Group Blog
 
All blogs
 

งานหนังสือกลับมาแล้ววว

วันนี้ได้แวบไปงานหนังสือมาด้วย หลังจากงานเปิดมาได้หลายวัน และเราก็ง่วนอยู่กับรายงานปิดเทอม จนไม่ได้มีโอกาสแวะไปซะที (รู้สึกละม้ายกะเด็กประถมทำการบ้านปิดเทอมยังไงยังงั้น) แต่ค่อนข้างแปลกใจตัวเองที่ยิ่งงานหนังสือปีหลังๆมา ก็ยิ่งได้หนังสือน้อยลงไปทุกที สงสัยว่าอาจจะเพราะช่วงหลังๆ นี้ไม่ได้ซื้อนิยายแปลแฟนตาซีของเพิร์ลแล้ว และก็หมดเรี่ยวแรงจะไปสู้กะฝูงชนในบูทอะเดย์ เลยตัดบูทดูดเงินไปแล้วสอง ที่เหลือก็บูทที่คุ้นเคยกันดีอย่าง ระหว่างบรรทัด กับ open books และก็มีบูทหน้าใหม่ที่แรงขึ้นมาอย่างน่ากลัวอย่าง freeform ตามมาเป็นระยะ

ไปถึงงานก็แวบเข้าแพลนนารี่ฮอลล์ และแอบตกใจเล็กน้อยที่บูทอย่าง open มาโผล่อยู่ในแพลนนารี่ และด้วยความตกใจก็เลยได้หนังสือมาแบบงงๆ 2 เล่ม คือที่อยู่ของหัวใจ กับทุนนิยมที่มีหัวใจ


ที่อยู่ของหัวใจ เขียนโดยคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ เล่มนี้หาซื้อในร้านหนังสือข้างนอกค่อนข้างยาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เป็นหนังสือแนวที่เค้าถนัดเหมือนเคย พวกความเรียงเกี่ยวกับชีวิตผู้คน เรื่องความเป็นไปในสังคม ต่างๆ นาๆ มากมาย และถึงจะยังไม่ได้เปิดอ่านเลยซักหน้าจนถึงตอนนั่งพิมพ์อยู่นี่ ก็มั่นใจว่าคงเป็นงานที่เจ๋งมากๆเหมือนเดิม เหมือนที่เคยเขียนชื่นชมไว้ใน Entry เก่าๆ หลายต่อหลายหน พอได้เล่มนี้มาก็เป็นว่าเรามีหนังสือคุณวรพจน์ครบทุกเล่มแล้ว และจะติดตามอย่างมุ่งมันต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน (ขอสารภาพว่าตอนนั่งพิมพ์อยู่นี่ แอบเปิดอ่านแวบหนึ่ง และแทบจะอยากไปนั่งอ่านต่อ โดยผลัดเรื่องการอัพบลอกไว้ทีหลัง 555) ส่วนหนังสือที่ได้จาก open อีกเล่มคือ


ทุนนิยมที่มีหัวใจ ของคุณสฤณี อาชวานันทกุล หรือคนชายขอบที่หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินชื่อ เล่มนี้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์จริงจัง ซึ่งเอาเรื่องที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกันอย่างเศรษฐกิจระบอบทุนนิยมซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการขูดรีด และการอำนวยความสะดวกให้ผู้มีฐานะสูงกว่าเหยียบย่ำคนที่จนกว่าและด้อยโอกาสกว่า แต่เอามารวมกับเรื่องของหัวใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อสังคม ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ และด้วยที่นิยมคุณสฤณีเป็นทุนเดิม เลยไม่พลาดเล่มนี้

ต่อมาก็เดินวนเวียนอยู่ในแพลนนารี่ จนไปเจอบูทฟรีฟอร์ม สำนักพิมพ์มาแรง(มากก) ขยันออกหนังสือน่าสนใจมาได้อย่างต่อเนื่อง เลยได้มาอีก 2 เล่ม(ซึ่งจริงๆ ออกมาซักพักแล้ว แต่รอซื้อในงาน) คือ


เหตุเกิดเพราะเชือกเส้นเดียว หนังสือแปลโดยคุณมนันยา อีกหนึ่งในนักแปลไอดอลของข้าพเจ้า หน้าปกเรื่องนี้ถึงกับโปรยว่า รวมสุดยอดเรื่องสั้นขั้นเทพ เล่มที่ 2 ของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ ซึ่งจริงๆ ก็เหมือนว่าเป็นเล่มต่อของ เงื้อแล้ว ก็ต้องฟัน รวมเรื่องสั้นแนวๆ ที่คุณมนันยานิยมแปลตั้งแต่แปลให้สนพ สามสี ซึ่งเราก็ติดตามมาเนิ่นนานแล้ว และก็ยังคงตามต่อไปอย่างไม่ลดละ


อีกเล่ม ผู้ชายเหมือนระเบิด เอ่อ สารภาพว่าเล่มนี้เล็งไว้ตั้งนานแล้ว เพราะคำโปรยปกหน้ากับปกหลัง ปกหน้าคุณ’ปราย พันแสง ให้คำนิยมไว้ว่า “นี่คือพันธุ์หมาบ้าฉบับระเบิดสีชมพู” ช่างฟังดูน่าประหลาด และน่าอ่านขึ้นมาอีก 27.5% ส่วนปกหลังที่อ่านแบบผ่านๆ งงๆ จนโดนประโยคที่ตัวเอกไปยืนสาบานกับพจนานุกรมต่อหน้าคุณอาแมคโดนัลด์เรื่องมิตรภาพต่างเพศที่ไม่เจือความรักแบบหนุ่มสาว ก็เลยยิ่งสะดุดๆ ว่าคงเป็นหนังสือที่ยียวนได้ที่เลยทีเดียว พอเจอในงานนี้ก็เลยไม่พลาดจะหยิบมา

ต่อไปก็เดินในแพลนนารี่จนทั่ว และแปลกใจตัวเองอย่างมากที่ไม่ได้อะไรเพิ่มเลยซักเล่ม ก็เลยเดินออกมาเพื่อไปเยี่ยมเยียนบูทขาประจำอย่างบูทระหว่างบรรทัด ได้ไปทักทายพี่แป๊ด แล้วก็ได้หนังสือกลับมาพอเป็นพิธี(แต่เยอะสุด) ประกอบด้วย


คำสาปร้านเบเกอรี่ รวมเรื่องสั้นของฮารูกิ มูราคามิ ที่หลายๆ คนคงรู้จักกันดี อยากจะบอกว่าเล่มนี้รอมาตั้งแต่อ่านเส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน จบ และรู้ว่าจะมีตามมาอีกสองเล่ม พอได้รู้ว่าออกในงานนี้ก็หยิบแบบไม่ต้องพิจารณาอะไรให้มากมาย พร้อมถามไถ่ถึง “หนังสือวิ่ง” ของลุงมู พี่แป๊ดบอกจะออกวันพุธ ก็เลยเป็นการนัดแนะไปโดยปริยายว่าเดี๋ยวคงได้เจอกันอีกรอบ ด้วยความมุ่งมั่น


อีกเล่มที่ได้มา คือ เคหวัตถุ ของคุณอนุสรณ์ ติปยานนท์ ติดใจงานเขียนคุณอนุสรณ์ตั้งแต่ ลอนดอน กับความลับในรอยจูบ แล้วก็เพลงรักนิวตริโนที่อ่านจากบลอกพี่แป๊ด คุณอนุสรณ์เขียนหนังสืออ่านง่ายๆ เบาๆ แต่เป็นชิ้นเป็นอันและมีเนื้อหาที่แน่นมาก ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้คนอื่นเข้าใจได้ เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้คงต้องลองอ่านดูเอง (โฆษณากันเห็นๆ 555) ใครอยากลองอ่านงานคุณอนุสรณ์ ขอเชิญได้ ที่นี่


เล่มสุดท้ายที่ได้จากระหว่างบรรทัด คือ ONCE UPON SOMETIMES หนังสือภาพประกอบคำบรรยาย (หรือคำบรรยายประกอบภาพ) ที่เรียกว่า Graphic Novel ของคุณทรงศีล ทิวสมบุญ ที่รวมมาจากคอลัมน์ในหนังสือ a day ซึ่งเราก็แอบงงเล็กน้อยว่าทำไมกลายเป็นแพรวสำนักพิมพ์ เอามาพิมพ์ขาย แต่ก็นั่นแหละ เรื่องของเค้า เรามีหน้าที่ซื้อมาอ่านด้วยความนิยมชมชื่นแค่นั้น เล่มนี้เคยอ่านมาบ้างใน a day บางเล่ม แล้วก็ยังนิยมทั้งลายเส้นและลายปากกาของคุณทรงศีลเหมือนเดิม จึงพลาดมิได้ด้วยประการทั้งปวง


เสร็จจากบูทระหว่างบรรทัดก็เดินโซน C1 C2 จนทั่ว แล้วก็ได้หนังสือมาอีก 2 เล่มถ้วน - -‘’ น้อยจนน่าตกใจจริงๆ งานหนังสือรอบนี้ เล่มที่ว่าคือ คนชำรุดหรือมนุษย์โรแมนติก ของคุณอุทิศ เหมะมูล อันที่จริงเห็นเล่มนี้นานมากแล้วในร้านหนังสือข้างนอก แต่ก็ยังยึกยักไม่ยอมซื้อซะที ซึ่งที่จริงคือชอบตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว ละเป็นความเรียงแนวที่นิยมอยู่อีก ยังไงซะก็ต้องซื้อ ไม่วันนี้ก็วันไหน ละสุดท้ายเจอในงานหนังสือก็เลย เอาวะ ไม่รู้จะหลบยังไงแล้ว จัดไปอีกเล่ม


ส่วนอีกเล่มที่ได้มาคือหนังสือขึ้นหิ้งของหลายๆ คน อย่าง ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต ของมิลาน คุนเดอรา ที่ชื่อหนังสือพูดถึงความ “เบา” แต่เนื้อเรื่องกลับโดดเด่นเรื่องความ“หนัก” อันที่จริงเล่มนี้หามานานมากแล้ว แต่ไม่เคยเจอที่ไหนเลยจริงๆ แล้วไปเจอที่บูทอะไรซักบูท จำไม่ได้ น่าจะคบไฟละมั้ง ก็เลยต้องซื้อมาเก็บไว้รออ่านอีกรอบอย่างเสียมิได้

หลังจากนั้นก็ไปเดินโซนซีเอ็ดกับมติชน ซึ่งก็เป็นอีกปีที่ไม่ได้หนังสืออะไรจากโซนนั้นเลย เป็นอันว่าหมดภารกิจเพียงเท่านี้ แต่ปรากฏว่าเพื่อนที่ไปกัน(แต่แยกกันเดิน)ด้วยยังเดินไม่เสร็จ เลยแวะเข้าไปเดินในแพลนนารี่ฮอลอีกรอบ และแวะบูท open อีกรอบ และได้หนังสือมา 2 เล่ม อีกรอบ คือหนังสือ


สมควรตาย ของคุณศักดิ์สิริ มีสมสืบ ก็เป็นแนวเดิมที่เรานิยมซะเหลือเกิน คือพวกรวมเรื่องสั้น ประกอบกับคำนิยมของหลายๆ ท่านที่เราชื่นชม อย่างคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา หรือคุณศุ บุญเลี้ยง หรือแม้แต่ท่านเจ้าสำนักไต้ฝุ่น ปราบดา หยุ่น เล่มนี้เลยตัดสินใจซื้ออย่างง่ายดาย เนี่ย ใครว่าคำนิยมไม่มีผลกับการเลือกหนังสือ เราขอเถียงสุดตัวเลย


ส่วนอีกเล่มที่ได้มา คือหนังสือ open house เล่มตุลาคมคะนอง 2 2002 ฉบับแหลกเหลวไม่ลดละ (ชื่อยาวดีนะ) เล่มนี้สารภาพว่าซื้อเพราะเห็นราคาลดเหลือ 50 บาท อันที่จริงเห็นและหยิบหลายต่อหลายต่อหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อซะที ซื้อแต่เล่มมีนาอาฆาตมาเล่มเดียว แล้วก็อ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น จนซื้อเล่มนี้มาพึ่งคิดได้ว่าแล้วทำไมตอนแรกไม่ซื้อเล่มอื่นซะที(วะ) จนเสร็จ จ่ายเงิน พึ่งรู้อีกรอบว่า สมควรตาย ที่เลือกไว้เล่มแรก ก็ลดเหลือ 50 บาทอีกเหมือนกัน แอบดีใจอยู่ลึกๆ ฮาๆ สรุปเข้าบูท open รอบสอง เสียไปร้อยบาทถ้วน ได้หนังสือเจ๋งๆ มาอีก 2 เล่ม สบายใจ

แล้วก็เดินเตร่ไปเตร่มาอยู่ในแพลนนารี่จนทั่วอีกรอบ และไม่ได้อะไรอีกรอบ จนกระทั่งออกไปเจอเพื่อน กำลังจะกลับ แล้วเพื่อนเป็นแฟนหนังสือนิ้วกลมตัวยง เลยพาเพื่อนไปยุซื้อ ผม, มูราคามิ ที่บูทระหว่างบรรทัด แล้วยุไปยุมา เพื่อนดูนั่นดูนี่ ได้ไปอีก 4-5 เล่ม สบายไป ขากลับถึงกับมีถามว่า “ตกลงมึงได้กี่เปอร์เซนต์จากบูทนั้น” (ฮ่าๆ)

งานหนังสือรอบแรกของเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ และคิดว่า(น่าจะ)ได้แวะไปอีกรอบแหงๆ ไว้ได้อะไรเพิ่มเติมจะมาอัพนะคร้าบ

ยังไงถ้ายาวเกินก็ขออภัยด้วยครับ

ขอบคุณใครก็ตามที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ (ถ้ามีหลงมาอะนะ)




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2552    
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 0:57:25 น.
Counter : 1322 Pageviews.  

Usavich

ก่อนอื่นคงต้องขอร่วมแสดงความยินดีกับ ลับแล แก่งคอย ที่คว้ารางวัลซีไรท์ของปีนี้ไปครอง สมใจกองเชียร์หลายๆ ท่าน

คิดอยู่นานว่าจะอัพเรื่องอะไรดี เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลย อ่านแต่การ์ตูนออกใหม่ไม่กี่เล่ม จนสุดท้ายนึกได้ว่ายังมีเรื่องน่าอัพมากๆๆ อยู่ คือ การ์ตูนอนิเมชั่นที่เราพึ่งได้ดูเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน



Usavich !!!
อนิเมชั่นสัญชาติญี่ปุ่นที่ออกแบบคาแรคเตอร์ได้ประหลาด(และเจ๋ง)ที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยดูมา เป็นเรื่องของกระต่าย 2 ตัว ที่เป็นรูมเมทกัน ในคุก !! เจ้าตัวขวาชื่อ Putin กระต่ายเอ๋อๆ เซ่อๆ ส่วนตัวซ้าย Kirenenko มาเฟียตัวจริงเสียงจริง (อันที่จริงรู้ชื่อเจ้าสองตัวนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาหรอก เพราะสุดท้ายในเรื่องมันก็ไม่ได้มีบทพูดหรือเรียกชื่อกันอยู่ดี) แต่ยังไงก็ไม่กล้าเล่ามาก เดี๋ยวหลุดสปอย เพราะเนื้อเรื่องหลักๆ มันไม่ค่อยมีไรเท่าไหร่นัก

การ์ตูน”เกือบ”ใบ้ เรื่องนี้เป็นผลงานของ MTV Japan ทำออกมา 3 ซีซั่น ซีซั่นละ 13 ตอน แต่ละตอนก็สั้นนี๊ดดดเดียว แต่ละตอนก็ฮาสุดๆ สิ่งที่เราชอบที่สุดในอนิเมนี้คือเสียงประกอบ เรื่องนี้ทำเสียงประกอบดีมากกกกกกกกกกก สมแล้วที่ผลิตโดย MTV

ขอเน้นย้ำ อย่าลืมเปิดลำโพงตอนดูเน้อออออออ ~~~


อันนี้ตอน 1-5



6-10



11-15



หลังจากนี้ เหมือนจะไม่มีคลิปรวมตอน อาจจะต้องไปหาดูกันต่อทีละตอนเอาเองใน youtube อะครับ (หลอกให้อยากดูต่อ แล้วหักคอให้ไปแสวงเอาเอง )




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2552    
Last Update : 31 สิงหาคม 2552 9:20:34 น.
Counter : 1235 Pageviews.  

แวะเวียน อมรินทร์ บุ๊ค แฟร์ 2009

ก่อนอื่นคงต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอวยพรวันเกิดใน Entry ที่แล้ว อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง(เหรอ !?) จนน่าตกใจ ถึงปกติเราจะไม่ค่อยได้ใส่ใจกับวันนั้นเท่าไรนักก็ตามที แต่ก็ขอบคุณหลายๆ ครับ

เราพึ่งจะว่าง(อีกแล้ว)จากทั้งงานราษฎร์และงานหลวงทั้งหลาย แล้วพอดีไปเห็นในบลอกพี่แป๊ด (Grappa) ว่าช่วงนี้มีงานอมรินทร์ บุ๊ค แฟร์ เมื่อวานเลยแวะไปดูซะเล็กน้อยก่อนไปเรียน

งานจัดที่ศูนย์สิริกิติ์บริเวณ Hall A เหมือนปีที่แล้ว สำนักพิมพ์พันธมิตรก็อุ่นหนาฝาคั่งเหมือนเดิม หนึ่งในนั้นมีบูท (หรือจะเรียกว่าชั้นวางดี) ระหว่างบรรทัด + a day ที่เราไปแวะเวียนอยู่นานสองนาน เพราะโดยปกติแล้ว ในงานสัปดาห์หนังสือฯ บูทระหว่างบรรทัดจะมีหนังสือต้องตาต้องใจเราอยู่เสมอๆ(เพราะบูทระหว่างบรรทัด แต่มีหนังสือของสนพ.เพื่อนพ้องมาร่วมวางด้วยเยอะมาก ทั้งไต้ฝุ่น กำมะหยี่ สนพ.หนึ่ง ฯลฯ ซึ่งรวมๆ กันแล้วจะมากกว่าหนังสือของระหว่างบรรทัดเองเสียอีก) ส่วน a day ช่วงหลังๆ ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เราซื้อหนังสือจากงานหนังสือฯ เป็นหลัก แล้วบูท a day นับวันก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นๆ กลับกันกับความพยายามในการเบียดเสียดผู้คนเข้าไปแย่งชิงซื้อหนังสือของเรา ทำให้ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้ซื้อหนังสือ a day จากในงานหนังสือฯ แต่ก็ยังแวะเวียนซื้อจากที่อื่นอยู่บ้างตามความโหย ส่วนบูทอื่นๆในงานที่เราแวะดูก็มีบูทเนชั่น แล้วก็บลิส (อันที่จริงก็แวะดูทุกบูทแหละ งานไม่ได้ใหญ่มาก เดินแปปๆ ก็ทั่วแล้ว) ส่วนหนังสือของอมรินทร์เจ้าของงาน ไม่ค่อยจะถูกใจเราเท่าไหร่ สงสัยจะคนละแนวกัน แต่สุดท้ายก็ได้หนังสืออมรินทร์มาเล่มนึง คือ

ลับแล, แก่งคอย ของคุณอุทิศ เหมะมูล หนังสือที่นำเสนอเรื่องราวแบบไทยๆ เล่าเรื่องราวชีวิตของคน 3 ชั่วอายุ ที่มีเรื่องน่าสนใจต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย หนังสือเล่มนี้เข้าชิงซีไรท์ของปีนี้ด้วย โดยพี่แป๊ดรีวิวไว้ ที่นี่ ส่วนเล่มอื่นที่ได้มา มีอีก 3 เล่ม –

สมุดวาดเขียน ของคุณโต้ง ไตรรงค์ ประสิทธิผล หรือที่หลายคนรู้จักในนาม หัวแจกัน) ที่เคยมีหนังสือรวมเล่มมาแล้วเป็นการ์ตูนหลายช่องจบ แนวเสียดสีๆ สังคมนิดหน่อย (ซึ่งเรานิยมเป็นอย่างสูง) ส่วนเล่มนี้เป็นบทความผสมการ์ตูน เป็นอีกมุมที่เราไม่เคยคิดว่าคุณหัวแจกันจะเขียนหนังสือ แต่งานออกมาก็สนุกสนานดีไม่แพ้การ์ตูนเลยทีเดียว

เล่มต่อไป – เสียงเรื่องเล่าจากเครื่องฉาย เรื่องสั้นโดยนักเขียน 6 ท่าน : อนุสรณ์ ติปยานนท์ 10 เดซิเบล อุทิศ เหมะมูล กิตติพล สรัคคานนท์ ภาณุ ตรัยเวช และปราบดา หยุ่น ที่แค่เห็นชื่อนักเขียนเหล่านี้มารวมกันเขียนเรื่องสั้นให้หนังสือเล่มหนึ่ง ก็แทบไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว แถมเล่มนี้ยังเป็นหนังสือพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นเรื่องสั้นที่มีทั้ง 2 ภาษา ในเล่มเดียวกัน คือใน 6 เรื่องสั้นนั้น นักเขียนแต่ละคนก็จะเขียนและ/หรือแปลออกมาเป็นทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย แล้วการจะได้เห็นสำนวนเขียนและ/หรือแปล ของนักเขียนที่เราชื่นชอบ ออกมาเป็นทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย มันเป็นเรื่องสุดยอดมากเลยมิใช่หรืออออ ???? (เราว่าเล่มนี้หาซื้อที่อื่นยากมาก เพราะจริงๆ เห็นตั้งแต่ที่พี่แป๊ดเขียนถึงไว้ตั้งแต่จบงานหนังสือช่วงเม.ย. ที่นี่ แต่ไม่ได้เห็นหนังสือวางขายที่ไหนเลย)

ส่วนเล่มสุดท้าย - คนวัดโลก ที่เราไปเห็นในบลอกของคุณ the grinning cheshire cat ที่นี่
เขียนไว้ว่า นิยายฮิปผสมฮา แปลจากภาษาเยอรมัน - คนที่อ่านแล้วเขาว่ามันเป็นเรื่องของ nerd สมัยโบราณ ขอสารภาพว่า แค่ 2 ประโยคนี้ก็ดึงดูดใจเรามากพอที่จะซื้อแล้วแฮะ ใจง่ายจริงๆ - -‘’

สรุปไปงานอมรินทร์ บุ๊ค แฟร์ ได้หนังสือกลับมา 4 เล่ม ถุงผ้าตุงกันไปเลยทีเดียว(และกลับกัน กระเป๋าตังค์แบนไปเลยทีเดียว) แถมก่อนเข้าเรียนไปได้ CD เพลงพี่เจี๊ยบ วรรธนา ชุดใหม่ Everything I~Sea มาอีกแผ่น(ดีใจสุดๆ) ไว้โอกาสหน้าว่างๆ (อาจ) จะมาเขียนถึง

ช่วงนี้เรียน มีวิชาหนึ่งคือภาษาไทย อาจารย์ให้เขียนงานส่ง แค่ย่อหน้าเดียว ที่ช่วยเน้นย้ำความจริงเรื่องปัญหาในการเขียนของเรา คือ “จบไม่ลง” ตอนเริ่มก็เริ่มมาดีๆ อยู่หรอก แต่พอกลางๆ เข้าสู่ปลายๆ เริ่มจะออกอาการตีบตัน และไม่รู้จะจบยังไง เป็นแบบนี้แทบทุกงาน (ที่ยกเรื่องนี้มาพูดเพราะจะบอกว่าตอนนี้ก็เริ่มจะตีบแล้วเช่นกัน 555)

ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ
โอกาสหน้าพบกันครับ

ปล. พึ่งดูวันที่แล้วนึกได้ว่าห่างจาก Entry ที่แล้วเดือนนึงแน่ะ ว่าจะพยายามไม่ให้ห่างขนาดนี้แล้วเชียวนะเนี่ย
ปล.2 เสียดายงานอมรินทร์ไม่มี open books ไปเปิดบูทด้วย แต่คิดในทางที่ดีก็ดีแล้วละมั้ง ไม่งั้นอาจจะมีแววเสียทรัพย์อีกหลาย แค่นี้ก็กรอบเต็มทีแล้ว
ปล.3 ตอนเขียนเสร็จจะอัพขึ้นบลอก พึ่งเห็นว่าพี่แป๊ดมีมาทวงให้อัพบลอกด้วย ขอบคุณมากครับพี่ จะพยายามไม่ให้ห่างเกินเดือน และจะให้ถี่ขึ้นเท่าที่โอกาสจะอำนวย




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 17:30:23 น.
Counter : 598 Pageviews.  

Up n' Departures

ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอม การบ้านเยอะ งานแยะ เลยไม่ได้อัพบลอกเดือนกว่าแน่ะ
เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ดูหนัง 2 เรื่อง ในเวลาใกล้ๆ กัน คือ Up และ Departures เลยอยากอัพเขียนบลอกขึ้นมาซะ ไหนๆ ก็พอจะมีช่วงว่าง เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ก็จะยิ่งขี้เกียจเขียน ขี้เกียจอัพ แล้วสุดท้ายคงจะกลายเป็นบลอกร้าง ไม่มีทั้งคนอ่านและคนเขียน



เรื่อง Up นี่เพื่อนหญิงคนหนึ่งไปดูมาก่อน และบอกว่าน้ำตาท่วม เราก็แซวขำๆ ไป เพราะคิดว่าอนิเมชั่น ยังไงก็คงไม่บิ้วอะไรมาก คงเหมือนการ์ตูนเด็กๆ ไปตามเรื่อง

เรื่องราวหลัก เป็นการเดินทางของคุณตาหัวดื้อคนนึง กับลูกเสือตุ้ยนุ้ยคนนึง ที่พยายามจะพาบ้านที่เป็นตัวแทนของคู่ชีวิตคุณตา ไปยังน้ำตกที่ทั้งสองใฝ่ฝันไว้ว่าจะไปด้วยกัน จนไปได้เพื่อนร่วมทางเป็นหมาพูดได้(มาก) ตัวนึง กับนกหายากอีกตัวนึง โดยภาพรวมการผจญภัยไม่ได้สะดุดใจเรามากนัก ก็ทั่วๆไป เริ่มง่ายๆ จบง่ายๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ดี แต่ไม่ประทับใจเท่าแรททาทูอี้ หรือวัลลี

แต่ที่มาที่ไปของการผจญภัยนี่สิ ฉากบิ้วอารมณ์ทั้งหลายนี่ เจอเข้าจริงๆ น้ำตาตกครับพี่น้อง โดนไป 2 ก๊อกถ้วน ตั้งแต่เริ่ม เนื้อเรื่องหนังยังไม่ไปถึงไหน แค่ฉากย้อนอดีตของคุณตากะคู่ชีวิต เล่นเราซะน้ำตาร่วงไป 1 ก๊อก แล้วหลังจากนั้นก็โดนไปอีก 1 ก๊อก ตอนคุณตานึกถึงคุณยายรอบหลัง ก็เลยกลายเป็นว่า ที่แซวเขาไว้ ก็เข้าตัวเต็มๆ กะจะเข้าไปดูการ์ตูนชิวๆ กลายเป็นซึ้งน้ำตาร่วงไปซะงั้น ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันแฮะ

ปล. ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะดูตั้งแต่แรก แล้วมาเห็นชื่อไทย “ปู่ซ่าบ้าพลัง” นี่คงไม่ดูจริงๆอะ ชื่อโคตรไม่ดึงดูดอย่างรุนแรงเลย พับผ่า



จนมาถึงวันนี้ ไปดู Departures หนังรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ตอนแรกเข้าโรงไป หงุดหงิดเล็กน้อยกับชาวต่างชาติที่นั่งข้างหลัง คุยกันฟ่อดตลอดเวลา แต่พอหนังฉายไปนานๆ เข้า ก็ถึงกับลืมเสียงคุยโฉงเฉงข้างหลังไป เพราะหนังสวยโคตรรรรรรรรรรร งามตั้งแต่แรกจนจบ หิมะก็ขาวได้ใจ ทุ่งหญ้า ภูเขา แม่้น้ำ บ้านเรือน งามหยด ดูๆไปถึงฉากที่เป็นโปสเตอร์โปรโมต ที่ตาพระเอกนั่งเล่นเชลโล่ พื้นหญ้าเขียว ภูเขาขาว จะสวยไปไหนกัน แอบคิดใจในว่า ฉากนี้มันถ่ายมาเพื่อทำโปสเตอร์เลยรึเปล่าวะนี่ ส่วนเพลงประกอบก็เสนาะหูชะมัด คุณพระเอกแกเป็นนักเชลโล่มาก่อน เพลงประกอบต่างๆ เลยเป็นเพลงคลาสสิคซะเยอะ แถมตาพระเอกก็ได้มีโอกาสเล่นเชลโล่ให้ชาวบ้าน(รวมทั้งคนดู)ฟังอยู่หลายเพลา แล้วเราชอบเชลโล่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งแต่ดูอนิเมชั่น Gosho the cellist ก็คิดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่เสียงแปลกดี ไม่เด่นเหมือนไวโอลิน แต่ติดหูเรามากกว่า หลังจากนั้นก็หาฟังมาอยู่เนืองๆ จนมาดูเรื่องนี้เลยนั่งดูนั่งฟังไป ชิวเหลือหลาย

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ดำเนินเรื่องเนิบๆ ช้าๆ เพราะตามเนื้อเรื่องที่พระเอกเป็นคนจัดการศพก่อนเอาเข้าโลง ทั้งทำความสะอาด แต่งตัว แต่งหน้า ซึ่งทุกขั้นตอนต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปอยู่แล้ว ตัวหนังพูดน้อยมาก ปล่อยให้นั่งดู ซึบซับอารมณ์เอาเองซะส่วนใหญ่ (ซึ่งเราชอบหนังสไตล์นี้มาก) แถมยังมีช็อตบิ้วอารมณ์อยู่หลายรอบ เลยน้ำตาซึมเล็กน้อยไปตามระเบียบ แต่ไม่ถึงกับไหลเหมือนตอนดู Up ก็แปลกดีเนาะ ดูการ์ตูนน้ำตาไหลพราก ดูหนังดราม่ากลับไม่เป็นไร

ปล. เรียวโกะ ฮิโระสุเอะยังคงน่ารักเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่ดู Beach Boys (ร้อนนักก็พักร้อน) ช่อง ITV (มั้ง) มาจนตอนนี้ ผ่านมาสิบปีได้ ยังรู้สึกว่าหน้าตาเค้าไม่เปลี่ยนเลยอะ




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2552    
Last Update : 30 มิถุนายน 2552 21:31:58 น.
Counter : 776 Pageviews.  

โลกของเราขาวไม่เท่ากัน



เมื่อบ่ายแก่ๆ วันนี้ เราพึ่งอ่านหนังสือจบไปเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเล่มที่ใช้เวลาอ่านนานพอดูเลย ด้วยปัจจัยด้านเวลาที่ไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่นัก

โลกของเราขาวไม่เท่ากัน คือชื่อหนังสือเล่มนั้น เขียนโดย ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ และคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์

คุณเชน หรือ ม.ล.ปริญญากร นั้น เราเคยได้ยินชื่อมาหลายรอบ จากหนังสือคุณวรพจน์เล่มก่อนๆ และพอจะทราบคร่าวๆ ว่าเขาเป็น “ช่างภาพสัตว์ป่า” มืออาชีพ คือประกอบอาชีพถ่ายรูปสัตว์ป่าอย่างจริงจัง และเป็นคนเดียวในโลกที่เราเคยได้ยินว่าประกอบอาชีพนี้ ส่วนคุณหนึ่ง วรพจน์ นักเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสัมภาษณ์มือหนึ่งของวงการนิตยสาร แต่กลับแปลกที่เราชื่นชอบงานเขียนของเค้ามากกว่างานสัมภาษณ์เสียอีก

หนังสือเล่มนี้ เป็นการเขียน ‘อะไรก็ได้’ โดยชายทั้งสองคนนั้น คุณเชนก็เขียนเรื่องป่าเขา สัตว์ป่า เรื่องคนอนุรักษ์ป่า เรื่องชาวเขา ชาวบ้านที่อาศัยบริเวณป่า ไปตามความถนัด

ส่วนคุณวรพจน์ก็ว่าด้วยเรื่องบทสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย (เราชอบบทที่สัมภาษณ์คุณปานชลี สถิรศาสตร์ ศิลปินนักปั้นเซรามิคมากๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเงียบ) นอกจากบทสัมภาษณ์ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่คุณวรพจน์ชอบเขียน ทั้งเรื่องชีวิต สังคม ทั้งเรื่องม็อบ เรื่องความรักสวยรักงามของหญิงสาว เรื่องคลื่นวิทยุ The Radio เลยไปจนถึงเรื่องฟุตบอลโลก และอื่นๆ

ทั้งสองคนเขียนหนังสืออ่านง่าย อ่านเพลิน มากๆ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะอ่านรวดเดียวให้จบเลย แต่กลายเป็นว่าพอเริ่มอ่านแล้ว งานอื่นไหลมาเทมา จนไม่ได้มีเวลาอ่านให้จบซะที จนล่วงเลยมาถึงวันนี้ จนอ่านจบถึงเจอบทที่เอ่ยถึงชื่อเรื่อง ในบทนั้นมีข้อความดีๆ หลายประโยคเลย ขอยกมาให้อ่านกันดูซักเล็กน้อย พอเป็นพิธีแล้วกันนะ


- เด็กมีประสบการณ์น้อยกว่า วุฒิภาวะน้อยกว่า การศึกษาน้อยกว่า แต่เด็กหัวเราะง่ายกว่าผู้ใหญ่
- ไม่น่าจะเคยศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่าน ไบเบิล พระไตรปิฎก หรือผ่านการบำเพ็ญเพียรภาวนามาจากสำนักสงฆ์ใด แต่เด็กทั้งโลกมีคุณสมบัติคล้ายกันคือบรรลุแล้วในศาสตร์แห่งการให้อภัย
- ขณะที่ผู้ใหญ่จำฝังใจในเรื่องเจ็บแค้น เด็กจำได้แต่เรื่องสนุก
- เด็กไม่รู้จักยานอนหลับ และไม่เข้าใจความเครียด
- แต่เด็กทุกคนอยากจะเป็นผู้ใหญ่

- ที่จริง เวลาคนถามก็สามารถตอบได้สนุกดี แต่อยากให้เขารู้เหลือเกินว่าการไม่มีโทรศัพท์มือถือนั้นดีจริงๆ มันทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายงี่เง่าและเดินตัวเบาสบาย
- พูดไปตอนนี้ใครเขาจะเชื่อ เพราะประเทศที่รักของเราเสียเอกราชให้โทรศัพท์มือถือตั้งนานแล้ว
- เคยมีไหม วันไหนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ
- ไม่มีหรอก (น่าแปลกใจไหมว่า 10 ปีก่อน เราอยู่กันมาได้อย่างไร)

- นอกจากจะเกิดมาแตกต่างกัน โลกของเราขาวไม่เท่ากัน
- คล้ายทฤษฎีสี, ชีวิตสีขาวไม่จำเป็นต้องกักขังตัวเองอยู่ในโลกและสังคมสีขาว เพราะการโคจรไปเจอดวงดาวสีน้ำเงิน อาจทำให้เกิดการผสมกลมกลืนกันจนออกมาเป็นสีฟ้าสดใส – ก็ได้ การสุ่มเสี่ยงใช่ว่าจะน่าวิตกไปหมด
- ความขาว ดำ เทา นี่เองที่ทำให้มนุษย์ขัดแย้งกัน แต่มันก็ทำให้โลกหมุน เกิดความเชื่อ เกิดวิถี และมีการคิดค้นสร้างสรรค์


ยกตัวอย่างให้อ่านพอเป็นน้ำจิ้มแค่นี้ก่อนแล้วกัน เริ่มเกรงใจคนเขียนและสำนักพิมพ์เค้า

ตอนเราสอบปริญญาโท มีส่วนหนึ่งเป็นการสอบเรียงความภาษาไทย ตอนเตรียมตัวสอบ เราไม่รู้จะเตรียมยังไง เราเลยเลือกที่จะอ่านหนังสือคุณวรพจน์เนี่ยแหละ ไปเป็นแนวในการเขียนเรียงความตอนสอบ เพราะเรารู้สึกว่าหนังสือหรือบทความที่คุณวรพจน์เขียนนั้นอ่านง่าย เข้าใจง่าย แต่อ่านแล้วติด วางไม่ค่อยจะลง เนื้อหาไม่รุงรัง ไม่เยิ่นเย้อ และทุกๆเรื่องล้วนแฝงไว้ด้วยสาระหรือข้อคิดอะไรบางอย่าง เราชอบงานแบบนี้ชะมัด เลยขอยืมมาเป็นข้อมูลในสมอง เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้างในห้องสอบ

แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่อ่านไปน่ะช่วยอะไรได้เยอะแค่ไหนตอนเอาไปเขียนคำตอบ รู้แค่ว่าสอบผ่านมาแล้ว ก็ดีใจเหลือหลาย ต้องขอขอบคุณคุณวรพจน์ไว้ด้วยนะครับนี่

หนังสือ โลกของเราขาวไม่เท่ากัน
โดยสำนักพิมพ์ openbooks
เขียนโดย ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ และ วรพจน์ พันธุ์พงศ์
ราคา 200 บาท
หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วประเทศ
ขอเชียร์หนังสือเล่มนี้ โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 7:53:14 น.
Counter : 778 Pageviews.  

1  2  3  

วูบ วูบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add วูบ วูบ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.