่อย” เถ้าแก่พูดด้วยความเอาใจใส่
“ไม่ใช่ครับ ผมเอาใส่กล่อง พรุ่งนี้จะเอาไปกินที่มหาลัยนะครับ”

เมื่อเถ้าแก่ได้ยิน ก็เดาออกว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงมาจากต่างจังหวัดในเขตภาคใต้เป็นแน่ ฐานะที่บ้านคงไม่สู้จะดีนัก เขาคงมาเรียนที่ไทเปคนเดียว และคงจะทำงานและก็เรียนไปด้วย ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย
เขาจึงตักโร่วจ้าว(เนื้อเคี่ยวซอสสำหรับราดบนข้าว)ใส่ไว้ที่ใต้กล่องข้าว จากนั้นก็เอาไข่ตุ๋นชาใส่ไปหนึ่งฟอง จากนั้นจึงตักข้าวอัดไปเต็มกล่อง มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในกล่องข้าว นอกเสียจากข้าวเปล่า

เมื่อภรรยาของเขาเห็นดังนั้น ก็เข้าใจในสิ่งที่สามีกำลังทำว่าต้องการช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ราดโร่วจ้าวไว้บนข้าว จะใส่ไว้ใต้ข้าวทำไม?
เถ้าแก่กระซิบบอกภรรยาว่า “เด็กผู้ชายรักศักดิ์ศรี หากเขาเห็นว่าบนข้าวมีโร่วจ้าวเขาอาจคิดว่าเราทำทานแก่เขา หากเป็นอย่างนี้ คราวหน้าเขาจะไม่กล้ามาอีก ถ้าเขาไปกินร้านอื่นก็ได้กินแต่ข้าวเปล่า แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปเรียนหนังสือ !”
“คุณเป็นคนดีจริงๆ จะช่วยเขายังกลัวเขาอายอีก”
“หากผมไม่ดี คุณจะแต่งงานกับผมเหรอ! ” เถ้าแก่หนุ่มหยอกเย้าผู้เป็นภรรยา
“ขอบคุณครับ ผมอิ่มแล้ว แล้วเจอกันใหม่ครับ” เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบข้าวกล่องแล้วเดินออกจากร้านไป
เมื่อเด็กหนุ่มถือข้าวกล่องที่ดูหนักกว่าข้าวเปล่าออกจากร้านไป ก็หันมายิ้มให้เจ้าของร้านทั้งสอง
“สู้ๆนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่” เถ้าแก่พูดและโบกมือให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น
ในคำพูดประโยคนั้นของเขาแฝงด้วยคำเชิญให้เด็กหนุ่มมากินข้าวที่นี่ใหม่ในวันพรุ่งนี้

เด็กหนุ่มน้ำตาคลอ ไม่กล้าหันไปมองเจ้าของร้าน กลัวว่าน้ำตาจะร่วงให้เขาทั้งสองเห็น

จากนั้นเป็นต้นมา นอกจากว่าเป็นช่วงปิดเทอม พลบค่ำของทุกวัน เด็กหนุ่มก็จะมากินข้าวที่ร้าน เขาสั่งข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยและข้าวเปล่าหนึ่งกล่องเอากลับบ้าน และใต้กล่องข้าวก็จะมีอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน จนเด็กหนุ่มเรียนจบปริญญาตรี ผ่านมา20ปีแล้ว ที่ร้านบุฟเฟต์แห่งนี้ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าคนพิเศษคนนี้อีกเลย

อยู่ๆ ทางการก็ส่งจดหมายมาบอกว่าจะทำการเวนคืนที่และร้านของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น สองสามีภรรยาอายุใกล้จะ50ปี เมื่อรู้ข่าวนี้ต่างก็กลัดกลุ้มใจ ชีวิตต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไร เงินทองที่จะได้จากทางการก็ไม่เพียงพอกับการจัดซื้อบ้านที่มีทำเลดีอย่างนี้ได้อีก แล้วลูกๆที่กำลังเรียนอยู่จะหาค่าเทอมมาจากไหน? ต่างก็กอดกันร้องไห้ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี

เช้าวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเข้ามาหาสองสามีภรรยา
“สวัสดีครับคุณทั้งสอง ผมเป็นรองผู้จัดการบริษัท... ผู้จัดการใหญ่ของเราต้องการให้คุณเข้าไปทำร้านอาหารบุฟเฟต์ในบริษัทของเราที่กำลังจะทำการเปิดใหม่ในเร็วๆนี้ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งและอุปกรณ์ต่างๆ ค่าวัสดุในการทำอาหารทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงคุณจัดหากุ๊กปรุงอาหารและบริหารงานก็พอ ส่วนกำไรแบ่งครึ่งกับบริษัทของเรา”

ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงดีกับเราอย่างนี้? เราไม่เคยรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมเลยสักคนเดียว? สองสามีภรรยาต่างทำหน้างงๆ
“คุณทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณของผู้จัดการใหญ่ของเรา ท่านบอกว่าท่านชอบกินไข่ตุ๋นชาและโร่วจ้าวของร้านคุณมาก รายละเอียดผมทราบเพียงแค่นี้ นอกเหนือจากนี้คุณคงจะทราบได้เองเมื่อได้เจอกับผู้จัดการใหญ่ของเรา”

เมื่อเดินทางไปถึงบริษัท สองสามีภรรยาจึงรู้ว่า ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ก็คือเด็กหนุ่มที่มากินข้าวเปล่ายามพลบค่ำทุกวันนั่นเอง หลังจากจบมหาวิทยาลัย เขาก็มุมานะสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถเปิดบริษัทแห่งนี้ได้ เขาสำนึกบุญคุณข้าวเปล่าที่สองสามีภรรยาให้เขากินตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย หากไม่มีสองสามีภรรยาช่วยเหลือเขาในตอนนั้น เขาคงลำบากและไม่สามารถเรียนจนจบได้
เรื่องราวก่อนเก่าแต่หนหลังถูกรื้อฟื้นขึ้นในวงสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะและน้ำตา เมื่อถึงเวลาที่สองสามีภรรยาจะลากลับ ชายหนุ่มยืนขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า
“สู้ๆนะครับ ต่อไปนี้บริษัทของเราต้องพึ่งพาคุณแล้วนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่”

ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา

คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ

นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์

เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ท่านมี2ทางเลือก

1. ท่านเผยแพร่ออกไปเต็มความสามารถ ทำให้โลกนี้มีความรักเพิ่มขึ้น
2、ท่านสามารถไม่สนใจ เสมือนหนึ่งท่านไม่เคยเห็นมันเลย

การแบ่งปันเล็กๆของท่าน อาจสามารถส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนมากมาย คนมีความฝันจึงทำให้ยิ่งใหญ่ การกระทำยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้ของท่านทำให้ท่านเปลี่ยนแปลง

ขอให้ท่านกระจายความรักของท่านจะช่วยให้คนส่วนมากเติบใหญ่ขึ้น
ขอบคุณการสนับสนุนของท่าน ข้าพเจ้าได้เลือกทำข้อที่ 1 แล้ว

ขอขอบคุณ คุณนุสนธิ์บุคส์




Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 14:25:25 น.
Counter : 197 Pageviews.

0 comment
สร้างตัวตนบนอินเตอร์เน็ต



“สังคมปัจจุบัน เป็นสังคมข่าวสาร มือถือจึงเป็นปัจจัยที่ 5 หรือ ที่ 6 ของคนเมือง ใครไม่ทันข่าวสาร ถือว่าตกยุค หรือหลงประเด็นได้ง่ายๆ”

เพราะสื่อเดี๋ยวนี้เข้าใจง่าย และใกล้ตัว สามารถเข้าถึงผู้คนได้รวดเร็ว ธุรกิจสมัยใหม่จึงให้ความสำคัญกับสื่อเป็นอันดับต้นๆ

สมัยก่อน สื่อคือเครื่องมือการโฆษณา ประชาสัมพันธ์  สำหรับสินค้า แต่ปัจจุบันสื่อเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ หน่วยงาน องค์กร และ ตัวตนของบุคคลทั่วไป

การจะให้ใครรู้จักเรา จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ เพราะไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นคนตกขอบ ทำอะไร ที่ไหน ทำไม อย่างไร … ทำไปแล้วเหมือนสูญเปล่า แม้จะบอกว่าทำไปไม่ได้หวังอะไรก็ตาม

สื่ออินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางของการเรียนรู้และแบ่งปัน ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ผู้ที่ “เข้าถึงอินเตอร์เน็ต” จะสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ต่างๆ ได้ง่าย ทันต่อเหตุการณ์ ในทางกลับกัน “ผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ต” สมควรเป็นผู้ให้ ที่สร้างประโยชน์ต่อสังคมด้วย

การสร้างตัวตนบนอินเตอร์เน็ต ให้ประโยชน์อะไรต่อตัวเราและสังคม อย่างไรบ้าง

  1. แนะนำชื่อ สกุล และที่อยู่ ให้เป็นที่รู้จักในวงการ
  2. แนะนำกิจกรรม ที่เราทำให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้
  3. แนะนำกลุ่ม ชุมชน และผลงาน ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม
  4. แนะนำความรู้ ความสามารถ และคุณสมบัติพิเศษ ให้ผู้เกี่ยวข้องได้เข้ามาศึกษา และรับรู้ข้อมูลที่ต้องการ
  5. ส่งต่อความรู้ ขบวนการ และความสำเร็จ (ถ่ายทอดภูมิปัญญา) ที่เป็นประโยชน์ ให้เกิดการส่งเสริม อนุรักษ์ และพัฒนาต่อๆ กันไป
  6. เป็นสื่อกลางประสานประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม คณะ และองค์กร ที่สะดวก รวดเร็ว และประหยัด เช่น Line และ Facebook
  7. เป็นช่องทางการค้า ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ที่ได้รับความเชื่อถือ ตรวจสอบได้ เช่น เว็บไซต์
  8. ข้อมูล ผลงาน และความสำเร็จ ที่ปรากฏบนอินเตอร์เน็ต ถือเป็นสาธารณะ ที่สามารถตรวจสอบได้
  9. ใช้เป็น “คุณสมบัติพิเศษ” ประกอบใบสมัคร หรือการเสนอโครงการฯ ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ ได้เป็นอย่างดี

จะรู้ได้อย่างไร ว่าเรามีตัวตนบนอินเตอร์เน็ต ?

  • ง่ายๆ พิมพ์ ชื่อ นามสกุล หรือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับเรา ให้ google ค้นหา

ตัวอย่าง การค้นหา สูงวัยใจอาสา


ตัวอย่าง
การค้นหา กิจกรรมที่เกี่ยวกับ ภูมิปัญญาผู้สูงวัย ปทุมธานี


ตัวอย่าง การค้นหา บ้านธรรมชาติบำบัด ปทุมธานี


ตัวอย่าง การค้นหาบุคคล  บรรจง ทองย่น

เครือข่ายสูงวัยใจอาสา อยากให้ผู้มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคม บุคคลต้นแบบ ภูมิปัญญาผู้สูงอายุ และชุมชนอื่นๆ ที่มีของดี ได้มีโอกาสประชาสัมพันธ์ตัวเอง ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เป็นที่ยอมรับในสังคม และประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับพวกเรา

สนใจรายละเอียดการสร้างตัวตนบนอินเตอร์เน็ต  เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมกลุ่ม และผลิตภัณฑ์ชุมชน ติดต่อ กลุ่มสูงวัยใจอาสา โทร. 089 4482 809 เยี่ยมชมกิจกรรม และการแสดงผลงานของสมาชิกในเครือข่าย 7 อำเภอ ของจังหวัดปทุมธานี ที่บ้านธรรมชาติบำบัด โทร. 087 4514 214 ได้ทุกวันครับ

พิสุทธิ์ สมประสงค์
ประธานชมรมสูงวัยใจอาสา
เว็บมาสเตอร์ www.jairsa.com
3
กรกฎาค




Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 12:59:42 น.
Counter : 157 Pageviews.

0 comment
ประชาธิปไตยชุมชน



การประชุมคณะทำงานเครือข่ายภาคประชาสังคม จังหวัดปทุมธานี ครั้งที่ 4/2559

ณ. ศูนย์ประสานงานสภาพัฒนาการเมืองจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559

หัวข้อหารประชุมประกอบด้วย

  • การขับเคลื่อนงานขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดปทุมธานี
  • การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งตำบล (ศส.ปชต.)
  • การเข้าร่วมประชุมวันงานสถาปนาและงานสมัชชาสภาพพลเมือง
  • การเข้าร่วมประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลระดับจังหวัดปทุมธานี
  • การวางแผนการขับเคลื่อนโครงการฯ การทำความเข้าใจคณะทำงานฯ เพื่อเตรียมความพร้อมวางแผนการดำเนินงานและแบ่งบทบาทหน้าที่คณะทำงานเพื่อรับผิดชอบในการดำเนินงาน


การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยตำบล (ศส.ปชต.) จังหวัดปทุมธานี

จัดตั้งแล้ว 7 แห่ง ประกอบด้วย

  1. บางขะแยง           อำเภอเมืองปทุมธานี
  2. คลองหกวา          อำเภอคลองหลวง
  3. ประชาธิปัตย์        อำเภอธัญบุรี
  4. หนองสามวา        อำเภอหนองเสือ
  5. หน้าไม้               อำเภอลาดหลุมแก้ว
  6. บึงทองหลาง        อำเภอลำลูกกา
  7. กระแชง               อำเภอสามโคก

กำลังจะจัดตั้ง จำนวน 9 แห่ง ประกอบด้วย

  • อำเภอเมืองปทุมธานี 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านฉาง บ้านกระแชง บางคุวัด บางพูด และบางพูน
  • อำเภอธัญบุรี จำนวน 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลบึงสนั่น ตำบลบึงน้ำรักษ์
  • อำเภอลาดหลุมแก้ว จำนวน 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลระแหง ตำบลคูขวาง

ที่เหลือยังไม่ได้จัดตั้ง จำนวน 44 แห่ง จะตั้งให้ครบทั้งหมด ในปี 2559 นี้

คณะทำงานกลุ่มสูงวัยใจอาสา ยินดีต้อนรับผู้ใหญ่ พินิจ ผุดผ่อง เข้าร่วมเป็นเครือข่ายส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ อำเภอสามโคก ซึ่งมี ครูบุญรุ้ง พันสาย ประธานศูนย์การเรียนรู้ธนาคารขยะชุมชน ตำบลบางโพธิ์เหนือ แกนนำกลุ่มสามโคก ให้การประสานงาน


กลุ่มสูงวัยใจอาสา :
ประสานงาน ศส.ปชต. ปทุมธานี
22 มกราคม 2559




Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 12:58:07 น.
Counter : 289 Pageviews.

0 comment
แก่-จน-เป็นหนี้



อดรหัสรวย 2016 ฝ่าวิกฤติ “แก่-จน-เป็นหนี้”


……………….

ลองมาดูเทรนด์คนไทยปี 2559 ที่ “คนางค์ ดวงมณี” Head Research ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้คำจำกัดความสั้นๆ ว่า “แก่-จน-เป็นหนี้” ความจริงที่หนีไม่พ้น คือการที่พลเมืองไทยเข้าสู่ภาวะที่ แก่ขึ้น จนลง และเป็นหนี้มากขึ้น “ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 10% ของประชากรไทย อายุเกิน 60 ปี และไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ภายใน 10 ปี ข้างหน้า”

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผลจากคนไทยนิยมมีลูกน้อยลง คนส่วนหนึ่งมีลูกยากขึ้น คนแต่งงานน้อยลง มีแนวโน้มอยู่คนเดียวและพึ่งตนเองมากขึ้น ขณะ 1 ใน 3 ของผู้สูงวัย อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน และต้องได้รับความช่วยเหลือ ไม่เท่านั้นยังมีแนวโน้มที่คนแก่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองมากขึ้นด้วย เพราะไม่ได้เตรียมความพร้อม ไม่ได้มีการสำรองเงินไว้ใช้ชีวิตหลังเกษียณ ระหว่างทางของการที่ยังต้องทำงานเลี้ยงดูตัวเอง ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานก็คงสู้วัยแรงงานที่ยังฟิตปั๋งไม่ได้ ทว่าผู้สูงวัยยังต้องเสี่ยงกับการเป็น “โรคร้าย” โดยพบว่า.. ผู้สูงวัย 53% เป็น 1 ใน 15 โรคฮิต อาทิ มะเร็ง ความดัน โรคหัวใจ ฯลฯ ฉะนั้นเราจะไม่ได้แค่แก่ แต่ยังมีโรคเป็นของตัวเองอีกด้วย (ที่มา : มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทยและสำนักงานสถิติแห่งชาติ)

 “สิ่งที่เราอยากเห็นคือ คนแก่ที่เตรียมตัว แม้หยุดทำงาน แต่ก็ยังมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง สามารถพึ่งพา Passive Income (เงินที่สร้างดอกผลให้เขาได้ใช้) ซึ่งคำว่า เตรียมตัวนี้ ไม่ใช่แค่ เก็บเงินไว้ใช้ แต่คือการเก็บเงินไว้ดูแลตัวเอง เพื่อให้เขายังมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนก่อนเกษียณ” แล้วต้องมีเงินสักเท่าไร ถึงจะเพียงพอต่อชีวิตหลังเกษียณ พวกเขาบอกว่า ถ้าจะใช้ชีวิตไปจนอายุ 85 แบบแฮปปี้

ในวันที่อายุครบ 60 ปี เราต้องมีเงินอย่างน้อย “8 ล้านบาท” บวกกับโรคร้าย อีกโรคละ “1 ล้าน” ง่ายๆ 8 ล้านเอาไว้ใช้ ส่วนอีก 1 ล้าน เอาไว้รักษาตัว “คนทั่วไปจะอยู่กินปกติได้ต้องใช้เงินประมาณ 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน ถ้าคุณอายุ 60 ปี อยู่ต่อไปอีก 20 ปี เราคำนวณให้แล้วว่า ต้องมีอย่างน้อย 8 ล้านบาท แล้วโดยสถิติ ผู้สูงอายุ จะมีโรคร้ายแรงอย่างน้อย 1 โรค ก็ตีไปโรคละ 1 ล้านบาท ก็ 9 ล้าน แต่ 9 ล้าน ในวันนี้ อาจหมายถึง 12 ล้าน หรือ 15 ล้าน ในตอนที่ท่านเกษียณก็ได้ ฉะนั้นต้องรีบจัดการเรื่องนี้เสียแต่วันนี้ โดยต้องเร่งสะสมเงิน และออมทันที”

เจอเทรนด์ “แก่” ว่าเจ็บแล้ว มาซ้ำเติมด้วยคำว่า “จน” ให้จุกอกหนักเข้าไปอีก คำว่า จนที่จะเกิดขึ้นในปีลิงวอก เป็นผลมาจากการวิจัยที่พบว่า เกือบ 80% ของผู้จบการศึกษาใหม่ในแต่ละปีอยู่ในสาขาที่ “แรงงานล้นตลาด” พอแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน เด็กจบใหม่เลย หางานยากขึ้น ทำงานไม่ตรงกับสายที่เรียน และอาจต้องยอมแลกกับเงินเดือนที่น้อยลงไปด้วย นี่คือที่มาของคำว่า “จน” ที่พวกเขาได้กล่าวไว้ “พอเริ่มต้นที่เงินเดือนต่ำๆ มันก็เป็นที่มาของคำว่า จน เงินน้อย แล้วยังทำงานไม่ตรงสายอีก ทางแก้ที่ดีที่สุดคือต้องแนะนำให้ลูกหลานเรียนตรงสาขาที่ตลาดต้องการมากขึ้น อย่างพวก คอมพิวเตอร์ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ฯลฯ ที่ยังผลิตออกมาไม่เพียงพอ แต่บางสายอย่าง สังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ ฯลฯ พวกนี้ผลิตมาจนล้น”

แก่ จน ไม่พอ ต้อง “เป็นหนี้” ด้วย ถึงจะครบสูตร เทรนด์คนไทยในปีวอก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยบอกว่า ในปีหน้ามีแนวโน้มที่ “หนี้ครัวเรือน” จะปรับตัวสูงขึ้น “ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ประมาณ 80% ต้นๆ ของจีดีพี เรียกว่า อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งหนี้เยอะหมายความว่า กำลังซื้อในอนาคตจะจำกัดลง เนื่องจากคนจะเหลือเงินใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องเอาไปใช้หนี้”

อ่านาต้นฉบับเต็มได้ที่ :

//terrabkk.com/news/ถอดรหัสรวย-2016




Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 12:56:00 น.
Counter : 246 Pageviews.

0 comment
ความทรงจำดีดี


ปฎิวัติความจำเสื่อม

ในหนังสือ โอ-ลั่นลา ฉบับที่ ๓ มีคอลัมน์เล็กๆ ท้ายๆ เล่ม ได้พูดถึงการปฏิวัติความจำเสื่อม ด้วยการออกมาท่องเที่ยว โดยคุณหมอบอกว่า … ธรรมชาติรอบตัวและกิจกรรมแสนสนุกคือยารักษาโรคความจำเสื่อมชั้นเลิศ

แต่ใครมีพ่อแม่ป่วยเป็นโรคนี้คงตะขิดตะขวงใจ ไม่กล้าปล่อยพ่อแม่ไปไกลเกินกว่าประตูบ้าน หากตัดขาดจากโลกวันแล้ววันเล่า พอรู้ตัวอีกทีอาจไม่ใช่แค่ความจำ แต่ร่างกายและจิตใจจะค่อยๆ เสื่อมตาม

เมื่อเด็กๆ มีแหล่งเที่ยวสวนสนุกมากมาย ทำไมผู้สูงอายุจะมีบ้างไม่ได้

เมือง Cornwell ทางตอนใต้ของอังกฤษได้ผุดโปรเจ็กต์ สร้าง Creative & Space สำหรับผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมโดยเฉพาะ โดยชักชวนผู้ป่วยมาร่วมทริปสีเขียวเน้นตะลอนเที่ยวธรรมชาติ เช่น ไปเดินเล่นสวนสาธารณะ ร่วมก๊วนตกปลา จริงจังหน่อยก็แคมปิ้ง โดยคนเตรียมทริปก็คือเพื่อนในก๊วนนั่นแหละ ใครเก่งเรื่องไหน ชอบทำอะไรก็มาร่วมแชร์  แม่บ้านที่มีฝีมือทำอาหารก็คอยดูแลปากท้องเพื่อนร่วมทริป โดยกิจกรรมเหล่านี้มีอาสาสมัครคอยดูแลรับ-ส่งตลอดการเดินทาง

การแฝงตัวอยู่กับธรรมชาติกระตุ้นให้สมองส่วนสร้างสรรค์ถูกทำงาน และเมื่อต้องคิดแก้ปัญหา รับผิดชอบหน้าที่ แบ่งปันทักษะความชำนาญกับคนอื่น ยิ่งทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่า มีชีวิตชีวาขึ้นมา และเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมา

ในบ้านเรา มีกิจกรรมแบบไทยๆ สำหรับผู้สูงอายุที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ คือการได้ไปวัดทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วล้อมวงกินข้าวร่วมกัน พูดคุย ถามไถ่ทุกข์สุข เล่าเรื่องราวแต่หนหลัง เป็นการกระตุ้นความทรงจำ

ในสังคมเมืองที่ต่างคนต่างอยู่ กิจกรรมเหล่านี้มีน้อยลง จะมีก็แต่เทศกาลใหญ่ๆ นานๆ ครั้ง ที่สมาชิกในบ้านจะพร้อมหน้าพร้อมตาได้ทำกิจกรรมร่วมกัน

กลุ่มสูงวัยใจอาสา ให้ความสำคัญผู้สูงอายุในการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของชุมชน เช่น การชวนผู้สูงอายุ ออกมาทำสวนครัวชุมชนร่วมกับลูกหลาน การสอนงานประดิษฐ์ให้กับเด็กๆ และผู้สนใจ การจัดวันเกิดสมาชิกที่สนามของชุมชน และการจัดทัวร์ย่อยในกลุ่มสมาชิก

สำหรับทริปปฎิวัติความจำเสื่อม ยังคงอีกนาน แต่จะมีทริปสร้างประสบการณ์ และความทรงจำดีดี เป็นทัวร์หาความรู้เพื่อการใช้ชีวิตแบบพอเพียง กับการทำเกษตรครัวเรือน การถ่ายทอดอาชีพ เพื่อให้ทุกคนนำมาส่งเสริมเป็นกิจกรรมร่วมในชุมชน

ออกมาสร้างความทรงจำดีดีร่วมกัน เพื่อป้องกันสมองเสื่อม กับพวกเรานะครับ

ลุงแดง ใจอาสา

1 มกราคม 2559



Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 12:54:20 น.
Counter : 161 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

idea4thai
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]



ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเยาวชนและชุมชมไทย