Byebye Spring semester...
ในที่สุดก็จบไปแล้วสำหรับเทอมแรกของชีวิตนักศึกษาปริญญาโท...ยังเหลืออีก 4 semester ให้ได้เหงื่อตก อดหลับอดนอนกันไปอีกนานนนแต่เราก็ยังแปลกใจอยู่ดีที่เวลา 4 เดือนสำหรับเทอมแรกมันทำไมผ่านไปเร็วจังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งจะเข้าไปเรียนได้ไม่นานเองนี่หว่าคงจะจริงอย่างที่เค้าว่ากันว่า ยิ่งยุ่งเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งผ่านไปเร็วเท่านั้น...ย้อนกลับไปเมื่อ 4 เดือนที่แล้วเราเพิ่งจะมาเป็น San Franciscan กะเค้า...ต้องปรับตัวกับชีวิตที่นี่ รู้จักคนใหม่ เพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่อะไรๆหลายอย่างที่ไม่เหมือนเมืองไทยเอาซะเลยที่สำคัญ ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนที่รักอยู่ใกล้ๆ ต้องดูแลตัวเองทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเรียน ไปจนถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่น่าแปลก...ที่ตั้งแต่มา ยังไม่เกิดอาการ homesick แบบจริงๆจังๆซักที 555ต้องขอบคุณ skype/msn อย่างที่สุดเพราะถ้าไม่มี คง homesick ขั้นโคม่าไปเรียบร้อยแล้ว นับวันรอไปอีกแค่เดือนกว่าๆเจ้าหมูก็จะตามมาเรียนต่อด้วยกันแล้วก็จะย้ายบ้านด้วยไปอยู่อพาร์ทเมนท์เดี่ยวๆของเราเอง ไม่ต้องแชร์กะใครล่ะ (ดีจายยยยยย)ช่วงนี้ก็ชิลๆฮ่ะอากาศกำลังดีแต่เมื่อวานร้อนตับแลบเลย ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อากาศแปรปรวนนรกมากๆตอนเที่ยงอุณหภูมิพุ่งไปถึง 30'c แต่พอห้าโมงเย็น เหลือ 19'c โอย... จะไม่สบายเอานะค่ะ อากาศแบบนี้เนี่ยหวัดหมูยิ่งระบาดอยู่ด้วย บรึ๋ย ขอร้องล่ะ อย่ามีตัวแปรมาช่วยให้เป็นหวัดเลยช่วงนี้ กลัวววววววววววววปิดเทอมแล้วลิสต์สิ่งที่อยากทำ...ก็เริ่มตั้งแต่หางานทำช่วงหน้าร้อน เก็บตังไปเที่ยววววววววดู Just Love II กันให้ตาแฉะไปข้าง... เรียน Cantonese อย่างจริงจังซักทีแล้วก็ออกกำลังกายยยยยยยยยย ไดเอ็ทด่วนค่ะะะะะะมีคนทักหลายคนล่ะว่าหน้าตาอวบอิ่มเป็นพิเศษ (เซ็งง่ะ )ชอบจังรู้สึกช่วงนี้เวลาผ่านไปแบบพอดีๆไม่ช้าไม่เร็วเกินไปไม่ต้องรีบ ได้หลับนอนเป็นเวลา 555 ผ่านช่วงมรสุมไฟนอลมาด้วยโรคนอนผิดเวลาสุดๆตื่นตอนห้าโมงเย็น นอนแปดโมงเช้า เวลาเมืองไทยเลยนะนี่ ฮ่าๆแต่ผ่านไปสองวัน เราก็ปรับเวลานอนได้เรียบร้อยแล้ว เย่ๆๆๆๆๆๆตอนนี้ก็กลับเข้าสู่โหมด healthy นอนห้าทุ่ม ตื่นแปดโมงเช้าเริ่ดได้อีกค่ะ ขอให้เป็นแบบนี้ไปได้ตลอดนะยะ
!!Coit Tower!!
วันนี้วันอาทิตย์แต่จำใจต้องขุดตัวเองให้ลุกจากที่นอนเพื่อออกไปทำภารกิจถ่ายรูปมาทำโปรเจคของวันพรุ่งนี้...จุดหมายคือออออออ"The Coit Tower" ค่ะหลายๆคนคงคุ้นๆชื่อนี้อยู่บ้างสำหรับเราเอง คุ้นมานาน เพราะตั้งแต่เด็กๆที่ไปกินไอติมสเวนเซ่นส์ ก็จะชอบสั่งเจ้า "หอคอย" เป็นประจำและไอเจ้า "หอคอย" นี่ก็มีชื่อภาษาอังกฤษในเมนูว่า Coit Tower นี่เองฮ่าๆๆ เราเลยคุ้นชื่อนี้มาตั้งแต่นั้นแต่ก็ไม่ได้รู้มาก่อนว่า มันเป็นชื่อสถานที่ที่มีอยู่จริงๆในซานฟรานด้วยจริงๆรายการไอติมของร้านสเวนเซ่นส์ ส่วนมากจะเป็นชื่อสถานที่ที่มีอยู่จริงในซานฟรานฯทั้งน้านนนน เหตุเพราะร้านไอติมร้านนี้ มีต้นกำเนิดอยู่ที่ซานฟรานฯเนี่ยละค่ะ แต่เอาเข้าจริงมาอยู่นี่จะสามเดือนแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นร้านสเวนเซ่นส์ซักร้านเลยสิน่า ...Coit Tower ที่ว่านี้เป็นชื่อหอคอยที่สูงเด่นเป็นสง่าของซานฟรานฯค่ะตั้งอยู่บน Telegraph Hill ถ้าเข้าใจไม่ผิดรู้สึกจะเป็นเขาที่เอาไวตั้งเสาสัญญาณโทรคมนาคมสมัยยุค Gold rush ค่ะแต่ตอนนี้ยังมีอยู่รึเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันออกเดินทางจากบ้านเวลาเกือบๆบ่ายโมงไปซะสาย เพราะเมื่อคืนนอนดึก ฮ่าๆๆๆๆ เกือบจะลุกไม่ขึ้นแล้วนะนี่แต่จำเป็นมากกกกที่จะต้องไป ไม่งั้นพรุ่งนี้คงซี้แง๋ เดินจากบ้านไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าอุโมงค์ทางไปไชน่าทาวน์เจ้าเก่าเส้นทางนี้เราคุ้นเคยดีค่ะ เพราะมาประจำ ทั้งไชน่าทาวน์ และลิตเติ้ลอิตาลีก็มาลงรถที่ประจำ คือเส้นถนน Columbus and Stockton หน้า washington park พอดิบพอดี แล้วจากนั้นก็เดินเท้าต่อโลดดดจากที่ดูแผนที่มา ก็ประมาณกิโลกว่าๆเกือบสองโล เอาวะ เดินได้ ชิลๆปกติก็เดินประจำอยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดว่าจะหนักหนาอะไรแต่วันนี้ออกจะต่างไปจากทุกวันตรงที่แบกสัมภาระอุปกรณ์กล้องมาด้วยเนี่ยแหละ เพราะแค่เจ้ากระเป๋ากล้องอย่างเดียว ที่อันแน่นด้วยกล้องสองตัว เลนส์อีกสาม ก็คะแนน้ำหนักได้ประมาณเกือบๆสามกิโล พ่วงขาตั้งกล้องขนาดกลางไปอีกหนึ่ง แถมระหว่างทางแวะซื้อสตาร์บั๊กส์อีก เพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้า แล้วได้ข่าวมาว่าบนหอคอยมีพาร์คด้วย เลยวาดภาพซะสวยหรู จะไปนั่งจิบกาแฟ กัดแซนด์วิชบนสนามหญ้า ฮ่าๆๆๆแต่อย่างที่รู้ๆกันฮ่ะ ว่าชีวิตมักจะเล่นตลกอะไรที่เราวาดไว้สวยหรู มักไม่เป็นความจริง... เดินไปได้ซักพัก เอ้อ ยังไหวๆ สบายๆเห็นป้ายบอกทางไป Coit Tower เป็นระยะๆแต่พอมาถึงตีนเขาเนี่ยสิ...ฮ่าๆๆๆ ถึงกะอึ้งไป ตอนนี้หัวเราะได้ แต่ตอนนั้นนี่แบบ...ความรู้สึกคือ... "ชั้นตายสถานเดียวแน่ๆงานนี้"โอ้ย มันชันมากคร้าบบบบบบบบบตอนแรกคิดว่าจะเป็นเนินแบบเตี้ยๆ แล้วก็พอถึงส่วนที่ชัน จะมีบันไดแต่ปรากฎว่า...มันเป็นเนินที่โคดชันค่ะ ชันขนาดที่จอดรถต้องจอดแบบขวางง่ะแล้วแถม แมร่งงง ไม่มีบันไดแบบที่คิดไว้อีกกกกกกกกกกกกกรี๊ดดดดดดดดด ตายแน่แล้วตู ข้าวก็ยังไม่ได้กิน สัมภาระก็โคดหนักแล้วตูต้องปีนป่ายขึ้นไปเพื่อจะถ่ายรูปหรือนี่???????เครียดเลยฮ่ะ ทำไงดีวะ ของก็ทิ้งไม่ได้ แล้วจะเปลี่ยนใจไม่ถ่ายก็ไม่ได้สรุปคือ ยังไงก็ต้องขึ้นไปให้ถึงยอดเอาวะ ขึ้นก็ขึ้น คนอื่นยังเดินขึ้นกัน ชั้นก็ต้องขึ้นได้(แต่คนอื่นเค้าไม่มีสัมภาระนี่หว่า พกกันมาแต่กล้องดิจิคอมแพ็คตัวกระจ้อย)หลังจากเดินขึ้นไปซักพักเราก็เริ่มเปลี่ยนจากใช้จมูกหายใจมาใช้ปากแทนค่ะ ฮ่าๆๆๆไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยย เหนื่อยมากกกกก หายใจไม่ทันคือจริงๆ ถ้าไม่มีของ ก็อาจจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่แต่นี่แบบของหนักมาก ขาเริ่มสั่น โอย...กรู...ซวยแล้วงานนี้จะหยุดพักก็ไม่ได้อีก กลัวเสียหน้า เพราะมีด้านหลังมีกลุ่มชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตามขึ้นมา... ฮ่าๆๆด้วยความอึด บวกกับกลัวเสียหน้า โดนคนหาว่าอ่อนเราก็เลยกระดืบไปทีละก้าวๆ จนขึ้นมาถึงยอดดอยค่ะพอขึ้นมาปุ๊บ...เอ่อะ... นี่หรือคอยท์ทาวเวอร์ก็งั้นๆแหละ อะไรฟร่ะ นึกว่าจะได้เห็นวิวแบบตะลึงงันซะอีกนี่อะไรก๊านนนนนนน ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ บังวิวตูหมดเลยเว้ยยย ฮึ่มๆก็เลยนั่งพัก พร้อมความผิดหวังและกังวลว่า ตกลงกรูตะกายขึ้นมาถึงนี่ แล้วจะได้รูปงามๆกลับไปทำงานพรุ่งนี้มั้ยวะเนี่ย??? ระหว่างนั่งพักขาที่รู้สึกเหมือนจะขาดออกจากร่างก็เลยได้โอกาสกำจัดสัมภาระกาแฟกับแซนด์วิชที่อยากจะโยนทิ้งตั้งแต่กลางทางให้หมด แถมผิดหวังอีก เพราะไม่มีสนามหญ้าหรือพาร์คแบบที่วาดฝันไว้ ฮ่าๆๆ มันมีหญ้าจริงค่ะ แต่เป็นหญ้าแบบเยินๆง่ะ ไม่ได้สวยงามเหมือนสวนสาธารณะทั่วไปที่นี่แต่อย่างใด เอาวะ ช่างเถอะ รีบๆกิน จะได้ไปเดินดูรอบๆ เผื่อมันจะมีจุดซ่อนเร้นให้เราได้เก็บภาพงามๆกลับไปบ้างนั่งพักขาไป กินไป แต่ตลอดเวลาก็รู้สึกเหมือนขาจะขาดเข้าจริงๆแถมปวดก้นมากกกกกกกกกกกกคือจริงๆมันคงเมื่อยต้นขา แต่สภาพแบบเมื่อยนรก ก็เลยรู้สึกปวดไปถึงก้น โอย...กลับบ้านไปตูเสร็จแน่ สงสัยจะขาลาก ผ่านไปซักเกือบๆยี่สิบนาที เราก็กินหมด เย่ กำจัดสัมภาระไปได้หนึ่งอย่างล่ะขาค่อยยังชั่วแล้ว ก็เลยเริ่มออกเดินจากจุดพักไปที่ตัวหอคอยพอมาถึงปุ๊บ เห็นคนเยอะพอสมควร แต่ไม่ถึงกะเยอะมาก กำลังดี ฮ่าๆ ไม่ต้องเบียดคน แล้วก็เริ่มเห็นจุดที่พอจะเก็บภาพงามๆได้ กรี๊ดๆๆๆๆ ดีใจๆๆๆๆไหนๆก็มาไม่เสียเที่ยวแล้วตู เอาวะ รีบควักกล้องมาแช๊ะๆๆๆๆอย่างรวดเร็วแต่จริงๆมันก็ไม่ได้งามอะไรขนาดนั้น เพราะต้นไม้เยอะ บังวิวเกือบจะหมด ขาตั้งที่เอามาก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่รู้จะเอาไปตั้งตรงไหน จะตั้งบนขอบที่นั่งที่เราขึ้นไปยืนถ่ายรูป ก็เกรงลมจะพัดขาตั้งหล่น กล้องพังอีกล่ะซวยของจริงเลยงานนี้ ก็เลยช่างมัน ไม่ใช้ก็ได้วะ แบกมาหนักเปล่าๆจริงๆชั้น ก็เลยใช้มือล้วนๆฮ่ะ ขึ้นไปยืนบนขอบที่นั่ง แล้วก็เก็บภาพวิวโดยรอบ...เห็นทะเล และเมืองบางส่วน แล้วก็สะพานทั้ง Golden Gate และ Bay Bridge แต่ Golden Gate เห็นไม่ค่อยชัด เพราะต้นไม้บัง (อีกล่ะ)ยิงไปได้ซักพัก ก็ไม่รู้จะยิงอะไรต่อดีแต่เมื่อคืนอ่านในบล็อคใครไม่รู้มาว่า มันมีลิฟท์ขึ้นไปบนหอคอยได้นี่นาเฮ้ๆๆ ขึ้นดีกว่าตู ถึงจะเสียตังก็เหอะ 5$ นะเค๊อะคิดเป็นเงินไทยก็แพงอยู่ แต่ก็เอาวะ หมดหนทางแล้วง่ะเพราะถ้าขืนถ่ายแค่นี้ละก็ ไม่พอทำกินวันพรุ่งนี้แน่ๆ ก็เลยต้องยอมเสี่ยงอย่างน้อยขึ้นไปมันคงมีอะไรให้ได้ถ่ายมั่งแหละน่า เสียตังนิก็เลยเดินเข้าไปในหอคอย ไปซื้อตั๋วลิฟท์ แล้วก็ขึ้นไปด้านบน...และแล้ว...Coit Tower ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังที่เดินขาลากขึ้นมาถึง...วิวด้านบน (ที่เสียตังขึ้นมาดู) งามมมมมมมมมมมมมมม มากกกกกกค่ะเห็นเมืองได้รอบ 360 องศาเลยทีเดียวแถมวันนี้เป็นวันที่โชคดีอย่าบอกใครเพราะอากาศเป็นใจมากๆๆๆๆๆแดดจัด ลมเย็น อากาศกำลังสบายสุดๆ ท้องฟ้าแจ่มอีกตะหาก หมอกซักกะติ๊ดก็ไม่มี ทั้งที่ปกติที่นี่หมอกลงจัดค่อนข้างบ่อยคือถ้าขึ้นมาดูวันหมอกลงนี่คงแซ๊ดไปหลายยก เพราะมันคงมองไม่เห็นอะไรเลย แต่วันนี้...ฮ่าๆๆๆ พระเจ้าช่วยจริงๆ ให้อากาศดีๆขนาดนี้มาหลังจากอึ้งกะวิวไปซักพัก ก็เพิ่งสำนึกได้ว่า นี่ชั้นมาถ่ายรูปนี่นาเลยรีบยกกล้องขึ้นมายิงเก็บภาพอย่างรัววว ทุกมุมหน้าต่างยิงไปร้อยรูปน่าจะได้ เยอะมากกกกกกกกคือวิวมันก็ซ้ำๆเดิม แต่ชอบง่ะ Panoramic ได้ใจจริงๆสีท้องฟ้า กับน้ำทะเลตัดกันแบบ งามจนน้ำหลายไหลแล้วผังเมืองที่มองจากจุดสูงขนาดนี้ เริ่ดค่ะะะะะะะะะะเป็นบล็อกๆก็จริง แต่ด้วยความที่ซานฟรานฯเป็นเขาเป็นเนินเยอะเราก็จะได้เห็นภาพถนนที่เป็นคลื่นๆ เดี๋ยวชัน เดี๋ยวลาด เป็นเส้นยาวมากกกแล้วก็บ้านก็สร้างตามถนน เดี๋ยวชัน เดี๋ยวลาด มองจากมุมสูงแบบนี้แล้วงามจริงๆค่ะ...หลังจากเดินวนไปวนมา ถ่ายมันทุกมุมหน้าต่าง จนรอบคือจริงๆเดินแค่ไม่ถึงสามนาทีก็รอบแล้ว ฮ่าๆๆเพราะ Coit Tower เป็นอาคารทรงกระบอกค่ะเส้นผ่าศูนย์กลางไม่กว้างเลยแต่เราก็ใช้เวลาบนยอดไปเกือบๆชั่วโมง ถ่ายมันอยู่นั่นแหละ เอาให้คุ้มห้าเหรียญที่เสียไป ฮี่ๆๆ ...หลังจากยิงไปจนไม่รู้จะยิงอะไรดีแล้วก็เลยกลับลงมา ขาลงนี่เดินแบบฉิวมาก อารมณ์ดีดี๊ด๊าสุดๆตังที่เสียขึ้นลิฟท์ไปก็รู้สึกว่าจ่ายไปคุ้มจริงๆเก็บภาพได้ดั่งใจ ฮ่าๆแต่ระหว่างเดินลงมาก็เห็นรถเมล์คันนึงไต่ขึ้นมาถึงตีนหอคอย......อ้าว??????รถเมล์????ขึ้นมาได้ไงเนี่ย????มองไปที่ป้ายไฟหน้ารถ...เห้ยยยยยย มันเป็นรถเมล์ที่ขึ้นมารับ-ส่งคนถึงบนนี้จริงๆนี่หว่าแว๊กกกกกกก กรี๊ดดดดดดดดดแล้วชั้นเดินขาลากขึ้นมาทำไมเนี่ยยยยยยยยยยยคืองงมาก เป็นไก่ตาแตกรถเมล์สายนี้ไม่ได้ผ่านแถวบ้านเราค่ะมันมาจากที่อื่น แต่ก็นั่นแหละ ก่อนมันจะขึ้นมาบนยอดนี่ มันก็ต้องผ่านถนนข้างล่างเส้นที่เราเดินเท้าขึ้นมาแน่นอนแต่ไฉนเราถึงไม่รู้ไม่เห็นฮือๆๆๆๆเสียใจ เสียพลังงาน กว่าจะเดินขึ้นมาถึงขาแทบหักแล้วก็มาพบความจริงตอนขาลงว่า...มันมีรถเมล์ขึ้นมาถึงนี่เลย โดยไม่ต้องเดินให้เมื่อยตุ้มแต่อย่างใดสงสัยต้องไว้โอกาสหน้าชั้นจะรอรถเมล์อยู่ข้างล่างนั่นแหละ ไม่เดินแล้ว ขอลาตลอดชีพ...รูปถ่ายมาเยอะมาก แต่ยังไม่ได้เอาลงเครื่องไว้จะตามมาลงค่ะ...ปล. แม้ว่าจะเหนื่อย เมื่อย ขาแทบหัก แต่ประทับใจค่ะกับวิวงามๆบนยอดดอย Coit Tower (ต้องเสียตังขึ้นไปค่ะๆๆ คุ้มๆๆ)ที่สำคัญ ได้รูปที่พึงพอใจ ไปทำโปรเจคพรุ่งนี้แล้ว เย่ๆๆๆๆหมดไปอีกหนึ่งเปลาะ เฮ่ออออออ โล่ง
++Welcome to San Francisco++
เป็นเวลาเกือบๆ 3 เดือนแล้ว ที่สองเท้าของเราได้กลับมาเหยียบลงบนพื้นดินของลุงแซมอีกครั้งพื้นดินที่อยู่ไกลจากบ้านและครอบครัวอันเป็นที่รักเกือบๆหมื่นไมล์ครั้งแรกที่มาอเมริกา ผ่านมาสี่ปีแล้วและมันก็แตกต่างจากการมาเยือนของเราในครั้งนี้อย่างสิ้นเชิงครั้งนั้นไม่ได้มาคนเดียว และก็ไม่ได้จะอยู่นานแต่ครั้งนี้มาคนเดียว ฉายเดี่ยว และ(มีแววว่า)จะได้อยู่นาน(กว่าที่คิด)ครั้งที่แล้ว ไปฝั่งตะวันออกของประเทศครั้งนี้ มาฝั่งตะวันตกมั่ง เปลี่ยนบรรยากาศครั้งที่แล้ว ไปอยู่รัฐที่ขึ้นชื่อว่าหนาวยะเยือกเป็นอันดับต้นๆของเมกาครั้งนี้ มาอยู่เมืองที่ป็อปปูล่าเป็นอันดับต้นๆของเมกาเช่นเดียวกัน"ซานฟรานซิสโก"คือชื่อของเมืองที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ไปตลอด ในอีก3ปีข้างหน้า...วันแรกที่มาถึงซานฟรานฯ อากาศดีเริ่ดค่ะขนาดเป็นเดือนม.ค. ที่ถ้าเป็นฝั่งตะวันออก คงหนาวจี๊ดกันไปแต่วันที่เรามาถึง เหมือนเมกาจะยังปราณีคนมาจากประเทศร้อนตับแตกอย่างเราอยู่บ้างก็เลยให้เราได้เจออาอากาศดีๆของซานฟราน วันท้องฟ้าแจ่มใส...อยู่ๆไป พอเข้าเดือนกุมภาฯ อ้าว ท้องฟ้าแจ่มใสของชั้นหายไปไหนซะแล้วเนี่ย?ฝนมาซะงั้น เห้ย นี่มันฤดูไหนกันแน่นี่...ที่นี่ ซานฟรานฯ ไม่มีหิมะค่ะแต่เรามีฝนให้คุณแทน ฮ่าๆๆก่อนมาเจ้านายเก่าเคยบอกไว้ว่า"แกจะไปซานฟรานเหรอ ไปทำไม ร้อนจะตาย เหมือนอยู่เมืองไทย"ไอเราก็ เอ่อ..เอิ่ม..เหรอคะ?นู๋นึกว่ามันก็พอเย็นๆซะอีก เห็นอยู่ค่อนไปทางเหนือของฝั่งตะวันตกแล้วนี่นา"ม่ายยยยยยย ชั้นเคยอยู่เมกามาก่อน แกอย่าเถียง มันร้อน ร้อนพอๆกับแอลเอนั่นแหละ"เราก็เลยคิดมาตลอดว่าเอาล่ะไงตู อุตส่าห์มาเรียนเมืองนอกกะเค้าเจือกเลือกเมืองที่อากาศไม่ต่างกับบ้านเราซะงั้น เฮ่อ นึกว่าจะได้มาเย็นสบายที่นี่ซักหน่อยแต่พอมาอยู่ที่นี่จริงๆแรกๆก็ ว๊าย อากาศดีจัง ชอบๆๆๆ กำลังสบาย แต่ไอความสบายที่ว่า ดันอยู่กับเราเพียงเดือนเดียว...เพราะพอเข้าเดือนกุมภาฯปุ๊บอยากจะบอกว่าที่นี่มันหนาวนรกไม่แพ้ใครทีเดียวค่ะหนาวมากกกกกกกกกกกก หิมะน่ะไม่มี แต่ฝนที่นี่ยิ่งกว่าหิมะค่ะเพราะพอมีฝน ก็จะมีลมตามมา แล้วลมที่ซานฟรานฯนี่...บอกได้คำเดียวว่า "ปราบเซียน" ค่ะขนาดเราเป็นคนชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยังแทบตายเมื่อเดือนกุมภาที่นี่ทำไมมันหนาวยังงี้เว้ยยยยยยยที่อื่นเค้าเข้าหน้าหนาวกันปลายปี แล้วพอกุมภาฯก็จะเริ่มหนาวน้อยลงแต่ที่นี่ ปลายปีก็เริ่มหนาวค่ะ แต่หนาวสุดเดือนกุมภาฯเนี่ยแหละหลังจากได้เผชิญความหนาวที่นี่ไปแบบเต็มๆในเดือนที่เพิ่งเปิดเทอมเราก็รู้ซึ้งเลยว่า "เลือกมาไม่ผิดเมืองแล้ว" ฮ่าๆๆๆอยากได้หนาว ก็หนาวสมใจอยากที่สำคัญ อยากจะโทรไป....เจ้านายเก่าจริงๆบอกมาได้ว่าร้อน อากาศเหมือนแอลเอ...แอลเอบ้านป้าสิค่ะนี่ หลังจากได้ใช้ชีวิตที่นี่มาเกือบๆ 3 เดือนเราก็ค้นพบแล้วว่า เราชอบเมืองนี้อยู่พอตัว และคงจะชอบเพิ่มไปอีกเมื่อได้อยู่นานกว่านี้ และทำความรู้จักคุ้นเคยกับมันให้มากกว่านี้หลายอย่างที่เราชอบเกี่ยวกับเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นอากาศ บรรยากาศเมือง หรือแม้แต่ไชน่าทาวน์ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่เกิดอาการ homesickงานนี้คงต้องขอบคุณไชน่าทาวน์เป็นพิเศษ เพราะไปทีไร รู้สึกคล้ายๆไปเยาวราช ฮ่าๆมีของแทบทุกอย่างที่เยาวราชมี เพราะงั้นเมื่อไหร่ที่เริ่มๆจะมีอาการคิดถึงบ้านกะเค้า อยากกินอาหารไทย ก็ไปซื้อของจากไชน่าทาวน์มาทำกินได้สบาย แถมที่นี่เราว่าติ่มซำอร่อยกว่าเมืองไทย อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เป็นคนจีนกวางตุ้งมาเปิดร้านกัน รสชาติก็เลยไปทางฮ่องกงแท้ๆซะมาก หวานสิค่ะงานนี้ เพราะเรายิ่งชอบกินอาหารฮ่องกงอยู่แล้วด้วย ไชน่าทาวน์ที่นี่มีทุกอย่างให้เลือกสรรจริงๆ เสียอย่างเดียวก็ตรงที่คนขายส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษเนี่ยแหละ เลยก่อให้เกิดความลำบากในการจับจ่ายบ้างเป็นบางครั้ง เพราะเมื่อไหร่ที่พวกเค้าเห็นหน้าเรา ก็จะยิงกวางตุ้งใส่มาเป็นชุดทันที คือเห็นหน้าหมวยๆปุ๊บ เอาล่ะวะ มันต้องเป็นคนจีน(ที่พูดจีนได้)ชัวร์ป้าด งั้นเราพูดกวางตุ้งใส่ซะเลย กลุ้มสิคะงานนี้ คือหน้าหมวยก็จริง แต่ตูพูดกวางตุ้งไม่ได้เฟร้ยยยยยยยยยยแล้วที่ยิ่งทำให้รู้สึกง่อยเปลี้ยไปกันใหญ่ก็เพราะ ถึงจะพูดไม่ได้ แต่ดัน(เจือก)ฟังรู้เรื่องซะนี่ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นใบ้ แต่หูไม่หนวกยังไงยังงั้น แต่ไปๆมาๆเราก็ช่างมันล่ะค่ะ แกไม่ฟังชั้นพูดอังกฤษก็ช่างเถอะ ใช้ภาษามือเอาละกัน ไม่ต้องพูดมาก ตราบใดที่กวางตุ้งชั้นยังไม่กระดิก ก็ภาษามือเนี่ยแหละช่วยชีวิตไปพลางๆ แต่ก็นั่นละคะ ใช้ภาษามือ มันก็ไม่ได้ดั่งใจ จะเอาหนมจีบสามเข่ง ดันหยิบให้แค่สามลูก อะไรประมาณนั้น (แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กินค่ะ คิดซะแบบนี้เพื่อความสบายใจ ฮ่าๆ)อีกอย่างที่เราชอบเกี่ยวกับเมืองนี้ก็คือ มันเป็นเมืองที่อยู่ติดทะเลลลลลลลล นี่เอง...ทำให้รู้สึกหายคิดถึงเมืองไทยไปได้บ้าง แม้ทะเลที่นี่จะไม่สวยเท่าเมืองไทยก็ตาม...แต่ก็ยังดีที่มีทะเล เราจึงมีอาหารทะเลกินอย่างอุดมสมบูรณ์ เย่ๆๆๆขอบอกว่าปูยักษ์ที่นี่ อร่อยมากค่ะ กินทีลืมตายกันไปเลยทีเดียวความอร่อยนี่พิสูจน์มาแล้ว ส่วนราคาก็อย่าไปคิดเป็นเงินไทยให้เสียอารมณ์ เพราะไม่งั้นคงจะกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่สรุปแล้ว เราว่าโดยรวม เมืองนี้น่าอยู่ทีเดียวค่ะ ไม่น่ากลัวเหมือน NYC คือย่านที่มันน่ากลัวแนวๆเดียวกันก็คงมีอยู่ แต่เราก็เลี่ยงไม่ไปซะแต่บรรยากาศโดยรวม ที่นี่น่าอยู่ค่ะ อากาศดีตลอดปี(ไม่นับกุมภานะ) อาหารการกินอูฟูมากซะจนเราคิดว่า อยู่ๆไปคงต้องอ้วนเป็นหมูแน่ๆเลย ฮือๆที่สำคัญ คิดว่ามันคงจะกลายเป็นเมืองที่เปลี่ยนชีวิตเราไปหลังจาก 3 ปีแน่ๆเลย......Even though this is just the beginning of a journey...but you've got my first impression already, San Francisco...