Leopard-2 ม้าศึกสุดแกร่งของกองทัพเยอรมัน
Leopard-2 หรือในทีนี้ขอเรียกว่า Leo-2 เป็นรถถังหลักของกองทัพเยอรมันที่สร้างในช่วงสงครามเย็นและใช้งานอยู่ถึงทุกวันนี้ Leo-2 เป็นรถถังที่เรียกได้ว่าพร้อมสมบูรณ์ที่สุดและเกือบดีที่สุดก็ว่าได้ การออกแบบตัวรถ พลังขับเคลื่อน อำนาจการยิง การป้องกัน นับว่าหาข้อติได้ยาก ภายใต้การออกแบบด้วยประสบการณ์อันยาวนานของบริษัทในเยอรมันซึ่งรวมทีมที่มีประสบการณ์ยาวนานและลือชื่อมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่2 ภายใต้สภาวะสงครามเย็นระลุและกองทัพรถถังโซเวียตจำนวนมหาศาลที่พร้อมดาหน้าเข้าใส่ยุโรปตะวันตก รถถังหลักLeopard-2คือปราการสำคัญในการป้องกันที่หลายประเทศในยุโรปเลือกใช้ คุณภาพชนิดที่ว่ากองทัพทหารม้าทั่วโลกฝ่ายนิยมอาวุธนาโต้ต่างเลือกใช้ชนิดขายดีทั้งมือ1และมือ1ด้วยยอดผลิตจำนวนกว่า3พันคัน โดยในกลุ่มรถถังยุค80เรื่อยมาจนถึงปลายสงครามเย็นยังไม่มีรถถังรุ่นใดของฝั่งนาโต้ขายได้ดีเท่านี้ ฟังดูอาจเวอร์ไปนะครับ แต่โดยรวมรถถังLeo-2 นั้นมีส่วนในการนำแนวคิดการออกแบบและชิ้นส่วนไปใช้ในรถถังรุ่นใหม่ๆทั่วโลก เช่นเครื่องยนต์ MTU MB-serise ปืน120มม.ของไรเมนทัล พวกนี้เป็นหัวใจหลักในรถถังของมหาอำนาจหลายๆคันด้วยกัน Leo-2 นั้นเริ่มมีการพัฒนาในราวปี1979 เพื่อทดแทนLeopard-1 ที่เริ่มล้าสมัยทั้งเกราะป้องกันและอำนาจการยิง ซึ่งก่อนหน้านั้นในปี1969 เยอรมันและสหรัฐร่วมมือกันวิจัยรถถังMBT-70 (Kpz-70 เยอรมัน) เพื่อทดแทน M-48 M-60 ซึ่งผลปรากฏว่าคุณภาพไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ด้วยคุณลักษณะการยิงขณะเคลื่อนที่ การโหลดกระสุนอัตโนมัติ พร้อมต้นแบบ7คันที่เยอรมันลงทุนไปกว่า830ล้านมาร์ก โครงการเลยถูกยกเลิกและต่างคนก็นำสิ่งที่ได้ไปวิจัยรถถังของตนเอง แต่แท้จริงนั้นราวปี1970 ขณะโครงการMBT-70ใกล้จะยุติ ก่อนนั้นเล็กน้อยมีการเสนอโครงการอัพเกรดรถถังLeopard-1 ในชื่อ Vergoldeter Leopard KPz Eber / Keiler ภายในปี1968 ซึ่งการอัพเกรดรถถังLeo-1นี้ได้รับการทดสอบโดยข้อตกลงร่วมระหว่างกระทรวงกลาโหมกับบริษัท Krauss-Maffei AG จนได้ต้นแบบสมบูรณ์ในปี1969 สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำมาเป็นโครการอัพเกรดอย่างจริงจัง เนื่องจากกลาโหมสนใจที่จะพัฒนาLeopard-2K(ต้นแบบ) มากกว่าซึ่งได้สร้างจนเสร็จสิ้นในปี1972-74 โดยมีต้นแบบ16คัน รหัสPT1-17(หมายเลข12ไม่ได้สร้าง) โดย3บริษัทคือ Krauss-Maffei, Porsche และ Wegman ซึ่งนำเอาป้อมปืนของรุ่นLeo-1A3-A4 มายำรวมกัน ในจำนวนต้นแบบ17คัน ระบบอำนวยการยิงบางส่วนมาจากMBT-70 กล้องวัดระยะมาจากEMES-12 ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบ105และ120มม. ในต้นแบบคันที่11 ใช้ป้อมปืนกลscheitellafettierte 20มม. ของรถIFV Marder มาติดตั้ง นอกจากนั้นยังมีรุ่น Leopard-2FK ซึ่งจะใช้ปืน152มม. สำหรับยิงกระสุนนำวิถีของสหรัฐอย่าง MGM-51 ชิลเลลักห์ ด้วย แต่สุดท้ายยกเลิกไป ปี1974 เยอรมันขายต้นแบบPT-7 ไปให้สหรัฐศึกษารวมถึงเอาต้นแบบไปทดสอบที่แอริโซน่า ก่อนจะทำตัวอย่างเข้าสู่การผลิตจริง เยอรมันส่งตัวถังต้นแบบLeopard-2AV ไปทดสอบที่สหรัฐอีกครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพน่าพอใจทั้งการเสริมเกราะที่ตัวรถ การควบคุมไฟ การป้องกันทุ่นระเบิด ประกอบกับศึกษายุทธวิธีในการรบของสงครามยมคิปปูห์ในปี1973 ทำให้พึ่งพอใจในประสิทธิภาพค่อนข้างมาก ก็ยังมากกว่าเป้าหมายMLC-50 สำหรับยานเกราะสายพาน45.4ตัน (Military Load Classification) เป็นระดับ60 ราวๆ55ตัน ขอชี้แจงตรงนี้เล็กน้อยว่า MLC หรือมาตรฐานการจัดน้ำหนักชั้นยานเกราะของนาโต้ตามข้อตกลงSTANAG-2021 เป็นการระบุว่ายานเกราะหรือพาหนะทางสงครามนั้นต้องมีน้ำหนักมาตราฐานเดียวกันในทุกประเทศสมาชิก เพื่อให้สามารถลำเลียงพลข้ามสะพาน ถนน ในแต่ล่ะประเทศเวลาระดมเข้าสู่สงครามโดยที่การเคลื่อนพลเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่มีปัญหา ถนนหลวง สะพาน จะมีป้ายบอกน้ำหนักที่เคลื่อนผ่านได้ รวมถึงในแผนที่เหล่าเสนาธิการทหารจะรู้ได้ทันทีว่ากองทัพจะเคลื่อนอาวุธใดไปทางไหนได้บ้าง ได้เร็วเท่าไหร่ โซเวียตจึงจำกัดน้ำหนักยานเกราะโดยเฉพาะรถถังหลักไม่เกิน50ตัน เพื่อบุกทะลวงถนนทุกสายในยุโรปตะวันตกได้นั้นเอง ทีนี้บ้านเราเกี่ยวมั้ย? ก็ไม่เชิงซะทีเดียว หลายคนคงเคยได้ยินได้อ่านเรื่องรถถังหนักๆจะมาติดหล่มในบ้านเรา หลายท่านอาจมองว่าตลกเพราะเค้าคำนวณ ground pressure มาแล้ว ไม่ติดหรอก แต่นั้นคือตอนออกแบบ ของจริงคือการลำเลียง การข้ามสะพาน ถนน ซึ่งประเทศไทยเรานั้นยังไม่มีมาตรฐานสูงพอ โดยเฉพาะเส้นทางตามชายแดนรอบประเทศ(สะพานอบต.ทั้งหลาย) ซึ่งปัญหานี้รถถัง Abram เคยไปตกสะพาน ถนนริมคลองถล่มรถตกคลองในอิรักมาแล้ว กลับมาที่Leo-2 ซึ่งมีการปรับปรุงป้อมให้แข็งแกร่งขึ้นจากLeo-1 ป้อมต้นแบบหมายเลข14 ถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยการยิงเช่นเลเซอร์วัดดระยะ กล้อง EMES-13 ป้อมส่วนหน้ามีความหนาเฉลี่ย350มม. โดยบริษัทWegmann โดยสหรัฐเองเสนอให้เสริมเกราะคอมโพสิตทำมุมในการป้องกันตัวป้อมเข้าไปอีก รวมถึงเสนอให้ติดตั้งเครื่องยนต์สำรองAPU เป็นต้น ส่วนปืนใหญ่ต่อสู้รถถังยังวางใจปืน105มม.และ102มม. อยู่ในตัวเลือก ในปี1977 จุดสำคัญอย่างนึงคือการส่ง Leopard2AVปืนใหญ่105มม. มาทดสอบในสหรัฐเปรียบเทียบกับXM-1(ต้นแบบ M1 Abram ) ที่แมรี่แลนด์ ผลสรุปว่าLeo-2 เหนือกว่าอยู่ในหลายจุด แต่ทั้งสองชาติก็ยังขัดแย้งกันในการเลือกใช้ปืนใหญ่ประจำรถ โดยเยอรมันต้องการใช้ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบขนาด120มม. ขณะที่สหรัฐยังวางใจปืน105มม. M-68 (ตอนหลังก็ต้องเปลี่ยนมาใช้120มม.ตามเยอรมัน ในราวปี1985) รวมถึงเครื่องยนต์ที่สหรัฐจะใช้เครื่องแก๊สเทอร์ไบน์ แต่เยอรมันจะใช้เครื่องดีเซล สรุปในปี1977 การสร้างรถถังLeo-2 A0-A4 นั้นใช้บริษัทถึง1500บริษัท ในการผลิตรถถัง8ล็อต ล็อตล่ะ300กว่าคัน โดยล็อตแรกจะส่งปลายปี1979 งบประมาณโครงการ359ล้านมาร์ก ไม่รวมที่ลงทุนในโครงการMBT-70 กับสหรัฐ เลเซอร์วัดระยะรุ่นCE628 ของ Zeiss Eltro-Optronics ที่ประกอบเข้ากับชุดอำนวยการยิงEMES-15 วัดระยะตั้งแต่200-10000เมตร โดยค่าผิดพลาดในระยะไกลสุด10เมตร วัดระยะเป้าหมาย3ครั้งใน4วินาที แล้วทำการส่งเข้าคอมพิวเตอร์ประมวลผลเข้าสู่ระบบอำนวยการยิงแบบอัตโนมัติ หากเกินระยะ4000เมตร ระบบจะไมนำมาประมวณผล พลยิงต้องประมวณผลเอง กล้องจับความร้อน ของบริษัทZeiss Eltro Optronics โดยออกแบบตามมาตรฐานสหรัฐ มีกำลังขยาย12เท่า ในการตรวจการณ์ระยะไกลสุด ซึ่งระยะตรวจการณ์กลางคืนจะอยู่ที่3000เมตร ศูนย์เล็งปืนFERO-Z18 ถูกติดตั้งขนานกับลำกล้องปืนใหญ่เหมือนTZF-3ที่ใช้ในLeo-1 พอรุ่นLeo-2A5 มีการเสริมเกราะNERA ด้านหน้าจึงทำการแยกมาไว้เหนือลำกล้องปืน ในรุ่น FERO-Z18A6 จะบอกชนิดกระสุนด้วย ในรุ่นA7 นั้นจะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับ Drone LUNA ได้อีกด้วย เกราะของป้อมปืน เป็นแบบคอมโพสิตซ้อนทับหลายชั้นซึ่งเป็นความลับ ลักษณะเหมือนเกราะที่เรียกว่าโชแบมของอังกฤษแต่ไม่ได้เหมือนของอังกฤษ หลัๆก็พวกเหล็กกล้า เซรามิค ในรุ่นA-5 เสริมเกราะNERA เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกัน.ในด้านหน้าเพื่อลดอำนาจเจาะเกราะของกระสุนและระเบิดชนิดต่างๆก่อนเข้าสู่เกราะหลัก ตัวเกราะส่วนหน้าป้อมเมื่อเจอกระสุนKE Leo-2A4 จะหนาราวๆ590-690มม. Leo-2A5หนา850-930มม. หนาสุดในชุดนี้เป็นStrv-122(Leo-2A5) ที่ผลิตในสวีเดนหนา 920-940มม. ตัวป้อมรุ่นA4 มีน้ำหนัก16ตัน ส่วนรุ่นA6-6M หนัก21ตัน ตัวป้อมหมุน360องศา ภายในเวลา10วินาที ระบบขับเคลื่อน Leo-2 ใช้ระบบรองรับน้ำหนักแบบทอร์ชั่น-บาร์ และระบบไฮโดรลิค ในชุดรับน้ำหนักแต่ล่ะล้อ เครื่องยนต์ดีเซล MTU MB-873 KA-500 ระบายความร้อนด้วยน้ำ พละกำลัง1500แรงม้า เสริมด้วยเทอร์โบชาร์จ2ตัว สร้างความเร็วได้ถึง68กม./ช.ม. ซึ่งสามารถใช้น้ำมัน2ชนิดในอัตราส่วน6/4คือดีเซล60%และสารไวไฟอื่นๆ40% ตัวรถที่มุมเอียง35องศา เครื่องยนต์ยังสามารถหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในได้อย่างทั่วถึง โดยเชื้อเพลิงภายในจำนวน900ลิตร อัตรากินน้ำมันขณะจอดนิ่งๆ12.5ลิตร/ชั่วโมง ถ้าซิ่งบนถนนเรียบๆระยะทาง100กิโลเมตรใช้น้ำมัน340ลิตร ในพื้นที่ภูมิประเทศระยะทาง100กิโลเมตร ใช้น้ำมัน530ลิตร เกียร์อัตโนมัติส่งกำลังRenk HSWL-354 ด้วยเกียร์เดินหน้า4เกียร์ให้ความเร็วสูงสุด72กม./ชม. ถอยหลัง2เกียร์ให้ความเร็วสูงสุด31กม./ชม. และเครื่องยนต์ที่ออกแบบเป็นบล็อคสามารถถอดประกอยในสนามรบภายในเวลา15นาที เครื่องยนต์กำเนิดพลังงานสำรองAPU ขนาด7.5 kW-17 kW นต่างๆของรถถัง Leopard-2 สำหรับกองทัพเยอรมันนั้นปัจจุบันใช้รุ่นA6/7/6M ส่วนรุ่นA-4 ถูกขายออกไปและรุ่นA-5 บางส่วนถูกยกเลิกเพื่อลดความแตกต่างใน3รุ่นข้างต้น ซึ่งในปี1969ประเทศเยอรมัน เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ นอร์เวย์ ลงนามร่วมกันในการสร้างและใช้งานรถถังLeo-2 เพื่อลดความซับซ้อนในการจัดหาอาวุธ Leopard2AV มีรุ่นทดสอบป้อมปืนและตัวถังอย่างเดียวที่ถูกเรียกรวมไปด้วย Leopard2A0 ผลิตในปี1979-1982 จำนวน380คัน โดย209คันสร้างโดย Krauss-Maffei และ171คันโดยบริษัท MaK ใช้ระบบอำนวยการยิงEMES-15 กล้องผบ.ตรวจการณ์PERI R17 ศูนย์เล็งFERO Z18 ระบบStabilizer WNA-H22 คอมพิวเตอร์ประมวลผลRPP 1-8 กล้องมองกลางคืน PZB-200 จำนวน200คัน Leopard2A1 สร้างจำนวน750คัน ตั้งแต่ปี1982-1984 โดย450คันล็อตแรกจบภายในปี1983 ส่วนอีกล็อตจำนวน300คันจบในปี1984 โดยประกอบด้วยกล้องจับความร้อน ชุดพลขับมาตรฐานนาโต้ เพิ่มความหนาห้องเครื่อง ผบ.รถถูกเพิ่มความสูงอีก5ซม.สำหรับกล้องตรวจการณ์ เครื่องวัดความเร็วลม กล้องจับความร้อน Leopard2A2 เป็นการเอารุ่นA-0 ทั้งหมดมาใส่กล้องมองกลางคืนPZB-200 Leopard2A3 สร้างจำนวน300คัน ในธันวาคมปี1984ถึงธันวาคมปี1985 ใช้ลายพราง3สี วิทยุรุ่นใหม่SEM 80/90 (VHF) เป็นต้น Leopard2A4 สร้างจำนวน4ล็อต จำนวน695คัน ในเดือนธันวาคมปี1984ถึงมีนาคมปี1987 ในจำนวน370คันถูกติดตั้งคอมพิวเตอร์คำนวณการยิงรุ่นใหม่ เพิ่มจำนวนความจุกระสุนในด้านซ้ายของรถ ระบบดับเพลิงที่ดีขึ้น Leopard2A5 เป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพและยืดอายุใช้งานออกไปแบ่งเป็น2ล็อตคือปี1995-1998(225คัน) 1999-2002(125คัน) เป็นการเอารุ่นA4 มาทำใหม่หมด เสริมเกราะNERA ด้านหน้าและด้านข้าง กล้องผบ.รถPERI R17A2 (สามารถใช้งานกลางคืนได้) คอมพิวเตอร์ประมวลผลรุ่นใหม่ ระบบปรับลำกล้องปืนไฟฟ้า กล้องมองหลัง ฝาปิดห้องพลขับเปิดด้วยนิวเมติค ด้านในเป็นSpall liners แบบเคฟลาห์ รวมถึงแผนที่ดาวเทียม และความพร้อมก่อนจะนำไปติดตั้งปืน120มม. L-55 โดยส่วนใหญ่เอารถLeo-2รุ่นแรกๆมาทำ Leopard2A6 หลักๆเป็นการเพิ่มอำนาจการยิงเช่นปืน120มม. L-55 โดยเอารถถังLeo-2A5 จำนวน160คันมาอัพเกรด กับอีก65คันเป็นรุ่นLeo-2A4 โดยในปี2001 รถถังLeo-2A6 ถูกส่งไปบรรจุในกองพันรถถังที่403 Leopard2A6M เสริมเกราะ STANAG 4569 ระดับ4 ป้องกันกับระเบิดรถถังขนาด10กก. ที่นั่งพลขับถูกติดตั้งที่นั้งแบบซับแรงกระแทกของบริษัทAutoflug ในเยอรมันโดยมีฮอลแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ สวิตฯร่วมพัฒนาด้วย ในระหว่างนี้ Leo-2 มีการปรับปรุงประสิทธิภาพมาถึง3ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดในรุ่นA4 แต่เป็นการทดลองเช่น การใช้กล้องจับความร้อน แผนที่ดาวเทียม ระบบวางแผนและข้อมูลการรบ Integrated Management and Information System (IFIS) ครั้งที่สองในรุ่นA5 เช่นเสริมเกราะ ทดสอบปืน120มม.L-55 กล้องผบ.รถใช้งานกลางคืนได้ และครั้งที่3ปี2008 ได้แก่การทดลองปืน140มม. ระบบควบคุมและสั่งการ IFIS การสื่อสารทางวิทยุที่ดีขึ้น เสนอให้กลาโหมในปี1995 Leopard 2 UrbOp(PSO) สำหรับทำภารกิจรบในเมืองโดยบริษัทKrauss-Maffei Wegmann เป็นผู้นำเสนอ โดยนำLeo-2A6 จำนวน150คันมาดัดแปลง ในจำนวนนี้เป็นรุ่นA4 50คัน เช่นเสริมใบดันดินด้านหน้า เสริมเกราะด้านหน้าและด้านข้าง กล้องมองรอบคันที่ให้ภาพคมชัดทั้งกลางวัน/กลางคืน โทรศัพท์ด้านนอกตัวรถ เครื่องยนต์APU ป้อมปืนกลรีโมทและเพิ่มเติมคือเครื่องยิงลูกระเบิด40มม. แอร์ปรับอากาศ ส่วนปืนแรกเริ่มใช้120มม.L-44 แต่ก็เสนอปืน120มม.L-55 เพิ่มเติมโดยมีการนำเสนอในปี2009 ซึ่งแนวคิดนนี้ถูกนำไปใช้ในรุ่นA7 Leopard2A7 ซึ่งไม่เน้นรบในเมือง รถถังจำนวน20คันเป็นของเก่าจากฮอลแลนด์ที่แคนาดาใช้และถูกส่งมาเยอรมันอีกที ซึ่งนำรุ่นA6M มาเป็นพื้นฐาน ใช้เครื่องยนต์APU Steyr M12 TCA 17kw ซึ่งระบายความร้อนได้ดีขึ้น รวมถึงการใช้ชุดพรางSaab Baracuda ที่ลดการแพร่ความร้อนและพรางสายตาได้ดี ระบบเชื่อมโยงข้อมูลแบบโครงข่าย ระบบแสดงผลภายในSOTAS-IP การเสริมเกราะด้านข้าง โดยรถถังA7 จำนวน14คันถูกส่งไปบรรจึกองพันรถถังที่203 Leopard-2 เวอร์ชั่นของKMW Leopard 2A6EX เป็นรถรุ่นA4 ผลิตในปี1998/1999 เป็นตัวสาธิตจำนวน1คัน ในชุดอุปกรณ์เดียวกับStrv-122ของสวีเดน หลักเช่นเสริมเกราะ การปรับสายพานด้วยไฮโดรลิค เครื่องยนต์APU รวมถึงขุมกำลังEuro-Power Pack คือชุดเครื่องยนต์Euro-Power Pack ประกอบด้วยเครื่องดีเซล MTU 883 ชุดเกียร์ HSWL-295 TM ของ Renk รวมถึงใช้ปืน120มม. L-55 เปิดตัวในปี2002 Leopard2PSO (Peace Support OperationsหรือภารกิจUN) /2A7+ อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าว่าออกแบบเพื่อตอบสนองภารกิจในเมือง ส่วนรุ่นA7 นำเสนอในปี2010 ซึ่งได้รับการรับรองจากกลาโหมเยอรมัน หลักๆนอกจากปืนแล้วยังรวมถึงใช้กล้องจับความร้อนรุ่นSPECTUS Cassidian Optronics กล้องผบ.รถรุ่นPERI RTWL ซึ่งมีใช้ในรถIFV PUMA ซึ่งผบ.รถสามารถเลือกเล็งเป้าหมายและสั่งการยิงได้ทันทีรวมกับอำนาจการยิงของปืนใหญ่120มม.L-55 เพียงพอในการต่อสู้รถถังในระยะไกล
Leopard-2 เวอร์ชั่นของIBD Deisenroth Engineering ซึ่งมุ่งเน้นการอัพเกรดรถถังLeo-2A4 ด้วยชุดเกราะโมดูลหลากหลายแบบตามความต้องการ นำเสนอในปี2008ในชื่อ Leopard-2A4 Evolution ซึ่งประกอบด้วยชุดเกราะAMP-B/SC เป็นต้น ชุดเกราะดังกล่าวมีน้ำหนักที่120กก./ตร.ม. Leopard-2 เวอร์ชั่นRheinmetall นำเสนอในปี2010 นำส่วนของLeo-2A4 Evolution มาเป็นรากฐานแล้วเสริมเรื่อง การป้องกันทั่วทั้งคันยันหลังคารถ ระบบป้องกันจรวดแบบ ROSY การเชื่อมโยงข้อมูลและสั่งการรบ การมองเห็น ระบบการยิงอาวุธนำวิถีแบบSACLOS แม้อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นดิจิตอล-อัตโนมัติแต่ก็คงการสั่งการแบบอนาล็อกไว้ เป็นต้น Leopard-2 เวอร์ชั่นAselsanของตรุกรี ถูกนำเสนอในปี2011ในชื่อLeopard 2 Next Generation บนพื้นฐานรุ่นA4 ระบบส่วนใหญ่เช่นอำนวยการรบเป็นของบริษัทในตรุกรี การป้องกันใช้เกราะของAMAPจากเยอรมัน Stridsvagn-121/122หรือLeopard-2 เวอร์ชั่นสวีเดน สวีเดนเริ่มศึกษารถถังรุ่นใหม่ในราวปี1984-1987 ก่อนประกาศโครงการ MBT-2000 และเริ่มจัดการทดสอบรถถัง Leclerc T-72 M1A2 และLeopard-2 ในปี1993 ผลปรากฏว่าLeo-2 ชนะการทดสอบด้วยคะแนน91% M1A2 86% และLeclerc 63% สวีเดนจึงเริ่มจัดหารถถังLeo-2A4 จำนวน160คัน ในปี1994 ในชื่อStrv-121 โดยใช้กระสุนผลิตในอิสราเอล Strv-121 เป็นLeo-2A4 ต่างจากของเยอรมันตรงลายพรางและวิทยุ Strv-122 เป็นรุ่นLeo-2A5 เสริมเกราะAMAP ระบบสื่อสารเป็นต้น Panzer-87 หรือLeopard-2 เวอร์ชั่นสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงที่เยอรมันพัฒนาLeo-2 นั้นสวิตฯได้เริ่มโครงการจัดหาและพัฒนายานเกราะของตนเอง ซึ่งมีที่ปรึกษาเป็นบริษัทจากเยอรมัน ในปี1979 ประกาศแผนสร้างNeuen Kampfpanzers (NKPZ) หรือรถถังหลักแบบใหม่ แต่ไปๆมาๆมองว่าไม่คุ้มค่าจะสร้างต่อจึงเช่ารถถังM1 Leo-2 มาทดสอบในปี1982 สุดท้ายLeo-2 ก็ได้รับการคัดเลือกนอกจากประสิทธิภาพแล้วยังรวมถึงข้อเสนอในการสร้างในประเทศ ซึ่งให้ได้มากกว่าM-1ของสหรัฐ ในปี1984 กลาโหมสวิตฯจึงจัดหารถถังLeopard-2A4 จำนวน380คัน โดย35คันผลิตในเยอรมันรถถังLeopard-2 นั้นเป็นรถที่สืบตำนานพญาเสือ(Tiger)อันโด่งดังในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 การออกแบบที่ละเอียดทุกจุด ความสัมพันธ์ระหว่างพลังขับเคลื่อน อำนาจการยิง ความแข็งแกร่งของเกราะ เพื่อไว้ปะทะกับฝูงรถถังโซเวียตที่พร้อมดาหน้าเข้ามาในยุคสงครามเย็น ซึ่งไม่ต่างจากยุคสงครามโลกครั้งที่2ที่ฝ่ายนึงคือความสมบูรณ์แบบ ฝ่ายนึงเน้นปริมาณเข้าใส่กัน แต่ทุกบทพิสูจน์คือการได้ลงสนามจริง สถานการณ์จริง ซึ่งรถถังM-1 Challenger-2 Merkava-3/4 เคยเจอมาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังไม่รอดพ้นความสุญเสียไปได้ ในขณะเดียวกัน Leopard-2 นั้นเคยเข้าร่วมคือรักษาสันติภาพเท่านั้น แต่ถ้าเอาภาพรวมนับว่าหาคู่ต่อสู้แลกหมัดต่อหมัดได้ยากเลยทีเดียว ส่วนถามว่าเหมาะกับบ้านเราไหม ? อย่างว่าของดีไม่ได้หมายความว่าจะถูกนะครับ ขนาดประเทศผู้ผลิต ผู้ใช้หลายๆเจ้ายังต้องหาซื้อมือสองมาอัพเกรดใช้ จนถึงไม่ได้อัพเกรดเลยก็มี
Create Date : 20 มกราคม 2559 |
Last Update : 20 มกราคม 2559 9:56:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2812 Pageviews. |
|
|
|