ยมทูตมาเยือน
ยมทูตมาเยือน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ดาว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากยมราช

เหตุการณ์ สยองขวัญที่จะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นที่ชุมชนริมทางรถไฟย่านยมราชนี่เอง ชั่วชีวิตของดิฉันที่เป็นเด็กต่างจังหวัด จนกระทั่งเติบสาวแล้วมาหางานทำในกรุงเทพฯ ยังไม่เคยพบเห็นสิ่งที่น่าสยดสยองเช่นนี้มาก่อนเลย...

แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปถึงสิบกว่าปีแล้ว แต่เรื่องราวน่าขนหัวลุกยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไม่มีวันลืมเลือน

ดิฉันขอเล่าให้ฟังเลยนะคะ!

ย่าน นั้นมีบ้านเล็กเรือนน้อยหลายสิบหลังคาเรือน จะเรียกว่าค่อนข้างแออัดก็ได้ค่ะ มีผู้คนหลากหลายอาชีพพลุกพล่าน "พี่หล้า" ญาติห่างๆ ของดิฉันทำงานในภัตตาคารใกล้ๆ กับโรงหนังโคลีเซี่ยม ...ที่พักของเราเป็นห้องแบ่งเช่าแคบๆ ขนาดพอคุ้มแดดคุ้มฝนได้เท่านั้นเอง

ระยะ แรกๆ มีคนในหมู่บ้านทั้งหญิงและชายมองดิฉันด้วยสายตาแปลกๆ บางทีก็เหมือนจะหวาดระแวง พี่หล้าแนะนำว่าอย่าสนใจ ใครมาตีสนิทด้วยก็ให้ทำเฉยๆ ไว้ ไม่ช้าก็จะคุ้นเคยคล้ายกับคนอื่นๆ ไปจนได้

นอก จากเสียงทะเลาะเบาะแว้งของผัวเมีย พ่อแม่ด่าทอลูกๆ บางวันก็มีพวกคนเมาทะเลาะกัน...แต่เสียงที่ทำให้ดิฉันสะดุ้งตอนแรกๆ คือเสียงหวูดแหลมยาวของรถไฟที่กลบเสียงอื่นๆ จนหมดสิ้น...ตอนกลางคืนเสียงหวูดรถไฟจะทำให้สะดุ้งผวา ก่อนที่เสียงล้อบดรางจะดังกระหึ่มจนรู้สึกเหมือนบ้านสะเทือน...ไม่ช้าก็กลาย เป็นความเคยชิน

ดิฉันสนิทสนมกับหญิงชราคนหนึ่งชื่อป้าเลื่อมที่เช่าอยู่ห้องติดๆ กัน

ป้า เลื่อมตัวคนเดียว อายุเพิ่งจะต้นห้าสิบเท่านั้น แต่ดูหน้าตาทรุดโทรมเหมือนคนอายุหกสิบเศษ รูปร่างผ่ายผอม ผิวดำคล้ำ ผมสีเทาเป็นกระเซิง นุ่งผ้าถุงเก่าๆ กับสวมเสื้อคอกระเช้า มีเสื้อลายแขนสั้นที่ไม่ติดกระดุม อาชีพของแกก็คือเที่ยวหาของเก่า หรือพูดตรงๆ ก็คือขยะเกือบทุกชนิดมาขายเพื่อเลี้ยงตัวเอง...

ผัวตาย มาหลายปีแล้ว ลูกเต้าทั้งชายและหญิงก็ออกเร่ร่อนตั้งแต่เด็ก พอย่างวัยรุ่นก็หายหน้าไปจนหมด ทิ้งให้แกโดดเดี่ยว กระเสือกกระสนหากินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ชีวิตรอดไปวันๆ เท่านั้น

ป้า เลื่อมออกจากห้องตั้งแต่เช้ามืด บ่ายแก่ๆ ก็เซซังกลับมาพร้อมกับเหล้าโรงบ้าง เชี่ยงชุนบ้าง บางวันก็กรึ่มยาดองมาเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เคยเอะอะหรือสะเงาะสะแงะ นอกจากจะนั่งพิงฝา นัยน์ตาช้ำๆ เหม่อลอยไร้จุดหมาย บางทีก็หลับผล็อยไป...

กระทั่งคืนหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนของป้าเลื่อมก็ทำให้เราสะดุ้งตื่นขึ้นมา!

แก ไม่ยอมพูดอะไรเมื่อมีใครถาม...แต่เย็นนั้นเอง ป้าเลื่อมก็หิ้ว เชี่ยงชุนที่เหลืออยู่ราวครึ่งขวดกลับมาด้วยท่าทางอ่อนระโหย หยดเหงื่อยังเกาะอยู่ที่หน้าผากและซอกคอ...แกทรุดนั่งพิงฝานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เทเหล้าใส่ปากอึกใหญ่แล้วถอนหายใจยืดยาว

"ผีมันจะมาเอาฉันไปอยู่ด้วย..." แกหันมาฝืนยิ้มกับดิฉันก่อนจะเล่าความฝันน่าสยดสยองให้ฟัง!

ใน ฝันนั้น...ป้าเลื่อมกำลังเดินไปบนไม้หมอนรถไฟในยามดึกเปลี่ยว ดาวทอแสงอยู่เต็มฟ้า เบื้องหน้าคือผู้หญิงรูปร่างผอมสูงในชุดดำที่คล้ายจะเป็นผู้นำทาง เดี๋ยวก็หันมามองแล้วกวักมือเรียกให้แกเดินตามไป...

ท่ามกลาง บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ สายลมคร่ำครวญวู่หวิวอยู่รอบตัว...แกเดินไป...เดินไป...เหมือนถูกสะกดจิต หรือมีอำนาจเร้นลับคอยบงการจนไม่อาจขัดขืนได้!

เสียงหวูดรถไฟกรีด แหลมมาเข้าหู ป้าเลื่อมหันขวับไปมองก็เห็นแสงไฟหน้ารถสว่างจ้าจนตาหยี จนต้องยกมือป้องหน้า ก่อนจะหันไปทางผู้หญิงคนนั้น...ขณะที่เสียงล้อเหล็กบดรางดังกระหึ่ม สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

นรกเป็นพยาน! ผู้หญิงในชุดดำหันขวัญมาทั้งตัว ใบหน้าซีกหนึ่งแหลกเละ เนื้อตัวเปรอะไปด้วยเลือดสดๆ ที่ทะลึกออกมาจากรอยแผลเหวอะหวะ...รถไฟมรณะพุ่งพรวดเข้าใส่อย่างเหี้ยม เกรียม

และนั่นเองที่ทำให้แกกรีดร้องสุดเสียง สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตระหนกอกสั่นจนเหงื่อท่วมตัว...ยมทูตกำลังจะนำแกไปสู่ปรโลกแล้ว!

คืน นั้น ป้าเลื่อมเล่าจบก็คว้าขวดเหล้าเซซังเข้าห้อง...คงจะเมาหลับไปโดยไม่ได้แตะ ต้องข้าวปลาอาหารเลย...ดิฉันเองก็ฝันเห็นแต่รถไฟที่แล่นผ่านไปมาแทบตลอดคืน

รุ่ง เช้าก็ได้ข่าวว่ามีคนพบศพป้าเลื่อมโดนรถไฟทับตาย แขนขาขาดกระเด็นน่าสยดสยอง...ชาวบ้านได้แต่สงสัยว่าแกออกไปทำไมกัน คงมีแต่ดิฉันคนเดียวที่รู้ว่ายมทูตมาเรียกร้องป้าเลื่อมไปสู่ปรโลกโดยไม่มี ทางจะขัดขืนได้เลย!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEF6TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB3TXc9PQ==



Create Date : 03 กรกฎาคม 2551
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 20:32:26 น.
Counter : 607 Pageviews.

0 comment
ปีศาจคะนอง
ปีศาจคะนอง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ลุงเพ็ญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองบางกอกน้อย สมัยหนุ่มผมอยู่ที่คลองบางกอกน้อย...คลองที่กลายเป็นเพลงชื่อดังนั่นแหละ ครับ พวกเราชอบจับกลุ่มกันร้องเพลงฮิตนี่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่ฟังแล้วตลกดี แหม! พวกวัยรุ่นตะเบ็งเสียงกันคอโป่งไปเลย

"ว่าแต่ผีแม่บัวลอยนี่ไปเกิดหรือยังวะ?"

วัน นั้น เจ้ากลมตั้งปัญหาขึ้นในร้านแป๊ะซ้งริมคลอง เป็นร้านชำประจำหมู่บ้าน รวมทั้งน้ำชากาแฟ เหล้าเบียร์มีหมด กับแกล้มง่ายๆ ก็คือ แหนมพวง ถั่วลิสงคั่ว ถั่วปากอ้าที่ใส่ถุงเป็นแผงแขวนไว้ข้างเสา...เสียงตอบดังแซดไปหมด บ้างก็ว่าไปเกิดแล้ว บ้างก็ว่ายังสิงสู่อยู่ในคลองนี่แหละจนผมต้องตัดบทว่า...เพลงเขาแต่งนะโว้ย ไม่ใช่เรื่องจริง!

แต่เรื่องจริงที่ทำให้พวกเขามาอุดหนุนร้านนี้ บ่อยๆ ก็คือม่วยกิมลั้ง ลูกสาวคนเดียวของแป๊ะซ้งน่ะซีครับ อายุอานามราว 17-18 รุ่นน้องพวกเรา แต่ขาวสวยน่าดู รูปร่างก็ไม่ใหญ่โตอะไรนัก แต่อกอวบพุ่ง เอวกิ่ว สะโพกผาย ผมยาวประบ่า หน้าตาเซ็กซี่อย่าบอกใคร

ตอน นั้นพวกสาวๆ ชาวสวนชาวคลองยังนิยมนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อคอกระเช้าตัวเดียว เวลายกของมาเสิร์ฟเรามักจะก้มต่ำนิดหน่อย พวกทโมนไพรก็จ้องมองร่องอกขาวๆ ของน้องม่วย จนตาลุกตาชันไปตามๆ กัน แต่เธอทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนจะท้าทายว่า...อยากมองก็เชิญมองให้พอ!

โธ่! อย่าว่าแต่หนุ่มคะนองอย่างพวกเราเลยครับ ขนาดรุ่นน้ารุ่นลุงอย่างตาล้วนกับตาย่อมที่พายเรือมาเทียบท่าซื้อของ ร้องสั่งเหล้าหรือกาแฟ...ตอนที่ม่วยสาวเอาของไปส่งต้องก้มตัวลงไปน่ะ เนินอกขาวผ่องกับก้อนเนื้ออวบๆ แทบจะพลัดออกมาทั้งพวง...ถือว่าเป็นภาพสวยงาม น่าประทับใจอย่างยิ่งมาจนทุกวันนี้ก็แล้วกัน

บางวันเราพายเรือเล่น ตอนเย็นๆ ดูสาวๆ จากตีนท่าลงบันไดมาอาบน้ำ นุ่งผ้ากระโจมอกผืนเดียว เดี๋ยวๆ ก็ขยับปมผ้านุ่งเหมือนฟ้าแลบแปล่บๆ บางคนก็ขึ้นบันไดไปยกขาเลิกผ้านุ่งขึ้นมาฟอกสบู่ บางทีก็ล้วงเข้าไปฟอกถึงไหนๆ เล่นเอาจ้องมองกันนัยน์ตาขวักไขว่...ทำหน้าตาเหมือนอยากจะรากเลือดลงแดงไป ตามๆ กัน

วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้าย กิมลั้งลงเรือข้ามฟากไปซื้อของที่ท่าพระจันทร์ ขากลับหอบของพะรุงพะรังจะลงเรือกลับบ้าน แต่ก้าวพลาดหล่นตูมลงไปในน้ำ จังหวะที่เรือถูกคลื่นซัดมาชนโป๊ะพอดี...ร่างของม่วยสาวเลยจมหายไปท่ามกลาง เสียงร้องของผู้คนที่มองเห็นเหตุการณ์

วันรุ่งขึ้น ศพของเธอก็ไปโผล่ที่ท่าเตียน!

พวก เรารู้ข่าวก็ใจหายไปตามๆ กัน เจ้าอู๋บ่นเสียดายไม่ขาดปาก เจ้ากลมหน้าตาไม่ค่อยดีขณะพึมพำ...ผีบัวลอยคงจะไปผุดไปเกิดแล้ว แต่ผีกิมลั้งน่ะซี จะอยู่ที่ท่าพระจันทร์หรือกลับบ้านก็ยังไม่รู้เลย?

จน กระทั่งงานศพผ่านพ้นไป ตกค่ำบรรยากาศในละแวกนั้นดูเยือกเย็น น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก ในเรือกสวนด้านหลังก็มืดครึ้ม เสียงลมพัดยอดไม้ซู่ซ่า ฟังเหมือนเสียงใครกำลังคร่ำครวญด้วยความทุกข์โศก...ร้านชำแป๊ะซ้งเปิดบริการ ลูกค้าอีกครั้ง คราวนี้มีหลานสาวชื่อลูกท้อมาช่วยขายของแทนกิมลั้ง

ถึง แม้จะไม่สะสวยดูเซ็กซี่เหมือนกิมลั้ง แต่ลูกท้อก็หน้าตาดี ยิ้มแย้มแจ่มใสและช่างพูดช่างคุย เป็นกันเองกับลูกค้าทั่วๆ ไป ใครจะพูดจาแทะโลมหรือทะลึ่งตึงตังบ้างก็ไม่ถือสา ไม่ช้าร้านชำแป๊ะซ้งก็มีลูกค้าทั้งหนุ่มและแก่มาอุดหนุนกันคับคั่งตามเดิม

จนกระทั่งเกิดเหตุสยองขึ้นโดยไม่มีใครคาดฝัน!

เย็น นั้น คอเหล้านั่งกันเต็มร้าน พวกรุ่นน้ารุ่นลุงก็พายเรือมาซื้อของ กับคอยจ้องมองของสวยๆ งามๆ เพราะลูกท้อถึงจะไม่ขาวผ่องเหมือนกิมลั้ง แต่สวมเสื้อคอกระเช้าทั้งลึกและกว้างมากกว่า ...บางทีไปยืนก้มตัวเท้าแขนที่โต๊ะหลังร้าน ยังทำให้ผู้ชายครางฮือไปตามๆ กัน

ใกล้ค่ำ ตาล้วนพายเรือมาร้องสั่งเหล้าขาว ลูกท้อก็คว้าเหล้าไปโน้มตัวลงส่งให้...ตาล้วนร้องเฮ้ย! เสียงดังลั่นจนคนอื่นๆ ในร้านหันไปมอง

"อย่าๆ ไม่เอาแล้วโว้ย" แกร้องตะโกน คว้าพายจ้ำอ้าวไม่คิดชีวิต ลูกท้อส่ายหน้า ก้าวขึ้นบันไดมาด้วยหน้าตางุนงง แต่พวกลูกค้าในร้านผงะหน้า ร้องเฮ้ยๆๆ เสียงดังกว่าตาล้วนด้วยซ้ำไป

นรกเป็นพยาน! ผู้ที่ก้าวเข้ามาในร้านไม่ใช่ลูกท้อ แต่เป็นกิมลั้งผู้จมน้ำตายไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง!

ชั่ว เวลาสั้นๆ แต่ดูยาวนานเหลือหลาย ใบหน้านั้นก็กลับเป็นลูกท้อตามเดิม! เจ้าอู๋กับเจ้าล้วนขยี้ตาก่อนจะจ้องมอง ผมเองได้แต่นั่งอ้าปากค้าง...รู้สึกขนหัวลุกตั้งด้วยความกลัวสุดขีด...เสียง ใครร้องว่าเมื่อตะกี้เป็นหน้ากิมลั้งนี่หว่า!

ผีสาวปรากฏตัวให้ใครๆ เห็นบ่อยครั้งจนแป๊ะซ้งต้องปิดร้าน อพยพไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่นั้นมา

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEF5TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB3TWc9PQ==



Create Date : 02 กรกฎาคม 2551
Last Update : 2 กรกฎาคม 2551 19:41:27 น.
Counter : 655 Pageviews.

0 comment
วิญญาณหลงทาง
วิญญาณหลงทาง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"วาปี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเชิงสะพานราชวัตร

เชื่อ กันว่าคนเราสิ้นลมหายใจที่ไหน วิญญาณก็มักจะวนเวียนอยู่ที่นั่น บ้างก็ว่าคอยหลอกหลอนผู้คน หรือไม่ก็ขอส่วนบุญ แต่บางเสียงก็เชื่อว่าวิญญาณรอคอยเพื่อเอาชีวิตของคนอื่นไปแทนที่ตัวเอง จะได้ไปผุดไปเกิดไงคะ

มีเหตุผลอีกอย่างที่น่ารับฟังค่ะ คือบอกว่าวิญญาณที่เพิ่งออกจากร่างก็เหมือนคนที่กระโดดจากเรือนที่ถูกไฟไหม้ หรือไม่ก็เหมือนเด็กๆ หลงทาง มองหาพ่อแม่ด้วยความตระหนกอกสั่นสุดขีด ไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว...ดิฉันเคยเห็นในตอนกลางวันแสกๆ เลยค่ะ!

วัด อัมพวันในเขตดุสิตอยู่ใกล้ๆ กับสถานีตำรวจ ถนนพระรามห้า แต่โรงเรียนวัดอัมพวันนั้นมีทางเข้าออกทางด้านข้าง เชิงสะพานราชวัตรทางถนนนครไชยศรี

ทางเข้าออกด้านนี้ค่อนข้างคับแคบ มีร้านขายอะไหล่รถยนต์และซ่อมรถ ซึ่งเป็นเจ้าประจำของดิฉันขนาบกับรั้วบ้าน...ตอนเย็นๆ จะมีเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ หลั่งไหลกันออกมาเป็นสายน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย...แต่หลายๆครั้งก็ดูน่าหวาด เสียวเอาการ

นั่นคือ ตอนเด็กๆ อายุราว 6-7 ขวบกลับบ้าน!

มี พ่อแม่มารอรับ ทั้งจูงไปก็มี แม่นั่งตุ๊กตุ๊กมารับก็มี ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พ่อก็มี รอรถขาประจำมารับก็มีหลายคน รถที่ว่ามีทั้งตุ๊กตุ๊ก และมอเตอร์ไซค์ ลองนึกภาพดูเถอะค่ะว่ายกเว้นรถตุ๊กตุ๊กแล้ว การนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์สำหรับเด็กๆ จะน่าเสียวไส้แค่ไหน

เมื่อราว 3-4 ป ก่อนยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องหมวกนิรภัย...เห็นเด็กผู้หญิงซ้อนท้ายกอดเอวคน ขับแน่น...คงกลัวจนหายกลัว กลายเป็นความเคยชินไปแล้วกระมังคะ

ถึงยังไงก็ต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนได้ละค่ะ!

เวลา รถเสียเล็กๆ น้อยๆ เช่น เครื่องร้อน แอร์เสีย หรือขลุกขลักโดยไม่ทราบสาเหตุ ดิฉันก็คงจะเหมือนๆ กับผู้หญิงส่วนมากที่ขับรถเป็น แต่ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์เลย...ประคองรถไปจอดหน้าร้าน บอกเถ้าแก่ที่คุ้นๆ กันให้ช่วยจัดการ แล้วก็ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายที่ปากทางเข้าออกโรงเรียนวัดอัมพวัน...ว่าง เข้าเราก็คุยกัน ทำให้ดิฉันรู้ว่าอุบัติเหตุกับเด็กๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งเพราะความประมาท น่าสลดใจจริงๆ ค่ะ

เมื่อตอนต้นปีพ่อมารับลูกสาวซ้อนท้าย พอหักรถออกก็โดนรถเมล์สาย 14 เฉี่ยวจนล้มคว่ำ เลือดโชกทั้งพ่อทั้งลูก

ต่อ มามอเตอร์ไซค์ที่พ่อแม่จ้างมารับส่ง ก็เกิดพุ่งออกไปโดยที่เด็กยังนั่งไม่เต็มก้น...ผลคือเด็กหญิงตัวเล็กๆ หงายท้องลงมาหัวแตก เลือดไหลโกรก คนขับรีบอุ้มส่งโรงพยาบาล...ไม่รู้ว่าอาการหนักเบายังไง เพราะมีรถพวกนี้มารับเด็กมากเหลือเกิน

นานๆ หรอกค่ะ ถึงจะมีรถเก๋งมารับเด็กซักครั้งหนึ่ง!

ไม่อยากโทษพ่อแม่หรอก เพราะเขาคงต้องทำมาหากินจนไม่มีเวลามารับลูกเอง จะให้ตุ๊กตุ๊กมารับ-ส่งก็คงจะแพงกว่ามอเตอร์ไซค์แน่ๆ

วัน นั้น ฟ้าหนักอึ้งด้วยเมฆฝนมาแต่บ่าย ลมพัดอู้ๆ จนเศษกระดาษปลิวว่อน...ดิฉันเสร็จธุระที่ราชเทวีราวบ่ายสามโมงเศษ พอขับรถมาถึงอุรุพงษ์จะกลับบ้านที่สามแยกพิชัยก็เกิดแอร์ไม่เย็น ความร้อนขึ้นสูงจนต้องปิดแอร์...พอเลี้ยวซ้ายที่โรงกรองน้ำสามเสน ผ่าน ราชวัตรก็ลงสะพานมาชะลอรถชิดซ้ายที่ร้านซ่อมรถขาประจำ

บอกเถ้าแก่ เสร็จก็ลงมาเดินยืดเส้นยืดสายตามเคย...เด็กๆ ทยอยออกจากปากทางไปจนบางตาแล้ว เห็นพ่อแม่นั่งมอเตอร์ไซค์อุ้มลูกสาวนั่งตัก มองไม่เห็นว่ามีใครสวมหมวกนิรภัยสักคนก็อดใจหายไม่ได้

คนหาเช้ากินค่ำ คุณภาพชีวิตก็ตกต่ำแบบนี้แหละค่ะ เราห่วงความปลอดภัย แต่เขาอาจจะกำลังห่วงค่าใช้จ่ายสารพัดที่ถาโถมเข้าใส่ก็เป็นได้

รถ คันนั้นพุ่งไปทางสามแยกพิชัย เกือบพร้อมๆ กับมอเตอร์ไซค์สีแดงคันหนึ่งบึ่งลงสะพานมาเฉียดรถยนต์ดิฉัน คนขับผอมเกร็งวัยยี่สิบต้นๆ คงจะเป็นรถรับจ้างน่ะ...เด็กหญิงอายุราว 7-8 ขวบ ไว้ผมม้า แก้มยุ้ยน่ารัก หิ้วกระเป๋าจนไหล่ลู่ รีบก้าวยาวๆ ไปขึ้นรถ...เสียงเร่งเครื่องหักกลับไปทางสะพานราชวัตร ขณะที่รถเมล์เล็กห้อตะบึงลงสะพานมาพอดี!

คุณพระช่วย! เด็กหญิงตัวน้อยๆ หงายผลึ่งลงมากลิ้งบนพื้น ลับหายไปข้างรถดิฉัน รีบวิ่งปราดไปดูก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่...ไม่เห็นมีร่างของเด็กหญิงผู้ นั้นแม้แต่เงา

รถเมล์เล็กแล่นผ่านไปจอดป้ายหน้า มอเตอร์ไซค์สีแดงหายไปไหนก็ไม่ทราบ...ดิฉันใจเต้นโครมๆ เข่าอ่อนจนต้องเกาะรถตัวเองอ้อมมาด้านใน ม่านตาลายพร่าจนมองเห็นช่างที่กำลังง่วนอยู่กับสายไฟหน้ารถดูเลือนรางเต็ม ที...

เถ้าแก่มองเห็นก็ปราดออกมา เชิญดิฉันไปนั่งดื่มน้ำเย็นๆ ในร้านก่อน...บอกว่า คนขับมอเตอร์ไซค์กับเด็กหญิงซ้อนท้ายตายมาเดือนกว่าแล้ว แต่มักมีคนเห็นภาพสยองบ่อยๆ เขาว่าเป็นวิญญาณที่หลงทางไงคะ! บรื๋อส์...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEF4TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB3TVE9PQ==



Create Date : 01 กรกฎาคม 2551
Last Update : 1 กรกฎาคม 2551 19:24:52 น.
Counter : 724 Pageviews.

0 comment
รับน้องใหม่
รับน้องใหม่

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"โอ๊ต"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากร้านอาหารญี่ปุ่น

ผู้หญิง คนนั้นสวยมาก แต่เมื่อเธอเดินผ่านหน้าผมไป ผมก็เห็นว่าเธอมีเลือดเปรอะทั้งตัว เหมือนกับว่าเธอเพิ่งตกมอเตอร์ไซค์ แล้วกลิ้งหลุนๆ คลุกฝุ่นจนถลอกปอกเปิก ได้แผลลึกแผลตื้นมากมายหลายแห่ง เธอคงเจ็บน่าดูนะครับ

เอ....ทำไมไม่ไปหาหมอ? ดูซิ...ยังอุตส่าห์มาทำงานอีก!

ผม เป็นพนักงานใหม่ของร้านอาหารญี่ปุ่น ที่เปิดบริการอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ชานเมืองกรุงเทพฯ นี่เอง และนี่เป็นวันแรกของผมครับ ผมก็เลยมาแต่เช้าก่อนเวลาห้างเปิดเกือบสองชั่วโมงแน่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อแสดงความขยันไง

บรรยากาศของห้างในยามนั้นดูพิกลเหมือนตกอยู่ในแดนสนธยา ถึงแม้ภายนอกจะมีแสงแดดสว่างสดใสแล้วก็ตาม...

ภาย ในน่ะยังมีแต่ความเงียบเหงา วังเวงเวิ้งว้างด้วยความกว้างขวางใหญ่โต แสงก็สลัวๆ เพราะเปิดไฟเพดานแค่ไม่กี่ดวง คิดแล้วน่าขนลุก มองไปไกลๆ เห็นเจ้าของร้านบางคนเพิ่งมาเปิดประตูร้าน....เสียงประตูที่ถูกเลื่อนขึ้น ดังก้องกังวานคล้ายอยู่ในถ้ำกว้าง...

ที่ร้านผมก็มีแม่บ้านมาแล้วคนหนึ่ง แกทักผมว่ามาทำไมแต่เช้า? แล้วแกก็เดินหายไปไหนไม่รู้ ผมยังไม่ทันตอบอะไรเลย ได้แต่ยืนเก้อ

ตอน นั้นแหละครับที่ผมเหลียวซ้ายแลขวาเก้ๆ กังๆ แล้วเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาจากหน้าประตู เธอแต่งชุดพนักงานของร้าน คือเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กระโปรงแคบสีน้ำเงินสั้นแค่เข่า ผมเธอยาวครับ แต่ถูกรวบเป็นมวยไว้เรียบร้อย

โครงร่างเธออ้อนแอ้น ดูสวยสมส่วน เอวเล็กนิดเดียว สะโพกกลมเชียว...

พอ เธอเดินผ่านระหว่างแถวโต๊ะอาหาร เข้ามาจนใกล้ผมก็เตรียมยิ้มทักทาย แต่ยิ้มของผมเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นเลือดและแผลหลายแห่งบนใบหน้าที่งดงามนั้น และเมื่อมองสำรวจลงมา ก็ปรากฏว่าแขนของเธอก็ยับเยินเช่นกัน แผลบางแห่งน่ะลึกทีเดียว ขนาดควรจะต้องเย็บน่ะครับ

ผมอ้าปากค้างเลย....ทำไมไม่ไปหาหมอ? มาทำไมเนี่ย?

เธอเดินเฉียดหน้าผมไปทางหลังร้าน ผมได้แต่มองตามทำตาปริบๆ ทั้งมึนงงและตกใจ...เชื่อเลย! เธอต้องตกรถมาแน่ๆ น่าสงสารจัง!

ทัน ใดนั้น ป้าที่เป็นแม่บ้านทำความสะอาด ก็เดินถือไม้ม็อบถูกพื้นออกมาจากด้านหลังร้าน ตรงที่ผู้หญิงคนนั้นเดินสวนเข้าไป แกเห็นผมยืนตะลึงก็ยิ้มขำๆ ถามว่าเป็นอะไร?

"ไม่ใช่ผม" บอกแกพลางชะเง้อข้ามตัวเตี้ยๆ ป้อมๆ ของแก "ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ป้าเห็นแล้วใช่มั้ย? เดินสวนป้าเข้าไปตะกี้น่ะ เขาเป็นอะไร..เลือดเต็มตัวเลย?

เสียง ดังปัง! เมื่อป้าแกทิ้งไม้ม็อบลงกับพื้น แล้วฉวยแขนผมเดินลิ่วออกจากร้านด้วยกัน...พอออกมานอกร้าน แกเขย่าแขนผมใหญ่ "นี่พูดเล่นรึพูดจริง? อย่าเล่นบ้าๆ น่ะ ป้ายิ่งกลัวๆ อยู่ ของแบบนี้พูดเล่นไม่ได้รู้มั้ย?"

ผมวูบเลยครับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่เห็นน่ะ...ไม่ใช่คนแน่ๆ

" น้องอ้อยตายมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ ป้าคิดว่าแกไปเกิดแล้วซะอีก! ฮู้ยยย...รู้งี้ไม่เข้าไปถูพื้นคนเดียวหรอก" ป้าลูบแขนตัวเองไปมา ขนแกลุกเกรียวเชียวละ!

ผู้หญิงที่แกเรียกว่า "น้องอ้อย" นั้น เป็นพนักงานที่น่าสงสารของที่นี่ เธอนิสัยดีเรียบร้อย อ่อนหวาน และเป็นที่รักของเพื่อนฝูงทุกคน

เช้า วันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน อ้อยซ้อนมอเตอร์ไซค์ของแฟนเธอมาทำงาน จวนจะถึงที่นี่อยู่แล้วละ เมื่อรถเมล์คันหนึ่งแล่นเฉี่ยวมอเตอร์ไซค์ล้มลง และลากร่างเธอติดใต้ท้องรถมาตั้งไกลกว่าจะหยุดจอด...อ้อยตายคาที่ในลักษณะ ที่ถลอกปอกเปิกไปทั่วร่าง

"ตั้งแต่วันนั้นเขาก็มาเลย" ป้าเล่าต่อ "เขาคงตายในขณะที่ใจก็จดจ่อว่าจะมาทำงานไงล่ะ มีคนเห็นเขาอย่างที่คุณเห็นบ่อยมาก จนกระทั่งพนักงานที่นี่กลัวกันหมด ตอนเช้าๆ น่ะเราจะนั่งรอกันอยู่นอกห้าง รอจนพวกเรามาถึงหลายๆ คนแล้วถึงจะรวมกลุ่มเข้ามาในร้านพร้อมๆ กัน"

ป้าบอกว่า วิญญาณที่รับผิดชอบในหน้าที่อย่างน่าชื่นชมของอ้อยนั้นหายไปเป็นเดือนแล้ว ป้าเลยหายกลัว และกล้ามาทำความสะอาดร้านก่อนใครเพื่อน

"เขามารับน้อง ใหม่ละซีเนี่ย?" ป้าจ้องหน้าผม พลางลากผมไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ค่อนข้างไกลจากหน้าร้าน "รอที่นี่แหละ คนมาเยอะๆ แล้วค่อยเข้าร้านด้วยกันทั้งฝูง!"

ผมสั่นเลยครับ หนาวเหมือนจะเป็นไข้ ผมเห็นชัดมากๆ เธอมีเนื้อหนังเหมือนคนเราดีๆ นี่เอง และเดินผ่านผมไปห่างกันแค่คืบ

รุ่งขึ้นผมทำบุญให้เธอ ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณที่อุตส่าห์มารับน้องใหม่ แต่ทีหลังไม่ต้องแล้วนะครับ...ผมกลัวพี่...เอ๊ย! กลัวผีครับ!!!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVE13TURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB6TUE9PQ==



Create Date : 30 มิถุนายน 2551
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 19:11:26 น.
Counter : 574 Pageviews.

0 comment
เดชผีตายโหง
เดชผีตายโหง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ลุงเปล่ง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองบางซื่อ

สมัยเด็กผมเคยอยู่ริมคลองบางซื่อ ฝั่งตรงข้ามกรมทหาร ป.ต.อ. แต่ค่อนไปทางสะพานสูง ตอนนั้นบ้านเรือนจะอยู่แถวริมคลองเป็นส่วนมาก ด้านหลังคือเรือกสวนร่มครึ้ม แต่ไม่ได้ปลูกผลไม้อะไรเป็นเรื่องเป็นราวหรอกครับ

เจ้าของสวนมักปล่อยทิ้งตามยถากรรม เห็นว่าดินไม่ค่อยดีเหมือนทางฝั่งบางอ้อหรือเมืองนนทบุรี จะเรียกว่าเป็นสวนร้างก็ยังได้

ด้านหลังที่ว่าเป็นทางเดินแคบๆ ลดเลี้ยวไปได้หลายทาง จะออกไปสะพานสูงก็ได้ หรือจะลัดออกทางหลังวัดประดู่ก็ได้ พวกตัดช่องย่องเบาได้ของจากหมู่บ้านด้านก้นคลองก็มักจะเอามาหมกไว้ในสวนร้าง นั่นแหละ รอโอกาสเหมาะๆ ถึงจะมาขนไปเข้าโรงจำนำ ถ้าไม่บางโพก็บางกระบือ

วันดีคืนดีก็มีคนจีนมาตั้งเพิงทำตู้ โต๊ะ เก้าอี้ หนักเข้าก็ขยายเพิงให้กว้างขวาง แล้วกินอยู่หลับนอนที่นั่นเสร็จ พวกเราเคยไปดูเขาทำงานกันบ่อยๆ ท่ามกลางเสียงเลื่อยไม้กับตอกตะปู อากาศกรุ่นด้วยกลิ่นขี้กบและทินเนอร์ทาไม้..เราเรียกกันว่า "ห้างสวนเฟอร์นิเจอร์"

ตอนแรกๆ คนงานมีแต่ชาวจีนล้วนๆ ต่อมากิจการชักรุ่งเรืองจนมีคนไทยเข้ามาเป็นลูกมือหลายคน

วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!

ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ พวกช่างไม้เห็นชายแปลกหน้าสองคนมาเดินวนเวียนอยู่หลายคน เดี๋ยวก็ผ่านไปทางหลังวัดประดู่ เดี๋ยวก็ย้อนกลับมาผ่านไปทางเก่า ทำท่าเหมือนจะเลาะลัดไปสะพานสูง แต่แล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง

จะว่ามาหาเรื่องหาราวหรือปล้นสะดมอะไรก็ไม่น่าใช่ แต่ท่าทางดูมีพิรุธยังไงชอบกล พวกช่างไม้เงยทำงานไปพลาง คอยชายตามองไปพลาง..ไม่ช้าก็เห็นชายคู่นั้นหายเข้าไปในซุ้มไม้ สักครู่ก็กลับมาพร้อมกับถุงผ้าสีดำคนละสองถุง ทั้งที่ตอนแรกมากันตัวเปล่าแท้ๆ

"ขโมยนี่หว่า!" ใครคนหนึ่งร้องขึ้น "เฮ้ย! มาช่วยกันจับขโมยโว้ย"

ขาดเสียงก็วิ่งเข้าใส่ มีเสียงแช่งด่าดังลั่น ช่างไม้ที่นุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว ร่างกายท่อนบนชุ่มเหงื่อก็โดนมีดแทงสวนเข้าที่ลิ้นปี่จนตัวงอ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงาน 2-3 คนที่วิ่งตามไปติดๆ

หัวขโมยคู่นั้นเหวี่ยงถุงผ้าทิ้ง ออกวิ่งเตลิดกลับไปทางสะพานสูง ช่างไม้คนหนึ่งวิ่งตามไป แต่ฝ่ายหนีเจนทางมากกว่า ไม่ช้าก็หายลับไป

"นายเม้ง" คนโดนแทงเลือดตกใน ขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง!

เมื่อเปิดถุงผ้าทั้งสองออกดูก็พบวิทยุทรานซิสเตอร์ ขันลงหิน ขันน้ำพานรองที่ทำด้วยเงินแท้ รวมทั้งของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่างที่พวกหัวขโมยคงจะตัดช่องย่องเบาเอามา ซุกไว้เมื่อวันก่อนโดยไม่มีใครเห็น แต่วันนี้นายเม้งช่างไม้เกิดเห็นเข้าก็เลยเคราะห์ร้ายจนถึงแก่ชีวิต

ตำรวจไม่ได้ร่องรอยคนร้ายเลย คาดว่าคงจะมาจากถิ่นอื่น ส่วนนายเม้งก็มีญาติมารับไปทำพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

แต่วิญญาณอันเจ็บปวดของนายเม้งยังสิงสู่อยู่ที่นั่น!

ตอนกลางคืน หมาหลังวัดประดู่จะโก่งคอหอนโหยหวน ยอดไม้ใหญ่น้อยก็สะบัดกิ่งใบซู่ซ่าเกรียวกราว พวกที่ทำงานโรงเฟอร์นิเจอร์เล่าว่าเคยเห็นนายเม้งมาเดินวนเวียนอยู่หน้าเพิง 2-3 คืนติดๆ กัน เล่นเอาเผ่นเข้าไปคลุมโปงครางฮือๆ ถึงกับเก็บเสื้อผ้าขอลาออกไปเลย..ไม่อยากขวัญหนีดีฝ่อตาย

รายหนึ่งชื่อนายเนี้ยว เป็นเพื่อนสนิทของนายเม้ง คืนหนึ่งเดือนหงายก็ออกมามวนยาสูบอยู่หน้าเพิง เสียงแม่ม่ายลองไนพร่ำเพรียกเป็นเพื่อนราตรีอยู่ในสวน ยอดไม้ไหวลู่กระซิบกระซาบกับสายลม..จู่ๆ สรรพสิ่งก็เงียบเชียบลงกะทันหัน

อากาศในเดือนธันวาคมหนาวยะเยือกน่าใจหาย..อะไรบางอย่างปรากฏขึ้นที่ทางเดิน ริมคูใกล้ๆ ซุ้มไม้ที่หัวขโมยเอาสมบัติมาซุกซ่อนไว้ นายเนี้ยวกำลังสูบยาหันไปก็เห็นร่างตะคุ่มของใครคนหนึ่งยืนเด่น จ้องมองมาเงียบๆ เห็นได้ชัดจากแสงจันทร์ว่าอะไรเป็นอะไร?

นายเนี้ยวอ้าปากค้างจนยาสูบหลุดจากปาก..ปีศาจนายเม้งนั่นเอง!

ร่างเตี้ยล่ำที่นั่งอยู่บนขอนไม้ถึงกับเผ่นผึงขึ้นยืน สั่นสะท้านไปทั้งตัว อยากจะวิ่งหนีก็ขาแข็งทื่อจนยกไม่ขึ้น ความหวาดกลัวสุดขีดทำให้น้ำตาไหลพรากลงมาอาบหน้า ปากสั่นจนฟันกระทบกันกึกๆ ปีศาจนายเม้งก็ค่อยเลือนรางจางหายไป..

รุ่งขึ้นนายเนี้ยวก็ลาออกไปอีกคน..ชาวบ้านโดนผีหลอกจนเข็ดขยาดไปตามๆ กัน ไม่กล้าไปไหนมาไหนยามค่ำคืน บางคนถึงกับยุให้ผีนายเม้งตามไปหักคอฆาตกรที่ฆ่าแกก็ยังมี

พวกผม เด็กๆ นั้น พอตกค่ำก็รีบเข้ามุ้งคลุมโปงแล้วครับ..โชคดีที่ไม่หาเรื่องออกไปให้โดนผี หลอก ไม่งั้นอาจจะขาดใจไปตั้งแต่เด็กๆ แล้วละครับ! บรื๋อออ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEkyTURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB5Tmc9PQ==



Create Date : 26 มิถุนายน 2551
Last Update : 26 มิถุนายน 2551 20:33:56 น.
Counter : 668 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend