ลางมรณะ
ลางมรณะ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"รจนา" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากสงกรานต์สยอง

เทศกาลสงกรานต์เวียนกลับมาอีกแล้ว! นี่เป็นช่วงเวลาที่แสนสนุกสนาน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสยดสยอง เพราะทุกวันนี้เราชินซะแล้วกับคำว่า "เจ็ดวันอันตราย" และเรารู้ตัวว่าจะต้องมีคนตายนับร้อย...ไม่ใช่ร้อยเดียว แต่หลายร้อยเชียวละ! เมื่อไหร่เราจะสนุกกันได้เต็มที่ โดยไม่ต้องมาคอยนับสถิติว่า..ปีนี้จะมีคนตายเท่าไหร่นะ? เฮ้อ...

ดิฉันอาจจะเพ้อพล่ามน่ารำคาญ แต่นั่นก็เพราะศพหนึ่งในหลายร้อยศพนั่น เป็นคนที่ดิฉันสนิทสนมคุ้นเคย เธอชื่อ "หน่อย" เป็นสาวใช้ดิฉันเอง เธอตายเพราะถูกรถชนในช่วงวันสงกรานต์ปีที่แล้ว ที่โคราชบ้านเกิดของเธอ

ก่อนที่จะไปตายสยอง หน่อยมีลางบอกเหตุตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง เธอเองก็หวั่นๆ แต่ความอยากจะกลับไปฉลองเทศกาลปีใหม่ไทยที่บ้าน ทำให้เธอคิดว่าไม่เป็นไร...

ความอยากไปมันชนะความกลัว!!

เรื่องของเรื่องคือ หน่อยเตรียมตัวมาตั้งแต่ธันวาคมโน่น เธอบอกว่าจะไม่กลับบ้านไปหาพ่อแม่พี่น้องตอนปีใหม่หรอก ตรุษจีนก็ยังไม่ไป จะเก็บตังค์ไว้กลับวันสงกรานต์เลย เพราะที่บ้านเธอฉลองกันสนุกมาก

โอ้โฮ! หน่อยของดิฉันซื้อของฝากสำหรับคนที่บ้านนอกเอาไว้มากมายก่ายกอง ทั้งมาม่า, ขนม, ลูกอม, เสื้อผ้า, ของเล่น...หลานๆ เธอเยอะค่ะ เธอเล่าว่าพวกเด็กๆ นี่จะดีใจมาก ทุกครั้งที่น้าหน่อยกลับบ้าน เพราะน้าหน่อยแจกทั้งขนมและแจกตังค์ด้วย คนละ 5 บาท 10 บาท ก็ยิ้มแก้มปริกันแล้ว

หน่อยอายุ 25 ยังไม่มีแฟน เธอมาทำงานบ้านดิฉันตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก อายุแค่ 16 ปีเท่านั้นเอง! เออ...อยู่กันมาตั้งเกือบ 10 ปีแล้วจะไม่ให้เอ็นดูมันได้ไง? เธอขยัน ทำงานดีและเป็นคนมีน้ำใจงาม ถึงหน้าตาจะไม่สะสวยก็เถอะ แต่เธอก็เป็นที่รักของใครๆ หลายคน...พูดแล้วเสียดายค่ะ

ดิฉันจำได้ว่าราวต้นเดือนเมษายนปีนั้นเอง หน่อยดูกระวนกระวาย นับวันนับคืนจะกลับบ้าน ตัวดิฉันน่ะใจหนึ่งก็อยากให้เธอไป อีกใจหนึ่งก็นึกเหนื่อยเพราะไม่มีคนไว้รับใช้ต้องทำเองหลายอย่าง...จ่ายตลาดก็ต้องไปเอง ไหนจะล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้าอีกล่ะ! แต่เอาเถอะ ดิฉันให้เธอกลับบ้านได้สัปดาห์หนึ่งเต็มๆ ซึ่งหน่อยก็ดีใจมาก

แต่แล้ว เช้าวันหนึ่งสังเกตเห็นเธอซึมไป หน้าหมองๆ ก็เลยถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? หน่อยตอบเนือยๆ ว่าสบายดี แต่ฝันร้าย!

เธอฝันว่าปู่ย่าตายายและหลานเล็กๆ 2 คน ที่ทุกคนล้วนตายไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้ว พากันยกขบวนมาหาเธอ ปู่ย่าและตายายน่ะตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนหลานสาวเล็กๆ อายุ 3-4 ขวบ จมน้ำตายคนหนึ่ง ตกเรือนคอหักตายอีกคนหนึ่ง

คนที่ตกเรือนชื่อเป้ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู หน่อยรักหลานคนนี้มาก ในฝันเป้เดินเตาะแตะนำขบวนญาติๆ ที่ตายไปแล้วเข้ามาหาหน่อยถึงเตียงนอน...หล่อนมาในสภาพเป็นศพที่คอหักพับ ตาไร้แวว ลิ้นจุกปาก มีเลือดเกรอะกรังทั่วใบหน้า

หน่อยเห็นหลานแล้วกลัวมาก เธอลุกหนีแต่หลานเอื้อมมือหักๆ มาจับแขนไว้ แล้วพูดเสียงแหบโหยว่า...น้า หนูมารับน้าไปอยู่ด้วยกันนะ...นะ...

หน่อยตกใจมาก เธอร้องกรี๊ดเต็มเสียงแล้วตกใจตื่น เธอเล่าว่าพอลืมตาก็ยังเห็นเป้ยืนอยู่ข้างเตียง มือแข็งๆ เย็นๆ ยังจับข้อมือเธอไว้แน่น แต่ 2-3 วินาที ภาพหลอนก็หายไป

สาวใช้ของดิฉันกลัวเลยละ บ่นว่าไปคราวนี้จะได้กลับหรือเปล่าก็ไม่รู้?

เช้าวันที่เธอหิ้วกระเป๋า หอบลังของฝากจะไปขนส่งหมอชิตน่ะ ตอนจะไปเรียกแท็กซี่ก็มีแมวดำวิ่งตัดหน้า แถมป้าดา-แม่ครัวที่ช่วยหิ้วของไปส่งขึ้นรถ กับแอ๊ด - ลูกชายวัยรุ่นของป้าดาก็เห็นพร้อมๆ กันว่า...เงาของหน่อยไม่มีหัว!

หน่อยกลับบ้านได้ไม่ถึงสองวัน เธอก็เสียชีวิตอย่างน่าใจหาย...

น้องสาวเธอเล่าว่า หน่อยขี่มอเตอร์ไซค์ออกถนนใหญ่แล้วรถกระบะพุ่งเข้ามาชน คนขับน่ะเมาเหล้าแอ๋ หน่อยตายทันทีในสภาพคอหัก แขนขาหักป่นปี้ ดูแล้วเหมือนลักษณะการตายของหลานเป้อย่างน่าขนลุก

หลังจากที่เธอตายได้แค่สองวัน คนในหมู่บ้านก็เห็นหน่อยเดินจูงมือกับเป้ เหมือนสองน้าหลานมาเดินเล่นชมจันทร์ ให้พรั่นพรึงไปทั้งตำบล

ลางบอกเหตุของหน่อยเป็นจริง ดูเถอะค่ะ คนเราบทจะตายอะไรก็ห้ามไม่อยู่ ดิฉันละสงสัยจริงๆ ว่า ถ้าหน่อยกลัวจนไม่กล้าเดินทาง หรือถ้าดิฉันเอ่ยห้าม เธอจะรอดตายไหม? แต่คนอย่างเธอลองอยากกลับบ้านแล้วก็ต้องกลับให้ได้ อะไรๆ ก็ห้ามไม่อยู่

สงกรานต์ปีนี้ขอให้ปลอดภัย ดิฉันไม่อยากให้มีใครเจ็บหรือตายเลยแม้แต่คนเดียว เราจะได้เลิกนับสถิติสยองกันซะที!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUwTURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4TkE9PQ==



Create Date : 14 เมษายน 2551
Last Update : 14 เมษายน 2551 22:10:08 น.
Counter : 636 Pageviews.

0 comment
โลกวิญญาณ
โลกวิญญาณ

ขนหัวลุก

ใบหนาด




"กษมา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีกลับมาทำงาน

สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนเกิดมาเพื่อที่จะตายไป คนเราก็เช่นกัน! ความตายต้องมาถึงเราแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่มันจะมาในรูปไหนล่ะ? มันจะรุนแรง สยดสยอง หรือเงียบสงบคล้ายใบไม้แก่ที่ปลิดขั้ว หลุดร่วงไปตามลม...

เราทุกคนอยากจะได้นอนตายอย่างสุขสงบบนเตียงสบายๆ ในวัยที่ร่วงโรยสมควรแก่เวลา...เราหวังว่าวิญญาณเราจะไม่เจ็บปวดทรมานนานนัก และจะล่องลอยสู่สุคติ!

ทว่า มีมนุษย์อีกมากมายต้องเผชิญกับความที่โหดร้ายทารุณ ไม่รู้ทำเวรทำกรรมมาแต่ปางไหน และบางคนก็ตายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างพวกที่เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในวันที่ 11 กันยายน หรือบรรดาผู้คนที่ถูกสึนามิกระหน่ำซัด พัดพาวิญญาณหลุดจากร่าง

เล่ากันว่า วิญญาณเหล่านี้ บ้างก็ยังวนเวียนอยู่ในมิติโลก เพราะไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว เล่นเอาพวกนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกลัวผีกันอยู่ตั้งนาน

หลังจากเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ถูกวินาศกรรมจนถล่มทลาย ก็มีรายงานว่า มีคนพบเห็นวิญญาณยังวนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ คนที่อยู่แถวนั้นมักจะเห็นชายหนุ่มมากหน้าหลายตาใส่ชุดสูททำงาน เดินอยู่แถวๆ นั้นในอาการงงงัน

ดิฉันคิดว่าวิญญาณพวกนี้น่าสงสาร การที่พวกเขามาปรากฏตัวก็คงไม่มีเจตนาจะมาหลอกหลอนหรือขอส่วนบุญอะไร มันเพียงแต่เขาไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว ก็เลยยังติดค้างอยู่กับกิจวัตร และภารกิจที่ยังทำไม่เสร็จ

ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือพระเอก บรู๊ซ วิลลิส ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "เดอะ ซิกธ์เซนส์" เมื่อปี ค.ศ.1999 ไงคะ เขาถูกผู้ร้ายบุกมายิง สติขาดลอยคล้ายฝัน จากนั้นเขาก็ยังใส่สูท หิ้วกระเป๋าไปดูแลคนไข้ซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ ผู้มีสัมผัสพิเศษ...เป็นคนเห็นผี!

ดิฉันประทับใจหนังเรื่องนี้มากเพราะเขาทำได้สมจริง...

อะไรนะคะ? ดิฉันรู้ได้ยังไงเหรอ...แหม! ก็เคยเจอกับตัวเองมาแล้วน่ะซีคะ...แบบนี้เปี๊ยบเลย!

เพื่อนรุ่นพี่ในที่ทำงานของดิฉันชื่อ "พี่กี้" เธอเป็นคนสวย อายุเพิ่ง 28 และยังโสดสนิท ดิฉันไม่ค่อยสนิทกับเธอมากนักหรอกค่ะ แต่เคยยิ้มๆ ทักทายกันเท่านั้น เธอมีกลุ่มของเธอ และดิฉันก็มีกลุ่มของดิฉัน แต่โต๊ะทำงานเราอยู่ไม่ไกลกันนัก

เรานั่งทำงานรวมกันในห้องใหญ่ บนชั้นยี่สิบกว่าๆ ของตึกระฟ้าหรูหราในกรุงเทพฯ นี่เอง

ที่ทำงานอยู่กลางกรุง แต่บ้านพี่กี้อยู่ถึงพุทธมณฑล ไกลน่าดู! เธอมาทำงานแต่เช้าและกลับค่ำๆ มืดๆ เสมอ ดิฉันเป็นห่วงแต่ก็ไม่มีโอกาสพูด ดิฉันอยากพูดว่าเป็นห่วง เพราะพี่กี้ต้องขับรถทางไกล อยากให้เธอระวังตัวมากๆ

เคยมีคนบอกว่าพี่กี้เคยหลับใน รถแล่นขึ้นไปบนฟุตปาธ เดชะบุญที่แค่รถพังนิดหน่อย ตัวพี่กี้ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก นอกจากหัวโน...คิดแล้วเสียวไส้นะคะ!

และแล้ว เรื่องร้ายแรงที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ สันนิษฐานว่าเธอหลับในอีก และรถพุ่งประสานงากับรถสิบล้อที่แล่นสวนมา พยานบอกว่าเธอไม่มีการเบรกหรือหักหลบเลย ผมก็คือเธอตายคาที่...เป็นการตายที่...แน่ล่ะค่ะ ไม่รู้ตัวสักนิดเดียว!!

ช่วงที่เธอเสียชีวิตใหม่ๆ ในที่ทำงานของเราไม่มีใครกล้ากลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ เลยค่ะ อยู่กันอย่างช้าก็ทุ่มกว่าๆ และต้องเป็นกลุ่มเป็นก้อนด้วยนะ จะไปไหนทีก็ต้องไปกันหลายๆ คน แต่พี่กี้ก็ไม่เคยมาแสดงอภินิหาริย์อะไรให้เราเห็น

ทุกอย่างสงบและปกติ จนเราคิดว่า ป่านนี้พี่กี้ไปสู่สุคติแล้ว...

เวลาผ่านไปเกือบปี ความกลัวก็เลือนรางจางหาย จนเราหายใจได้คล่องเหมือนเดิม...เราแทบจะลืมพี่กี้ไปแล้วด้วยซ้ำ!

คืนหนึ่ง ดิฉันอยู่สะสางงานจนมืดค่ำ เพื่อนๆ กลับกันไปทีละคนสองคน จนเหลือแต่ดิฉันนั่งทำงานตามลำพัง เออ...มันก็สบายดีนะ! ดิฉันเพลินจนมองนาฬิกาอีกที...อ้าว? ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว แอร์เย็นเฉียบผิดปกติ...กลับบ้านดีกว่า

ทันใดนั้น ดิฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างที่คุ้นตา ก้มหน้าทำงานง่วนอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างออกไปสี่ห้าตัว...พี่กี้!!

ใจหายวาบ...และแปลกนะคะ แทนที่จะกลัวจนสติแตก เตลิดเปิดเปิงอย่างที่เล่าๆ กัน ดิฉันกลับมึนมากกว่า มันงงเหมือนมีอะไรมาสะกดจิต

พี่กี้มานั่งตรงนี้ได้ยังไง เธอตายแล้วนี่นา?

ขาแข้งดิฉันเหมือนจะยึดแน่นติดกับพื้นห้อง นัยน์ตาเบิ่งมองภาพตรงหน้า ขนลุกซู่ สักพักก็ค่อยๆ ถอยออกมาทีละก้าวๆ ไม่กล้าวิ่งค่ะ กลัวสติแตก

พี่กี้ยังก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนคนปกติทุกอย่าง ดูเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีดิฉันยืนมองอยู่ด้วยใจระทึก...

นึกแล้วก็ยังแปลกใจที่ดิฉันไม่โวยวาย กรี๊ดกร๊าด กลับยืนดูให้มันแน่ชัดว่ากำลังเห็นวิญญาณจริงๆ เธอเหมือนคนเราดีๆ นี่เอง ดิฉันเริ่มกลัวขึ้นทีละน้อยๆ จนลงลิฟต์มาคนเดียวถึงชั้นล่าง ดิฉันน้ำตาร่วง...เดินตัวสั่นไปหายาม และต้องนั่งพักอยู่นาน กว่าจะให้ยามช่วยเดินมาเป็นเพื่อนในที่จอดรถ

ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเชื่อแล้วว่าวิญญาณมีจริง

เชื่อเรื่องที่เล่าถึงผีที่เวิลด์เทรดและที่ต่างๆ รวมทั้งในหนัง เดอะซิกธ์เซนส์...ที่เขาทำได้สมจริงเหลือเกินค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV4TURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4TVE9PQ==



Create Date : 11 เมษายน 2551
Last Update : 11 เมษายน 2551 19:31:53 น.
Counter : 816 Pageviews.

0 comment
ลุงแนบกับป้าบัว
ลุงแนบกับป้าบัว

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อุเทน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณกลับบ้าน

"อย่าขับรถซิ่ง จะวิ่งลงนรก!!"

สงกรานต์ปีนี้มีคำขวัญเตือนใจผู้ใช้รถ-ใช้ถนนหนาตาขึ้นตามเคย แทบจะไม่มีคำว่า "เมาไม่ขับ ถูกปรับแน่" กับ "ดื่มไม่ขับ" แต่มารณรงค์เรื่องอย่าขับรถประมาทแทน โดยเฉพาะคำเตือนที่โดนใจมากๆ คงจะหนีไม่พ้น "ขับรถไม่โทรศัพท์-ไม่รับสาย"

คิดดูง่ายๆ นะครับ ว่าขับรถต้องใช้สมาธิมากแค่ไหน ขืนพูดโทรศัพท์ไปด้วยมีหวังสมาธิหดหาย มีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นแค่เสี้ยวนาทีก็แก้ไขไม่ทันเสียแล้ว

สมัยหนุ่มๆ ผมเคยประสบกับเรื่องสยองขวัญ จนแทบจะช็อกตายคาที่มาแล้วครับ

สาเหตุมาจากลุงแนบกับป้าบัว คนข้างบ้านนี่เอง สองผัวเมียอายุต้นห้าสิบ ทำงานรัฐวิสาหกิจทั้งคู่ มีลูกสาวคนเดียวเพิ่งแต่งงานไปหยกๆ ย้ายไปอยู่กับฝ่ายชายฐานะดีแถวแจ้งวัฒนะ ซึ่งไม่ห่างจากบ้านเดิมที่งามวงศ์วานเท่าไหร่นัก

ลุงแนบกับป้าบัวเป็นคนรื่นเริง สนุกสนาน บอกว่าอยู่กันสองคนสบายใจเฉิบ มีน้าแวง-ญาติป้าบัวเป็นคนเฝ้าบ้าน ตกเย็นลุงแนบก็คว้าขวดข้ามรั้วมาซดเหล้ากับพ่อผมมั่ง มีเพื่อนในหมู่บ้านอีก 2-3 คนร่วมก๊งด้วย บางวันก็ย้ายไปบ้านลุงแนบมั่ง บ้านลุงหยัดมั่ง สมานสามัคคีกันแทบทุกวันก็ว่าได้

สงกรานต์ปีนั้น ลุงแนบชวนป้าบัวไปไหว้พ่อแม่ที่ขอนแก่น แกไปกันแค่สองคนเท่านั้นแหละครับ แต่ขากลับได้ข่าวจากน้าแวงว่า เกิดอุบัติเหตุกลางทาง...รถราพังยับ สองผัวเมียอาการหนักอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเพื่อนบ้านที่เป็นคอสุรามาด้วยกันก็บ่นเป็นห่วง แต่ไม่อาจจะไปเยี่ยมเยียนได้เพราะถึงเวลาทำงานพอดี

เรามาได้ข่าวทีหลังว่าลุงแนบโคม่าตั้งแต่รถชนกันแล้ว ไปอยู่โรงพยาบาลได้ 2 วันก็สิ้นใจ แต่ป้าบัวแค่ซี่โครงหัก แขนเดาะ หัวแตกจนกลับมาแทบจะจำไม่ได้ นึกว่าเป็นแขกโพกหัวขายผ้าเสียอีก...ศพลุงแนบฌาปนกิจที่ขอนแก่นไปเรียบร้อยแล้ว

แต่สิ่งที่ติดตามมาก็คือ มีคนเห็นลุงแนบขับรถเข้าซอยบ้านมาตอนดึกๆ บางคนบอกว่าเห็นลุงแนบหันมายิ้มให้ด้วย ยายนิด-ลูกสาวบ้านตรงข้ามอายุราว 10 ขวบบอกว่าโผล่หน้าต่างออกมาดูเพราะได้ยินเสียงรถยนต์ แต่กลับเห็นลุงแนบกำลังผลักประตูรั้วเข้าไปช้าๆ ยายนิดตกใจร้องออกมาว่า...ลุงแนบมาแล้ว!

เท่านั้นแหละ ปีศาจลุงแนบถึงกับหยุดชะงัก หันมาเงยหน้ามองพลางโปรยยิ้ม และโบกมือให้หยอยๆ ยายนิดเล่าว่า...หนูตกใจจนฉี่ราดคาห้องนอนเลยค่ะ! คราวนี้เสียงโจษจันเรื่องผีลุงแนบก็ดังกระหึ่มไปทั้งซอย...

เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้เห็น วงเหล้าที่เคยตั้งกันบ้านนั้นบ้านนี้ก็ชักจะกร่อย เพราะหวาดๆ ว่าวันดีคืนดีดันเห็นลุงแนบจะมานั่งปร๋อร่วมวงด้วย มีหวังวงแตกกระเจิงเป็นผึ้งแตกรังเสียเปล่าๆ เลยได้แต่อุบเงียบอยู่ในบ้านใครบ้านมัน

คราวนี้อาแหวง-คอเหล้าที่เคยร่วมวงกัน บอกว่าคืนนั้นกลับบ้านดึกหน่อย...พอหันไปทางบ้านป้าบัวที่ปิดไฟมืด ก็เห็นลุงแนบกำลังเดินช้าๆจากประตูรั้วไปตามทางเข้าสู่ตัวบ้าน...เห็นถนัดตาจากแสงสว่างที่เสาไฟฟ้า อาแหวงตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ยกมือไหว้ผีสางเทวดาให้ช่วยคุ้มครอง...ขนาดเข้าห้องนอนแล้วยังสั่นด๊กๆ อยู่ตั้งนาน

เอาละซี! จากขับรถเข้าซอย มาถึงเดินเข้าบ้านแล้ว!

หรือวิญญาณลุงแนบจะกลับมาหาป้าบัว-เมียคู่ทุกข์คู่ยากของแกจริงๆ

พวกแม่บ้านที่ชอบๆ กัน รวมทั้งแม่ผมด้วย ยกโขยงเข้าไปถามป้าบัวให้รู้แน่ว่าผีลุงแนบแกเคยเข้ามาในบ้านหรือเปล่า? "พี่บัวรู้ไหมว่าพี่แนบมาหา?" ใครคนหนึ่งถามขึ้น ป้าบัวก็พยักหน้ารับอย่างคนใจคอเด็ดเดี่ยว

"รู้ซี ทำไมจะไม่รู้ พี่แนบแกมาเคาะประตูเรียกฉันมาหลายคืนแล้ว แต่ฉันไม่ยอมเปิดรับหรอก พุทโธ่! ใจคอจะให้ฉันรับผีเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยเรอะ? ไม่เอ๊าไม่เอา! ใครจะว่าใจร้ายใจดำยังไงก็ยอมละ ฉันไม่อยากเป็นลมตายน่ะ"

คืนหนึ่ง ผมก็เจอภาพสยองเข้าเต็มเปา!

ระเบียงหน้าบ้านอยู่ติดกับประตูห้องนอนพอดี คืนนั้นเดือนหงายเชียวครับ ผมนึกยังไงไม่รู้ เกิดออกไปยืนเกาะลูกกรงชมจันทร์ เพ้อฝันถึงเพื่อนสาวคนสวยที่กำลังคบกันอยู่ ดอกรักกำลังบานในหัวใจ...ว่าซะยังงั้นก็แล้วกัน

ทันใดนั้น เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็เล่นเข้ามาในซอย...ผมหันมองไปทางประตูรั้วบ้านป้าบัวที่มีชมพู่แก้มแหม่มดกสะพรั่ง...เสียงหมาหอนดังไล่มาจากปากซอย...กระทั่งร่างๆ หนึ่งเดินช้าๆ ผ่านเงาชมพู่มาตามทางแคบๆก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปหยุดที่ประตูบ้าน

"ลุงแนบ..." ผมหลุดปากออกมาได้ยังไงก็ไม่รู้ คราวนี้เลยทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เบิกตาโพลงจ้องมองลงไปยังร่างดำๆ ที่หยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้ามามองผมอย่างเชื่องช้า...หันมา...หันมาเห็นเสี้ยวหน้า ในที่สุดก็ใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างของลุงแนบ

ผมอยากจะหายตัวได้ อยากทำตัวให้ลีบเล็กเท่ามดปลวก แต่เท่าที่ทำได้คือยืนขาสั่นพั่บๆ ปวดหน่วงไปตามท้องน้อย...คงจะมีอาการเหมือนกับยายนิดคืนนั้น...ขณะที่ใบหน้าของลุงแนบคล้ายจะขยายใหญ่มหึมา

ผมร้องตะโกนอะไรออกมาสุดเสียง เผ่นอ้าวเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนผิดๆ ถูกๆ อยู่ตั้งนานเพราะมือไม้สั่นไปหมด

ผีลุงแนบมาหาป้าบัวอีกหลายคืน ป้าบัวก็หมั่นทำบุญกรวดน้ำไปให้ทุกวัน ในที่สุดวิญญาณลุงแนบคงจะไปสู่สุคติภพ ไม่ปรากฏตัวหลอกหลอนใครอีกเลยครับ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOVEV3TURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4TUE9PQ==



Create Date : 10 เมษายน 2551
Last Update : 10 เมษายน 2551 22:27:12 น.
Counter : 957 Pageviews.

0 comment
ลาก่อน...เพื่อนรัก!
ลาก่อน...เพื่อนรัก!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ฟ้า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อน

แต้วเป็นเพื่อนรักของดิฉัน เรารู้จักกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย และนับแต่นั้นมิตรภาพก็แน่นแฟ้น ผูกพันขึ้นเรื่อยๆ ความรักฉันเพื่อนเป็นรักที่งดงามและล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่ง...มีแต่ความช่วยเหลือ ห่วงใย และหวังดีต่อกันอย่างแท้จริง!

เราคุยกันได้ทุกเรื่อง และปรับทุกข์กันได้ทุกปัญหา

"ความรักนั้นดีมาก แต่มิตรภาพสูงส่งกว่า"

ดิฉันเพิ่งจะเข้าใจถึงประเพณีอันลึกซึ้งของบางท้องถิ่น ที่มีการผูกเสี่ยว หรือบางวัฒนธรรมก็ถึงกับกรีดเลือด ดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกันตลอดไป!

เราไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น แต่ก็เชื่อแน่ว่าชาตินี้เราไม่มีวันห่างเหินหรือลืมกันไป แม้ว่าเราจะจบมหาวิทยาลัยแล้ว และต่างคนต่างแยกย้ายไปมีหน้าที่การงานและครอบครัวของตน

เราคงจะเป็นอย่างแม่พลอยกับแม่ช้อย ที่เป็นเพื่อนรักกันไปจนแก่เฒ่า สักวันหนึ่งในอีกห้าสิบปีข้างหน้า เราคงเป็นยายแก่สองคนที่นั่งคุยถึงความหลังกัน งกๆ เงิ่นๆ ไปด้วยกัน...นั่งนินทาผัว นินทาลูกหลานเหลนกันอย่างสนุกสนานเลยเชียว

แต่วันนี้ไม่มีวันนั้นมาถึง เพราะแต้วถูกโรคร้ายคร่าชีวิต!

ตอนเรียนจบ ยังไม่ทันถึงวันรับปริญญา แต้วก็เพิ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง! มันเป็นการพบที่สายเกินไป มะเร็งลามไปยังส่วนต่างๆ เมื่อได้รู้ดิฉันถึงกับใจหายวาบ

ครอบครัวของแต้วมีฐานะดีมาก ในช่วงเวลาท้ายๆ ซึ่งแต้วยังไม่ได้ไปนอนโรงพยาบาลนั้น คุณพ่อคุณแม่ของเธอจัดห้องที่ชั้นล่างของบ้านให้แต้วนอนรักษาตัว มีพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลตลอดเวลา...

มันเป็นห้องที่สวยงามราวกับห้องเจ้าหญิง มีแอร์เย็นฉ่ำ เตียงหนานุ่ม ผ้านวมชั้นเลิศสีฟ้าอมม่วงเหมือนดอกไลแล็ก หมอนหนาๆ หลายใบ แก้วน้ำแก้วยาล้วนเป็นแก้วเจียระไน คุณพ่อคุณแม่ของแต้วให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกสาวในช่วงสุดท้ายของชีวิต...

และหนึ่งในนั้นคือตัวดิฉันเอง!

ดิฉันไปนอนเฝ้าไข้เพื่อนรัก เพราะตระหนักแน่แก่ใจว่าเวลาของเราเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว

ยามดึกดื่นค่ำคืน พยาบาลพิเศษจะไปพักอยู่ที่ห้องเล็กที่อยู่ติดกันส่วนดิฉันอยู่ตามลำพังกับแต้ว นอนด้วยกันบนเตียงแสนสบาย คุยกันจนผล็อยหลับไป...

คืนหนึ่ง แต้วดูสดใสคล้ายไม่ได้ป่วยเข้า เธอสวยละมุนละไม แม้ผมบนศีรษะจะร่วงเกือบหมด...ผมที่เคยยาวสลวย ต้องถูกตัดจนติดหนังศีรษะเพื่อไม่ให้ดูหร็อมแหร็ม แต่บัดนี้เธอดูเหมือนเทพธิดาอย่างน่าประหลาด

เราคุยกันจนดึกดื่น ในที่สุด แต้วก็ขอให้ดิฉันปิดไฟหัวเตียงที่เคยเปิดทิ้งไว้ทั้งคืนเป็นประจำ

ห้องมืดสนิท ดูสงบเหมือนเราอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่มิติของมนุษย์ ดิฉันกับแต้วจับมือกันไว้ ดิฉันเงียบเสียงเพื่อให้เธอได้หลับให้สบาย แต่แล้วแต้วก็พูดขึ้นเบาๆ เสียงของเธอเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ

"ฉันกำลังจะเป็นผี..." เธอพูดแล้วเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อไปอีกว่า "เธอกำลังจะกลัวฉัน..."

ดิฉันลืมตาจ้องฝ่าความมืดไปยังร่างเพื่อนรักที่เห็นเป็นเงาดำตะคุ่มๆ อยู่กลางความมืดสลัว นึกอยู่ว่า...นี่น่ะหรือผีในอนาคตที่ฉันจะต้องสยดสยองพองขน?! เป็นไปได้ยังไง? คนเรานี่แปลกจริง ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็รักกันจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไร ครั้นตายไปก็กลายเป็นความกลัวชนิดขนหัวลุก!

เสียงแต้วพูดเนิบๆ ต่อไป

"คืนนี้เราอยู่ด้วยกันในห้องมืดๆ ต่อไปเธอจะไม่กล้าอยู่คนเดียวเพราะกลัวฉันจะมานอนด้วยอย่างนี้..." เธอหัวเราะเสียงใส แล้วบอกให้ดิฉันหลับซะ

นั่นเป็นคืนสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกัน เพราะวันรุ่งขึ้นแต้วมีอาการทรุดลงอย่างน่าตกใจ คุณพ่อของเธอรีบบอกหมอแล้วพาเข้าโรงพยาบาลทันที

ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาล แต้วนอนบนเตียงแคบๆ สีขาวสะอาด มีสายระโยงระยางจากปาก จากจมูกและแขนของเธอ...แต้วดูป่วยมาก อ่อนแอมาก...สองวันจากนั้นเธอก็สิ้นใจอย่างสงบ

จริงอย่างที่เธอพูดเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนั้น ดิฉันยอมรับว่ากลัว...และกลัวมากจนฝันร้ายบ่อยๆ กลัวจนไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ต้องให้น้องสาวมานอนเป็นเพื่อน แม้กระทั่งจะเข้าห้องน้ำก็ต้องแง้มประตูไว้..

คนเราเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือคะ?

เรากลัวผีคนที่เราเคยรักเขามากได้นี้เลยเชียวหรือ?

เมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ดิฉันนอนตามลำพังสองคนกับแต้วในห้องมืดสลัว เย็นฉ่ำ...บัดนี้ดิฉันไม่กล้าปิดไฟนอนอีกเลย เคยลองปิดหนหนึ่ง แหม...บรรยากาศมันเย็นยะเยือกและหวาดระแวงไปหมดทันที จนต้องตะกายไปเปิดไฟ! ต้องเถียงกับน้องสาวที่รำคาญไฟแยงตาจนแทบนอนไม่หลับ

นึกแล้วขำ...ดิฉันอมยิ้มกับตัวเอง และก่อนหลับในคืนนั้น ดิฉันสาบานได้ว่าได้ยินเสียงหัวเราะหวานใสปานระฆังเงิน...

ไม่ใช่เสียงน้องสาวตัวดีของดิฉันหรอกค่ะ แต่มันเป็นเสียงแต้ว...เพื่อนรักของดิฉันเอง นึกถึงแล้วขนลุกค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEE1TURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB3T1E9PQ==



Create Date : 09 เมษายน 2551
Last Update : 9 เมษายน 2551 21:17:07 น.
Counter : 604 Pageviews.

0 comment
วิญญาณห่วง
วิญญาณห่วง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อาร์ต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยือน

ลุงแอ๊ดของผมอายุ 61 ปี กำลังใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างแสนสุข เหตุหนึ่งที่รู้สึกสบายกายสบายใจได้เช่นนี้ ก็เพราะลุงเตรียมตัวไว้ดี จึงมีทั้งเงินและเวลาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมาลำบากตอนแก่

ลุงมีความสุขที่จะอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้และพาป้ากล้วย-ป้าแท้ๆ ของผมไปเที่ยว...ไปทะเลบ้าง ไปทัวร์บ้าง

ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่ความสุขของลุงมันสั้นเกินไป!

สาเหตุมาจากเมื่อ 2 เดือนที่แล้วนี่เอง ลุงแอ๊ดเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ท้องอืด อาหารไม่ย่อย พอไปหาหมอปรากฏว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ไม่น่าเชื่อเลยครับ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเป็นอะไรมาก ปกติลุงเป็นคนแข็งแรงตลอดมา ไม่ใช่คนผอมแห้งแรงน้อยซักหน่อย พอตรวจปุ๊บก็เจอปั๊บ และมันก็สายเกินไปแล้วด้วยซีครับ

หลังจากเจอมะเร็งเพียงแค่ 3 เดือน ลุงแอ๊ดก็จากเราไปอย่างสงบ...สำหรับพวกเราแล้ว ความตายของลุงแอ๊ดนับว่ากะทันหันเชียวละ คนที่เศร้าโศกเสียใจสุดๆ ก็คือป้ากล้วยนั่นเอง!

ป้าผมทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ตลอดเวลา แล้วก็หงอยเหงาเศร้าซึมเหมือนอยากตายตาม อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ พวกเราไม่ยอมให้ป้าคลาดสายตาเลย กลัวจะคิดสั้นหรือเป็นอะไรไป เพราะป้ากล้วยทั้งความดันสูงกับเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วด้วยซี

บ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ผมเองมีห้องนอนอยู่ที่ชั้น 2 ตรงข้ามกับห้องของลุงแอ๊ดและป้ากล้วย ส่วนพ่อแม่ผมอยู่ชั้นล่าง ห้องติดกับห้องของคุณตาคุณยาย

ลุงกับป้ามีลูกชายคนเดียวคือพี่โอ๊ต ซึ่งแต่งงานแล้วและแยกไปอยู่กับครอบครัวที่หมู่บ้านแถวเมืองนนท์ เมียพี่โอ๊ตสวยมาก แต่ขี้งกที่สุด วันๆ คิดแต่จะเอาสมบัติของสามี คงเห็นว่าลุงแอ๊ดรวย และมีลูกชายคนเดียว พอตายลงก็คงยกสมบัติให้พี่โอ๊ตหมด

แหม! คุณเธอเทียวไปเทียวมา ทำเป็นถามถึงเงินทองและพระเครื่องล้ำค่าของลุงแอ๊ด โดยถามเอากับป้ากล้วย เธอพูดเป็นทำนองว่า ป้ากล้วยไม่ยอมให้มรดกพี่โอ๊ต! ที่จริงลุงแอ๊ดซื้อที่ดินแถวรามอินทรากับแถวพุทธมณฑลไว้ และโอนให้พี่โอ๊ตทั้งสองแปลงแล้ว มันก็น่าจะพอใจแค่นั้น...นี่อะไร ยังมาระรานป้ากล้วยอีกแน่ะ!

ศพลุงแอ๊ดก็เพิ่งเผา ป้ากล้วยเลยคิดมากไปใหญ่...

ตั้งแต่ลุงแอ๊ดตาย ผมคนหนึ่งละที่สังหรณ์ใจว่าลุงยังไม่ไปไหน...ยังวนเวียนห่วงป้ากล้วยอยู่ในบ้านนี้แหละ ถึงแม้จะเสียวสยอง แต่ผมก็ไม่ถึงกับกลัวมากมายอะไรหรอกครับ

พวกเรามักได้ยินเสียงคล้ายกับยามที่ลุงแกยังมีชีวิตอยู่ อย่างเสียงกรรไกรตัดกิ่งไม้มันดังฉับๆๆ แว่วมา เหมือนที่ลุงเคยทำ...เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันได เสียงไอและจาม เสียงเข้าห้องน้ำ...

ป้ากล้วยเองก็บอกว่ารู้สึกเหมือนลุงแอ๊ดยังอยู่ข้างๆ บางทีก็คล้ายกับมาหายใจอยู่ใกล้ๆ หู!

เย็นวันอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง พี่โอ๊ตพาลูกๆ กับพี่แหม่ม-เมียของเขามาเยี่ยมป้ากล้วย และก็เช่นเคย หลังมื้อค่ำราว 2 ทุ่ม พี่แหม่มนัวเนียอยู่กับป้ากล้วย ถามหาพระสมเด็จวัดระฆังที่ลุงแอ๊ดสวมใส่ติดคอเสมอเมื่อยังมีชีวิตอยู่

จริงๆ แล้วพระองค์นี้ ลุงแอ๊ดบอกไว้ตอนที่เจ็บหนักว่าให้ผม เพราะลุงรักผมเหมือนลูกคนหนึ่งทีเดียว เมื่อพี่แหม่มรุกเร้าหนักๆ เข้า ป้ากล้วยก็ไม่ค่อยสบายใจ

ป้าเล่าให้ผมฟังภายหลังว่า พี่แหม่มตามป้าเข้าไปถึงในห้องนอน

ห้องนอนของลุงกับป้า นอกจากจะมีเตียงนอนและตู้เสื้อผ้าแล้ว ยังมีโต๊ะเขียนหนังสือของลุงแอ๊ด หนังสือ พิมพ์ดีด กล่องใส่ดินสอ...ทุกอย่างยังจัดวางไว้ที่เดิมเหมือนรอให้ลุงกลับมา...รวมทั้งโป๊ะไฟสำหรับส่องเขียนหนังสือด้วย มันเป็นหลอดไฟแบบประหยัด สว่าง 7 วัตต์ ลุงมักเปิดเสมอเวลาเขียนหนังสือตอนดึกๆ และปิดไฟกลางห้องให้ป้ากล้วยหลับสบายๆ แสงไฟไม่แยงตา

ห้องนอนยังอยู่ในสภาพเดิม เว้นแต่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะเขียนหนังสือนี้มีรูปหนึ่งแขวนไว้...เป็นรูปหน้าศพของลุงแอ๊ดเองครับ ป้ากล้วยเอามาแขวนไว้ในห้องนี้

ขณะที่พี่แหม่มนั่งพับเพียบ พูดจาออดอ้อนระคนต่อว่าต่อขานจนป้ากล้วยอึดอัด ก็ปรากฏว่าแสงไฟดับพรึ่บลงทั้งบ้าน!

เสียงพี่แหม่มร้องวี้ด และวิ่งถลาออกจากห้อง

ทำไมเธอตกใจขนาดนั้น?!

คำตอบคือ...ลำพังไฟดับมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ นี่ไฟดับหมดบ้านยกเว้นดวงเดียว คือไฟโป๊ะเขียนหนังสือ มันดันเปิดเองสว่างโร่ได้ยังไงไม่รู้ และแสงไฟก็ส่องไปจับเหมาะเอาที่รูปลุงแอ๊ดพอดิบพอดี

ดูเหมือนไฟที่ส่องตัวละครบนเวทียังไงยังงั้น...คิดดูเถอะครับ มันจะน่าสยองขนาดไหน?

พักใหญ่ๆ ไฟทั้งบ้านก็ติดขึ้นมาเองซะงั้น และเมื่อไปดูโคมไฟเจ้ากรรมตามคำโวยวายของพี่แหม่มก็ปรากฏว่ามันปิดตัวเองลงเรียบร้อย ไม่มีใครไปแตะต้อง

มันคืออะไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่อภินิหาริย์วิญญาณลุงแอ๊ด?!

ตั้งแต่นั้นมา ป้ากล้วยอาการดีขึ้นเป็นลำดับเพราะอุ่นใจว่าลุงแอ๊ดยังอยู่จริงๆ ส่วนพี่แหม่มขี้งกจ๋อยสนิท ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่กล้ามารบกวนป้ากล้วยของผมอีกเลยครับ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEE0TURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB3T0E9PQ==



Create Date : 08 เมษายน 2551
Last Update : 8 เมษายน 2551 21:36:18 น.
Counter : 868 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend