ใครอยู่ในตู้?
ใครอยู่ในตู้?

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อาทร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนพิชัย

สมัยหนุ่มผมอยู่ในซอยสันติสุข ใกล้ๆ กับสี่แยกพิชัย ซึ่งอยู่ระหว่างศรีย่านกับราชวัตร แถวนั้นเป็นดงอาหารครับ ของอร่อยเยอะแยะไปหมด ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แสงไฟสว่างไสว ผู้คนคึกคักเหมือนมีงานรื่นเริงทุกคืน

นอกจากรถเข็นแล้วยังมีร้านดังๆ ไม่ว่าปลาช่อนแป๊ะซะ ข้าวมันไก่ หมูตั้ง ไหนจะร้านไก่ย่างส้มตำเจ้าอร่อย คือร้านจั๊กหน่อย อาหารอีสานเพียบ ไม่ว่าลาบ ก้อย ตับหวาน ต้มป่าปลาหมอ เนื้อเค็ม เนื้อแดดเดียวมีหมด ถูกอกถูกใจคอเหล้าอย่าบอกใครเชียว

ตกเย็นคอเหล้าขาประจำก็ทยอยกันเข้ามา ไม่ช้าร้านขนาดสองคูหาก็เต็มทุกโต๊ะ ใครมาช้าก็ต้องนั่งโต๊ะบนฟุตปาธหน้าร้าน พวกที่ทนรอโต๊ะว่างไม่ไหวก็จัดการสั่งซื้อสรรพอาหารรสแซบใส่ถุงไปกินบ้านละกัน ถ้าไม่อร่อยจริงๆ จะมายืนรอให้เมื่อยแข้งเมื่อยขาไปทำไม

อ้อ! ร้านอาหารอร่อยๆ ที่ว่าน่ะอยู่แถวถนนพิชัยนะครับ ไปทะลุออกถนนสามเสนก็ได้ ออกถนนพระราม 5 ก็ได้...ถนนกว้างขวาง ไปมาสะดวก ร้านไหนอร่อยจริงๆ รับรองว่าลูกค้าแน่นตรึม...แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาด ค่อนข้างจะอัศจรรย์ด้วยซ้ำก็คือตู้โทรศัพท์ครับ

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ถนนสั้นๆ สายนี้มีตู้โทรศัพท์มากมายที่สุดในกรุงเทพฯ!

ทั้งสองฝั่งถนนเห็นแต่ตู้โทรศัพท์แดงๆ โดดเด่นอยู่ใต้ต้นไม้ร่มครึ้ม เคยมีคนลองเดินนับดู เบ็ดเสร็จมีตั้ง 14-15 ตู้แน่ะครับ

องค์กรโทรศัพท์คงจะเห็นว่าบ้านเรือนหนาแน่น แต่ถนนพิชัยไม่มีรถเมล์ผ่านเลยเอาตู้โทรศัพท์มาตั้งเป็นว่าเล่น เดี๋ยวตู้ๆ ที่เคยนับไว้อาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ที่อื่นไม่ยักหนาตาเหมือนแถวบ้านผม

คืนเกิดเหตุ ผมกับเพื่อนๆ ที่โรงพิมพ์ย่านบางพลัด ชักชวนกันมาดวดดื่มที่ร้านจั๊กหน่อย...ตอนนั้นส้มตำปูเพิ่งขึ้นราคาจากจานละ 3 บาท เป็น 5 บาท ไม่ใช่จานละ 20-30 บาท เหมือนตอนนี้หรอกครับ เล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน หาว่าตลก...ปั้ดโธ่!

เรามาถึงราว 6 โมงเย็น หน้าหนาวค่ำเร็วครับ...โต๊ะในร้านน่ะอย่าไปหวัง ได้โต๊ะบนฟุตปาธ ห่างเตาย่างไก่ไปทางขวา แค่นี้ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ต้องยืนแขวนรอโต๊ะว่าง

เจ้าผ่อนอยู่บางโพ เจ้าโก๋อยู่สะพานควาย...ถือว่ามาหากินใกล้ถิ่นหน่อย ผมโชคดีกว่าเพื่อนตรงที่เดินตีต๊อกกลับบ้านใกล้ๆ ได้สบายมาก

เหล้าแบนโซดาสอง ลาบ ก้อยตับ แหนมห่อ ส้มตำปูใส่ปลาร้า อ้อ! น้ำแข็งอีกหนึ่งกระติก...แค่นี้ก็ทำให้หายเมื่อยขบ หูตาสว่างไสว มองเห็นโลกโสภาสถาพรขึ้นมาทันใด

แบนที่สองและที่สามตามติดมาอย่างรวดเร็ว คงเพราะอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวทำให้เมาช้า มีเนื้อเค็มกับซุบหน่อเพิ่มเติมขึ้นมา อย่าลืมข้าวเหนียวสามกระติ๊บ จะได้ไม่ต้องแย่งกันจกใส่ปาก...พูดคุยเฮฮาไร้สาระ จนกระทั่งถึงแบนที่สี่

เอาละ! พอกันที เจ้าผ่อนสั่งต้มป่าปลาหมอ เจ้าโก๋สั่งส้มตำปูมาเปลี่ยนรสชาติซะมั่ง...ไม่ต้องบอกก็รู้กันในทีว่าแบบนี้เป็นแบบสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะเพื่อน!

มึนๆ กำลังดี ซดต้มป่าปลาหมอโฮก...หูตาสว่างจ้าขึ้นมาทันตาเห็น ถ่านในเตาไก่ย่างดับมอดแล้ว ลูกค้าบางตาลง ที่เหลือก็ทยอยกันกลับ เราช่วยกันจ่ายเงินก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง...

ไฟถนนสว่างโพลงดูเยือกเย็น ผมเดินไปตามบาทวิถีโล่งว่าง ลมหนาวกรูเกรียวเข้ามาจนทำให้อาการมึนนิดๆ แทบจะจางหาย...ก่อนจะเหลือบไปมองตู้โทรศัพท์ข้างหน้าพอดี

ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ มือถือกระบอกโทรศัพท์แนบกับใบหู...ผมเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส จนกระทั่งมองเห็นตู้สีแดงตั้งโดดเด่นอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น...

ผู้ชายยืนอยู่ในตู้ คราวนี้สังเกตว่าสวมเสื้อขาว...หันไปมองด้านขวามือโดยไม่ได้ตั้งใจ อ้าว? ตู้โทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ว่างเหมือนกัน! มิน่าล่ะ เขาถึงได้ตั้งตู้ไว้ให้หนาตาเชียว...พอดีชายในตู้หันมา หน้าขาวๆ กำลังพูดโทรศัพท์พะงาบๆ ดูคล้ายๆ กำลังแยกเขี้ยว...จ้องมองผมด้วยแววตาพิลึกจนน่าเสียวสันหลัง

ตู้สีแดงโดดเด่นอยู่ข้างหน้าอีกแล้ว น่าแปลกที่ไม่เห็นมีรถราแล่นผ่านเลย ทั้งที่ยังไม่ห้าทุ่มด้วยซ้ำ...ผู้ชายสวมเสื้อขาวกำลังก้มหน้าก้มตาพูดใส่กระบอก แถมพยักหน้าหงึกหงัก...ผมหันไปมองฝั่งตรงข้ามก็เห็นผู้ชายในตู้โทรศัพท์เช่นกัน

หันกลับมาเห็นชายคนนั้นเงยหน้าซีดขาวขึ้นมอง...สะดุดใจวูบเมื่อจำได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน สมองที่พร่ามึนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้คิดช้า แต่แล้วก็นึกออกว่าเป็นชายคนเดียวในตู้โทรศัพท์ที่เพิ่งเดินผ่านมานั่นเอง!

ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น มองเห็นหัวมุมถนนอยู่ไม่ไกล ตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไปฝั่งโน้นตรงกับตู้โทรศัพท์พอดี...ผู้ชายหน้าขาวซีดคนเดิมกำลังถือหูโทรศัพท์ แต่จ้องมองผมเขม็ง

ราวกับโลกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมเผ่นอ้าวไปไม่คิดชีวิตจนถึงถนนนครไชยศรี...วิ่งเตลิดเข้าซอยบ้านราวคนบ้า...สิ่งที่ผมเจอะเจอน่ะถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรล่ะครับ? บรื๋อส์!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEU1TURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4T1E9PQ==



Create Date : 19 พฤษภาคม 2551
Last Update : 19 พฤษภาคม 2551 19:38:25 น.
Counter : 640 Pageviews.

0 comment
ไทรสยอง
ไทรสยอง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ตอง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากต้นไทรกินเด็ก

ดิฉันเชื่อว่าโลกเรานี้มีหลายมิติ และมีอะไรอีกมากมายที่ตาเรามองไม่เห็น หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่สามารถมองทะลุมิติออกไปได้ ยกเว้นในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง และบางทีโลกต่างมิติก็อาจจะบังเอิญเชื่อมสู่กันได้ จนทำให้เกิดเหตุการณ์น่าขนหัวลุก

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉัน ไม่มีใครให้คำอธิบายได้ ไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ

คุณยายของดิฉันเป็นผู้หญิงที่แสนเศร้า ชาวบ้านซุบซิบกันว่าท่านเป็นบ้าด้วยซ้ำไปสาเหตุก็คือลูกสาวสุดที่รักของท่านคนหนึ่งหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

แม่ของดิฉันเป็นลูกสาวคนโตของคุณยาย น้าต้อยเป็นคนที่สอง และน้าใบเตยเป็นลูกสาวคนสุดท้อง

แม่เล่าว่า น้าใบเตยเกิดมาเป็นทารกที่น่ารักน่าเอ็นดูมากที่สุด เธอสวยเหมือนรูปปั้น ยิ่งโตยิ่งสวยจับจิตจับใจ ชาวบ้านร้านช่องต่างรักใคร่ชื่นชม ให้ขนมให้ของเล่น แม่รักน้องคนนี้มาก ส่วนคุณยายไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ น้าใบเตยเป็นแก้วตาดวงใจของท่าน

บ้านของคุณยายอยู่ที่อยุธยา ไม่ไกลจากวัดกษัตราธิราช ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม ดิฉันเคยไปเยี่ยมบ่อยๆ และแทบทุกครั้งก็จะเห็นท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ ท่านนั่งพิงต้นไทรและหลับตานิ่งอยู่นานๆ บางทีก็มีน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม...

คุณยายร้องไห้เงียบๆ โดยไม่มีใครมารบกวน...พวกเราชินตากับภาพนั้นเสียแล้ว

ตอนที่น้าใบเตยอายุขวบกว่าๆ วันหนึ่งคุณยายอุ้มเธอกลับบ้าน ซึ่งต้องเดินผ่านต้นไทร คุณยายได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ พอหันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร

คืนนั้น คุณยายฝันว่า เดินลงจากบ้านมืดๆ กลางดึกสงัด มุ่งตรงไปที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปราวร้อยเมตรกว่าๆ เท่านั้น...เดินไปเหมือนมีใครมาเรียก พอไปถึงก็เห็นว่าต้นไทรเป็นบ้านของผู้หญิงคนหนึ่ง สวยมาก ผมยาวเลยบั้นเอวไปอีก เธอนุ่งผ้าถุงสีน้ำตาล ห่มสไบสีเขียวเข้มเกือบดำ ปากเคี้ยวหมาก ดวงตาสดใส เป็นประกายแก่กล้า

หญิงสาวลึกลับเรียกให้คุณยายตามเธอขึ้นกระไดไม้ที่พาดอยู่กับต้นไทรนั้น! คุณยายเดินขึ้นไปอย่างง่ายดาย...

กระไดนั้นนำท่านไปสู่สวนที่เป็นกิ่งก้านสาขาและใบหนาที่ดกทึบ แต่มันไม่ใช่เป็นต้นไม้ธรรมดาอย่างที่เราเห็นยามกลางวัน มันกลายเป็นเรือนใหญ่ที่แสนสบาย ลมพัดเย็น มีเสียงนกร้องและหอมกลิ่นดอกไม้

คุณยายเห็นนกต่างๆ หลากสีหลายพันธุ์ มันเป็นนกที่คงจะอาศัยร่มไทรนี้อยู่ แต่ยามนั้นมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาอย่างที่เรารู้จัก...มันพูดภาษาคนได้! และทำตัวเหมือนเป็นคน คือฉลาดมีความ

คิดอ่าน และเป็นบริวารของแม่หญิงต้นไทร!

นอกจากนกแล้วยังมีกระรอก ค้างคาวและแมลง รวมทั้งงูด้วย...ทุกอย่างรู้ภาษา และมีหน้าที่ต่างๆ กัน สัตว์ทุกตัวเป็นมิตรต่อกัน ไม่กินกันเอง

แม่หญิงต้นไทรชวนให้คุณยายนั่งลงดื่มน้ำและกินขนม กินผลไม้ จากนั้นเธอก็เอ่ยปากขอลูกสาวคุณยาย...ลูกสาวคนเล็กที่งดงามราวเทพธิดามาจุติ!

คุณยายตกใจ ลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่แม่หญิงต้นไทรยึดข้อมือไว้แน่น คุณยายตะโกนว่า...ไม่ให้! แล้วดิ้นรน หลับหูหลับตาหวดซ้ายป่ายขวา จนกระทั่งตกมาจากต้นไทรนั้น...

มันเป็นฝันร้ายที่เหมือนจริงที่สุด ตั้งแต่นั้นคุณยายก็รู้สึกเสมอว่าเวลาผ่านต้นไทรจะมีใครคนหนึ่งมองตามอย่างคาดคั้น

น้าใบเตยมักมีอากัปกิริยาแปลกๆ เธอมองต้นไทรและหัวเราะด้วย เหมือนเห็นใครบางคนที่รู้จักมักคุ้นกันดี...จนกระทั่งสามขวบ น้าใบเตยชอบไปเล่นที่ต้นไทร คุยกะหนุงกะหนิงอยู่คนเดียว

แม่เล่าว่า คนเผลอเป็นไม่ได้เชียว น้าใบเตยจะเดินไปที่นั่นเองเหมือนมีคนเรียก!

วันหนึ่ง คุณยายไม่เห็นน้าใบเตยอยู่บนบ้าน ก็รีบตรงไปที่ต้นไทรและเรียกแม่ไปด้วย ปรากฏว่าทั้งคู่มองเห็นน้าใบเตยนั่งเล่นอย่างเพลิดเพลิน พอเงยหน้าเห็นแม่กับพี่สาว เธอก็ลุกขึ้นไปแอบหลังต้นไม้ แม่กับคุณยายเรียกให้กลับบ้าน และไล่จับกันรอบต้นไทรนั้น...

ลมพัดมาวูบ ไทรไหวซู่ แล้วน้าใบเตยก็หายไปเฉยๆ หายไปเลยตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้!

คุณยายเป็นลมล้มพับและไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย ชาวบ้านเชื่อว่าน้าใบเตยถูกลักพาตัว บางคนก็เชื่อเรืองที่คุณยายเล่า แต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร หาคนทรงก็แลัว หาพระก็แล้ว คุณยายไม่ได้ตัวน้าใบเตยคืนมา...อย่างมากที่จะทำได้ก็แค่ไปนั่งใต้ต้นไทร เพราะเชื่อว่านั่นคือการได้อยู่ใกล้กับลูกรัก

ดิฉันเชื่อท่าน สงสารท่าน...และเชื่อในเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUyTURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4Tmc9PQ==



Create Date : 16 พฤษภาคม 2551
Last Update : 16 พฤษภาคม 2551 19:48:04 น.
Counter : 649 Pageviews.

1 comment
เสียงสยอง
เสียงสยอง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"วัลลภ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากองครักษ์

เขาว่าถึงฆาตน่ะไม่ต้องไปไหนมาไหน ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่างๆ นานา ต่อให้อยู่ในบ้านแท้ๆ ยังตายโหงได้ละกัน เช่น โดนโจรห้าร้อยมันบุกเข้าไปยิงทิ้งจนด่าวดิ้นสิ้นใจ ไม่ว่าตายเดี่ยวหรือตายยกครัว ยังกับบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปแน่ะ

หนักหนาสาหัสกว่านั้นก็คือ โดนรถพุ่งเข้าชนตายคาบ้าน หรือไม่เครื่องบินลอยอยู่บนฟ้าแท้ๆ ดันเครื่องขัดข้อง หล่นตูมตามลงมาตายหมู่ทั้งคนในเครื่องบินกับคนในบ้านที่นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นแท้ๆ

ยังงี้เขาบอกว่า "ซวยเรียกพี่" ครับ!

อย่าว่าแต่คนถึงฆาต ดวงกุดดวงขาดอะไรเลยครับ แม้แต่คนที่บทจะโดนผีหลอกน่ะ ไม่ต้องขึ้นรถลงเรือ ไปเหนือล่องใต้หรอกคุณ...นอนเล่นอยู่ในบ้านยังโดนผีหลอกเอาก็ยังมี

ประเภท บ้านผีดุ ห้องผีสิง วิญญาณพเนจร อะไรนั่นแหละครับ สมัยผมเด็กๆ อยู่ที่ถนนองครักษ์ด้านใน ค่อนไปเกือบถึงวัดประชาระบือธรรม มีคนข้างบ้านเผ่นกระเจิงออกจากบ้านตัวเองกลางวันแสกๆ มาแล้วครับ

บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงอยู่เยื้องๆ บ้านผม สมัยนั้นใช้ไม้ระแนงกั้นรั้วก็โก้แล้วครับ ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นสังกะสี หรือรั้วเหล็กจนถึงอิฐบล็อกหนาทึบอย่างเวลาต่อมาจนถึงทุกวันนี้

บ้านที่ว่าปลูกก่อนผมเกิดราว 2-3 ปี ครอบครัวเล็กๆ มาซื้ออยู่กัน ปรเภทผัวหนุ่มเมียสาว หรือมีลูกเต้าแค่คนสองคนกำลังดี มีสองห้องนอน กับระเบียงแคบๆ และบันไดที่ทอดอยู่นอกบ้าน ส่วนใต้ถุนตั้งโต๊ะใหญ่บนพื้นราดซีเมนต์ เป็นทั้งโต๊ะรับแขก โต๊ะทำงานและโต๊ะนั่งเล่น ตกเย็นค่ำตั้งอาหารเข้าก็กลายเป็นโต๊ะกินข้าวได้ทันใด

น่าแปลกอย่างที่อยู่กันไม่ค่อยทน แค่เดือนสองเดือนก็ขายต่อกันแล้วครับ เขาลือกันว่าบ้านนั้นผีดุนักหนา

ผีที่ว่าดุๆ น่ะยังไม่มีใครเห็น หรือเอามาเล่าว่าน่าสยดสยองแค่ไหน? พวกผู้ใหญ่เขาบอกว่า...โอ๊ย! ไม่ต้องเห็นตัวหรอกวะ แค่ได้ยินเสียงก็ขี้หดตดหายไปตามๆ กันแล้วโว้ย

บอกตรงๆ ว่าเด็กอย่างผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี จนกระทั่งเจ้าของบ้านรายสุดท้ายยอมแพ้ ย้ายไปอยู่ที่อื่น...ว่ากันว่า จะอยู่ก็ทนผีหลอกไม่ไหว แต่จะขายก็เสียดาย เลยหาทางออกด้วยการให้เขาเช่าซะ...ดีกว่าปิดทิ้งเป็นบ้านร้างเปล่าๆ

ลุงเหน่กับป้าเอียดพาลูกสาววัยรุ่นชื่อพี่ต้อยมาเช่าอยู่เป็นรายแรก!

เช้าก็ออกไปทำงานกับไปโรงเรียน ให้กุญแจเฝ้าบ้านก็พอเพราะขโมยยังไม่ชุมนัก วันนั้นลุงเหน่ไม่ค่อยสบายเลยหยุดงาน จนตอนบ่ายแก่ๆ ก็ว่าจะไปหาซื้อยากับหาอะไรกินที่ตลาดบางกระบือ...พอลงบันไดก็ได้ยินเสียงอะไรกุกกักมาจากในห้องที่เพิ่งใส่กุญแจหยกๆ

ลุงเหน่นึกว่ามีหนูมาวิ่งเล่น แต่พอเดินไปถึงห้องครัวที่ติดกับห้องน้ำ ดันมีเสียงตึงตังอยู่เหนือหัวจนแกเงยขวับ ร้อง "อะไรวะ?" อย่างลืมตัว

เสียงเขย่าขวัญหายไปแล้ว...เพิ่งลงมาจากบ้านหยกๆ ไม่มีใครบ้าคิดว่าเป็นขโมยหรอกครับ ว่าแต่มันเป็นเสียงอะไรกันแน่? จะว่าข้าวของโดนลมพัดล้มก็ไม่ใช่ เพราะแกจำได้ว่าปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วก่อนจะออกมา แถมตอนนั้นก็ไม่มีลมพายุรุนแรงอะไรเลย

"เอี๊ยด...เอี๊ยดดดด..." เสียงกระดานลั่นตามด้วยเสียงถอนใจยืดยาว "เฮ้อออ..."

ลุงเหน่ยังไม่วิ่งแม้ว่าจะเย็นวาบไปทั้งตัว สงสัยว่าหูเหืองคงจะไม่ค่อยดีเพราะความชรา เลยต้องเงยหน้ามองให้แน่ใจ...

และแล้ว แกก็ได้เห็นภาพนั้น...ภาพของกระดานที่ระเบียงหน้าห้องนอนกำลังยุบเป็นจังหวะ เหมือนมีคนร่างใหญ่กำลังเดินช้าๆ ทำให้กระดานลั่นเอี๊ยดๆ ราวกับตอนที่แกก้าวเดินอยู่ข้างบนไม่มีผิด!

คราวนี้ลุงเหน่เล่าว่า...หัวใจข้าตกตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ต้องอาศัยตีนหมาโกยอ้าวไม่คิดชีวิตไปหาเพื่อนบ้าน...ร้องแต่ว่า "ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย"

ผมเองก็เพิ่งรู้รายละเอียดพร้อมๆ ลุงเหน่นี่เอง...ได้ความว่าเจ้าของบ้านคนเดิมอายุเลยกลางคนแล้ว รูปร่างสูงใหญ่อ้วนท้วนไม่ต่ำกว่า 120 กิโลกรัม ชอบออกมาเดินเล่นที่ระเบียงทุกเย็น วันหนึ่งเกิดล้มโครมครามลงจนลูกๆ วิ่งออกมาดู แต่คนชะตาขาดก็หัวใจวายตายไปแล้ว

ต่อมาพวกลูกๆ ได้ยินเสียงเดินที่ระเบียงบ่อยๆ ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน...ใส่บาตรให้ก็แล้ว ทำสังฆทานให้ก็แล้วแต่เสียงกระดานลั่นก็ยังดังอยู่ตามเดิม...จนทนไม่ขายต่อๆ กันมา 2-3 รายแล้วเพราะเสียงกระดานลั่นเอี๊ยดๆ มันบาดหูบาดใจเหลือทน...จนกระทั่งรายสุดท้ายเปิดให้เล่าก็มีลุงเหน่กับลูกเมียนี่แหละที่มาเช่าอยู่เป็นรายแรก

"ยังอยู่ไม่ถึงเดือนเลยว่ะ" ลุงเหน่ครางอ่อยๆ "วันแรกๆ น่ะข้าหลับเป็นตาย แต่ลูกเมียเขาได้ยินคนเดินที่หน้าห้อง ลุกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร...ข้ายังดุเอาเลยว่าหูหาเรื่อง! ชะช้า...มาเจอกับตัวเองกลางวันแสกๆ เต็มภิกขา! ข้าไม่อยู่ก็ได้โว้ย"

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUxTURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4TlE9PQ==



Create Date : 15 พฤษภาคม 2551
Last Update : 15 พฤษภาคม 2551 20:12:40 น.
Counter : 615 Pageviews.

0 comment
คุณยายสำอาง
คุณยายสำอาง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเยี่ยมไข้คุณยายของเพื่อน

ดิฉันยอมรับว่าเป็นคนกลัวผีระดับมากๆ คนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เคยถูกผีหลอกมาก่อนเลยก็ตาม แต่ถ้าไปที่เปลี่ยวหรือตกอยู่ในที่มืดๆ ทำไมถึงเกิดความหวาดระแวงก็ไม่รู้ซีคะ...เหลียวซ้ายแลขวาตลอดจนกว่าจะได้อยู่ที่สว่าง

เมื่อต้นเดือนเมษายนนี่เอง ดิฉันได้พบกับเรื่องสยองขวัญเข้ากับตัวเอง ทั้งๆ ที่คอยระมัดระวัง ไม่ไปที่เปลี่ยว ไม่ยอมไปงานศพ หรือเข้าวัดคนเดียว ตกกลางคืนอยู่ในห้องนอน ก็จะตรวจตราทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าประตูหน้าต่าง ในตู้และใต้เตียง ห้องน้ำก็ไม่ไว้ใจหรอกค่ะ

เตรียมใจไว้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ หรือถูกผีหลอกนะคะ จะร้องให้ลั่นห้องจนพ่อแม่ที่นอนห้องข้างๆ แทบแก้วหูกระดิกเชียว

"เปิ้ล" เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกับดิฉันมากที่สุดในบริษัท กับคนอื่นๆ ที่รักใคร่กันดี แต่เราสองคนสนิทใจกันมากกว่าคนอื่น ไว้เนื้อเชื่อใจกันทุกอย่าง มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังได้ แทบจะเรียกว่าไม่มีความลับระหว่างกันเลย

เราไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง เปิ้ลอยู่กับพ่อแม่และยายวัยแปดสิบเศษ บ้านช่องแถววัดแค นางเลิ้ง เป็นบ้านตึกครึ่งไม้สองชั้น อยู่กันมาตั้งแต่คุณยายยังสาว...ดิฉันสนิทสนมกับบ้านเพื่อนเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เปิ้ลได้พบพ่อแม่ดิฉันสองสามครั้งก็บอกว่าเคารพรักเหมือนเป็นพ่อแม่แท้ๆความสัมพันธ์ของเราราบรื่น...แต่ก็คงเหมือนกับคำเตือนเก่าๆ นั่นแหละนะคะ

"หลังความสงบจงระวังพายุใหญ่"

พ่อแม่ดิฉันเกิดอุบัติเหตุรถชนกันตอนกลับบ้าน ถึงแม้อาการไม่สาหัสแต่ก็ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดิฉันแทบไม่เป็นอันกินอันนอน เช้า-เย็นต้องแวะไปเยี่ยมพ่อแม่แล้วถึงจะไปทำงาน ตกเย็นก็มีเพื่อนสนิทๆ กันตามมาเยี่ยมด้วย...แต่ที่ดิฉันพบหน้าทุกวันทั้งตอนเช้าที่โรงพยาบาล ทั้งตอนเย็นที่ไปเยี่ยมพ่อแม่ดิฉันด้วยก็คือเปิ้ลนี่เองค่ะ

วันที่หมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ เปิ้ลก็มารับพร้อมกับดิฉัน ...ถึงบ้านแล้วแม่ดิฉันถึงกับกอดเปิ้ลน้ำตาคลอ ขอบอกขอบใจไม่ขาดปากจนดิฉันรู้สึกตันในคอไปหมด

และแล้ว ก็ถึงคราวคุณยายของเปิ้ลล้มเจ็บบ้าง ดิฉันก็ไปเยี่ยมทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน เปิ้ลออกตัวว่ายายเป็นโรคคนแก่เท่านั้น สังขารร่วงโรยไปตามอายุขัย ทรุดโทรมอ่อนล้าทั้งหัวใจ ความดันสูง เบาหวาน แต่สังเกตว่าเปิ้ลกับยายรักและผูกพันกันมาก...ช่วงหลังๆ เปิ้ลหน้าตาซีดเซียว ผ่ายผอมลงไปเห็นได้ชัด

ยายสำอางของเธอนอนอยู่ห้องชั้นล่าง ติดกับห้องรับแขกและห้องกินข้าว เปิ้ลยอมรับว่าตอนกลางคืนยายร้องกรี๊ดๆ หรือโหยหวนจนต้องวิ่งลงมาดู เดี๋ยวก็ชักเดี๋ยวก็อาเจียนจนพูดจาไม่รู้เรื่อง พ่อแม่ต้องนำส่งโรงพยาบาลด่วน

หมอให้น้ำเกลืออยู่สอง-สามวันก็กลับมานอนแซ่วที่บ้านตามเดิม

ในที่สุด เปิ้ลต้องย้ายลงมานอนห้องเดียวกับยาย โดยปูที่นอนบนพื้นข้างๆ เตียงนั่นแหละค่ะ...ดิฉันไปเยี่ยมคุณยายบ่อยครั้งพร้อมกับของฝาก จนเปิ้ลห้ามไว้บอกว่ายายกินอะไรไม่ลงแล้ว จะให้ไปอยู่ร.พ.ก็ไม่ยอม ...ที่พาไปได้ก่อนหน้านั้นก็ตอนที่ไร้สติเท่านั้น

เวลานั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงคุณยายสำอาง ไม่ว่าใครก็ต้อรู้สึกสลดหดหู่ทั้งนั้นแหละค่ะ ยิ่งมองดูใบหน้าขาวซีด เหี่ยวย่น เต็มไปด้วยริ้วรอยของความชราและกระดำๆ ทั้งขมับและสองข้างแก้มยุบเป็นหลุม ปากบุ๋มเพราะถอดฟันปลอมออก ผมขาวโพลนปลิวไสวด้วยแรงพัดลมตั้งโต๊ะ ...นัยน์ตาสีน้ำข้าวจมอยู่ในเบ้าดูว่างเปล่า เหม่อลอยราวร่างไร้วิญญาณ!

กลิ่นอับๆ น่าอึดอัดลอยกรุ่น กลิ่นยา กลิ่นอาหาร กลิ่นอายของชีวิตและความตายอวลกรุ่นอยู่ในห้องนั้น...

เย็นหนึ่ง ดิฉันบอกเปิ้ลว่าจะไปเยี่ยมยายด้วย เธอพยักหน้าเหม่อๆ หน้าตาซีดเซียวเพราะการอดหลับอดนอนมาหลายคืนเต็มที...เมื่อถึงบ้าน พ่อแม่ยังไม่กลับจากทำงาน เปิ้ลนำหน้าไปที่ห้องยายแต่แล้วก็หยุดชะงัก...เอ๊ะ! ปิดประตูทำไม? ป้าเขียวไปไหน?

เสียงแม่บ้านขานรับมาจากในครัว เปิดรีบถลาไปกระชากประตูห้องออก ดิฉันก็โผล่เข้าไปเห็นภาพสยองเต็มตา

คุณพระช่วย! ร่างของคุณยายสำอางนอนหงายแผ่เหยียดยาว หลับตาแน่นิ่งไม่ผิดกับร่างไร้วิญญาณ พริบตานั้นเอง ใบหน้าขาวซีดก็หันขวับ นัยน์ตาเหลือกโพลงก่อนจะลุกพรวดขึ้นมานั่งห้อยขา จ้องมองเราเขม็ง เปิ้ลร้องว้าย...เราผงะหน้าอ้าปากค้าง ตกตะลึงตัวแข็งทื่อเกือบพร้อมๆ กับซากชีวิตเดินโยกเยกเข้ามาหาเรา

เสียงกรีดร้องดังระงมไปหมด ป้าเขียวกรี๊ดๆ อยู่ข้างหลังเรา...ดิฉันเห็นแต่สีแดงจ้าแตกกระจายเต็มหน้า เข่าอ่อนจนต้องเกาะเอวเปิ้ลไว้ ก่อนที่สติจะกลับคืนมา

คุณยายสำอางนอนสิ้นใจอย่างสงบอยู่บนเตียง...แม้จะคิดในแง่ดีว่าคุณยายลุกมาอำลาเราเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่วายขนหัวลุกค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUwTURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4TkE9PQ==



Create Date : 14 พฤษภาคม 2551
Last Update : 14 พฤษภาคม 2551 20:16:40 น.
Counter : 797 Pageviews.

0 comment
พบกันที่ศาลเจ้า
พบกันที่ศาลเจ้า

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"จำลอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลเจ้าแถวคลองประปา คนเราเกิดมาทั้งทีกว่าจะแก่ชราหรือเจออุบัติเหตุจนต้องกลายเป็นศพ หรือเป็นผีก่อนอายุขัยน่ะ เชื่อว่าจะต้องโดนผีหลอกกันทุกคน ไม่ว่าจะยอมรับว่ากลัวผีจริงๆ หรือปากแข็งยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เคยกลัวผีก็ตาม

บ้านผมอยู่แถวๆ คลองประปานี่เองครับ แต่ไม่ได้อยู่ถนนด้านใน เป็นซอยจากริมถนน ฝั่งข้ามกับคลองประปา จุดที่มองจากถนนเห็นเด่นชัดก็คือศาลเจ้าไงครับ

จากเตาปูนมุ่งหน้าไปบางซ่อน จะเห็นศาลเจ้าเก่าๆ หลังใหญ่อยู่ซ้ายมือ ด้านหน้าติดถนนมีป่าละเมาะเตี้ยๆ รกครึ้ม สมัยก่อนเคยเป็นลานกว้างขวาง ด้านซ้ายติดกับซอยเล็กๆ ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กจนจะเลยวัยหนุ่มไปแล้ว

ตอนเด็กๆ เคยแห่กันออกมาเล่นกับเพื่อนฝูงแถวนั้นเจี๊ยวจ๊าวไปหมด บางวันก็เล่นกันจนค่ำมืดพ่อแม่ต้องออกมาตาม แต่อาแปะเฝ้าศาลเจ้าใจดีครับ มีขนมแจกเด็กๆ อยู่เสมอ...นึกไม่ออกว่ากลายเป็นสนามรกร้างไปเมื่อไหร่? อาแปะเครายาวสีขาวใจดีคนนั้นแกหายไปไหน?

เพื่อนผมสมัยเด็กยังจำได้ว่ามีเจ้าอึ่ง เจ้าเลี้ยบ เจ้าแบนและเจ้าเอียง...ที่จำได้ก็เพราะชื่อแปลกๆของมันนี่เอง ส่วนอีกหลายๆ กาลเวลานับสิบๆ ปีที่ส่วนมากแยกย้ายกันไปเรียน ไปทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แทบจะไม่ได้พบปะกันเลยก็ว่าได้...ทำให้ค่อยๆ ลืมเลือนชื่อกับหน้าตาไปหลายคน บางคนก็ถึงกับนึกหน้าไม่ออก

ผมมาเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าถนัดใจเมื่อตอนต้นปีนี่เอง!

คืนนั้นมีเพื่อนรุ่นน้องแต่งงานที่สโมสรทหารบกแถวสี่เสา งานมงคลแบบนี้ย่อมขาดเหล้าเบียร์ไม่ได้อยู่แล้ว เพิ่มความครึกครื้นจนเป็นที่สนุกสนานเฮฮา...ขากลับราวสี่ทุ่มเศษผมติดรถเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เจ้ามิตรนี่มีน้ำจิตน้ำใจขนเพื่อนมาถึง 3 คน แวะส่งที่ราชวัตรกับเตาปูน...พูดไปอีกทีก็ทางเดียวกันแท้ๆ

แต่บ้านเจ้ามิตรอยู่ถึงแจ้งวัฒนะโน่นแน่ะ คืนนั้นฟ้าครึ้ม เมฆหนาลอยต่ำ เสียงฟ้าดังครืนๆ มาแต่ไกล สังเกตว่ารถราชักจะแล่นหนีฝนกันเร็วปรื๋อ ผมบอกให้เจ้ามิตรจอดส่งที่ปากซอย แต่เพื่อนยืนกรานจะไปส่งถึงบ้านในซอยให้ได้

"อั๊วไม่อยากให้ลื๊อเจอฝนกลางทางว่ะ" ผมยืนยันเหตุผล "ถนนเปียก ทางลื่นน่ะ มันอันตรายแค่ไหนใครก็รู้...เอ้า! จอดโว้ย!"

เจ้ามิตรยอมแพ้ เบรกรถที่ป้ายรถเมล์ว่างเปล่าก่อนถึงปากซอยนั่นเอง ผมขอบอกขอบใจเพื่อนแล้วลงมาโดนลมดึกกระโชกวูบ มองท้ายรถเจ้ามิตรแล่นห่างออกไป พร้อมกับก้าวยาวๆ เลี้ยวซ้ายเข้าซอย...

ฟ้ามืดทึบเป็นสีหมึก ทันใดก็ปรากฏแสงขาวจ้าแลบวาบเป็นทางยาว เหมือนมีงูตัวใหญ่กำลังเลื้อยปราดอยู่บนฟ้า ก่อนที่เสียงเปรี้ยงปร้างจะตามติดมาจนแก้วหูแทบสะเทือน

จากแสงฟ้าแลบนั่นเอง ที่ทำให้ผมมองเห็นศาลเจ้าเก่าแก่หลังนั้นโดดเด่น สว่างโพลงอยู่เต็มม่านตา...เสียงฟ้าจางหายแต่มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังขึ้นแทนที่ เล่นเอาผมชะงักเท้า หันไปจ้องมองเหมือนถูกมนต์สะกด...

เด็กๆ กลุ่มใหญ่กำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะเริงร่าดังก้องไปในอากาศและแสงสว่าง...แม้ว่าแสงจากฟ้าจะหายไปแล้ว แต่คงมีแสงจากเสาไฟเข้ามาแทนที่

คุณพระช่วย! ไอ้เลี้ยบ ไอ้แบน ไอ้อึ่ง...ที่วิ่งไปทางศาลเจ้าแล้ววนกลับมาก็คือใบหน้ากลมแป้นของไอ้เอียงนั่นเอง!

นอกจากนั้นยังมีเพื่อนๆ ที่ผมเคยคิดว่าจำหน้าไม่ได้แล้ว กำลังวิ่งเล่นกันอยู่บนลานกว้างราบเรียบ ไม่มีหญ้าขึ้นรกและป่าละเมาะรกเรื้ออีกต่อไป...อาแปะยืนลูบเครามองมายิ้มๆ

พิษเหล้าแน่ๆ ที่ทำให้ผมมองตาลาย จนเห็นภาพของเพื่อนเก่ากำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ...สรรพสิ่งเลือนหายเหมือนถูกปกคลุมด้วยม่านสีดำ มีแต่เด็กๆ กลุ่มใหญ่วัยสิบขวบที่วิ่งเล่นกันครืนๆ อยู่ในแสงไฟ

ผมขยี้ตาเพ่งมอง...อ้าว? ไอ้แบนหายไปไหนแล้ว? อ๋อ! มันวิ่งหันหลังให้ แต่พอหันกลับมาก็เล่นเอาผมผงะหน้า เบิกตาโพลง...ไอ้แบนกลายเป็นผมในพริบตานั้นเอง!

เด็กๆ กลุ่มนั้นยังวิ่งเล่นเฮๆ กันต่อไป แต่ชักเหลือน้อยลงทุกทีราวครึ่งต่อครึ่ง...ไม่ช้าไอ้เลี้ยบก็หายไปอีกคน แต่คราวนี้ไม่มีใครมาแทน...ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวคึกคะนองเหล่านั้นจะค่อยๆ ช้าลง...ช้าลงทุกที...จนกระทั่งเด็กทุกคนและตาแป๊ะเคราขาวหันมายืนนิ่ง จ้องมองผมอย่างเยือกเย็นเป็นตาเดียวกัน...ก่อนที่ภาพต่างๆ จะเลือนรางจางหาย กลายเป็นความว่างเปล่าที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกเรื้ออยู่หน้าศาลเจ้าตามเดิม

ผมเดินเซซังกลับบ้าน...พร่ำบอกตัวเองว่าพิษเหล้าแท้ๆ ที่ทำให้ผมตาลายไปได้ถึงปานนั้น...จิตใต้สำนึกต่างหากที่ทำให้ผมเห็นภาพที่อยากเห็น ไม่ใช่ผีสางอะไรหรอก...แต่ทำไมนึกถึงแล้วขนลุกซ่าก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV6TURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4TXc9PQ==



Create Date : 13 พฤษภาคม 2551
Last Update : 13 พฤษภาคม 2551 20:07:06 น.
Counter : 711 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend