ผีวัดสะพาน
ผีวัดสะพาน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



" ยอดยิ่ง"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าผีดุ

สมัยหนุ่มผมอยู่มักกะสัน หลังวัดทัศนารุญสุนทริการาม หรือที่ชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไปเรียกว่า "วัดสะพาน" นั่นเอง

วัด นี้เคยได้ชื่อว่าผีดุนักหนา ขึ้นชื่อลือชาไปถึงประตูน้ำ สนามเป้ายันทุ่งพญาไท...ถนนวิภาวดีฯ หรือชื่อเดิมคือซูเปอร์ไฮเวย์เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ตกค่ำก็แทบจะไม่มีรถแล่นให้เห็นเพราะยังเปล่าเปลี่ยวเต็มที ใครอยู่ที่นั่นก็ถือว่าอยู่ชานเมืองแล้ว

นอกจากขึ้นชื่อลือชาว่า ผีดุเพราะเป็นวัดเก่าแก่ บ้านเรือนยังไม่คับคั่งเหมือนยุคต่อมา ยังมีคนเล่าว่าเคยเห็นเปรตที่วัดสะพานอีกต่างหาก

จากหมู่บ้านริมถนน ราชปรารภเข้าไปถึงป่าช้า จะมองเห็นหลุม ศพระเกะระกะเรียงรายกันหลายสิบหลุม มีป้ายเขียนชื่อ-สกุลเอาไว้ง่ายๆ ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นร่มครึ้มบรรยากาศแสนจะเยือกเย็นน่าวังเวงใจแค่ไหนก็คงพอ จะนึกออกนะครับ

มีคนเห็นเปรตเดินโย่งเย่งมาจากป่าช้านั่นแหละ!

เขา ว่าได้ยินเสียงหมาหอนเยือกเย็นน่าขนลุก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเห็นผีแน่ๆ ไม่งั้นจะโก่งคอหอนไปหาสวรรค์วิมานอะไร...ขณะที่เดินจ้ำอ้าวจะกลับบ้านตอน ดึก ก็ต้องชะงักกึกด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง...

"ก-รี๊-ดดดด ....ก-รี๊-ดดด..." เสียงแหลมเล็กบาดหู ฟังเผินๆ เหมือนใครเป่านกหวีดมาจากที่สูงๆ เลยเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นอะไร จนกระทั่งเสียงบาดใจนั่นดังขึ้นอีก พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็แทบจะช็อกตายในบัดดล!

อมนุษย์รูปร่างสูงลิ่ว เหมือนต้นตาล กำลังเดินโย่งเย่งเข้ามาหา มือทั้งสองข้างใหญ่โตเหมือนใบลาน ร่างกายเปล่าเปลือยดำเกรียม แขนขาลีบเล็กมีแต่หนังหุ้มกระดูก ตาแดงราวแสงไฟ...เห็นปากเล็กแหลมเท่ารูเข็มกำลังกรีดร้องเสียงหวีดแหลม บาดลึกลงไปถึงหัวใจ

อสุรกายผู้เคยก่อกรรมทำเข็ญกับบุพการี ทุบตีและด่าทอพ่อแม่เป็นบาปเวรสาหัส...เมื่อสิ้นใจจึงต้องเกิดมาเป็นเปรตชด ใช้เวรกรรม ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเนิ่นนานจนกว่าจะสิ้นเวร

ผมกับไอ้กล่อมเพื่อนเกลอก็เจอดีเข้าเต็มรักเหมือนกันครับ

ถึง แม้จะไม่เจอเปรตมาส่งเสียงกรี๊ดๆ หวีดหวิวขอส่วนบุญจนอกสั่นขวัญแขวน แต่ผีวัดสะพานก็เล่นงานเราจนไม่กล้าเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืนไปเนิ่นนานที เดียวเชียว...

คืนนั้นเดือนเต็มดวงทอแสงสว่างนวล อย่างที่เขาเรียกว่า "สว่างจนแทบจะจับมดได้" นั่นแหละครับ ผมกับไอ้กล่อมบ้านอยู่ใกล้ๆ กันแถวท้ายป่าช้า...แหม! อย่าว่าแต่พวกผมเลย แม้แต่คนที่อยู่ย่านเจริญใจกลางเมืองแท้ๆ ยังอยู่บ้านติดกับป่าช้าวัดดอนนี่นา ปัดโธ่!

หลังจากตะลอนๆ ไปกับเพื่อนฝูงอีกหลายคน เราก็แยกย้ายกันย่ำต๊อกกลับบ้าน...อากาศในเดือนธันวาคมเย็นยะเยือก แสงจันทร์ส่องสว่าง ทำให้เราเดินเข้าซอยได้อย่างสบายอารมณ์ ไอ้กล่อมถึงกับผิวปากเล่นอย่างครึกครื้น...

ทันใดนั้น เสียงหมาหอนก็ดังแว่วมาตามสายลม! ร่างเตี้ยล่ำของไอ้กล่อมชะงักกึกร้องด่าว่าไม่รู้จะหอนหาหอกอะไร? หรือว่าจะเห็นผี...

เสียง ของมันขาดหายเมื่อเสียงหอนเปลี่ยนเป็นเสียงครางงื้ดง้าด เรามองสบตากันอย่างหวาดระแวง เอื้อมมือไปตบด้ามมีดที่สะเอว...ถ้ามีใครแปลกหน้าที่ปองร้ายเราไม่รู้ตัว หรือว่าอาศัยทีเผลอก็ต้องเจอกันหน่อยละ...

แต่เอ๊ะ! เบื้องหน้าเราก็คือหลุมศพระเกะระกะกับฮวงซุ้ยขาวโพลนอยู่ในแสงจันทร์ เสียงหมาหอนก็เงียบหาย สรรพสิ่งดูสงบนิ่งเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง!

"ไอ้ยะๆๆ ยิ่ง...เอ็งๆๆ เห็นอะๆๆ ไรมะๆๆ มั้ย...นะๆๆ โน่น..."

จู่ๆ ไอ้กล่อมก็กลายเป็นคนติดอ่างไปดื้อๆ ผมหันไปมองก็เห็นมันยืนนิ่ง อ้าปากค้าง นัยน์ตาลืมโพลง จ้องเขม็งไปที่อะไรบางอย่างเหมือนถูกสะกด ทำให้ผมมองตามสายตาของมันไปอย่างงุนงง... แล้วผมก็ได้เห็น...

คุณพระช่วย! ผมได้เห็นภาพที่จะไม่มีวันลืมลงเลยจนกว่าสิ้นใจ!

นั่น คือ คนกลุ่มใหญ่กำลังนั่งล้อมวงอยู่บนหลุมศพข้างๆ ฮวงซุ้ย แสงจันทร์ทำให้เห็นร่างดำทะมึนเหมือนตอตะโก แต่นัยน์ตาแดงก่ำปานแสงไฟกำลังจ้องมองมาเขม็ง...ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ร่างทั้งหมดยืดสูงขึ้นทุกที...สูงขึ้น...สูงขึ้นราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ท่ามกลางม่านตาอันพร่าพรายเต็มที

"เผ่นโว้ย!" ไอ้กล่อมร้องจ้า ผมกระโจนพรวดนำหน้า แว่วเสียงเพื่อนวิ่งพลางด่าพลาง ล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางเสียงหมาเห่าเกรียวกราว...กว่าจะถึงบ้านก็เหน็ด เหนื่อยแทบจะสิ้นใจ...ไอ้กล่อมจับไข้หัวโกร๋น ส่วนผมต้องให้พ่อพาไปรดน้ำมนต์... นึกถึงแล้วขนหัวลุกครับ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl5TVRJMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNaTB5TWc9PQ==



Create Date : 22 ธันวาคม 2551
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 19:30:28 น.
Counter : 1054 Pageviews.

2 comment
ไปสู่หนไหน...
ไปสู่หนไหน...

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แพ้ท" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพื่อนบ้าน

คุณ ตาสำเริงอยู่บ้านตรงข้ามกับผมที่ย่านสวนหลวงนี่เอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกันก็จริงอยู่ แต่ผมรู้สึกเคารพและสนิทใจกับชายชราวัยเจ็ดสิบปลาย อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนนี้อย่างบอกไม่ถูก

อย่างที่เขาบอกว่า คนชะตาต้องกันก็รักใคร่กลมเกลียวกันนั่นแหละครับ

อาจ จะเป็นเพราะความมีสง่าราศี ผิวพรรณสะอาด หน้าตายิ้มแย้ม แววตาเยือกเย็นไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรรุนแรง อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตเคี่ยวกรำ ผ่านทั้งร้อนและหนาวมาอย่างโชกโชนก็เป็นได้

ตอนบ่ายๆ คุณตาสำเริงจะนุ่งกางเกงแพร สวมเสื้อป่านคอกลมออกมานั่งจิบชาจีนอยู่ใต้ร่มมะม่วงสามฤดูที่แผ่กิ่งก้าน สาขาร่มครึ้ม...บนโต๊ะไม่เคยขาดหนังสือครั้งละสอง-สามเล่ม บางวันผมก็จะเลียบๆ เคียงๆ เข้าดูต้นไม้กระถางที่งามสะพรั่ง เพราะคุณตาสำเริงจะคอยดูแล ให้ปุ๋ยให้น้ำสม่ำเสมอ...หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยเห็นคือ "คู่มือเลี้ยงต้นไม้กระถาง"

คุณตาจะชวนผมพูดคุย ถามเรื่องการเรียนและอวยชัยให้พรให้เรียนสำเร็จโดยเร็ว...สมบัติอื่นๆ มาถึงแล้วก็จากไป แต่วิชาความรู้จะติดตัวเราไปจนตาย!

เป็นการสั่งสอนแบบผู้ใหญ่สอนเด็กน่ะแหละครับ แต่ไม่ฟูมฟายหรือพร่ำเพรื่อเกินไปจนน่ารำคาญ

" อยากเรียนจบเร็วๆ มีงานทำเร็วๆ ใช่ไหมล่ะ จะได้เป็นตัวของตัวเอง เงินก้อนแรกที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองน่ะทั้งน่าตื่นเต้น น่าชื่นใจ...ตอนนี้กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกินนะ..."

คุณตาละจากใบหน้าผม มองไปยังความว่างเปล่าพลางยิ้มละไม

" สมัยหนุ่มตาก็เป็นแบบนี้แหละ จนกระทั่งอายุเลยสี่สิบรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วผิดปกติ ยิ่งถึงห้าสิบ-หกสิบ เวลาเหมือนมันติดปีกบิน...มารู้ตัวอีกทีเราก็กลายเป็นคนแก่เฒ่าไปเสียแล้ว ต่อให้ร่ำร้องแทบขาดใจก็ไม่มีวันเรียกวัยหนุ่มที่แข็งแรง สดชื่น ชีวิตมีแต่ความหวังความฝันกลับคืนมาได้สำเร็จ! เฮ้อ.."

ชายชราหันมามองสบตาผม ยิ้มละไมตามเดิม เสียงแหบเครือด้วยวัยชราดูราวกับจะสดใสอย่างมีชีวิตชีวาเมื่อพูดต่อ

" เราต้องอยู่กับความแก่เฒ่าร่วงโรยของสังขารให้ได้ ย่อมรับความเสื่อมโทรมของร่างกาย ไม่ดิ้นรนหาความสุขที่เราเคยตักตวงให้ตัวเองอย่างไม่อั้นในวัยหนุ่ม...คนที่ ทำใจไม่ได้ทนรับความจริงไม่ไหวก็ตายจากไป เพื่อนๆ ตากลับบ้านเก่าเพราะยอมรับความจริงไม่ได้ เฉาตายไปตั้งแต่เกษียณใหม่ๆ หลายคนแล้ว"

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนๆ คุณตาสำเริงราว 6-7 คนที่มาสังสรรค์กันเดือนละครั้งที่โต๊ะใหญ่ใต้ร่มมะม่วง...พวกคุณป้าคุณน้า ช่วยกันทำอาหารและบริการเครื่องดื่มแทนคุณแม่ที่ล่วงลับไปเมื่อราว 5 ปีก่อน

ชาย ชราหลากหลายอาชีพ ทั้งวิศวกร, นักกฎหมาย, แพทย์, ข้าราชการบำนาญและพ่อค้า...มานั่งร่วมวงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงใกล้ค่ำถึงจะแยกย้ายกันไป...มีอยู่ 2 คนที่ขับรถได้เอง นอกนั้นต้องมีลูกหลานขับรถมารับกลับบ้าน

ผมเคยผ่านไปใกล้ๆ วงจนได้ยินเสียงพูดคุยสารพัดเรื่อง ตั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง วิทยาการแผนใหม่ที่ทุกคนยอมรับว่าตามไม่ทัน

เรื่อง ราวเก่าๆ ที่น่าสนุกสนานตื่นเต้นในวัยหนุ่มฉกรรจ์...บางครั้งชะโงกหน้าเข้าไปหากัน นัยน์ตาสีน้ำข้าวเป็นประกายตื่นเต้น ลดเสียงลงกระซิบกระซาบ ก่อนจะฮาตึง...หัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปตามๆ กัน

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบจากสุสาน...เสียงหัวเราะเริงร่าจากดวงวิญญาณ!

น่า เศร้าที่สมาชิกในชมรมของคุณตาสำเริงค่อยๆ หดหายไปทุกที จนกระทั่งเหลืออยู่ 3 คนที่นั่งเงียบๆ แทบจะไม่เคลื่อนไหว มองเผินๆ เหมือนรูปปั้นอันเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น เติบโต แล้วร่วงโรยเหมือนใบไม้สีน้ำตาลเข้มดูแห้งแล้งเต็มที ร่อนไหวเชื่องช้าอย่างอาลัยอาวรณ์...ก่อนจะร่วงหล่นบนพื้นพสุธา

เงียบเชียบไม่ผิดกับใบไม้ร่วงในป่า หรือสายลมที่พัดวู่หวิวอยู่ตามขุนเขาวังเวงใจ

คืน นั้น ผมเดินเข้าซอยมาราวสองทุ่มเศษ ผู้คนบางตาเพราะอากาศค่อนข้างหนาวเย็น...ผมเห็นคุณตาสำเริงกำลังใส่กุญแจ ประตูรั้วเหล็กโปร่ง นึกได้ว่าอาทิตย์นี้เป็นวันสังสรรค์กับเพื่อนๆ ของคุณตา...พอดีเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้น

"เพื่อนๆ ตาไม่มีใครมาอีกแล้ว...กลับบ้านเก่ากันหมดทุกคน! ลาที..."

วัน รุ่งขึ้น ผมก็ได้รู้ข่าวว่าคุณตาสำเริงหกล้มในห้องนอนเมื่อเย็นวาน กว่าลูกเต้าจะรู้และนำส่งโรงพยาบาลก็สายเกินไป... นึกถึงคุณตาที่สนิทสนมกับผมเหมือนญาติ มาคอยเอ่ยคำล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งใจหายและขนหัวลุกครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREU1TVRJMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNaTB4T1E9PQ==



Create Date : 19 ธันวาคม 2551
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 19:18:07 น.
Counter : 648 Pageviews.

0 comment
สนธยาสยอง
สนธยาสยอง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"รตานรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนางกวักโคนต้นตะเคียน

ดิฉันอยู่แถวสี่แยกพิชัย ราวกึ่งทางระหว่างศรีย่านกับราชวัตร ป้าศรีแม่ครัวบอกว่าตลาดศรีย่านมีของขายมากกว่า แต่น้าตองที่ทำหน้าที่แม่บ้านยืนยันว่ายังสู่ตลาดราชวัตรไม่ได้ บางทีถึงกับเถียงกันหน้าดำหน้าแดงไปเลย

ครอบครัวเราอยู่กันหลายคน มีทั้งพ่อแม่ที่เกษียณแล้ว พี่ชายกับพี่สะใภ้และลูกๆ ที่ซนไม่แพ้ลิงอีกสามคน น้องสาวที่เพิ่งเรียนจบ และดิฉันที่ทำงานถึงกล้วยน้ำไทโน่นแน่ะค่ะ

ปัญหาคือพ่อแม่สุขภาพ ไม่ดีด้วยกันทั้งคู่ คนเราพอแก่ตัวเข้าก็เหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดโรคภัยสารพัดชนิดเข้ามาหา หลายๆ คนก็เป็นมากจนเหลือเชื่อ

เบาหวานกับหัวใจเป็นมากที่สุด รองลงมาก็โรคตับโรคไต ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ วิงเวียนหน้ามืดตาลาย ร่างกายอ่อนแอ เพลียง่าย พ่อดิฉันหงุดหงิดกับโรคเรื้อรังต่างๆ ที่รุ้มเร้ามากขึ้นทุกที ถึงกับปลงอยู่บ่อยๆ

"คนแก่น่ะอย่าว่าแต่คนอื่นเขาจะรำคาญเลย ขนาดตัวเองแท้ๆ ยังรังเกียจตัวเองนี่นา! เฮ้อ..."

ตอนที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวมักจะไม่ค่อยดูแลตัวเองหรอกค่ะ ปล่อยตัวตามสบาย อยากกินอะไรก็กินเต็มที่ ตามใจปากลิ้นมาตลอด! พอแก่ตัวนี่ซีคะ เป็นนั่นเป็นนี่แทบไม่หยุดหย่อน ขนาดเคยเป็นหวัดสองวันหาย ต่อมาเป็นอาทิตย์ จนถึงครึ่งเดือนยังไม่ค่อยจะหายเลย

คราวนี้หันมาดูแลสุขภาพเป็นการใหญ่ ละเว้นของมัน อาหารทอด หมั่นออกกำลังกาย กินผักเป็นยา พอรู้ว่ายาสมัยใหม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายก็หันมากินยาสมุนไพรแทน

เมื่อเดือนตุลาคม พ่อกับแม่เป็นหวัดงอมแงมทั้งคู่ ต่างคนต่างเชื่อมั่นว่าติดมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง...เหมือนเด็กๆ ค่ะ กินยาขมก็แล้ว ฟ้าทลายโจรก็แล้ว ดื่มน้ำอุ่นกับนอนพักมากๆ ขนาดนั้นยังนอนซมอยู่เกือบเดือนกว่าจะทุเลา

คราวนี้พ่อแม่ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องกินใบแคกับดอกแคมากๆ เพื่อป้องกันไข้หัวลม!

คือ ระหว่างปลายฝนต้นหนาวนี่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันมาก เพราะอากาศเปลี่ยนไปกะทันหัน เชื่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้วว่าใบแคกับดอกแคมีสรรพคุณชะงัดนัก ไม่ว่าจะเอาดอกมาแกงส้ม หรือทั้งดอกและใบต้มจิ้มน้ำพริก ล้วนแต่มีประโยชน์ล้นเหลือทั้งนั้นแหละ

ป้าศรีมีหน้าที่ไปหาซื้อที่ตลาดศรีย่าน ถ้าน้าตองไปตลาดก็จะเลี้ยวซ้ายไปราชวัตรได้กินแกงส้มดอกแค กับใบแคจิ้มน้ำพริกกะปิน้ำพริกปลาร้าแทบทุกวัน

วันหนึ่ง ดิฉันกลับมาถึงบ้านเย็นมากแล้ว...กำลังเกิดปัญหาเพราะป้าศรีบอกว่าทั้งตลาด หาดอกแคใบแคไม่ได้เลย น้าตองบ่นอุบอิบว่าไปราชวัตรล่ะก็มีแน่ พ่อแม่ถอนใจมองสบตากัน...เราน่าจะปลูกต้นแคไว้ซัก 2-3 ต้นนะ

ดิฉันเลยบอกว่าจะรีบบึ่งไปหาซื้อที่ตลาดราชวัตรให้เดี๋ยวนี้เลย!

ไม่เกินสิบนาทีก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดเกือบถึงหลังตลาด จ้ำอ้าวเข้าไปดูตามแผงขายผักตั้งแต่ล็อกแรกจนถึงล็อกสองล็อกสาม ก็มีแต่ผักคะน้า, กวางตุ้ง, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง, ผักชี, ต้นหอม...ขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดที่มัดขายเป็นกำๆ แต่มองไม่เห็นดอกแคกับใบแคแม้แต่เจ้าเดียว

เดินผ่านแผงขายผลไม้ อ้อมลานกว้างหลังตึกแถวที่ปูเสื่อพลาสติกขายเสื้อผ้าและของใช้กระจุกกระจิก ไปยันนาฬิกาปลุก, ไฟฉาย, ซองใส่มือถือ, เครื่องคิดเลข ฯลฯ ไปจนถึงแผงขายขนมริมทางเข้าตลาด...ใกล้จะหมดหวังไปทุกที

พ่อค้าแม่ค้าก็ชักจะเก็บแผงกันแล้วซีคะ ดิฉันเลยเดินไปทางแฝงสุดท้ายหลังตลาดที่เริ่มจะมืดครึ้มรวดเร็ว...มองเห็น ต้นไม้ใหญ่ๆ สามต้นโดดเด่นอยู่ในม่านตาติดกับกำแพง

ซ้ายกับขวาคือต้นโพธิ์ใหญ่ แต่ต้นกลางไม่ทราบว่าชื่ออะไรอยู่ใกล้ๆ กับต้นโพธิ์ทางซ้ายมือ...มีพระพุทธรูปจำลอง 2-3 องค์ ตั้งอยู่ที่โคนโพธิ์...ขณะนั้นเหมือนดิฉันยืนอยู่โดดเดี่ยวใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ ยืนทะมึนน่าวังเวงใจ

แสงสว่างเรื่อเรืองขึ้นทางขวามือ หันไปมองก็เห็นผู้หญิงสาวในชุดรำไทย หน้าขาว ผมยาว ปากแดงสด กำลังยิ้มละไมอยู่ที่โคนต้นไม้พลางบอกเสียงวู่หวิว...ต้นตะเคียนจ้ะ!

อ๋อ...ดิฉันพนักหน้า แต่นึกได้ว่านางละครที่ไหนจะมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ยามโพล้เพล้แบบนี้ ยกมือขยี้ตามองให้แน่ใจ...หายไปแล้วค่ะ! เหลือแต่นางกวักที่เหมือนนางละครกำลังนั่งกวักมืออยู่ที่โคนตะเคียนนั่นเอง

เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังมาจากยอดไม้ ตามด้วยเสียงสะบัดใบซู่ซ่าเกรียวกราวเล่นเอาดิฉันจ้ำอ้าวไปที่รถ ไขกุญแจมือไม้สั่น...หันไปมองอีกทีก็เห็นนางละครคนเดิม หรือนางกวักตัวเล็กๆ ก็ไม่ทราบที่ลุกมารำป้ออยู่ในแสงสุดท้ายของกลางวันที่ต่อเนื่องกับรัตติกาลสนธยาไงคะ! นอกจากจะไม่ได้ดอกแคกับใบแคตามที่ต้องการ ดิฉันยังหลุดเข้าไปสู่แดนสนธยาที่น่าขนหัวลุกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREU0TVRJMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNaTB4T0E9PQ==



Create Date : 18 ธันวาคม 2551
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 19:09:06 น.
Counter : 654 Pageviews.

0 comment
วิญญาณห่วง
วิญญาณห่วง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"จำรัส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของสิงห์รถบรรทุก

สมัย หนุ่มๆ ผมได้ชื่อว่า "สิงห์สิบล้อ" โดยยึดอาชีพขับรถบรรทุกเลี้ยงลูกเมียมาราว 3-4 ปีเห็นจะได้ บางเที่ยวเกิดอาการเหนื่อยล้าหรือง่วงนอน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุต้องบาดเจ็บสาหัส จนถึงด่าวดิ้นสิ้นใจคารถ หรือไม่ก็ต้องเผ่นหนีเข้ากลีบเมฆไปเลย

ถ้า มีอาการแบบนั้นผมมักจะไม่ยอมเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยหรอกครับ ดีไม่ดีเกิด "หลับใน" เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็มีหวังจ๊ะเอ๋กับยมบาลเท่านั้นเอง!

เอา ชีวิตไว้ก่อนครับ! แหม...ลูกเล็กๆ กำลังน่ารัก เมียหรือก็ยังสวยหยาดเยิ้ม แถมไม่ปากจัด ด่าผัวปากเป็นชักยนต์เหมือนเมียเพื่อนบางคนอีกต่างหาก ยิ่งตอนนั้นเพลง "มันบ่แน่ดอกนาย" กำลังฮิตซะด้วย...

เพราะเหตุนี้ แหละครับที่ทำให้ระมัดระวังตัวแจ ยกเว้นงานชุกจริงๆ หลบเลี่ยงไม่ได้ ขืนลูกน้องเบี้ยวกันหมดเถ้าแก่ก็แย่ คนเราต้องเห็นอกเห็นใจกัน อย่างน้อยก็ต้องช่วยกันรักษาอู่ข้าวอู่น้ำของตัวเองไว้ก่อน จริงมั้ยครับ?

ไม่อยาก "ควบม้า" ก็ต้องควบเพื่อไม่ให้หนังตาชนกัน!

ขากลับก็ต้องใช้วิธี "เหล้าล้างยา" แต่ไม่ได้ทำเป็นนิจศีลเหมือนเพื่อนๆ อีกหลายคนนะครับ ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ

ตั้งแต่ ตะลุยขึ้นล่องกรุงเทพฯ-อีสานมานี่ ผมยังไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงอะไรสักครั้งเดียว...แต่บทมันจะเกิด เรื่องขึ้นมาน่ะ โอ๊ย! ไม่ช็อกตายคาที่ก็นับว่าเป็นบุญแล้วละครับ

เย็น นั้น ผมกับลูกน้องชื่อไอ้ปั่นกำลังนั่งโจ้เหล้ากันในร้านลาบ ใกล้ๆ ห้าแยกบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ รอเวลาที่จะห้อรถกลับกรุงเทพฯ ตอนสามทุ่ม ท่ามกลางคอเหล้าอุ่นหนาฝาคั่ง ผมกับไอ้ปั่นมาชัยภูมิทีไรก็มักจะแวะร้านลาบแห่งนี้เป็นประจำ

สาวเสิร์ฟสวยน่ารัก หุ่นดีแถมยิ้มง่าย เล่นเอาหนุ่มแกมีอากัปกิริยาคึกคักกระชุ่มกระชวย ทำตาเฟื้องตาสลึงไปตามๆ กัน

กับ แกล้มเด็ดๆ อย่างลาบเลือด ก้อยตับ เนื้อแดดเดียว ต้มเครื่องในวัว ล้วนแต่ทำให้เจริญเหล้าทั้งนั้น ยิ่งมี "หม่ำ" ไส้กรอกญวนที่สับเครื่องในวัวยัดไส้กรอก เครื่องเคียงคือพริกขี้หนูสดกับกระเทียม...บางคนชอบใส่ขิงสดกับถั่วลิสงคั่ว ก็แล้วแต่รสนิยมของปากลิ้นแต่ละคน

ผมกับไอ้ปั่นกำลังซดเหล้า แกล้มหม่ำกันอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่เสียงพูดคุยเอะอะเฮฮาเหมือนทุกๆ ครั้งที่แวะเข้ามา...เสียงกระเซ้าเย้าแหย่สาวเสิร์ฟดังแว่วมาเข้าหู ทั้งสำเนียงโคราชและชัยภูมิ ที่ไม่ใช่ภาษาอีสานนะครับ

เอ๊ะ! ทำไมเสียงจากโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ชักจะดังมากขึ้นทุกที!

สมัย นี้ต้องบอกว่างานเข้า! มีแก้วบินขวดบิน ท่ามกลางเสียงด่าทอท้าทายเอ็ดอึงประสาวัยรุ่นใจร้อน หรือความจริงก็คือฤทธิ์เหล้านั่นแหละครับ ดูเหมือนจะเป็นโต๊ะเจ้าถิ่นกับหนุ่มเมืองย่าโม...เดี๋ยวเดียวก็ตีกันกระเจิง

" หมอบโว้ย!" ผมร้องบอกไอ้ปั่น...วันนี้ฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว มีเสียงแช่งด่ากับเสียงตุ้บตั้บ ระคนกับเสียงหวีดร้องของผู้หญิง...ตามด้วยเสียงตะโกนห้ามปราม จนกระทั่งเสียงนกหวีดดังแสบแก้วหู

ตำรวจโผล่เข้ามาห้ามทัพได้ทันท่วงที!

บาง คนถูกจับ แต่หลายๆ คนก็เผ่นหนีไปได้ โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด ผมไม่ได้เกี่ยวข้องหรือร่วมพงศ์ไพบูลย์อะไรกับเขาด้วย รีบจ่ายเงินจ่ายทองแล้วประคองลูกน้องขึ้นมา...ตายละ! เลือดสดๆ แดงฉานอาบหน้าไอ้ปั่น ปรากฏว่ามันโดนขวดโซดาบินมาใส่หัวจนล้มทั้งยืน

"ไม่เป็นไร ลูกพี่...ผมยังไหว..." มันบอกเสียงแหบแห้งก่อนจะหมดสติในบัดดล!

เป็น เรื่องซีครับงานนี้ ผมต้องพามันส่งโรงพยาบาล หมอสั่งให้นำเข้าห้องฉุกเฉินทันที...จะต้องนอนรักษาตัวอยู่กี่วันก็ไม่รู้ ผมเซซังไปที่สิบล้อคู่ยากตอนสี่ทุ่มกว่าๆ อดแช่งด่าโชคชะตาตัวเองไม่ได้...ทำไมมันซวยสุดๆ แบบนี้วะ? เฮ้อ...

ต้องบึ่งรถกลับกรุงเทพฯ คนเดียว ไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปเกือบตลอดคืน!

หัน ไปยกมือไหว้เจ้าพ่อพญาแล สตาร์ตรถเพื่อจะมุ่งไปทางจัตุรัสเลี้ยวเข้าถนนมิตรภาพ...ยังไม่ทันจะออกรถ เลยครับก็ได้ยินเสียงคุ้นหู...ลูกพี่ๆ รอด้วย...

เงยหน้ามองทางกระจก หลัง คุณพระช่วย! ไอ้ปั่นกำลังวิ่งโบกไม้โบกมือเข้ามาหา ผมหันขวับไปทางหน้าต่างก็เห็นมันวิ่งใกล้เข้ามา...ผ้าพันแผลที่หัวมีเลือด แดงชุ่มอยู่ในแสงไฟ...รีบผลักประตูกระโดดลงไปหามันทันที

ท่ามกลาง ความเยือกเย็นจนสะท้านใจ ไม่มีร่างเจ้าปั่นอยู่ที่นั่นหรอกครับ เดินหารอบรถก็ไม่มี...พอนึกออกว่าสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรแน่ก็เล่นเอาขนลุกซ่า ...เจ้าปั่นสิ้นใจตั้งแต่คล้อยหลังผมได้ครู่เดียวเองครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUxTVRJMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNaTB4TlE9PQ==



Create Date : 15 ธันวาคม 2551
Last Update : 15 ธันวาคม 2551 19:17:49 น.
Counter : 650 Pageviews.

1 comment
โพธิ์ผีดุ!
โพธิ์ผีดุ!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"จินดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากต้นโพธิ์เชิงสะพาน

เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมถึงเชื่อกันว่าต้นโพธ์ใหญ่ๆ จะต้องมีผีดุ?

อย่าง แรกก็ให้ดูตามบ้านเรือนทั่วไปซีคะ ไม่มีใครอุตริปลูกต้นโพธิ์เพื่อเอาร่มหรือประดับสวนหรอกค่ะ อย่างต่อมา ก็เพราะเชื่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้วว่า ห้ามปลูกต้นโพธิ์ในบ้าน เนื่องจากต้นโพธิ์เป็นที่สิงสู่ของเทวดาชนิดหนึ่ง เรียกว่ารุกขเทวาหรือเทพารักษ์

ชาวบ้านร้านช่องก็เลยไม่นิยมปลูกต้นโพธิ์ แถมเจอที่ไหนตัดทิ้งที่นั่นอีกต่างหาก

ที่ว่าต้นโพธิ์ใหญ่ๆ ย่อมมีผีสิง ค่อนข้างจะดุร้ายเอาเรื่องน่ะ ดิฉันขอเล่าเรื่องโพธิ์ผีสิงแถวบ้านตัวเองที่อยู่ติดวัสดุคันธาราม ย่านดุสิต สู่กันฟังเสียเลยนะคะ

สองฟากถนนอันร่มรื่นมีบ้านเรือนแน่นหนา ผู้คนคึกคักมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเข้าทางถนนสวรรคโลก วัดสุคันธารามจะอยู่ด้านขวา ทะลุไปออกถนนพระรามห้า ตรงข้ามกับสถานีตำรวจดุสิตและวัดอัมพวัน ถ้าเลี้ยวขวาข้ามสะพานไปอีกทีก็จะถึงสี่แยกราชวัตร

ที่นั่นมีตลาดใหญ่ๆ ที่มีของสดของแห้ง ขนม ผลไม้ และร้านอาหารอร่อยๆ รวมทั้งรถเข็นและแผงลอยที่มีของกินเกือบทุกอย่างก็ว่าได้

ถ้าจะเดินไปตามทางที่เล่ามาก็ค่อนข้างไกลและเสียเวลาไม่น้อย บังเอิญพวกเรามีทางลัด คือข้างๆ วัดสุคันฯ จะมีสะพานแคบๆ สำหรับเดินข้ามคลองไปมา..เข้าไปก็ข้ามคลองแล้วเลี้ยวขวาเลาะกำแพง..สุดสะพาน ก็เลี้ยวว้ายไปโผล่ที่หลังตลาดราชวัตรพอดี

จะมีน่ากลัวก็ตรงเชิงสะพานฝั่งบ้านดิฉันนี่เอง!

มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ทั้งซ้ายและขวา ต้นขวาน่ะค่อนข้างห่างหน่อย ไม่น่าใจหายอย่างต้นซ้ายมือที่อยู่เกือบติดสะพาน..จะข้ามไปทีฝั่งโน้นทีไร เป็นแหงนหน้ามองโดยไม่ตั้งใจทุกที

ลือกันมานานแล้วค่ะว่าให้หวยแม่น แต่ที่แน่ๆ คือผีดุจริงๆ เลย

ตอนกลางวันก็น่าวังเวงใจอยู่แล้ว ยิ่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ ด้วยแล้วดูเปล่าเปลี่ยวน่าใจหาย..ไม่ว่าใครๆ ก็รู้สึกตรงกันเวลาจะข้ามไปฝั่งโน้น หรือกลับมาถึงฝั่งนี้..เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาจากต้นโพธิ์น่ะซีคะ!

พอจะก้าวขึ้นสะพานที่ราบเรียบเสมอกัน ไม่ว่าช่วงข้ามคลองหรือช่วงเลี้ยวขวาเลียบกำแพงตลาด จู่ๆ ยอดโพธิ์ก็ไหวซ่าขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ไม่มีลมพัด เล่นเอาเย็นสันหลังวูบวาบจ้ำอ้าวจนแทบจะตกน้ำตกท่าไปตามๆ กัน

เวลากลับบ้านก็มักจะเงยหน้ามองตั้งแต่ยังไม่ทันข้ามคลองแล้ว..เกือบจะถึง ฝั่งอยู่ร่อมร่อ เสียงใครกลุ่มหนึ่งหัวเราะครืนใหญ่ คนที่บอกว่าไม่กลัวผีเข้าตำรา "ปากกล้าขาสั่น" ทั้งนั้นแหละค่ะ แต่ส่วนมากน่ะเผ่นอ้าวเป็นลมพัด..จนคนควัญอ่อนไม่กล้ากลับทางลัดก็มี

โธ่! จินตนาการเรื่องผีมากๆ ต้องนั่งตุ๊กๆ กลับบ้านน่ะซีคุณ!

สะพานแคบๆ ที่พอเดินสวนกันได้ก็เหมือนกันค่ะ..เล่ากันว่าตอนโพล้เพล้ก่อนจะข้ามก็เห็น ต้นโพธิ์โดดเดี่ยวไม่มีใครเลย แต่พอก้าวเดินไปได้หน่อย ทำไมถึงมีใครเดินก้มหน้างุดๆ สวนมาก็ไม่ทราบ..คนขวัญอ่อนแทบจะกระโดดลงน้ำก็มี แต่ส่วนมากมักจะเบียดราวสะพานให้ใครคนนั้นเดินผ่านไปก่อน..

ทุกคนเล่าตรงกันว่าแทบจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอด เพราะกลิ่นสาบสางฉุนกึ๊ก..เหม็นหึ่งเหมือนซากศพกำลังเน่าไม่มีผิด!

ดิฉันเคยมีประสบการณ์กับตัวเองเมื่อจะไปหาซื้อของกินที่ราชวัตรตอนเย็น..

ตอนที่เดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังทางลัดแค่เอื้อมนั้น ขอสารภาพว่าลืมคิดเรื่องผีๆ สางๆ เสียสนิท มองเห็นคนเดินข้ามไปมาไม่ถึงกับหนาตานัก ราวสี่ซ้าห้าคนเห็นจะได้..คิดเอาไว้ว่าจะซื้อหมูสะเต๊ะ ลาบ ส้มตำเจ้าอร่อย ไหนจะขนมไทยๆ พวกบัวลอยไข่หวาน ขนมปลากริมไข่เต่า..อ้อ! ขนมครมชาววังที่ขายดีมาก ไปทีไรเห็นคนมุงห้าแผงกันคับคั่งทุกที

บ้านดิฉันมีพี่น้องลูกหลานหลายคนค่ะ ซื้อน้อยๆ จะโดนหาว่าเอาเมาเซ่นผีหรือไง

พูดถึงผี..กำลังจะข้ามสะพานอยู่แล้วก็พอดีเห็นชายร่างใหญ่สองคนเดินคู่กันมา จากฟากโน้น..ว่าจะรอให้เขาข้ามมาก่อนแล้วค่ะข้ามไป แต่เอ๊ะ! ทำไมดูเหมือนเขาเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ล่ะ ชักจะยังไงๆ อยู่นา..

เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใครซักคน มีแต่เสียงหมาหอนมาจากหน้าโบสถ์ ยอดโพธิ์ไหวซ่าจนอดเงยหน้ามองไม่ได้..แทบจะพริบตานั้นเอง ร่างของชายคู่นั้นก็เดินื่อเข้ามาเกือบชนดิฉัน เล่นเอาผงะหน้าด้วยความตกใจ..ถอยหลังกรุด กลิ่นเหม็นสาบสางลอยมากระทบจมูกจนแทบหายใจไม่ออก

คุณพระช่วย! ชายแปลกหน้าคู่นั้นเดินปราดๆ ไปที่ต้นโพธิ์ แล้วไต่เดี๊ยะๆ หายลับขึ้นไปในพริบตา

โธ่! หลอกกันดื้อๆ ยังงี้ดิฉันก็เผ่นกลับบ้านไม่คิดชีวิตคะ หมาเห่าหอนเกรียวกราวไปหมด..ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของกินอร่อยๆ อีกแล้ว ไม่ช็อกตายคาทีก็เป็นบุญถมไปค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV5TVRJMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNaTB4TWc9PQ==



Create Date : 12 ธันวาคม 2551
Last Update : 12 ธันวาคม 2551 19:40:19 น.
Counter : 1045 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend