เกราะเสริม VS เกราะซ้อนทับ
Challenger-2 ของอังกฤษที่เกราะหนามากและยังมีการเสริมเกราะที่ด้านข้างเข้าไปอีกชั้น ในปัจจุบันนั้นเกราะของรถถังหลักที่มีใช้อยู่จะมี2ประเภทหลักด้วยกันที่นิยมใช้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ล่ะชาติหรือบริษัท โดยเกราะทั้ง2ประเภทนี้คือ " เกราะเสริม " และ " เกราะซ้อนทับ " ซึ่งการเรียกนั้นในภาษาฝรั่งตามบทความจะเรียกว่า "second-tiered" protection systems หรือ "three-tiered" protection systems ก็แปลง่ายๆว่าระบบเกราะคุ้มกันชั้นที่2และ3 ซึ่งเป็นเกราะที่พบในรถถังหลายๆรุ่นที่เราได้ติดตามในหัวข้อ " การจัดหารถถังใหม่ของท.บ.ไทย " แต่ในภาษาไทยนั้นส่วนใหญ่เรียกตามลักษณะที่ติดตั้งหรือประกอบเข้าไปกับตัวป้อมปืน ซึ่งป้อมปืนมาตราฐานของรถถังแต่ล่ะคันนั้นจะเป็นเกราะเหล็กกล้าเดิมๆหล่อขึ้นหรือประกอบขึ้น หรืออาจจะเป็นวัสดุผสม2ชนิดขึ้นไปหล่อหรือนำมาประกอบกันเพื่อเป็นป้อมก่อนใช้เกราะทั้ง2ประเภทข้างต้นทับเข้าไปอีกชั้น แผ่นเหล็กที่ทำเกราะเสริมถูกนำมาใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2โดยฝ่ายเยอรมัน ในภาพรถถัง Sturmgeschütz III โดยภาพล่างแสดงให้เห็นถึงการถูกยิงหลายนัดและกระสุนถูกบริเวณรอยต่อระหว่างเกราะ โดยการใช้เกราะเสริมนี้ เริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่2 โดยเยอรมันนิยมแนวคิดนี้มากกว่าอังกฤษ โดยรถถังอังกฤษนั้นเน้นการสร้างตัวรถหรือป้อมเป็นเหล็กกล้าหนาสุดๆจนปืนต่อสู้รถถังมาตราฐานในยุคนั้นของเยอรมันเจาะไม่เข้า จำพวก37-50ม.ม. รถถังพวกนี้ได้แก่ มาทิลด้า(Matilda M.K.-1) ชาร์ล(Char B-1)ของฝรั่งเศส เป็นต้น ที่เกราะหนาแต่เชื่องช้ามากๆเพราะน้ำหนักตัวรถ ส่วนเยอรมันได้ประสบการณ์หลายแนวรบเพราะรถถังรุ่นแรกๆที่ใช้บุกจำพวก แพนเซอร์-1-4 แม้ว่ามีความคล่องตัวอาวุธที่รุนแรง(ในช่วงต้นสงคราม) แต่เกราะบางเกินไปแล้วพอเข้าช่วงกลางสงครามที่ แนวรบตะวันออกซึ่งการปะทะกับรถถังโซเวียต หลายๆรุ่นเช่นหัวหอกหลักT-34 แม้ว่าตัวรถเกราะจะบางแต่ตัวป้อมเป็นเหล็กหล่อหนาทั้งชิ้นแบบรถถังอังกฤษ อีกทั้งปริมาณที่เยอะ จึงทำให้ปืนที่รุนแรงของเยอรมันยิงไม่ทันหรือจัดการไม่ได้ในนัดเดียว จึงทำให้โดนยิงจากทุกทาง เยอรมันจึงต้องแก้ด้วยการนำแผ่นเหล็กทั้งแผ่นมาบังข้างรถ เวลาโดนยิงจากทางด้านข้างถึงแม้จะไม่สามารถต้านทานกระสุนไม่ให้ทะลุถึงตัวรถหรือจุดสำคัญแต่ก็ลดทอนอำนาจการทำลายของกระสุนไปเยอะเช่นกัน โดยรถถังที่ว่านี้(ไม่รวมพวกไทเกอร์ ที่เกราะหนามากจัดเป็นประเภทรถถังหนัก นับรถถังอื่นๆเช่นแพนเซอร์และแพนเธอร์ ที่เกราะบางกว่าไทเกอร์มาก แถมป้อมก็บางมีฝาเปิดหลายจุด)เช่น สตรัมเกซชุส-3(Sturmgeschütz III)ที่เป็นรถถังล่าสังหารไม่มีป้อมปืน แต่ตัวรถแบนต่ำ ซึ่งทำให้ความคล่องตัวในการหมุนรถลดลงไปจึงโดนยิงทางด้านข้าง หรือรถถัง แพนเซอร์-4อัฟส์.จี ที่ติดเกราะประเภทนี้ที่ป้อมปืนและด้านข้าง โดยหลักๆลดการทำลายของกระสุนหัวระเบิด จากบนลงล่าง รถถังในช่วงยุคสงครามเย็น M-60อเมริกา ชีฟเท่น-อังกฤษ และ T-72รัสเซีย ที่เกราะเป็นเหล็กกล้าเดิมๆเท่านั้น ถึงจะล่วงเลยยุคสงครามโลกครั้งที่2เข้าสู่สงครามเย็นรถถังหลักส่วนใหญ่เกราะยังเป็นเหล็กล้วนๆหรือวัสดุผสมที่มีการพัฒนาอยู่บ้างในรถถังอังกฤษและเริ่มชัดเจนในช่วงกลางทศวรรษ1975เป็นต้นมา รถถังหลักของนาโต้เริ่มใช้เกราะผสมทำป้อมและซ้อนด้วยเกราะชนิดพิเศษต่างๆเข้าไปอีกชั้น ในขณะเดียวกันรถถังรัสเซียหรือสหภาพโซเวียตในยุคนั้นมีจำนวนเยอะกว่ามากยังเป็นเกราะเหล็กกล้าหนาไม่ต่ำกว่า200ม.ม. เหมือนดังรถถังหลักพวก js-2 แต่ตัวรถยังบางเหมือนเดิม แก้ไขด้วยการเสริมเกราะแปะเข้าไปตามจุดต่างๆของตัวรถ โดยสามารถแปะเข้าไปที่ตัวป้อมได้รวดเร็วไม่ต้องผลิตป้อมใหม่ ทีนี้เราจะมาดูกันคร่าวๆว่าเกราะทั้ง2ประเภทมีข้อดี-เสียอย่างไรกันบ้าง การวางเกราะของ M-1 อับรามที่ป้อมกับตัวรถที่แนบติดกันมาก เริ่มที่เกราะซ้อนทับ ลองนึกภาพง่ายๆคือขนมชั้น เริ่มจากเกราะเดิมสลับด้วยวัสดุประเภทต่างๆเช่น อัลลอย์ด ไทเทเนียม เคฟลาห์ เกราะระเบิดปฏิกิริยาเคมี เป็นต้น ตามแต่ประเทศหรือบริษัทนั้นจะวิจัยหรือพัฒนา เกราะประเภทนี้มีจะติดเข้ากับป้อมได้ชิดทั้ง4ด้าน และยังมีผลในการออกแบบป้อมปืนที่มีรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยม ที่มีผลทำให้ความหนาของเกราะเท่ากันทุกด้าน ข้อดีคือความหนาเท่ากันและสามารถเสริมเกราะเข้าไปได้หลายๆชนิด จากเดิมทีป้อมนั้นมีขนาดเล็กกว่าตัวรถแต่การเสริมเกราะออกไปจะทำให้ป้อมมีขนาดเท่ากับตัวรถพอดี(เหมือนดังเราวางกล่องจากเล็กสวมด้วยกล่องใบใหญ่ออกไปเรื่อยซัก2-3ใบ)ทำให้มีมุมที่จะยิงทำลายได้น้อยมาก เพราะยังมีการเสริมแผ่นเกราะบังบริเวณแทร็คสายพานจนชิดป้อมอีกเช่นกัน ข้อเสียที่แน่ชัดคือ รถถังจะมีน้ำหนักที่มากเพื่อแลกกับเกราะที่แข็งแกร่ง และหากโดนยิงจังๆเกราะจุดนั้นต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งแผงเนื่องจากเกราะเป็นเนื้อเดียวกัน รวมถึงการดัดแปลงป้อมทำได้ยากกว่าเกราะเสริมมาก เนื่องจากถูกผลิตมาเรียบร้อยจากโรงงาน เกราะเสริม เกราะประเภทนี้เราอาจจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือการเอาแผ่นเกราะเสริมที่มีขนาดเท่ากับสมุดโดยประมาณหนาที่2-3นิ้วตามแต่ประเทศผู้ผลิตมาแปะไว้ให้ทั่วป้อม โดยอาจจะห่างจากป้อมเดิมราวๆครึ่งนิ้ว(ตรงนี้ผมไม่ขอยืนยันเพราะการออกแบบรถถังในกลุ่มนี้จะไม่เหมือนกันทุกประเทศ) โดยส่วนมากจะแปะบริเวณด้านหน้าและด้านข้าง เกราะทำมุมเฉียงเพื่อให้เกิดความหนา โดยสามารถแปะเพิ่มได้1-2ชนิด เพื่อประสิทธิภาพที่ต่างกัน แต่ส่วนใหญ่จะนิยมแปะเกราะระเบิดปฏิกิริยาที่มุ่งเน้นป้องกันการถูกยิงจากจรวดหรือปืนใหญ่กระสุนหัวระเบิดแรงสูงหรือหัวรบสองชั้น กล่าวคือแผ่นเกราะเสริมจะระเบิดทำให้หัวรบที่พุ่งมาชนระเบิดก่อนถึงเกราะหลักที่เป็นเหล็กเดิม ซึ่งทำให้ตัวรถปลอดภัยหรือลดทอนอำนาจการทำลายของกระสุนบางประเภทได้ การวางเกราะเสริมของรถถัง T-80 ข้อดีคือ สามารถดัดแปลงได้ไวและใช้ได้กับรถถังทุกรุ่นเช่น T-55/62/72/80หรือแม้แต่ M-48/60 ใช้งบประมาณไม่มาก อีกทั้งน้ำหนักยังเบามาก T-72ที่แปะเกราะเสริมไว้ทั่วคัน การติดตั้งแผ่นเหล้กบังเกราะเสริมของ T-80BM ข้อเสียคือ มันใช้ได้ในการป้องกันครั้งแรก ซึ่งหากเกราะเสริมระเบิดไปแล้วจุดนั้นก็จะเป็นช่องหรือรูที่มองเห็นถึงเกราะเดิมของป้อม ซึ่งมีผลทำให้อาจจะโดนยิงซ้ำได้ ซึ่งใช้ได้ดีในการป้องกันแล้วถอยเพื่อป้องหลักในกรณีที่หาจุดต่อตีไม่ได้ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อเกราะระเบิดจากกระสุนปืนกลหนักเจาะเกราะ12.7ม.ม.ขึ้นไป พุ่งมาชนทำให้เกราะระเบิดก่อนถูกยิงด้วยจรวดหรือปืนใหญ่จากรถถังโดยตรงเช่นกัน จึงได้มีการออกแบบให้มีแผ่นเหล็กป้องกันกระสุนพุ่งชนเกราะระเบิดก่อน อีกทั้งการวางแผ่นเกราะซึ่งช่องรอยต่อระหว่างแผ่นเกราะเสริมอาจจะสร้างปัญหาในกรณีที่กระสุนเข้าปะทะได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายชาติที่เสริมกำลังของตนเองก็เลือกจัดหารถถังมือ2เกราะเดิมๆมาดัดแปลงหรือดัดแปลงของเก่าด้วยการเสริมเกราะเข้าไปเพื่อเพิ่มอำนาจการป้องกันลดความเสียหายของตัวรถไม่ให้ถูกยิงทำลายพังได้ในนัดเดียว รวมถึงใช้งบประมาณไม่มากนั้นเอง
M-60ของอิสราเอลติดตั้งเกราะ เบลเซอร์
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2553 |
| |
|
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2553 19:21:31 น. |
| |
Counter : 3385 Pageviews. |
| |
|
|