..ถ้าจักตายก็ขอตายในหน้าที่ ถ้าจักพลีก็ขอพลีแด่เหนือหัว ถ้าจักอยู่ก็ขออยู่เพื่อครอบครัว ถ้าจักชั่วก็ขอชั่วแก่ไพรี..
Group Blog
 
All Blogs
 
การพัฒนากองทัพไทย อย่างยั่งยืน และมีเอกภาพ ๑

- ในมวลรวมของกองทัพไทยนั้น มีรากฐานที่แน่นหนามั่นคงอยู่แล้วตามรูปแบบกองทัพสมัยใหม่ หากแต่กองทัพไทยยังคงขาดเอกภาพในแง่การพัฒนาให้เกิดคุณลักษณะเด่นเฉพาะทางในแง่คุณลักษณะทางทหาร  ดังจะเห็นได้ว่า ทหารในกองทัพไทยเรานั้นส่วนมากจะทำหน้าที่ๆเกินขอบข่ายความชำนาญการเฉพาะทาง นั่นเป็นเพราะว่าในทางพฤตินัยนั้นคนไทยเรานั้นทำสงครามหรือทำการรบเคียงข้างผู้นำหรือจอมทัพมาตลอดตั้งแต่โบราณ ทำให้เกิดค่านิยมในทางพฤตินัยในลักษณะที่ว่า *เมื่อเป็นทหาร ก็ต้องออกรบหรือทำการรบตามนิยามของคำว่า-ทหาร- * ทั้งที่รูปแบบทัศนคตินิยมแบบนี้นั้นใช้ไม่ได้แล้วกับการณ์ในยุคสมัยนี้ แต่ทหารไทยกว่าค่อนกองทัพไทยยังติดอยู่ในค่านิยมนี้อย่างเหนียวแน่น กองทัพที่เป็นตัวอย่างของการติดอยู่ในทัศนะคตินิยมนี้ในแถบบ้านเราก็เช่น ลาว เขมร เวียดนาม พม่า ซึ่งโดยมากแล้วนั้น อุดมคติแบบนี้จะเกิดกับคนในชาติที่ต้องทำการรบพุ่งอยู่ตลอดเวลาทั้งสงครามภายในและภายนอก ซึ่งนั่นก็คือในแง่ที่ว่า* คนในชาติต้องร่วมรบเพื่อต่อสู้ถ้วนทั่วทุกตัวคนไม่ว่าชาย-หญิง-เด็ก-คนชรา* พลเรือนนั้นเมื่อมาจับอาวุธเข้าสู่สนามรบในสถานการณ์ที่ชาติคับขันนั้น จะออกมาในรูปแบบจรยุทธ์เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการสงครามแบบจรยุทธ์นั้น ในมนุษย์ทหาร๑คน ต้องรบแบบสัญชาติญาณการเอาชนะข้าศึกประมาณว่าเดินหน้าฆ่าอย่างเดียว ทำลายข้าศึกอย่างเดียว ไม่มีรูปแบบ ไม่มีคุณลักษณะทางทหาร มีเพียงใจเท่านั้นที่
ต้องการรบเพื่อชาติ จึงต้องรบหรือทำทุกอย่างเพื่อให้ชาติมีชัยนะหรือตัวเองมีชัยชนะในการต่อสู้ นี่คือตัวอย่างของพลเรือนหรือชนในชาติที่ต้องจับอาวุธต่อสู้แบบจรยุทธ์


- กองทัพในสมัยโบราณนั้น แม้จะมีการแยกกองอย่างชัดเจน เช่น ทหารม้า ทหารดาบสองมือ ทหารดั้ง ทหารโตมร ทหารปืนไฟ-ปืนใหญ่ ฯลฯ ขอบข่ายหน้าที่ของทหารแต่ละประเภทนั้น มีการแยกแยะไว้ในเบื้องต้นอยู่แล้วว่า ต้องรบอย่างไร ต้องมีหน้าที่อะไร ดังนั้นการสงครามในโบราณอย่างเช่นยุคกรุงศรีอยุธยานั้น ฝ่ายที่มีชัยในสงคราม มักจะเป็นฝ่ายที่สามารถควบคุมบังคับบัญชาการรบได้อย่างมีรูปแบบ หรือพูดอย่างง่ายๆก็คือ ฝ่ายที่คุมเกมส์ในสนามรบได้ จะเป็นฝ่ายได้เปรียบและมีชัยชนะ ในสมัยโบราณนั้นการรบครั้งใหญ่มักจะเริ่มและจบลงตามลำดับดังนี้


๑. ยกทัพมาประชิดประจัญหน้ากัน(สงครามกษัตริย์)
๒.เมื่อได้สัญญาณกลอง-เภรี จากจอมทัพ ก็เริ่มทำการรบ
๓.สาดอาวุธยาวเข้าใส่กัน เช่น ปืนใหญ่ ปืนนกสับ ปืนคาบศิลา หน้าไม้ เกาฑัณฑ์ ธนู
๔.พลรบแต่ละประเภท เดินหน้าเข้าหากัน การจับคู่ การเข้าตี-ตั้งรับในขั้นนี้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้นำทัพในการสั่งเคลื่อนพล
๕.ประจัญบาน ตะลุมบอน ขั้นนี้นั้น ทหารทุกประเภทจะอยู่รอดได้ด้วยสิ่งเดียวคือ สัญชาติญาณการเอาชนะและการอยู่รอด
๖.จอมทัพหรือผู้นำทัพ จะพิจารณาดูการรบแบบสดๆ สำรวจตรวจตราไพร่พลฝ่ายตนว่าเหลือกี่มากน้อย ขั้นนี้นั้นหากฝ่ายใดมีพลมากก็จะได้เปรียบ
๗.หากฝ่ายใดเหลือพลน้อยหรือถูกรุกไล่ จอมทัพหรือแม่ทัพจะสั่งถอยทัพ หากได้ทีเป็นเชิง ก็จะสั่งกำลังสนับสนุนทุ่มเทกำลังเข้าตีให้ทัพข้าศึกแตก


- ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ในการรบในสมัยโบราณนั้น ทหารทุกประเภทจะไปรวมกันในขั้นตอนการประจัญบาญ ไม่แยกแยะว่าเป็นทหารประเภทใด ทหารทุกคนทุกประเภทจะต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณดิบ+ฝีมือในเชิงรบ สมเด็จพระนเรศวรมหารราช-สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช-สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชการที่๑ ทั้ง๓พระองค์นี้นั้น คือสุดยอดจอมทัพที่สามารถสั่งการรบได้เหนือยุคเหนือสมัย เราจงอย่าแปลกใจในพระปรีชาสามารถของทั้ง๓พระองค์ ที่รบ๑๐๐ครั้งชนะ๑๐๐ครั้ง แม้บางครั้งไพร่พลและสถานการณ์เป็นรอง ก็ยังสามารถชนะข้าศึกได้ นั่นเป็นเพราะทั้ง๓พระองค์ทรงสามารถบังคับบัญชาการรบได้ถึงที่สุดแห่งศักยภาพของทหารในแต่ละประเภท ทรงเลือกใช้ทหารทำการสงครามได้ถูกคุณลักษณะทางทหาร ไม่สั่งทหารทุกประเภทลงไปมั่วตะลุมบอนในสนามรบ ด้วยสาเหตุนี้ ทัพไทยจึงมีชัยในทุกสนามที่พม่ามีพลมากกว่าบางครั้งนั้นอัตราต่อสู้ถึง๓ต่อ๑ ทัพไทยยังสามารถเอาชนะได้นั่นเพราะทหารทุกประเภท-ทุกคนได้รบตามคุณลักษณะเฉพาะทางที่ตนเองฝึกฝนมาจึงสามารถสำแดงศักยภาพที่ตนเองร่ำเรียนมาได้ถึงขีดสุดในสนามรบ ส่งผลโดยรวมให้ประสิทธิภาพการรบของกองทัพคูณ๒คูณ๓ ข้าศึกมีไพร่พลมากจึงมิใช่ปัญหา กองทัพพม่านั้นรบแบบตำราโบราณเคยรบอย่างไรมาก็รบอย่างนั้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่พม่ารบแพ้อังกฤษที่มีพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว เพราะอังกฤษก็รบแบบรู้ศักยภาพและคุณลักษณะเฉพาะตัวของทหารในทัพ ทั้ง๓พระองค์ของไทยนั้นมิเคยเสด็จไปเรียนเสธ.ที่ไหน แต่ด้วยพระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์ในการทหาร และมิทรงยึดติดกับกฎระเบียบที่ล้าหลังใดๆ จึงทรงพัฒนาการทหาร-การรบได้เหนือยุคเหนือสมัยเกินกว่าความเข้าใจของข้าศึกศัตรู


- ปัจจุบันนี้ กองทัพไทยก็มิต่างไปจากโบราณเท่าใดนัก กองทัพเรายังคงไม่แยกแยะคุณลักษณะทางทหารในระดับผู้บังคับบัญชา เราคงแยกแยะคุณลักษณะทางทหารแต่เพียงแค่ในระดับล่างและกลางเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีกองพลปืนใหญ่ที่มีทหารในกองพลทำการรบแบบทหารราบ เรามีกองพลทหารม้าที่มีทหารในกองพลทำการรบแบบทหารปืนใหญ่และทหารราบ เราฝึกพลทหารใหม่ในทุกเหล่าให้รบแบบทหารราบ เราเสียเวลาในการฝึกทหารในทุก รร.ทหารให้ทำการรบแบบทหารราบในเบื้องต้น จริงอยู่ที่ว่าทหารทุกคนควรได้รับรู้หรือควรมีสกิลนี้ติดตัวไว้ในทุกเหล่า แต่การจัดหาหรือสร้างสรรค์กำลังพลนั้น สกิลเริ่มต้นที่ควรติดตัวไว้ในยุคนี้คือ สกิลประจำเหล่า ม้าก็ฝึกแบบม้า ราบก็ฝึกแบบราบ ปืนก้ฝึกแบบปืน สื่อสารก็ฝึกแบบสื่อสาร พลาฯก็ฝึกแบบพลา พลทหารในกองทัพไทยทุกคนควรมีการเกณฑ์และฝึกตามคุณลักษณะของเหล่าที่สังกัดตั้งแต่เริ่มแรก สัดส่วนในการเกณฑ์ทหารเข้าประจำเหล่าต่างๆต้องมีการจัดสรรค์อย่างเหมาะสมตามสภาวะการณ์ เราต้องดูว่าหากเกิดหรือมีสงคราม กองทัพไทยจะรบแบบใด และข้าศึกของเราที่ประเมิณแล้ว น่าจะเป็นใคร แล้วเราจึงเอามาเป็นรากฐานในการกำหนดการสร้างสรรค์กำลังพลในระดับพลรบ ในขณะที่มาตรฐานปกติของการป้องกันประเทศยามสงบนั้น เราควรพิจารณาให้เป็นแม่แบบว่า เราควรคัดสรรค์จัดหากำลังพลใหม่ๆหรือพัฒนากำลังพลที่มีอยู่ไปในทิศทางไหนและอย่างไรโดยอิงสภาวะการณ์ปัจจุบัน อย่างนี้มิใช่หรือ ถึงจะเรียกว่า *แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ*


- ในระดับผู้บังคับบัญชาระดับสูงนั้น มิใช่ว่าผู้เขียนจะลบหลู่ดูถูกหรือดูแคลน แต่เราควรยอมรับกันเสียทีว่า *ในการสงครามหรือการรบนั้น ผู้บังคับบัญชานับเป็นหัวใจ
ของทหาร* ทหารในสนามรบนั้นจะอยู่จะรอดนั้นขึ้นกับปัจจัย๓ประการคือ ๑.คำสั่ง ๒.สัญชาตญาณ ๓.สกิลรบที่ติดตัว  เราจงพิจารณาที่จุดเริ่มซึ่งนั่นคือ คำสั่ง คำสั่งนี้
มาจากผู้บังคับบัญชา คำสั่งหรือมิชชั่นที่ได้รับมอบหมาย จะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นขึ้นอยู่กับ สัญชาติญาณและสกิลรบของทหาร เราลองมาคิดดูว่า หากผู้บังคับบัญชาคนออกคำสั่งคนสร้างมิชชั่น ออกคำสั่งโง่ๆ ออกคำสั่งสับสน ออกคำสั่งที่ไม่มีการประเมิณอัตราอยู่รอดในสนามหรือออกคำสั่งที่ไม่รัดกุม ทหารในสนามรบจะเหลือเพียงแค่สองสิ่งในการดำรงชีพดำรงการรบในสนามเท่านั้น นั่นก็คือสัญชาติญาณและความสามารถทางทหารเฉพาะตน  เช่นนี้แล้วเราจะหวังชัยชนะในมิชชั่นนั้นๆได้อย่างไร


- การออกคำสั่งนั้น ใครๆก็ออกได้สั่งได้ แต่การออกคำสั่งหรือการบัญชาการรบของทหารนั้น แตกต่างจากการออกคำสั่งทั่วๆไป เพราะผลของคำสั่งนั้นมีเจ็บมีตายแฝงอยู่ดังนั้นพื้นฐานในการบัญชาการรบของคนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ควรจะมีอย่างเหมาะสมตามสภาวะการณ์ การบัญชาการรบได้ กับ การบัญชาการรบเป็น มันคนละเรื่องกันสกิลติดตัวของนายทหารที่จบจาก รร.หลักของเหล่าทัพ มีการแยกแยะมาแล้วตั้งแต่เริ่มต้น การจบออกไปเป็นผู้นำหน่วยทหารขนาดเล็ก เพื่อสั่งสมประสบการณ์นั้นมีผลต่อวันข้างหน้า และแน่นอนว่ามีผลต่อชีวิตทหารผู้น้อยใต้บังคับบัญชาอีกนับสิบนับร้อย ประสบการณ์ในเหล่าของตนเองนานวันจะพอกพูนในการเป็นนายทหารในระดับผู้บังคับบัญชา ประสบการณ์กับความรู้ความเข้าใจในคุณลักษณะของงานในหน้าที่ของตนนั้น จะส่งผลเลิศต่อเหล่าของตนและมวลรวมของกองทัพ  เมื่อวันหนึ่งก้าวเข้าสู่ระดับบริหารจัดการกองทัพ จึงมีคำถามว่า ความรู้ความเชี่ยวชาญของนายทหารคนหนึ่งจะครอบคลุมและรู้ลึกรู้ละเอียดในทุกปัจจัยของทุกเหล่าทัพหรือไม่ จบจาก รร.หลัก เหล่าสื่อสาร เป็นนายทหารสื่อสารมาทั้งชีวิต ไม่เคยออกไปรบในสนามแบบทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ไม่เคยทำงานในเหล่ารบ แล้วจะรบเป็นไหม? จะรู้บ้างไหมว่าในสนามรบเขารบกันยังไง อาจเรียนเสธ.มา ใน รร.เสธ.สอนเรื่องพวกนี้มา แต่ประสบการณ์ในแบบทหารเหล่ารบไม่มี สกิลด้านรบคุณเป็นศูนย์ คุณมีแต่สกิลด้านช่วยรบที่เต็มสิบแล้วอย่างนี้นั้น เมื่อเกิดสงคราม และคนๆนี้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของเหล่าทัพ การบัญชากการรบ การออกคำสั่งรบ ท่านผู้อ่านทั้งหลายคิดว่าจะเป็นอย่างไร


- ทางออกสำหรับปัญหาอย่างนี้นั้น กองทัพไทยมีแบบแผนที่ไว้อุดรูรั่วมาแล้วตั้งนานนม นั่นคือการมีคณะเสธ.ประจำ ผบช. กองทัพไหนๆทั่วโลกเขาก็มีกันทั้งนั้น แต่การใช้ประโยชน์จากคณะเสธ.ของตนนั้นจะช่วยในการบัญชาการรบ การออกคำสั่งรบ ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น นั่นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และสกิลทางทหารของตนเท่านั้น การตัดสินใจแนวคิด ประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจ หากมิได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่มาเรียนเอาจากคำบอกเล่าที่ผ่านตัวหนังสือหรือถ้อยคำ ปัญญาในการเอาชนะปัญหาในรูปแบบนักรบหรือรูปแบบของแม่ทัพผู้นำทัพสั่งทัพ จะมิบังเกิดในใจอย่างแตกฉาน การฟังบรรยายสรุป การบรีฟของคณะเสธ.ที่รวบรวมข้อมูลการรบ ล้วนแล้วแต่อยู่บนกะบะทราย อยู่บนกระดานบรีฟ อยู่ในแผนที่ หากขุนทัพไม่มีประสบการณ์ในการรบหรือไม่มีสกิลรบในระดับสูง ศึกนี้เราจะแพ้ทางตั้งแต่ทหารในขนพร.ยังมิได้ออกรบ  


-นายทหารที่อยู่เหล่ารบหลักและมีสกิลรบหลักในระดับสูง ควรได้เติบโตในแนวทางของสายกำลังรบ นายทหารที่อยู่เหล่าช่วยรบ เหล่าสนับสนุนการรบ ควรเดินไปตามเส้นทางสกิลของตนในระดับสูงๆหน้าที่ใครหน้าที่มันคุณลักษณะใครคุณลักษณะมัน  บ่มเพาะสั่งสมประสบการณ์ในความชำนาญการของตนให้เยี่ยมยอดตามต้นทางของตัวเอง กองทัพควรมีหลักหรือระเบียบที่มั่นคงในเรื่องอย่างนี้ ฝ่ายเสธ.ก็ควรเติบโตในฝ่ายเสธ.เพาะบ่มความรู้และสกิลพิเศษของตนให้สูงสุด มันจะดีแค่ไหนหากกองทัพบกไทยมี ผบ.ทบ.ที่ผ่านการรบมาโชกโชน เติบโตมาจากราบม้าปืน เรามีเสธ.ทบ.ที่รู้ลึกรู้จริงในการเป็นแม่บ้านทบ.ที่ต้องรู้ว่าในบ้านต้องทำอะไรก่อน-หลัง ต้องการอะไรเพิ่มเติม ต้องแก้ไขต้องดูแลคนในบ้านอย่างไร เรามีแม่ทัพทั้ง๔ภาค ที่เก่งกล้าสามารถในเชิงรบผ่านการเป็นทั้งผู้บัญชาในสนามและผู้ถูกบัญชาในสนามมาโชกโชน เรามีผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่เป็นสุดยอดในงานแบบรบพิเศษเพียงพอที่จะเป็นกองทัพภาคที่๕เพื่อเป็นสกิลหมู่พิเศษสำหรับกองทัพบก อย่างไรก็ดี หากกองทัพไทยยังคงมิแยกคุณลักษณะทางทหารให้ชัดเจนในทุกระดับ ยังคงมิมั่นคงในแบบธรรมเนียมที่กองทัพเคยมีมาในอดีต วันหนึ่งหากเกิดสงคราม เราคงได้เห็นการตะลุมบอนมั่วๆในสนามรบของทหารทุกประเภทแบบครั้งรบกับลาว-เวียดนามในครั้งก่อนอีกแน่นอน และหากคู่ศึกเรามิใช่ลาว-เขมร-เวียดนาม แต่หากว่าเป็นพม่า เราจะได้รับบทเรียนของการบริหารจัดการกองทัพอย่างมือสมัครเล่นอย่างแสนสาหัสกว่าครั้งศึกช่องบก-ร่มเกล้า หรือหากคู่ศึกเป็นมาเลย์เซีย ยุคนี้แล้วความใหญ่กว่าของประเทศมิใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไปแล้ว เราจะเอาหน้าของประเทศไปไว้ที่ไหนหากเราป้องกันดินแดนปลายสุดด้ามขวานไว้ไม่ได้ ตายไปเมื่อไรผีปู่ย่าตายายบรรพบุรุษไทยคงรอกระทืบเราซ้ำพร้อมด่าว่า -ไอ้ลูกหลานระยำ รบไม่เก่ง รบไม่เป็น ไม่ทำนุบำรุงกองทัพให้พร้อมสรรพ แผ่นดินแค่ห้าแสนกว่าตารางไมล์พวกมึงตั้งเกือบ๗๐ล้านคนใยมิมีผู้กล้าที่จะรักษาไว้ได้เชียวหรือ การเป็นนายพลแม่ทัพขุนทหาร หากมิรู้จักกองทัพตน มิรู้จักหน้าที่ของตน แล้วมึงจะเอาอะไรไปสู้ข้าศึก(รู้สึกว่าผีปู่ย่าตายายจะด่ายาวไปหน่อย)











Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 16:09:51 น. 0 comments
Counter : 530 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Westpoint
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




* ทหารต้องมีวินัย วินัยเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมกองทัพ ทหารในกองทัพคือผู้ถืออาวุธของแผ่นดิน คำสั่ง สำหรับทหารนั้นคือสิ่งสำคัญที่เราไม่อาจละเลยได้ หากทหารทุกคนในทัพเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่นำพาต่อวินัยในการเป็นผู้ถืออาวุธของชาติ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย อาวุธเล็กอาวุธน้อย กองทัพจะเป็นกองโจร ในการมีการใช้ในการถือครองอาวุธของแผ่นดินด้วยหน้าที่นั้น วินัยล้วนเป็นหลักทั้งสิ้น ในสังคมทหาร ในกรมกองทหาร ไม่มีคำว่าประชาธิปไตย ไม่มีการออกสิทธิออกเสียง ไม่มีโหวต ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การวางปืนแล้วหันหลังออกจากแนวไป ไม่สนใจไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิว่าด้วยเหตุผลใดไม่ว่าในสนามรบหรือในที่ตั้ง นั่นคือการหนีทัพ ในสนามรบนั้นหากทำอย่างนี้ ถูกยิงเป้าทันที หากทำนอกสนามรบ นั่นคือการละทิ้งหน้าที่ มีโทษไม่น้อยเหมือนกัน มีทหารอีกมากมายนักในกองทัพที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชาไปทุกเรื่อง แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้น เราไม่มีสิทธิโต้แย้งใดๆในคำสั่ง สิ่งเดียวที่ทำได้สำหรับระดับปฎิบัติคือ เมื่อเราเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ผิด เป็นคำสั่งที่ผิดศีลธรรมจรรยาของทหารแห่งชาติที่ดี ไม่ว่าด้วยแง่มุมใดๆ เรายังคงต้องปฎิบัติไปตามคำสั่งนั้น เราอาจทำให้ไม่สำเร็จ ทำได้แค่นี้เท่านั้น เราทำแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ นี่เป็นทางออกเดียวเท่านั้นของระดับผู้ปฎิบัติหรือระดับสั่งการในสนามเล็กๆ รูปการณ์อย่างนี้มิใช่ว่ามิเคยมี ตัวอย่างมีให้ดูมาแล้วจากในอดีต เรามิได้ผิดวินัย แต่เราทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในเบื้องลึกในจิตใจเท่านั้น นี่เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมทหารค่อนกองทัพ ถึงต้องทำอย่างที่ประชาชนทุกคนเห็นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในรร.ทหารในระดับเริ่มต้น ก้าวย่างแรกของการเป็นทหาร ทุกคนในกองทัพจะต้องถูกหล่อหลอมเรื่องวินัยอย่างสุดขั้ว รร.ทหารที่ไหนๆในโลกก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะทุกคนในโลกรู้กันดีว่า ผู้ที่จะจบออกไป จะเป็นผู้ที่ต้องถืออาวุธของชาติ และจะต้องใช้อาวุธในมือไปตามหน้าที่ และวินัยที่ รร.ทหารเฝ้าหลอมให้ทหารทุกคนนั่นก็คือ วินัยในการมีหน้าที่ ส่วนการจะถือจะใช้อาวุธในมือของตนตามหน้าที่และคำสั่งนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกเฉพาะตนในความเป็นชาติ และความเป็นคนไทยเท่านั้น *นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะมีอำนาจเหนือกว่า หน้าที่ในทางเป็นจริงของทหาร *
Friends' blogs
[Add Westpoint's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.