You cannot give...... if you don't have
 
สู่ความฝัน...สู่เมืองปาย ตอน สเน่ห์ที่ยังคงอยู่.....

หลาย ๆ คนที่เคยไปเที่ยวปายมามักจะพูดว่า "ปายไม่เหมือนเดิมแล้ว" "ปายบอบช้ำ" "ปายมีแต่นักท่องเที่ยว"........อื่นๆ อีกมากมาย แต่สำหรับฉันแล้ว ปายก็ยังเป็นเมืองแห่งความฝัน ฝันที่ว่า วันหนึ่งจะไปเยี่ยมเมืองปายให้ได้ ให้รู้กันไปเลยว่า ที่เค้าคุยกันว่า ดีหนักหนา หรือ แย่หนักหนาน่ะ เป็นอย่างไร และแล้ววันนั้นก็มาถึง.......

ถูกอย่างที่คนอื่นเค้าว่า....ปายมีแต่นักท่องเที่ยว ปายมีแต่คนต่างถิ่นเข้าไปทำมาหากิน ปายไม่สงบเหมือนเดิม สิ่งที่เค้าพูดกันไม่ผิดเลยแต่เพียงปลายก้อย หากแต่คำว่า "ปาย" ที่คนอื่นกล่าวถึง คงจะเป็น "ตัวเมืองปาย" ฉันได้ไปเดินถนนคนเดินในตัวเมืองยามค่ำคืน เป็นอะไรที่คล้ายๆ ถนนคนเดินของเมืองอื่นๆ ต่างกันก็แค่สินค้าที่นำมาวางขาย ซึ่งก็จะมีสินค้าพื้นเมืองบ้าง งานศิลปะของศิลปินอพยพบ้าง การแสดงดนตรี นาฏศิลป์ หลายๆรูปแบบ ฉันคิดว่า นอกจากถนนนี้จะเป็นแหล่งรายได้ของคนที่นั่นแล้ว ถนนนี้ยังทำให้"ตัวเมืองปาย"ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก........ซึ่ง ณ ที่ตรงนี้ฉันเห็นด้วยกับคนอื่นทุกประการ...เมืองปายมีแต่นักท่องเที่ยว

ถูกอย่างที่คนอื่นเค้าว่าอีก..ที่ว่าปายมีวิวทิวทัศน์ที่สวย (ถึงแม้จะสวยน้อยกว่าภาพในรีวิวของหลายๆ ท่านก็เถอะ) ปายอากาศดี บริสุทธิ์ (อากาศจะบริสุทธิ์อยู่เสมอ ถ้าก้นของคุณไม่ได้นั่งอยู่บนเครื่องยนต์) ถึงบรรทัดนี้ ฉันอยากจะบอกกับตัวเองและทุกคนว่า ปายสวย แต่ก็ไม่ได้สวยอย่างที่นึกฝัน!!

แต่มีมุมหนึ่งที่ฉันค้นพบ มุมที่ฉันไม่เคยอ่านเจอในรีวิวที่ไหน มุมที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอ มุมที่ฉันสรุปกับตัวเองได้ว่า นี่แหละ!! สเน่ห์ที่แท้จริงของปาย สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่เป็นสิ่งที่ฉันได้ค้นพบในสายมอกยามเช้า พบด้วยความซุกซน อยากรู้อยากเห็น นั่นคือ "ลุงมา" ชาวบ้านที่เกิดและมีบรรพบุรุษ ณ ดินแดนตรงนี้ อ.ปาย

ฉันได้เจอลุงมาตั้งแต่เช้าวันแรก เพราะฉันตื่นนอนแต่เช้าแล้วออกไปเดินเล่นนอกที่พักตามลำพัง ฉันเดินผ่านทุ่งนา มุ่งหน้าไปทางภูเขา นั่นทำให้ฉันเดินผ่านที่นาของลุงมา และพบลุงที่กำลังยืนคุยกับพี่ตาล (ผู้ซึ่งอพยพจากเมืองหลวงมาฝังตัวอยู่ที่นี่อีกคน) เราทักทายกันด้วยรอยยิ้ม ลุงมาต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างฉันด้วยความเต็มใจยิ่ง พอลุงทราบว่าฉันออกมาเดินเล่น ลุงก็อนุญาตในฉันเดินผ่านที่นาของลุงเข้าไปถ่ายรูปที่ลำธารเล็กๆ หลังที่ของลุงได้ ฉันดีใจมากที่จะได้เข้าไปดูลำธารใกล้ๆ หลังจากที่เดินดูมาห่างๆ ตลอดทาง....





ธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านหลังที่ของลุง ก็เหมือนกับธารไมตรีน้อยๆ ของลุงที่ไหลผ่านเนื้อหัวใจที่แห้งผ่ากของฉัน......



นาข้าวของลุง หลังการเก็บเกี่ยว... ที่ของลุงสวยมาก ตั้งอยู่ตรงตีนเขา ยามค่ำคืนจะเห็นพระจันทร์ขึ้นตรงช่องเขาพอดี (ลุงบอกว่า คราวหน้าถ้ามาเที่ยวอีก ก็มากางเต้นท์บนที่ลุงนะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปนอนรีสอร์ต)



บวบแก่ที่ลุงมาเด็ดให้ฉัน เอาไปขัดตัว ก่อนฉันจะต้องกลับที่พัก ฉันพูดอะไรไม่ออก นอกจากคำว่า "ขอบคุณ" ชั่วเวลาเพียงประเดี๋ยว ลุงช่างมีน้ำใจกับฉันมากมาย.......

เช้าวันที่สองฉันก็เดินไปทางบ้านของลุงอีก ขาไปฉันได้แต่ตะโกนอรุณสวัสดิ์ลุงกับพี่ตาล แล้วมุ่งหน้าขึ้นภูเขาไปให้รู้ว่า มันมีอะไรอีกหนอ....(แล้วก็ไม่ผิดหวัง กับภาพที่สวย ประทับใจ สามารถไปดูได้ที่ตอน คันทรีไซด์ รีสอร์ทค่ะ) ขากลับฉันเดินผ่านบ้านลุงมาอีกครั้ง คราวนี้ฉันได้รับเชิญให้ไปร่วมวงสนทนายามเช้าของลุงมาและพี่ตาลด้วย

การคุยกันทำให้ฉันได้รู้อะไรอีกมากมาย....ฉันรู้ว่าลุงมาแท้จริงแล้วเป็นกะเหรี่ยงขาว แต่ลุงอายที่จะบอกใครๆ ว่าเป็นกะเหรี่ยง ลุงจึงเก็บข้าวของ เสื้อผ้าแบบกะเหรี่ยงซ่อนขึ้น ตรงนี้สะท้อนใจฉันอย่างยิ่ง ลุงคิดว่าตัวเองเป็นชนกลุ่มน้อย เป็นตัวประหลาด ไม่เหมือนกับคนไทยคนอื่นๆ และสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ ความอายนี้ได้ส่งต่อไปยังรุ่นลูกของลุงด้วยเช่นกัน!! ฉันกับพี่ตาลได้แต่บอกลุงว่า อย่าไปอาย เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม ขอให้ลุงภูมิใจในความเป็นกะเหรี่ยงของตัวเอง หากแต่คำพูดแค่นี้จะช่วยแก้ปมในใจของลุงที่มีมาแต่เนิ่นนานได้อย่างไร.........



ฤดูนี้หลังจากการเกี่ยวข้าว เป็นช่วงของการปลูกต้นกระเทียม (บ้างไร่ก็จะปลูกต้นถั่วเหลืองด้วย) เรื่องราวที่ได้ทำให้ฉันได้ตื่นเต้นคือ ที่ตรงนี้ของลุง ที่ที่ฉันกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อก่อนในสมัยของพ่อของลุง เป็นที่ปลูกฝิ่น!! ลุงเล่าให้ฟังว่า พ่อของลุงปลูกฝิ่นตรงนี้ได้ดีมาก ลูกฝิ่นออกมาโตกว่าที่อื่นๆ ทำให้ได้น้ำยางฝิ่นมาก...... แต่เมื่อในหลวงเสร็จมา ทรงบอกให้ชาวกะเหรี่ยงเลิกปลูกฝิ่น เปลี่ยนไปทำนาข้าวแทน พ่อลุงถึงได้เลิก หันมาทำไร่นาแทน ถึงแม้ผลผลิตที่ได้จากการทำนาจะสู้การปลูกฝิ่นไม่ได้ แต่ลุงมาก็เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า ในหลวงเคยเสด็จผ่านที่แห่งนี้ และลุงก็ได้เข้าเฝ้าในระยะใกล้.... ฉันรู้สึกได้ว่า ชาวกะเหรี่ยงผูกพัน และรักในหลวงมากเหลือเกิน....



ต้นมะละกอที่ลุงปลูกไว้ขาย ราคาป้ายลูกละ 5 บาท แต่ราคาขายจริง 3 ลูก 5 บาท!!! นี่ขนาดลุงบอกว่า ลุงหาเงินไม่ได้ ทำนาได้ ก็ไม่รู้จะขายใคร ในเมืองมีแค่นักท่องเที่ยว....



ต้นและดอกกระเจี๊ยบที่บ้านลุงมาค่ะ



ลุง กับ บ้านของลุง บนหลังคาคลุมด้วยต้นเสาวรส ฝาเปิดหมดสี่ด้าน มีส่วนที่เป็นห้องนอนจะกั้นไว้เล็กๆ บ้านลุงมีเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่าง มีทีวีดู (เฉพาะช่อง 7) มีกระติกน้ำร้อน มีหม้อหุงข้าว แต่ลุงก็ยังรักที่จะก่อฟืน หุงข้าวอยู่นั่นเอง ฉันได้ชิมน้ำข้าวจากการหุงแบบเช็ดน้ำ และยังเป็นข้าวที่ลุงปลูกเองด้วย!! ไม่รู้สินะ นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่ฉันกลับประทับใจหนักหนา กับน้ำข้าวครึ่งแก้ว และการพูดคุยยามเช้าล้อมวงกองฟืน

สเน่ห์ของปาย (สำหรับฉัน) มันคือ ความมีมิตรไมตรี มีน้ำใจ ของชาวเมืองปาย โดยเฉพาะชาวพื้นเมือง รวมกับลมหายใจของเมืองที่เข้า - ออก ช้า ๆ ผ่อนคลายอยู่เสมอ หลายๆคนที่เคยไปปายมาแล้ว ยังหาสเน่ห์ของปายไม่เจอ ในความจริงแล้ว คนๆนั้นก็เหมือนยังไปไม่ถึงเมืองปายอยู่นั่นเอง เพราะเค้าไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณของเมืองปาย หากแค่สัมผัสด้วยสายตา ไปเยี่ยมปายคราวหน้าลองใช้ใจสัมผัสดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่า สเน่ห์ของปายนั้น ยังคงอยู่.....


Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 22:28:42 น. 1 comments
Counter : 1752 Pageviews.

 
ชอบภาพแบบนี้มากเลยค่ะ เป็นธรรมชาติ ดูแล้วสบายใจ


โดย: grippini วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:09:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 
 

iian_angle
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add iian_angle's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com