When You Wish Upon a Star ดวงดาว แค่เปลี่ยนที่ก็พร่างพราวบนฟ้า
When You Wish Upon a Star ดวงดาว แค่เปลี่ยนที่ก็พร่างพราวบนฟ้า

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการ์ตูนที่ข้องใจไม่หายตั้งแต่เด็กค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ์ตูนประเภทหนึ่งซึ่งน้องชายอ่านแล้ว "สนุกมากๆ!" ในระหว่างที่ฉันเองอ่านแล้วรู้สึกว่า "ก็ดี" ชื่อของการ์ตูนเรื่องนั้นคือ Winter Story (Fuyu Monogatari) ซึ่งสนุกจริง เพราะได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมประจำปี 1988 ของสำนักพิมพ์โชกักกุคังเป็นประกัน

ในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าการ์ตูนประเภทนี้แตกต่างจากการ์ตูนทั่วไปอย่างไร นานวันเข้า การ์ตูนทำนองนี้เริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้นและขยายวงกว้าง สูตรสำเร็จนั้นคล้ายคลึงกันทุกเรื่อง ถ้านึกถึงการ์ตูนโรมานซ์ของผู้หญิงค่ายฮาเลควินที่ทุกเรื่องพล็อตเดียวกันหมด หญิงสาวตกหลุมรักชายหนุ่มหล่อ รวย เพอร์เฟ็คต์ และเป็นเพลย์บอย สุดท้ายพ่อปลาไหลก็พบว่ารักแท้ในชีวิตแสนเลิศของเขาคือนางเอกผู้ไม่มีอะไรดีนอกจากรักเขาเท่านั้นเอง

การ์ตูนโรมานซ์ของผู้ชายก็คล้ายกันค่ะ เพียงแต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้ทุกอย่างในโลกกลับชนะใจหญิงสาวสวย ดี เก่ง เพอร์เฟ็คต์แทน เรียกว่าเป็นยุคเริ่มต้นของการ์ตูนฮาเร็มก็คงไม่ผิด

"รหัสรักจากดวงดาว" When You Wish Upon a Star. คือผลงานของ "ฮาระ ฮิเดโนริ" ผู้เขียน Winter Story นี่ล่ะค่ะ เขาเขียนเรื่องได้หลากหลายแนว แต่สุดท้ายแนวที่ดังที่สุดก็ไม่พ้นโรมานซ์ฉบับผู้ชายแบบนี้

"โคทาโร่" เด็กหนุ่ม ม.5 แห่งโรงเรียนสาธิตชื่อดังในโตเกียว จำเป็นต้องย้ายมาเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดแสนบ้านนอกด้วยเหตุผลคือ เขาสอบเลื่อนชั้นขึ้น ม.6 ไม่ได้ ทางโรงเรียนพยายามบีบให้ออก และพ่อแม่เองก็อับอาย ในที่สุดเขาจึงต้องมาอาศัยอยู่กับญาติของญาติของญาติซึ่งไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย

ภาพของโคทาโร่ที่มองตัวเองคือ "Loser" หรือผู้พ่ายแพ้ต่อชะตากรรม ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องสังคม เขาทำไม่ได้สักอย่าง กระทั่งย้ายโรงเรียนมาแล้วปาฏิหาริย์ก็ยังไม่เกิดขึ้น เขายังเรียนแย่ไม่ต่างจากเดิม แม้ว่าจะพยายามแล้วก็ตาม เมื่อเผชิญปัญหา โคทาโร่จึงนึกถึงแต่หนทางหนีมากกว่าจะสู้กับมันตรงๆ บุคลิกแบบนี้ทำให้ "นางิสะ" สาวน้อยข้างบ้านไม่พอใจเขาเท่าไร

"นางิสะ" เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลหญิงที่มีความสามารถมาก สวยและน่ารักอีกต่างหาก ผู้ชายเกรดเอในโรงเรียนสารภาพรักกับเธอหลายคน แต่โดนสลัดไม่ไยดี เหตุผลคือเธอต้องรับผิดชอบครอบครัวซึ่งเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไป ทำให้เธอเลิกเล่นบาสเกตบอลและหันมาดูแลบ้านและน้องๆ ในระหว่างที่คุณแม่เป็นนางพยาบาลต้องอยู่เวร ข้อดีของนางิสะ (และเป็นข้อดีของนางเอกการ์ตูนโรมานซ์ของผู้ชายทุกเรื่อง) คือเธอ "ไม่เคยดูถูกคน" แม้จะเกลียดก็ว่ากันด้วยเหตุผลตรงๆ ซึ่งถ้าฝ่ายชายรับฟังเธอก็จะหายเกลียดได้เหมือนปิดสวิตช์

วันหนึ่งเธอชี้ดวงดาวให้โคทาโร่ดู ดาวบางดวงไม่เคยได้ส่องแสงในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว แต่เมื่อเปลี่ยนที่มาอยู่บนท้องฟ้าของต่างจังหวัด กลับส่องประกายได้อย่างงดงาม โคทาโร่เองก็เช่นกัน เขาคือดวงดาวที่ยังรอวันส่องประกายนั่นเอง

แต่แม้จะประทับใจในตัวนางิสะแค่ไหน ความรักย่อมไม่บังเกิด เพราะนางเอกของเรื่องต้องมี "คนรักผู้ครองหัวใจ" อยู่ก่อนแล้ว มาถึงตรงนี้ไม่ต้องคิดมากค่ะ พล็อตแบบเดิมจะนำเราไปสู่ความแตกแยกของนางเอกกับชายในฝัน พระเอกเข้าไปปลอบ สุดท้ายก็รักกัน...จบ!

แม้จะเดาได้ตั้งแต่พลิกหน้าแรกขึ้นมา แต่เสน่ห์ของการ์ตูนโรแมนซ์คือ ดึงเราให้ดำลงสู่โลกของความฝันสีชมพู เพราะรู้ว่าชีวิตจริงไม่มีทางโชคดีได้ขนาดนี้ ดังนั้น อย่างน้อยขอฝันในโลกของการ์ตูนซักนิดก็ยังดี และเนื่องจากเป็นฝันของผู้ชาย จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงอ่านแล้วรู้สึกไม่เร้าใจเท่าไร หงุดหงิดนิดๆ เสียด้วยค่ะ ผู้ชายบ้าอะไรปวกเปียกเป็นเต้าหู้ขนาดนั้น

มองในมุมกลับกันคือ ถ้าหญิงสาวทำความเข้าใจกับฝันของชายหนุ่มและเข้าใจได้ ความรักกับแฟนหนุ่มในชีวิตจริงก็จะราบรื่นไปด้วยค่ะ สิ่งที่ทำให้คู่รักหลายคู่เลิกรากันเพราะคิดว่าความรัก "ควรจะเป็นอย่างนี้" โดยไม่มองความเป็นจริงว่า แฟนเราไม่ใช่พระเอกนางเอกนิยายเสียหน่อย แต่แทนที่จะมองแต่ความเป็นจริงที่โหดร้ายแล้วยอมรับทั้งน้ำตา

เรามามองความฝันของแฟนเราแล้วเปลี่ยนตัวเองให้เป็นนางเอกการ์ตูนดีกว่าค่ะ รับฟัง ใจเย็น ซื่อตรง และไม่ดูถูกคน...แม้จะฟังดูการ์ตูนไปหน่อย แต่ก็เป็นคุณสมบัติที่ดีไม่เลวเลยใช่ไหมคะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun02270550&day=2007/05/27



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:59:15 น.
Counter : 1089 Pageviews.

0 comment
จะอะไรกันนักหนาล่ะ กันด๊าม กันดั้ม
จะอะไรกันนักหนาล่ะ กันด๊าม กันดั้ม

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



สำหรับภาพยนตร์หรือการ์ตูนที่โด่งดังมากๆนั้น หากฝ่ายผลิตคิดจะหาเงินเข้ากระเป๋าจากความดัง ส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการสร้างของที่ระลึก เช่น เสื้อยืด ถ้วยกาแฟ นาฬิกา ซึ่งสินค้าที่ระลึกเหล่านี้มีลิขสิทธิ์แน่นอน สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วโลกทราบค่ะ แต่ในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมีของที่ระลึกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นตัววัดความดังของภาพยนตร์หรือการ์ตูนเรื่องนั้นได้เลย (วัดความดังนะคะ ไม่ได้วัดคุณภาพ) ของที่ระลึกแบบนี้ไม่ได้จัดทำโดยผู้ผลิตแต่กลับสร้างขึ้นจากบรรดาแฟนๆที่ชื่นชอบอย่างมาก

สิ่งนั้นคือ "โดจินชิ" หรือหนังสือทำมือค่ะ

โดจินชินั้นส่วนใหญ่จัดทำออกมารูปของหนังสือการ์ตูนหรือนิยายซึ่งจัดพิมพ์โดยแฟนๆ ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งหากวาดเองขายเองในอเมริกาต้องโดนดำเนินคดีแน่นอน แต่ญี่ปุ่นเองคิดว่าโดจินชิเหล่านี้เป็นตัวสร้างกระแสความดังให้กับภาพยนตร์หรือการ์ตูนเรื่องนั้นๆยิ่งขึ้น พูดง่ายๆคือถ้าโดจินชิดีคนก็ต้องวิ่งไปซื้อการ์ตูนต้นฉบับมาอ่าน และคนที่ซื้อสินค้าทำมือก็ใช่ว่าจะไม่ซื้อสินค้าลิขสิทธิ์ (ไม่เหมือนปั๊มแผ่น CD เถื่อนขาย) ดังนั้นวงการสิ่งตีพิมพ์ทำมือจากบรรดาแฟนๆเหล่านี้จึงขยายตลาดได้กว้างขวางมากในญี่ปุ่น

คราวนี้ลองนึกดูว่าถ้าโดจินชิทำมือเกิดสนุกมากๆจนสำนักพิมพ์ต้องการรวมเล่มขายเป็นล่ำเป็นสัน การ์ตูนล้อเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นหนังสือการ์ตูนรวมฮิตค่ะซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่หายากมากในเมืองไทยที่จะมีใครสักคนกล้านำการ์ตูนล้อเหล่านี้มาแปลขาย

"กันด๊าม กันดั้ม ปฐมบท" คือการ์ตูนล้อเล่มนั้นล่ะค่ะ

กันด๊าม กันดั้ม (เรียกชื่อกี่ครั้งก็ยังฮา) เป็นการ์ตูน 4 ช่องจบล้อเลียนกันดั้มยุคแรกๆ...มีหลายภาคมาก ยังดูไม่หมดค่ะ แต่สำหรับท่านที่ชอบแบบหนังสือการ์ตูนลองอ่าน Gundam the Origin ก็จะเข้าใจได้เช่นกัน ตัวเอกคือ "ชาร์ อัสนาเบิ้ล" ชายผู้ที่ได้สมญานามว่า "ดาวหางแดง" ซึ่งแม้เขาไม่ได้เป็นนักบินกันดั้มแต่ก็โดดเด่นเหนือกว่าหลายขุม

ชาร์ตัวจริงนั้นเป็นคนที่มุ่งมั่นในอุดมการณ์อย่างสูง หล่อ เท่ห์ เก่ง เย็นชา เพอร์เฟกต์ เรียกว่าเป็นตัวการ์ตูนที่ดึงดูดให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลงใหลได้ไม่ยาก ความที่เขาบุคลิกโดดเด่นอย่างร้ายกาจทำให้ภาพของชาร์ในความทรงจำของหลายคนมีเพียง 3 เวอร์ชั่น คือยามที่เขาใส่ชุดทหารสีแดงแจ๊ดและหมวกปีก ชุดนักบินสีแดงแจ๊ดเช่นกัน และชุดสูทขาวกับแว่นเรย์แบนด์ (ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ใส่สูทแดง...อาจจะล่อกระทิงมากเกินไป)

แต่ในการ์ตูนล้อ 4 ช่องจบเรื่องนี้ ชาร์กลับกลายเป็นคนที่คลั่งสีแดงอย่างรุนแรง แม้จะฉลาดเฉลียวและมีความเป็นผู้นำสูงแต่การบัญชาการของเขานั้นออกจะเรียกว่าหลุดโลกจนแทบจะหยุดขำไม่ได้ ชาร์ฉบับล้อเลียนนี้ดูจะแพ้ทางผู้หญิง (ผิดกับเรื่องจริงที่ผู้หญิงแพ้ทางเขาเสียมาก) จึงได้ดูเป็นเบี้ยล่างของทั้งลาล่าและกีชิเรียอยู่บ่อยๆ

สำหรับท่านที่เคยดูภาคจริงมาแล้วคงนึกออกว่าเนื้อเรื่องในการ์ตูนล้อเหล่านี้ปรากฏอยู่จริงในเรื่องค่ะ อย่างน้อยก็ในช่องแรก แต่พอช่องที่ 2 ถึง 4 ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้! ขำจนหายใจหายคอไม่ออกเลยค่ะ

แม้คนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับกันดั้มภาคนี้ (อย่างฉันเป็นต้นเพราะอ่านแค่จาก The Origin ซึ่งรู้เรื่องไม่ครบถ้วนทั้งหมด) แต่ก็ยังหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งได้แน่นอน เพียงแต่อย่างน้อยต้องรู้สักนิดว่าชาร์นั้นแท้จริงเป็นคนอย่างไร มาเจอช้าชาร์คนนี้เข้าไปรับรองหัวเราะจนน้ำตาเล็ดค่ะ

สำหรับประโยชน์ของกันด๊าม กันดั้มนอกเหนือจากความสนุกแล้วก็คงเป็นการมองโลกในมุมตีลังกา 180 องศาค่ะ ตอนดูกันดั้มภาคจริงนั้นเราแทบไม่รู้สึกถึงความตลกหรือจุดเล็กจุดน้อยที่น่าจะนำมาตีความต่อได้เลย การ์ตูนล้อทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูภาคจริงอีกรอบสงสัยได้หัวเราะกันไม่หยุดแน่

น่าจะเป็นไอเดียดีๆสำหรับการสร้างของที่ระลึกอีกแบบหนึ่งนะคะ เปิดโอกาสให้สร้างมุมมองที่แตกต่าง และเสพมุมมองที่แตกต่างเช่นกัน

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun01180250&day=2007/02/18§ionid=0120



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:59:09 น.
Counter : 1357 Pageviews.

0 comment
"อิคิงามิ" บางทีมนุษย์ก็ต้องเสียสละบ้าง
อิคิงามิ 2 บางทีมนุษย์ก็ต้องเสียสละบ้าง

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



เมื่อวานนี้นั่งตรวจผู้ป่วยอยู่ตามปกติค่ะ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆ ผู้ป่วยก็ลุกขึ้นมาอาละวาดตะโกน ญาติที่พามาก็ตัวเล็กๆ ไม่สามารถห้ามผู้ป่วยได้ ความที่ได้รับการสอนมาว่าต้องระมัดระวังตัวเสมอจึงหลบออกทางหลังห้องตรวจอย่างรวดเร็วค่ะ แต่ผู้ป่วยก็ตรงดิ่งเข้ามาจนขนาดเราถอยหนีไปจะสุดกำแพงก็ยังตามมา!

วินาทีสั้นๆ ตอนนั้นคิดแล้วค่ะว่าต้องโดนซักหมัดแน่ๆ หลบอย่างไรก็ไม่พ้น เสียดายชีวิตจริงๆ อุตส่าห์เป็นจิตแพทย์มาหลายปี ระวังตัวเสมอและคิดว่าน่าจะได้เป็นหมออีกนาน ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่เลย...แต่สงสัยต้องมาตายวันนี้เสียแล้ว (คิดไปถึงขนาดนั้น สถานการณ์จริงไม่ได้น่ากลัวขนาดนี้หรอกค่ะ)

ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่วินาทีสั้นๆ หลายสิ่งหลายอย่างประดังเข้ามาพร้อมๆ กันเลยค่ะ และคิดว่าถ้าเรามีเวลาอีกซักนิดก่อนตายคงจะทำอะไรได้เยอะ

เช่นเดียวกับ "อิคิงามิ" การ์ตูนที่กระแทกหัวใจหลายๆ คน และกำลังจะสร้างเป็นภาพยนตร์ในญี่ปุ่น ว่าด้วยประเทศญี่ปุ่นในยุคที่ผู้คนขาดความกระตือรือร้น รัฐบาลจึงบังคับให้เด็กทุกคนฉีดวัคซีน ซึ่ง 1 ใน 1,000 เข็มจะมีระเบิดซ่อนอยู่และถูกตั้งเวลาไว้แล้วว่าจะระเบิดตอนไหน เพื่อให้เด็กทุกคนพยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เนื่องจากไม่รู้ว่าเราจะแจ๊คพ็อตเป็นคนโดนระเบิดหรือเปล่า ดังนั้น 24 ชั่วโมงก่อนระเบิดทำงานซึ่งหมายถึงว่าคนคนนั้นต้องตาย เขาจะได้รับ "อิคิงามิ" หรือจดหมายแจ้งเพื่อให้ทำสิ่งที่ปรารถนาในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต

"ทาเคบะ โชจิ" เด็กหนุ่มที่ไม่เคยมีความภูมิใจใดๆ เลยในชีวิตได้รับอิคิงามิค่ะ ตั้งแต่ยังเล็ก เขาเป็นเด็กหัวไม่ดี ทำอะไรก็ไม่เอาไหน แม้ปัจจุบันทำงานเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราก็ยังทำงานผิดพลาด มีเพียงคุณย่าของเขาที่บอกว่า "ถึงหลานจะเรียนไม่เก่งก็ยังมีข้อดีอีกมากนะ" คำพูดนี้ทำให้เขายังมีความภูมิใจในความธรรมดาของตัวเองเหลืออยู่บ้าง

หลังได้รับอิคิงามิ โชจิทำใจไม่ได้ เขาต้องเข้ารับการบำบัดและตั้งสติได้ในที่สุดว่าสิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่เหลือไม่ใช่นั่งเสียใจ แต่ต้องทิ้งอะไรไว้ให้คนที่มีชีวิตอยู่ระลึกถึงตัวเขาบ้าง และสิ่งนั้นจะทำให้ความตายของเขาเปลี่ยนเป็นการมีชีวิตในหัวใจผู้อื่นนิรันดร์

เมื่อโชจิตั้งสติได้แล้วจึงไปล่ำลาเพื่อนร่วมงาน เขาได้พบคุณยายที่ดูแลอยู่ คุณยายท่านนี้ไม่ยอมเดินเพราะเป็นโรคสมองเสื่อมจนความทรงจำย้อนกลับไปสมัยยังสาวๆ ที่สามีต้องไปออกรบและเสียชีวิตในสงคราม คุณยายเสียใจมากที่สามีทิ้งเธอไปรบ โกรธประเทศชาติที่พรากครอบครัวอันเป็นที่รัก จึงกลายเป็นไม่ยอมเดินเพราะจำได้ว่าตอนที่ขาเจ็บ สามีจะช่วยประคอง หากเธอไม่เดินเองสามีก็คงไม่ไปรบและกลับมาจากสงครามเพื่อช่วยประคองเช่นกัน

หลังจากโชจิล่ำลาทุกคนไม่นาน คุณยายก็หนีออกจากบ้านพักและล้มลงในนาข้าว ไม่ยอมลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองอีกเลย ครั้งนี้โชจิไม่เข้าไปช่วย เขายื่นอิคิงามิให้ดูเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่สามียื่นใบเกณฑ์ทหารให้ดู

"เพื่อชาติน่ะ หัดอดทนซะบ้างสิ!"

ใช่ว่าสามีของคุณยายจะไม่รักครอบครัวจึงทอดทิ้งไปสนามรบ แต่เพราะรักจึงต้องยอมไปเป็นกำลังต่อสู้ร่วมกับเพื่อนร่วมชาติอีกหลายคนแม้จะรู้ว่าคงไม่รอดกลับมาก็ตาม เขาเสียสละเพื่อชาติได้แม้ชีวิต ดังนั้น คุณยายก็ต้องเสียสละลุกขึ้นยืนด้วยตนเองและปกป้องครอบครัวที่เหลืออยู่ให้ได้เช่นกัน

ภารกิจตายตามอิคิงามิของโชจิก็ถือเป็นการช่วยชาติทางหนึ่ง (ในการ์ตูนนะคะ เขาเปรียบเทียบ อย่าไปอินมาก) ต่างกันแค่ยุคสมัยแต่ยังคงความหมายของการเสียสละเพื่อชาติไม่เปลี่ยนแปลง ในที่สุดโชจิก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางครอบครัวและคุณยายก็ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองเพราะโชจิ เขาได้ทำสิ่งเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเท่าที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้แล้ว ไม่ได้ตีอกชกตัวเรียกร้องให้ประเทศชาติทำอะไรเพื่อเขาบ้าง เขาคิดแค่ว่าได้ทำดีที่สุดเพื่อคนอื่นเท่าที่กำลังและเวลาของตนจะมีก็พอแล้ว

ย้อนกลับมาที่จิตแพทย์ผู้รอดพ้นจากการโดนชกและมานั่งเขียนคอลัมน์ต่อได้ค่ะ ในระหว่างที่ยังตื่นกลัวจนแทบอยากเลิกอาชีพนี้ พออ่านอิคิงามิจบถึงกับร้องไห้เลยค่ะ

"บางทีมนุษย์ก็ต้องเสียสละบ้าง" คือคำที่ผุดขึ้นมา เราร่ำเรียนด้วยทุนรัฐบาลซึ่งมาจากภาษีของประชาชนเพื่อเป็นจิตแพทย์ เราไม่ทำแล้วใครจะทำ ไม่ตอบแทนประชาชนแล้วจะตอบแทนใคร...สติถึงกลับมาอีกครั้ง ตอบตัวเองได้ว่าจิตแพทย์ไม่ใช่อาชีพเสี่ยงตาย เพราะได้มีการเตรียมพร้อมรับมืออย่างดีเราถึงรอดมาได้ไม่ใช่หรอกเหรอ จะว่าไปกระทั่งคนนั่งมอเตอร์ไซค์ก็เสี่ยงตายแต่เขาก็ระมัดระวังเตรียมพร้อมถึงยังยอมขี่ต่อไปนี่นา

ต้องขอบคุณอิคิงามิและโชจิที่ทำให้รู้สึกรักและภูมิใจในอาชีพของตัวเองมากขึ้นค่ะ

ได้มองเห็นว่าแท้จริงแล้วไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่ต้องเสียสละ อย่างน้อยระหว่างที่ยังมีชีวิต เราก็ควรตอบแทนผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่กำลังของตัวเองจะสนับสนุนได้ แบบนี้จึงจะพูดได้เต็มปากว่าไม่เสียทีที่เกิดมาชาตินี้

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun04150651&day=2008-06-15§ionid=0120



Create Date : 15 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:59:03 น.
Counter : 1024 Pageviews.

1 comment
Sayonara Zetsubo Sensei ลาก่อนคุณครูผู้สิ้นหวัง
Sayonara Zetsubo Sensei ลาก่อนคุณครูผู้สิ้นหวัง

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวละออง



เชื่อไหมคะว่าในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้ ความสุขหรือทุกข์ของคนก็ยังไม่อาจวัดได้จากเงินในกระเป๋าสตางค์แต่วัดได้จาก "มุมมอง" ของแต่ละคนเองมากกว่า ถ้าไม่เชื่อต้องลองอ่านการ์ตูนที่แสนสิ้นหวังเรื่องนี้ดูค่ะ แล้วเราจะพบว่า "มุมมอง" มีอานุภาพมากเหลือเกิน

Sayonara Zetsubo Sensei หรือ "ซาโยนาระคุณครูผู้สิ้นหวัง" เป็นผลงานของ อ.คุเมตะ โคจิ ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์เป็นรูปเล่มได้ไม่นานนี้ แต่หลายท่านอาจจะเคยผ่านตาในรูปแอนิเมชั่นที่ใช้เทคนิคสวยงามและสอดแทรกคำคมไว้เยอะไปหมด

พระเอกของเรื่องคือ "อิโตชิกิ โนโซมุ" คุณครูมัธยมผู้มองโลกในแง่ร้ายที่สุดเท่าที่สมองจะคิดได้ เขามองว่าทุกอย่างในโลกล้วนสิ้นหวัง ไม่มีอะไรมีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ดังนั้น เมื่อต้นเรื่อง เขาจึงกำลังผูกคอตายใต้ต้นซากุระพอดี แต่โชคช่วยเมื่อเด็กสาวผู้มองโลกในแง่ดีสุดขีด "ฟูระ คาฟุคุ" ผ่านมาเห็นเข้า เธอวิ่งเข้าไปกอดขาจนโนโซมุถูกเชือกรั้งคอเกือบตาย เขาจึงต่อว่าเธอไปว่า "เกิดฉันตายขึ้นมาจำทำยังไง!" (อ้าว)

คาฟุคุบอกว่า ไม่มีใครฆ่าตัวตายในวันที่อากาศดีและซากุระบานสะพรั่งอย่างนี้ได้หรอก (แม้จะเห็นโนโซมุเอาคอพาดเชือกเตรียมแขวนก็ตาม) ดวงตาที่มองเห็นโลกเป็นสีชมพูของเธอบอกว่าโนโซมุไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย

"แต่กำลังยืดส่วนสูงอยู่ใช่ไหมคะ พ่อของหนูก็เคยยืดส่วนสูงอยู่เหมือนกัน"

เธอยิ้มด้วยใบหน้าที่แสนบริสุทธิ์ แต่เราคนอ่านทราบดีว่าพ่อของเธอก็ผูกคอตายเช่นกัน กลับมาวิเคราะห์ว่าทำไมอ่านถึงตรงนี้แล้วอ้าปากค้าง คำตอบคือการที่เธอยังยิ้มแย้มและเห็นโลกเป็นสีชมพูได้อยู่แม้ว่าคุณพ่อจะฆ่าตัวตาย เพราะเธอพยายามมองทุกอย่างในแง่บวก มองอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้วันต่อๆ มาของชีวิตคนเป็นไม่สิ้นสุดแบบชีวิตคนตาย

เคยมีคนถามเหมือนกันค่ะว่ามองแบบนี้ก็เหมือนหนีความจริงสิ พูดแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ แต่เรานิยมเรียกว่า "ถอยมาตั้งหลัก" มากกว่า คือทิ้งความจริงส่วนที่ปวดร้าวไว้สักพักแล้วทำใจให้เข้มแข็งเสียก่อน เมื่อรู้สึกว่าใจพร้อมจึงค่อยหยิบความเศร้ามาปัดฝุ่นและพิจารณาอีกรอบ ถ้าถามว่าหยิบมาอีกทำไม เพราะอะไรไม่แกล้งทำเป็นลืมๆ ไปเสีย คำตอบคือเราต้องหยิบมาเพื่อป้องกันและเตรียมรับมือหากความเศร้านี้เกิดขึ้นอีกในอนาคตค่ะ

ในตอนที่สองของการ์ตูนเล่มนี้เป็นตอนที่ชอบที่สุดเลยค่ะ เมื่อโนโซมุเป็นคุณครูคนใหม่ประจำห้องของคาฟุคุ เขาแจกกระดาษให้นักเรียนเขียนความหวังในอนาคตของตัวเอง บางคนก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยชั้นเลิศ บางคนก็อยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ แต่โนโซมุบอกว่าทุกคนล้วน "สิ้นหวัง" เพราะแม้จะหวัง แต่คิดหรือว่าจะมีปัญญาทำได้ (เล่นเอานักเรียนจุกกันหมด) ดังนั้น เขาจึงให้ทุกคนเปลี่ยนจากการเขียนความหวังเป็น "ความสิ้นหวัง" เสียแทน ส่งผลให้ทุกคนลงมือเขียนทุกอย่างที่อยากเป็นแต่ไม่รู้ทำได้หรือเปล่า เช่น เป็นนายกฯ เป็นดารา ฯลฯ ล้วนเป็นความหวังสูงสุดที่ทุกคนพยายามหนีความจริงว่าตนเองไม่สามารถเป็นได้และลืมๆ ไปเสีย

คาฟุคุยกมือคัดค้านค่ะ เธอบอกว่า "ไม่มีอะไรที่สิ้นหวังหรอก ถ้าทุกคนพยายาม ความหวังก็ย่อมสัมฤทธิ์ผล" กระทั่งเป็นนายกฯ เธอก็บอกว่ายังมีหวัง แต่หากบอกว่าสิ่งที่สิ้นหวังจนเป็นไม่ได้จริงๆ ก็คงเป็นพระเจ้าไม่ก็มนุษย์ต่างดาวล่ะมั้ง

สิ่งที่คนสิ้นหวังอย่างโนโซมุทำกลับกลายเป็นการสนับสนุนให้ทุกคนหันหน้าเข้าสู้กับความหวังและความสิ้นหวังเสียแทนค่ะ หลายคนหลีกเลี่ยงความคาดหวังที่สูงเกินไปเพราะกลัวว่าผิดหวังแล้วจะเจ็บปวด แต่ในบางโอกาส การกล้าเผชิญหน้ากับความผิดหวังก็ทำให้เราบินสูงกว่าที่คาดได้มากเลยนะคะ

Sayonara Zetsubo Sensei จึงไม่ใช่การ์ตูนที่สิ้นหวัง แต่เป็นการ์ตูนที่ให้มุมมองใหม่ๆ ทั้งสิ้นหวังและสมหวังอย่างสุดขีดเลยค่ะ ในความตลกโปกฮาต้องยอมรับว่าช่วยบริหารสมองให้รู้จักคิดนอกกรอบอยู่โขเลย ลองสำรวจตัวเองตอนอ่านได้นะคะ ถ้าเราคิดว่า "จะบ้าเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไง" แปลว่ามุมมองของเรายังแคบอยู่ค่ะ

แต่ถ้าอ่านแล้วคิดว่า "เออนะ...มันคิดอย่างนี้ก็ได้เหมือนกันนี่" เรากำลังจะกลายเป็นคนที่คิดนอกกรอบได้อย่างอัจฉริยะแล้วค่ะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun02010651&day=2008-06-01§ionid=0120



Create Date : 15 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:58:56 น.
Counter : 1202 Pageviews.

0 comment
Diamond Life พ่อรวยสอนลูกฉบับการ์ตูนตาหวาน
Diamond Life พ่อรวยสอนลูกฉบับการ์ตูนตาหวาน

คอลัมน์ มหัศจรร์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



เป็นการ์ตูนที่ผิดความคาดหมายไปมากเลยค่ะ หลังจากคาดหวังว่าจะได้อ่านการ์ตูนเบาๆ ไม่มีสาระ ทำนองซินเดอเรลล่านางเอกยาจกเจอพระเอกผู้ร่ำรวยแล้วแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพื่อให้สมองได้พักผ่อนบ้าง ที่ไหนได้ "ไดมอนด์ ไลฟ์" ทำเอานอนเกือบตีหนึ่งเลยค่ะ

ไดมอนด์ ไลฟ์ เล่าเรื่อง "คานาเอะ" สาวน้อยวัย 22 ปีที่เรียนไม่จบ ม.ปลาย เนื่องจากปัญหาด้านการเงิน พ่อติดการพนันและไม่ยอมทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนแม่เมื่อทนพฤติกรรมของพ่อไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้าน ส่งผลให้คานาเอะต้องลาออกจากโรงเรียนมาทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดเพื่อหาเลี้ยงพ่อที่มักจะแอบขโมยเงินค่าใช้จ่ายในบ้านไปเล่นการพนันเสมอ

วันโชคร้ายที่สุดก็มาถึง เมื่อคานาเอะถูกขโมยเงินสำหรับจ่ายค่าเช่าบ้านไปหมด ตอนนั้นพระเอกผู้ใจบุญ "ฮารุกิ" ผ่านมาเจอและควักเงินสองแสนเยนให้เธอฟรีๆ เพราะว่าเขาคือประธานบริษัทไฟแรงวัย 26 ปี เจ้าของบริษัทที่คานาเอะไปเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่นั่นเอง

ในช่วงแรกเนื้อเรื่องน้ำเน่าได้ถูกใจมากค่ะ อ่านแล้วก็เดาได้ว่าเดี๋ยวเถอะ มันต้องมีเรื่องให้ทะเลาะกันวันละนิด จีบกันวันล่ะหน่อย งอนเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็เป็นแฟนกัน ท้ายเล่มจบชัวร์ แต่ อ.ฟุจิวาระ อากิระ ผู้วาดเรื่องนี้กลับมีกึ๋นกว่าที่คาดไว้มากค่ะ จากการ์ตูนน้ำเน่าสไตล์หนังไทยเรียกพี่ เธอพลิกให้กลายเป็นการ์ตูนที่ให้แรงบันดาลใจกับคนในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ได้อย่างฉลาด

ทุกอย่างพลิกผันเมื่อคานาเอะได้ไปเป็นพนักงานทำความสะอาดที่บ้านของฮารุกิด้วยความบังเอิญ ความอัจฉริยะในการทำความสะอาดของคานาเอะเริ่มเข้าตาฮารุกิในที่สุด เขาคิดในใจว่า คานาเอะน่าจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าได้ แต่ผู้ชายที่ร่ำรวยจากการทำนาบนหลังคนอย่างเขาก็ยังไม่เชื่อใจคานาเอะอยู่ดี บทพิสูจน์บทแรกทำให้เขาได้รับบทเรียนอันยิ่งใหญ่เลยค่ะ

คานาเอะเล่าให้ฮารุกิฟังว่า เธอต้องการใช้เงินเป็นค่ารักษาพ่อ เธอจึงใช้เงินจากบัตรเครดิตหลายๆ ใบ และค่อยๆ ผ่อนจ่ายแบบลูกโซ่ (คือกู้ใบใหม่โปะใบเก่าไปทีละนิดแล้วค่อยๆ ปิดหนี้ไปทีละใบ) ซึ่งด้วยความรู้ขนาดเธอก็คิดว่าจัดการได้ง่ายกว่าบริษัทเงินกู้ เธอขอคำแนะนำจากฮารุกิในฐานะประธานบริษัท และคำแนะนำที่ได้คือ

"กู้มาเยอะๆ แล้วชักดาบซะเลย"

อ่านแล้วอ้าปากค้างค่ะ!

เฮ้ย! การ์ตูนเด็กนะ! สอนอย่างนี้ได้ยังไง!

ฮารุกิยังยกแม่น้ำอีกร่วมร้อยสายพร้อมทั้งเสนอว่า ถ้าคานาเอะอยากเบี้ยวเงินเจ้าหนี้ เขาจะช่วยบอกวิธีให้เอง ฟังแล้วหากยอมทนหน้าด้านหน่อยก็ไม่มีปัญหา ขนาดตัวเองอ่านยังเผลอมีใจให้วิชามารชักดาบของฮารุกิเลยค่ะ แต่ในที่สุด คานาเอะก็ตอบว่า

"สิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่ตอนนี้คือศักดิ์ศรี ถ้ากู้เขามาแล้วก็ต้องใช้คืนให้ได้ กรุณาอย่าเอาสิ่งสุดท้ายที่ฉันมีอยู่ไปเลย"

อ้าปากค้างต่อค่ะ!

นางเอกเท่เป็นบ้า! แม้เธอจะจนและทำงานหนัก แต่เธอก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ทำเรื่องชั่วๆ ที่อาจทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนและตราหน้าเธอว่าเป็นพวกขี้โกง ฮารุกิถึงค่อยมาเฉลยตอนท้ายว่า หากคานาเอะยอมชักดาบเจ้าหนี้ตามที่เขาแนะนำ สุดท้ายตัวคานาเอะเองน่ะแหละที่จะรับผลกรรมทั้งหมด เธอจะไม่มีใครไว้ใจและยอมช่วยเหลืออีกต่อไป รวมถึงตัวเขาด้วย

ความซื่อสัตย์ของคานาเอะส่งผลให้เธอได้รับความไว้วางใจมากขึ้น และใกล้ชิดฮารุกิทีละน้อย เรื่องหลังจากนั้นออกจะหวานแหววเพื่อให้น่าอ่านรู้สึก "คล่องคอ" มากขึ้น แต่คุณธรรมที่สอดแทรกในเนื้อเรื่องชวนให้ประทับใจจริงๆ ค่ะ ดีไม่ดีพ่อรวยสอนลูกเสร็จแล้ว ลูกจนนี่ล่ะค่ะที่จะช่วยสอนให้พ่อเห็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตด้วย

ไดมอนด์ ไลฟ์ จึงช่วยยืนยันว่า คนรวยก็ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมเสมอไป และคนจนก็ยังอยู่ได้แม้ต้องอดมื้อกินมื้อ เพราะถึงศักดิ์ศรีไม่ช่วยให้อิ่มท้อง แต่อิ่มใจนะเออ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun03250551&day=2008-05-25§ionid=0120



Create Date : 15 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:58:50 น.
Counter : 1121 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend