..ถ้าจักตายก็ขอตายในหน้าที่ ถ้าจักพลีก็ขอพลีแด่เหนือหัว ถ้าจักอยู่ก็ขออยู่เพื่อครอบครัว ถ้าจักชั่วก็ขอชั่วแก่ไพรี..
Group Blog
 
All Blogs
 
* การเมืองนำการทหาร VS การทหารนำการเมือง *

- วันนี้รัฐยังคงกระเทาะปัญหา๓จชต.ไม่ออก ทั้งๆที่ผู้นำส่วนใหญ่เป็นทหารเหล่ารบทั้งเกือบทั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น
เราควรทำอย่างไรทั้งในแง่ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ในเงื่อนไขของความเป็นจริงของสภาพการณ์ที่อยู่บนโจทย์ดังนี้ 
๑. เราเสื่อมหรือเสียอำนาจการควบคุมพื้นที่ ในพื้นที่ส่วนใหญ่ ทั้งการปฎิบัติและทางนโยบาย
๒. เราไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายหลักได้เต็มกำลังกับสังคมในพื้นที่ด้วยเงื่อนไขและปัจจัยทางศาสนาและเชื้อชาติ
๓.เราไม่สามารถควบคุมข่าวสารได้ร้อยเปอร์เซนต์ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ในแง่ของข่าวสารที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
๔.เราขาดเอกภาพในการใช้อำนาจทั้งมวลในพื้นที่ ทั้งตัวอำนาจและตัวผู้ใช้อำนาจ
๕.กองทัพไม่สามารถเชื่อมการปฎิบัติทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของสารพัดหน่วยสารพัดเหล่าในพื้นที่ให้เป็นทิศทางเดียวได้


** ดังนี้เราจะเห็นได้ว่า เรามีปัญหาในพื้นที่๓จชต.ทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร การเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การทหารเป็นเรื่องการปฎิบัติ ทั้งสองด้านต่างมีดีมีด้อยมีข้อจำกัดในตัวของตัวเอง รัฐบาลที่ทำงานเป็น จะต้องแยกข้อดีและข้อเสียของทั้งสองด้านออกจากกัน รวมถึงแยกผู้รับผิดชอบออกจากกัน  ทั้งสองด้านไม่ควรเน้นด้านใดด้านหนึ่งในสภาวการณ์อย่างนี้ ทั้งการเมืองและการทหาร ต้องควบคู่กันไป ต้องเดินไปพร้อมกัน โดยมีรัฐบาลเป็นผู้เชื่อมงานทั้งสองด้านเข้าด้วยกันด้วยผลจากการปฎิบัติ ในยุทธวิธีของทหารนั้น การใช้กำลังถือเป็นข้อเด่น ในยุทธศาสตร์การเมืองนั้น การใช้นโยบายถือเป็นข้อเด่น หากกำหนดนโยบายทางการเมืองสำหรับ๓จชต.ไว้ในลักษณะเน้นการสมานฉันท์ แล้วเน้นด้านนี้เป็นหลัก  เราจะอ่อนแอและเสียการควบคุมพื้นที่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ในขณะที่การทหารนั้น จะทำอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะ ทหารมีข้อเด่นที่การใช้กำลังเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกองทัพถึงเละเป็นโจ๊กในงาน ๓จชต. สรุปคือ ในที่สุดเอาดีไม่ได้เลยทั้ง๒ด้านทั้งการเมืองการทหาร ภาพลักษณ์กองทัพก็เสีย ภาพลักษณ์รัฐบาลก็เสีย พวกโจรก็ได้ใจ ทหารกับพลเรือนในพื้นที่ก็ตายกันต่อไป  แล้วผู้มีอำนาจก็ยังดันทุรังจะพูดอีกว่า ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ก็ในเมื่อสภาวการณ์ที่เห็น มันก็ฟ้องด้วยภาพอยู่กันชัดๆในตลอด๖เดือน-๑ปีที่ผ่านไป ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยไม่มีใครมาสมานฉันท์กับรัฐเลย มีแต่ยิงเอาฆ่าเอาตลอดเวลา ในขณะที่กองทัพออกแอคชั่นเมื่อไรเป็นโดนสกัดตลอดจากทางฟากนโยบายเนื่องจากเน้นสมานฉันท์ของชนในชาติเป็นหลัก  หรือรัฐบาลคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็ก๗ขวบทั้งหมด ที่ว่านอนสอนง่าย เอานู่นมาล่อเอานี่มาแจก แล้วเหตุจะสงบ รัฐบาลไม่คิดมั่งหรือว่า เด็กก็มีทั้งเด็กดีและเด็กนิสัยเสีย ที่บางครั้งก็ต้องควบคุมและดุด่าเฆี่ยนตีเพื่อให้หลาบจำเพื่อให้กลัวเกรง หรือเลี้ยงไม่ไหวก็ต้องไล่มันออกจากบ้านไป ให้มันไปรู้ไปลองด้วยตัวเองว่า ที่ไหนจะสุขเท่าบ้านตัวเองไม่มีอีกแล้ว **


** ส่วนการจะนำการทหารนำการเมืองนั้น ในทางเป็นจริงที่จับต้องได้ เห็นภาพได้นั้น เราจะปฎิเสธแนวนี้เลยทีเดียวก็ไม่ควรนัก หรือจะเน้นแนวนี้เสียทั้งหมดเลย ก็ไม่เหมาะสักเท่าไร เพราะจากสภาพเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง ในแบบไทยๆนั้น เรายังมีข้อจำกัดมากมายทั้งเรื่องประเด็นทางศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม และเชื้อชาติ หากเรายึดด้านนี้เป็นหลักและดำเนินนโยบายอย่างไม่รัดกุมพอ นั่นอาจทำให้เราถูกแทรกแซงจากอำนาจอื่นได้ อีกทั้งอาจผลักดันปัญหาขยายไปสู่การเริ่มต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และกำลังอาวุธแบบสมัยคอมมิวนิสต์เฟื่องฟูอีกก็เป็นได้  คำจำกัดความในคุณลักษณะของการปฎิบัติของกองทัพคือ รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด อย่างนี้นั้น เราสามารถหยิบยกมาใช้ได้ในบางห้วงเวลาที่เราต้องการความสงบหรือต้องการปราบปรามในบางกาลบางพื้นที่ที่มีการต่อตีด้วยอาวุธเท่านั้น  ไม่ให้รบไม่ให้ปราบปรามเลยในขณะที่ จนท.รัฐ-พลเรือน ถูกต่อตีด้วยอาวุธอยู่ตลอดนั้นจะให้กราบอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ บางครั้งต้องโอเปอเรชั่นข่มศึกให้หยุดนิ่งเพื่อปรับขบวนอย่างนี้นั้น ทั่วโลกเขาก็ยึดถือปฎิบัติกันมาตลอด ไม่มีใครว่าอะไรได้เพราะนั่นคือการปราบปรามเพื่อความสงบในพื้นที่ เป็นกิจการภายในของเราที่ไอ้หน้าไหนก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะมาแทรกแซงเราได้ในต่อหน้า แต่ลับหลังนั้นก็ไม่แน่   แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะควบคุม ถ้าเราปราบปรามได้จริง ทำให้พื้นที่สงบได้จริง ไม่ช้ามันก็หมดกำลังไปเอง หากการเมืองจะตามหลังการทหารนั้น เราก็จะเห็นผลจากการปฎิบัติของกองทัพได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในขณะที่การเมืองก็ต้องเล่นเป็นและรู้บทตัวเองว่าควรซับพอร์ทการทหารอย่างไรในปัญหาที่เกิดจากการใช้กำลังทหารหรือจะสมานฉันท์หลังโอเปอเรชั่นมวลรวมก็ยังไม่สายนัก ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์การต่อสู้ในพื้นที่รุนแรงแค่ไหน เชื่อไหมว่าผู้ก่อการทั้งหลายใน๓จชต. กลัวรัฐบาลไทยจะใช้แนวนี้ทั้งนั้น จึงบีบรัฐด้วยกลยุทธ์ต่างๆมากมาย เช่น การจรยุทธ์ในเขตเมือง การวินาศกรรมในเขตชุมชน การซุ่มตีฉาบฉวย การก่ออาชญากรรมรายวันต่อพลเรือนและ จนท.รัฐ และโดยมากใช้ศาสนาและศาสนสถานหรือทุกสิ่งที่เกี่ยวกับศาสนามาเป็นเกราะป้องกันทั้งสิ้น ทำไมต้องทำเช่นนี้? ก็เพื่อบีบมิให้รัฐใช้การปราบปรามแบบเต็มกำลังด้วยการทหาร เพราะปัจจัยทางศาสนาเป็นเรื่องใหญ่รัฐบาลน่าจะไม่ต้องการมีปัญหากับโอไอซีหรือรัฐอิสลามเพื่อนบ้านอื่นๆ ซึ่งมันก็ได้ผลตามนั้น รัฐบาลไทยเงื้ออาวุธค้าง ไม่กล้าฟาดฟัน สุดท้ายเลือกเอาการเมืองมาแก้ปัญหานำการปราบปรามทางทหาร เข้าทางตีนอย่างที่หวังจริงๆ  และนี่คือจุดเปลี่ยนอันน่าเศร้าใจของกองทัพในเวลาต่อมา **


*** กาลเวลาผ่านไปและผ่านมา รัฐบาลไทยและกองทัพไทยเหมือนจมดิ่งอยู่กับปัญหา๓จชต. ยังหาทางออกไม่ได้ ก็เลยเกิดแนวคิดที่จะให้๓จชต.เป็นเขตพัฒนาพิเศษ แล้วรัฐบาลจะควบคุมอีกชั้นหนึ่ง มันน่าจะเอาคนคิดมาเลาะกะโหลกดูสมองนัก ว่าทำด้วยอะไร  ขนาด๓จชต.อยู่ในการปกครองของรัฐบาล ทหารตำรวจตรึงเต็มพื้นที่ ยังคุมไม่ได้เลย แล้วถ้าปล่อยไปลักษณะนั้น จะเหลืออะไรในแง่ความมั่นคง รัฐบาลไทยเวลานี้นั้นมิใช่มีแต่คนไม่เก่ง คนเก่งมีแยะทีเดียว แต่โดยมากได้แต่คิดแต่ไม่กล้าทำ กลัวเหยียบตีนกันเองแล้วตัวเองจะหมดวาสนา เป็นอย่างนั้นจริงๆทั้งวงการเมืองและวงการทหาร น้อยคนนักที่จะคิดเอาชาติเป็นที่ตั้ง ตัวเองเป็นที่รอง เพราะถ้ามีคนคิดอย่างนี้ ป่านนี้รูปการณ์ใน๓จชต.และปัญหาอื่นๆในส่วนกลางจะไม่ค้างคาอยู่อย่างนี้ วันนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ การเมืองและการทหารเพื่อแก้ปัญหา๓จชต.จะก้าวไปด้วยกัน ควบคู่กันไป ซัพพอร์ทกันและกันไป การทหารหนักการเมืองเบา การเมืองเบาการทหารหนัก ปรับใช้ให้เหมาะแก่ห้วงเวลา เป้าหมายคือความเป็นชาติ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักรไทย ไม่มีสยาม ไม่มีมลายู ไม่มีอื่นใด มีแต่ไทยเท่านั้น นี่เป็นเรื่องของการเมืองที่ต้องออกนำ ไอ้อีที่จับอาวุธหรือเจตนาต่อตีรัฐ พลเมืองของรัฐ จนท.รัฐ ความมั่นคงของรัฐ นี่เป็นเรื่องของการทหารที่ต้องออกนำ หากทั้งสองสิ่งก้าวเคียงกันไป โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ชี้นำโดยยึดเอาบ้านเมืองเป็นหลักเป็นชัย ทุกปัญหาที่เกิดเราแก้ได้ทั้งสิ้น หนักกว่านี้ไทยก็เคยเจอมาแล้ว เราก็ผ่านมาได้ทั้งนั้น มีเสียเลือด เสียเนื้อ เสียใจ แต่เราก็ยังคงอยู่รอดมาได้เพราะสิ่งเดียวนั่นคือ ความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันทั้งชาติ ย้อนกลับไปดู ปวศ.เราจะเห็นได้ว่า ความเข้มแข็งของผู้นำ+ความเข้มแข็งของกองทัพ+ความสามัคคีของชนในชาติ สามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราอยู่ได้ สมานฉันท์นั้นเอาไว้ใช้เวลากัดกันเอง เวลาอย่างนี้เอามาใช้ไม่ได้ เพราะเรากำลังกัดกับคนอื่น คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไทย ดังนั้น สมานฉันท์ไม่ใช่จุดเริ่ม ไม่ใช่จุดสุดท้าย มันเป็นแค่องค์ประกอบเท่านั้น รัฐบาลควรลืมตาและตื่นจากความลุ่มหลงมัวเมาเสียที มองความจริงที่อยู่ตรงหน้าและรวบรวมความสามัคคีของชนในชาติที่เหลืออยู่เล็กน้อยนั้น แล้วก้มหน้าตั้งใจทำงานให้สมกับที่ประชาชนมุ่งหวัง เพื่อให้พวกเราผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้เสียที ***


 * หากความดีและสาระที่นำมาโพสนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งหลาย ผู้เขียนขอยกทุกสิ่งนี้ให้แด่ ผู้พลีชีพทั้ง๗ และทุกผู้ทุกนามที่สละชีพเป็นราชพลีในพื้นที่๓จชต.ด้วยหน้าที่ ที่พวกท่านเหล่านั้นแบกไว้บนบ่า *















Create Date : 13 พฤษภาคม 2550
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 20:50:46 น. 3 comments
Counter : 563 Pageviews.

 
อยากให้ไปดูคำพูดของ หมอประเวศ พล.สุรยุทธ อีกครั้งน่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเมืองนำการทหารในสงครามประชาชนผนวกกับสงครามก่อการร้าย


โดย: เทียนนำ IP: 124.157.212.189 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:7:56:33 น.  

 
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี (2550 : 9) ได้ให้ทัศนะว่า “ การใช้การเมืองนำการทหารไม่ได้หมายความว่าไม่จับ ไม่ปราบปรามหรือเข้าข้างมุสลิมไม่เข้าข้างพุทธ แต่หมายถึง 1) การลดเงื่อนไขที่ทำให้จับอาวุธขึ้นสู้ 2) การสร้างเงื่อนไขในการวางอาวุธและเข้ามาร่วมมือกันด้วยสันติวิธี คนไทยทุกฝ่ายและสื่อมวลชนควรทำความเข้าใจในยุทธศาสตร์ ว่าการส่งกำลังใหญ่เข้าปราบปรามทำไม่ยาก แต่จะทำให้พ่ายแพ้สงคราม ในที่สุดก็จะสูญเสีย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไป และอาจดึงการก่อการร้ายสากลเข้ามาถึงใจกลางพระนคร วุ่นวายไปหมดทั้งชาติ การรุกทางการเมือง และชนะใจประชาคมมุสลิม แม้ไม่ชนะใจกลุ่มติดอาวุธจำนำไปสู่การยุติสงครามในที่สุด”


โดย: เทียนนำ IP: 124.157.212.189 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:8:07:14 น.  

 
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี (2550 : 9) ได้ให้ทัศนะว่า “ การใช้การเมืองนำการทหารไม่ได้หมายความว่าไม่จับ ไม่ปราบปรามหรือเข้าข้างมุสลิมไม่เข้าข้างพุทธ แต่หมายถึง 1) การลดเงื่อนไขที่ทำให้จับอาวุธขึ้นสู้ 2) การสร้างเงื่อนไขในการวางอาวุธและเข้ามาร่วมมือกันด้วยสันติวิธี คนไทยทุกฝ่ายและสื่อมวลชนควรทำความเข้าใจในยุทธศาสตร์ ว่าการส่งกำลังใหญ่เข้าปราบปรามทำไม่ยาก แต่จะทำให้พ่ายแพ้สงคราม ในที่สุดก็จะสูญเสีย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไป และอาจดึงการก่อการร้ายสากลเข้ามาถึงใจกลางพระนคร วุ่นวายไปหมดทั้งชาติ การรุกทางการเมือง และชนะใจประชาคมมุสลิม แม้ไม่ชนะใจกลุ่มติดอาวุธจำนำไปสู่การยุติสงครามในที่สุด”


โดย: เทียนนำ IP: 124.157.212.189 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:8:07:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Westpoint
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




* ทหารต้องมีวินัย วินัยเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมกองทัพ ทหารในกองทัพคือผู้ถืออาวุธของแผ่นดิน คำสั่ง สำหรับทหารนั้นคือสิ่งสำคัญที่เราไม่อาจละเลยได้ หากทหารทุกคนในทัพเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่นำพาต่อวินัยในการเป็นผู้ถืออาวุธของชาติ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย อาวุธเล็กอาวุธน้อย กองทัพจะเป็นกองโจร ในการมีการใช้ในการถือครองอาวุธของแผ่นดินด้วยหน้าที่นั้น วินัยล้วนเป็นหลักทั้งสิ้น ในสังคมทหาร ในกรมกองทหาร ไม่มีคำว่าประชาธิปไตย ไม่มีการออกสิทธิออกเสียง ไม่มีโหวต ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การวางปืนแล้วหันหลังออกจากแนวไป ไม่สนใจไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิว่าด้วยเหตุผลใดไม่ว่าในสนามรบหรือในที่ตั้ง นั่นคือการหนีทัพ ในสนามรบนั้นหากทำอย่างนี้ ถูกยิงเป้าทันที หากทำนอกสนามรบ นั่นคือการละทิ้งหน้าที่ มีโทษไม่น้อยเหมือนกัน มีทหารอีกมากมายนักในกองทัพที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชาไปทุกเรื่อง แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้น เราไม่มีสิทธิโต้แย้งใดๆในคำสั่ง สิ่งเดียวที่ทำได้สำหรับระดับปฎิบัติคือ เมื่อเราเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ผิด เป็นคำสั่งที่ผิดศีลธรรมจรรยาของทหารแห่งชาติที่ดี ไม่ว่าด้วยแง่มุมใดๆ เรายังคงต้องปฎิบัติไปตามคำสั่งนั้น เราอาจทำให้ไม่สำเร็จ ทำได้แค่นี้เท่านั้น เราทำแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ นี่เป็นทางออกเดียวเท่านั้นของระดับผู้ปฎิบัติหรือระดับสั่งการในสนามเล็กๆ รูปการณ์อย่างนี้มิใช่ว่ามิเคยมี ตัวอย่างมีให้ดูมาแล้วจากในอดีต เรามิได้ผิดวินัย แต่เราทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในเบื้องลึกในจิตใจเท่านั้น นี่เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมทหารค่อนกองทัพ ถึงต้องทำอย่างที่ประชาชนทุกคนเห็นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในรร.ทหารในระดับเริ่มต้น ก้าวย่างแรกของการเป็นทหาร ทุกคนในกองทัพจะต้องถูกหล่อหลอมเรื่องวินัยอย่างสุดขั้ว รร.ทหารที่ไหนๆในโลกก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะทุกคนในโลกรู้กันดีว่า ผู้ที่จะจบออกไป จะเป็นผู้ที่ต้องถืออาวุธของชาติ และจะต้องใช้อาวุธในมือไปตามหน้าที่ และวินัยที่ รร.ทหารเฝ้าหลอมให้ทหารทุกคนนั่นก็คือ วินัยในการมีหน้าที่ ส่วนการจะถือจะใช้อาวุธในมือของตนตามหน้าที่และคำสั่งนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกเฉพาะตนในความเป็นชาติ และความเป็นคนไทยเท่านั้น *นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะมีอำนาจเหนือกว่า หน้าที่ในทางเป็นจริงของทหาร *
Friends' blogs
[Add Westpoint's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.