การพัฒนากองทัพไทย อย่างยั่งยืน และมีเอกภาพ ๑
- ในมวลรวมของกองทัพไทยนั้น มีรากฐานที่แน่นหนามั่นคงอยู่แล้วตามรูปแบบกองทัพสมัยใหม่ หากแต่กองทัพไทยยังคงขาดเอกภาพในแง่การพัฒนาให้เกิดคุณลักษณะเด่นเฉพาะทางในแง่คุณลักษณะทางทหาร ดังจะเห็นได้ว่า ทหารในกองทัพไทยเรานั้นส่วนมากจะทำหน้าที่ๆเกินขอบข่ายความชำนาญการเฉพาะทาง นั่นเป็นเพราะว่าในทางพฤตินัยนั้นคนไทยเรานั้นทำสงครามหรือทำการรบเคียงข้างผู้นำหรือจอมทัพมาตลอดตั้งแต่โบราณ ทำให้เกิดค่านิยมในทางพฤตินัยในลักษณะที่ว่า *เมื่อเป็นทหาร ก็ต้องออกรบหรือทำการรบตามนิยามของคำว่า-ทหาร- * ทั้งที่รูปแบบทัศนคตินิยมแบบนี้นั้นใช้ไม่ได้แล้วกับการณ์ในยุคสมัยนี้ แต่ทหารไทยกว่าค่อนกองทัพไทยยังติดอยู่ในค่านิยมนี้อย่างเหนียวแน่น กองทัพที่เป็นตัวอย่างของการติดอยู่ในทัศนะคตินิยมนี้ในแถบบ้านเราก็เช่น ลาว เขมร เวียดนาม พม่า ซึ่งโดยมากแล้วนั้น อุดมคติแบบนี้จะเกิดกับคนในชาติที่ต้องทำการรบพุ่งอยู่ตลอดเวลาทั้งสงครามภายในและภายนอก ซึ่งนั่นก็คือในแง่ที่ว่า* คนในชาติต้องร่วมรบเพื่อต่อสู้ถ้วนทั่วทุกตัวคนไม่ว่าชาย-หญิง-เด็ก-คนชรา* พลเรือนนั้นเมื่อมาจับอาวุธเข้าสู่สนามรบในสถานการณ์ที่ชาติคับขันนั้น จะออกมาในรูปแบบจรยุทธ์เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการสงครามแบบจรยุทธ์นั้น ในมนุษย์ทหาร๑คน ต้องรบแบบสัญชาติญาณการเอาชนะข้าศึกประมาณว่าเดินหน้าฆ่าอย่างเดียว ทำลายข้าศึกอย่างเดียว ไม่มีรูปแบบ ไม่มีคุณลักษณะทางทหาร มีเพียงใจเท่านั้นที่ ต้องการรบเพื่อชาติ จึงต้องรบหรือทำทุกอย่างเพื่อให้ชาติมีชัยนะหรือตัวเองมีชัยชนะในการต่อสู้ นี่คือตัวอย่างของพลเรือนหรือชนในชาติที่ต้องจับอาวุธต่อสู้แบบจรยุทธ์ - กองทัพในสมัยโบราณนั้น แม้จะมีการแยกกองอย่างชัดเจน เช่น ทหารม้า ทหารดาบสองมือ ทหารดั้ง ทหารโตมร ทหารปืนไฟ-ปืนใหญ่ ฯลฯ ขอบข่ายหน้าที่ของทหารแต่ละประเภทนั้น มีการแยกแยะไว้ในเบื้องต้นอยู่แล้วว่า ต้องรบอย่างไร ต้องมีหน้าที่อะไร ดังนั้นการสงครามในโบราณอย่างเช่นยุคกรุงศรีอยุธยานั้น ฝ่ายที่มีชัยในสงคราม มักจะเป็นฝ่ายที่สามารถควบคุมบังคับบัญชาการรบได้อย่างมีรูปแบบ หรือพูดอย่างง่ายๆก็คือ ฝ่ายที่คุมเกมส์ในสนามรบได้ จะเป็นฝ่ายได้เปรียบและมีชัยชนะ ในสมัยโบราณนั้นการรบครั้งใหญ่มักจะเริ่มและจบลงตามลำดับดังนี้ ๑. ยกทัพมาประชิดประจัญหน้ากัน(สงครามกษัตริย์) ๒.เมื่อได้สัญญาณกลอง-เภรี จากจอมทัพ ก็เริ่มทำการรบ ๓.สาดอาวุธยาวเข้าใส่กัน เช่น ปืนใหญ่ ปืนนกสับ ปืนคาบศิลา หน้าไม้ เกาฑัณฑ์ ธนู ๔.พลรบแต่ละประเภท เดินหน้าเข้าหากัน การจับคู่ การเข้าตี-ตั้งรับในขั้นนี้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้นำทัพในการสั่งเคลื่อนพล ๕.ประจัญบาน ตะลุมบอน ขั้นนี้นั้น ทหารทุกประเภทจะอยู่รอดได้ด้วยสิ่งเดียวคือ สัญชาติญาณการเอาชนะและการอยู่รอด ๖.จอมทัพหรือผู้นำทัพ จะพิจารณาดูการรบแบบสดๆ สำรวจตรวจตราไพร่พลฝ่ายตนว่าเหลือกี่มากน้อย ขั้นนี้นั้นหากฝ่ายใดมีพลมากก็จะได้เปรียบ ๗.หากฝ่ายใดเหลือพลน้อยหรือถูกรุกไล่ จอมทัพหรือแม่ทัพจะสั่งถอยทัพ หากได้ทีเป็นเชิง ก็จะสั่งกำลังสนับสนุนทุ่มเทกำลังเข้าตีให้ทัพข้าศึกแตก - ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ในการรบในสมัยโบราณนั้น ทหารทุกประเภทจะไปรวมกันในขั้นตอนการประจัญบาญ ไม่แยกแยะว่าเป็นทหารประเภทใด ทหารทุกคนทุกประเภทจะต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณดิบ+ฝีมือในเชิงรบ สมเด็จพระนเรศวรมหารราช-สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช-สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชการที่๑ ทั้ง๓พระองค์นี้นั้น คือสุดยอดจอมทัพที่สามารถสั่งการรบได้เหนือยุคเหนือสมัย เราจงอย่าแปลกใจในพระปรีชาสามารถของทั้ง๓พระองค์ ที่รบ๑๐๐ครั้งชนะ๑๐๐ครั้ง แม้บางครั้งไพร่พลและสถานการณ์เป็นรอง ก็ยังสามารถชนะข้าศึกได้ นั่นเป็นเพราะทั้ง๓พระองค์ทรงสามารถบังคับบัญชาการรบได้ถึงที่สุดแห่งศักยภาพของทหารในแต่ละประเภท ทรงเลือกใช้ทหารทำการสงครามได้ถูกคุณลักษณะทางทหาร ไม่สั่งทหารทุกประเภทลงไปมั่วตะลุมบอนในสนามรบ ด้วยสาเหตุนี้ ทัพไทยจึงมีชัยในทุกสนามที่พม่ามีพลมากกว่าบางครั้งนั้นอัตราต่อสู้ถึง๓ต่อ๑ ทัพไทยยังสามารถเอาชนะได้นั่นเพราะทหารทุกประเภท-ทุกคนได้รบตามคุณลักษณะเฉพาะทางที่ตนเองฝึกฝนมาจึงสามารถสำแดงศักยภาพที่ตนเองร่ำเรียนมาได้ถึงขีดสุดในสนามรบ ส่งผลโดยรวมให้ประสิทธิภาพการรบของกองทัพคูณ๒คูณ๓ ข้าศึกมีไพร่พลมากจึงมิใช่ปัญหา กองทัพพม่านั้นรบแบบตำราโบราณเคยรบอย่างไรมาก็รบอย่างนั้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่พม่ารบแพ้อังกฤษที่มีพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว เพราะอังกฤษก็รบแบบรู้ศักยภาพและคุณลักษณะเฉพาะตัวของทหารในทัพ ทั้ง๓พระองค์ของไทยนั้นมิเคยเสด็จไปเรียนเสธ.ที่ไหน แต่ด้วยพระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์ในการทหาร และมิทรงยึดติดกับกฎระเบียบที่ล้าหลังใดๆ จึงทรงพัฒนาการทหาร-การรบได้เหนือยุคเหนือสมัยเกินกว่าความเข้าใจของข้าศึกศัตรู - ปัจจุบันนี้ กองทัพไทยก็มิต่างไปจากโบราณเท่าใดนัก กองทัพเรายังคงไม่แยกแยะคุณลักษณะทางทหารในระดับผู้บังคับบัญชา เราคงแยกแยะคุณลักษณะทางทหารแต่เพียงแค่ในระดับล่างและกลางเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีกองพลปืนใหญ่ที่มีทหารในกองพลทำการรบแบบทหารราบ เรามีกองพลทหารม้าที่มีทหารในกองพลทำการรบแบบทหารปืนใหญ่และทหารราบ เราฝึกพลทหารใหม่ในทุกเหล่าให้รบแบบทหารราบ เราเสียเวลาในการฝึกทหารในทุก รร.ทหารให้ทำการรบแบบทหารราบในเบื้องต้น จริงอยู่ที่ว่าทหารทุกคนควรได้รับรู้หรือควรมีสกิลนี้ติดตัวไว้ในทุกเหล่า แต่การจัดหาหรือสร้างสรรค์กำลังพลนั้น สกิลเริ่มต้นที่ควรติดตัวไว้ในยุคนี้คือ สกิลประจำเหล่า ม้าก็ฝึกแบบม้า ราบก็ฝึกแบบราบ ปืนก้ฝึกแบบปืน สื่อสารก็ฝึกแบบสื่อสาร พลาฯก็ฝึกแบบพลา พลทหารในกองทัพไทยทุกคนควรมีการเกณฑ์และฝึกตามคุณลักษณะของเหล่าที่สังกัดตั้งแต่เริ่มแรก สัดส่วนในการเกณฑ์ทหารเข้าประจำเหล่าต่างๆต้องมีการจัดสรรค์อย่างเหมาะสมตามสภาวะการณ์ เราต้องดูว่าหากเกิดหรือมีสงคราม กองทัพไทยจะรบแบบใด และข้าศึกของเราที่ประเมิณแล้ว น่าจะเป็นใคร แล้วเราจึงเอามาเป็นรากฐานในการกำหนดการสร้างสรรค์กำลังพลในระดับพลรบ ในขณะที่มาตรฐานปกติของการป้องกันประเทศยามสงบนั้น เราควรพิจารณาให้เป็นแม่แบบว่า เราควรคัดสรรค์จัดหากำลังพลใหม่ๆหรือพัฒนากำลังพลที่มีอยู่ไปในทิศทางไหนและอย่างไรโดยอิงสภาวะการณ์ปัจจุบัน อย่างนี้มิใช่หรือ ถึงจะเรียกว่า *แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ* - ในระดับผู้บังคับบัญชาระดับสูงนั้น มิใช่ว่าผู้เขียนจะลบหลู่ดูถูกหรือดูแคลน แต่เราควรยอมรับกันเสียทีว่า *ในการสงครามหรือการรบนั้น ผู้บังคับบัญชานับเป็นหัวใจ ของทหาร* ทหารในสนามรบนั้นจะอยู่จะรอดนั้นขึ้นกับปัจจัย๓ประการคือ ๑.คำสั่ง ๒.สัญชาตญาณ ๓.สกิลรบที่ติดตัว เราจงพิจารณาที่จุดเริ่มซึ่งนั่นคือ คำสั่ง คำสั่งนี้ มาจากผู้บังคับบัญชา คำสั่งหรือมิชชั่นที่ได้รับมอบหมาย จะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นขึ้นอยู่กับ สัญชาติญาณและสกิลรบของทหาร เราลองมาคิดดูว่า หากผู้บังคับบัญชาคนออกคำสั่งคนสร้างมิชชั่น ออกคำสั่งโง่ๆ ออกคำสั่งสับสน ออกคำสั่งที่ไม่มีการประเมิณอัตราอยู่รอดในสนามหรือออกคำสั่งที่ไม่รัดกุม ทหารในสนามรบจะเหลือเพียงแค่สองสิ่งในการดำรงชีพดำรงการรบในสนามเท่านั้น นั่นก็คือสัญชาติญาณและความสามารถทางทหารเฉพาะตน เช่นนี้แล้วเราจะหวังชัยชนะในมิชชั่นนั้นๆได้อย่างไร - การออกคำสั่งนั้น ใครๆก็ออกได้สั่งได้ แต่การออกคำสั่งหรือการบัญชาการรบของทหารนั้น แตกต่างจากการออกคำสั่งทั่วๆไป เพราะผลของคำสั่งนั้นมีเจ็บมีตายแฝงอยู่ดังนั้นพื้นฐานในการบัญชาการรบของคนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ควรจะมีอย่างเหมาะสมตามสภาวะการณ์ การบัญชาการรบได้ กับ การบัญชาการรบเป็น มันคนละเรื่องกันสกิลติดตัวของนายทหารที่จบจาก รร.หลักของเหล่าทัพ มีการแยกแยะมาแล้วตั้งแต่เริ่มต้น การจบออกไปเป็นผู้นำหน่วยทหารขนาดเล็ก เพื่อสั่งสมประสบการณ์นั้นมีผลต่อวันข้างหน้า และแน่นอนว่ามีผลต่อชีวิตทหารผู้น้อยใต้บังคับบัญชาอีกนับสิบนับร้อย ประสบการณ์ในเหล่าของตนเองนานวันจะพอกพูนในการเป็นนายทหารในระดับผู้บังคับบัญชา ประสบการณ์กับความรู้ความเข้าใจในคุณลักษณะของงานในหน้าที่ของตนนั้น จะส่งผลเลิศต่อเหล่าของตนและมวลรวมของกองทัพ เมื่อวันหนึ่งก้าวเข้าสู่ระดับบริหารจัดการกองทัพ จึงมีคำถามว่า ความรู้ความเชี่ยวชาญของนายทหารคนหนึ่งจะครอบคลุมและรู้ลึกรู้ละเอียดในทุกปัจจัยของทุกเหล่าทัพหรือไม่ จบจาก รร.หลัก เหล่าสื่อสาร เป็นนายทหารสื่อสารมาทั้งชีวิต ไม่เคยออกไปรบในสนามแบบทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ไม่เคยทำงานในเหล่ารบ แล้วจะรบเป็นไหม? จะรู้บ้างไหมว่าในสนามรบเขารบกันยังไง อาจเรียนเสธ.มา ใน รร.เสธ.สอนเรื่องพวกนี้มา แต่ประสบการณ์ในแบบทหารเหล่ารบไม่มี สกิลด้านรบคุณเป็นศูนย์ คุณมีแต่สกิลด้านช่วยรบที่เต็มสิบแล้วอย่างนี้นั้น เมื่อเกิดสงคราม และคนๆนี้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของเหล่าทัพ การบัญชากการรบ การออกคำสั่งรบ ท่านผู้อ่านทั้งหลายคิดว่าจะเป็นอย่างไร - ทางออกสำหรับปัญหาอย่างนี้นั้น กองทัพไทยมีแบบแผนที่ไว้อุดรูรั่วมาแล้วตั้งนานนม นั่นคือการมีคณะเสธ.ประจำ ผบช. กองทัพไหนๆทั่วโลกเขาก็มีกันทั้งนั้น แต่การใช้ประโยชน์จากคณะเสธ.ของตนนั้นจะช่วยในการบัญชาการรบ การออกคำสั่งรบ ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น นั่นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และสกิลทางทหารของตนเท่านั้น การตัดสินใจแนวคิด ประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจ หากมิได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่มาเรียนเอาจากคำบอกเล่าที่ผ่านตัวหนังสือหรือถ้อยคำ ปัญญาในการเอาชนะปัญหาในรูปแบบนักรบหรือรูปแบบของแม่ทัพผู้นำทัพสั่งทัพ จะมิบังเกิดในใจอย่างแตกฉาน การฟังบรรยายสรุป การบรีฟของคณะเสธ.ที่รวบรวมข้อมูลการรบ ล้วนแล้วแต่อยู่บนกะบะทราย อยู่บนกระดานบรีฟ อยู่ในแผนที่ หากขุนทัพไม่มีประสบการณ์ในการรบหรือไม่มีสกิลรบในระดับสูง ศึกนี้เราจะแพ้ทางตั้งแต่ทหารในขนพร.ยังมิได้ออกรบ -นายทหารที่อยู่เหล่ารบหลักและมีสกิลรบหลักในระดับสูง ควรได้เติบโตในแนวทางของสายกำลังรบ นายทหารที่อยู่เหล่าช่วยรบ เหล่าสนับสนุนการรบ ควรเดินไปตามเส้นทางสกิลของตนในระดับสูงๆหน้าที่ใครหน้าที่มันคุณลักษณะใครคุณลักษณะมัน บ่มเพาะสั่งสมประสบการณ์ในความชำนาญการของตนให้เยี่ยมยอดตามต้นทางของตัวเอง กองทัพควรมีหลักหรือระเบียบที่มั่นคงในเรื่องอย่างนี้ ฝ่ายเสธ.ก็ควรเติบโตในฝ่ายเสธ.เพาะบ่มความรู้และสกิลพิเศษของตนให้สูงสุด มันจะดีแค่ไหนหากกองทัพบกไทยมี ผบ.ทบ.ที่ผ่านการรบมาโชกโชน เติบโตมาจากราบม้าปืน เรามีเสธ.ทบ.ที่รู้ลึกรู้จริงในการเป็นแม่บ้านทบ.ที่ต้องรู้ว่าในบ้านต้องทำอะไรก่อน-หลัง ต้องการอะไรเพิ่มเติม ต้องแก้ไขต้องดูแลคนในบ้านอย่างไร เรามีแม่ทัพทั้ง๔ภาค ที่เก่งกล้าสามารถในเชิงรบผ่านการเป็นทั้งผู้บัญชาในสนามและผู้ถูกบัญชาในสนามมาโชกโชน เรามีผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่เป็นสุดยอดในงานแบบรบพิเศษเพียงพอที่จะเป็นกองทัพภาคที่๕เพื่อเป็นสกิลหมู่พิเศษสำหรับกองทัพบก อย่างไรก็ดี หากกองทัพไทยยังคงมิแยกคุณลักษณะทางทหารให้ชัดเจนในทุกระดับ ยังคงมิมั่นคงในแบบธรรมเนียมที่กองทัพเคยมีมาในอดีต วันหนึ่งหากเกิดสงคราม เราคงได้เห็นการตะลุมบอนมั่วๆในสนามรบของทหารทุกประเภทแบบครั้งรบกับลาว-เวียดนามในครั้งก่อนอีกแน่นอน และหากคู่ศึกเรามิใช่ลาว-เขมร-เวียดนาม แต่หากว่าเป็นพม่า เราจะได้รับบทเรียนของการบริหารจัดการกองทัพอย่างมือสมัครเล่นอย่างแสนสาหัสกว่าครั้งศึกช่องบก-ร่มเกล้า หรือหากคู่ศึกเป็นมาเลย์เซีย ยุคนี้แล้วความใหญ่กว่าของประเทศมิใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไปแล้ว เราจะเอาหน้าของประเทศไปไว้ที่ไหนหากเราป้องกันดินแดนปลายสุดด้ามขวานไว้ไม่ได้ ตายไปเมื่อไรผีปู่ย่าตายายบรรพบุรุษไทยคงรอกระทืบเราซ้ำพร้อมด่าว่า -ไอ้ลูกหลานระยำ รบไม่เก่ง รบไม่เป็น ไม่ทำนุบำรุงกองทัพให้พร้อมสรรพ แผ่นดินแค่ห้าแสนกว่าตารางไมล์พวกมึงตั้งเกือบ๗๐ล้านคนใยมิมีผู้กล้าที่จะรักษาไว้ได้เชียวหรือ การเป็นนายพลแม่ทัพขุนทหาร หากมิรู้จักกองทัพตน มิรู้จักหน้าที่ของตน แล้วมึงจะเอาอะไรไปสู้ข้าศึก(รู้สึกว่าผีปู่ย่าตายายจะด่ายาวไปหน่อย)
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 16:09:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 530 Pageviews. |
|
|