Vinland Saga ไวกิ้งเจ้าทะเล
คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง
ไม่บ่อยนักค่ะที่จะมีการ์ตูนเกี่ยวกับตำนานนักรบในแถบยุโรปทางเหนือที่เราคุ้น
เคยในชื่อ "ไวกิ้ง" ออกมาวางแผง
เขาคือชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและสู้รบทางทะเลแบบกอง
โจรด้วยเรือที่มีหัวเรือคล้ายมังกร
ความเก่งและโหดของไวกิ้งทำให้เหล่าอัศวินบนหลังม้ายุคนั้นทั้งแค้นและหวาด
กลัวเลยล่ะค่ะ
เล่มแรกเปิดเรื่องท่ามกลางไฟสงครามระหว่างชาวแฟรงค์
สองกลุ่มที่ต่อสู้กันเพื่อยึดสมบัติในป้อมปราการ
ฝ่ายบุกมีกองกำลังมหาศาลแต่ก็ไม่สามารถทลายป้อมที่ล้อมด้วยทะเลสาบได้
ส่วนฝ่ายรับแม้มีกำลังแค่หยิบมือแต่ยังสามารถต้านกองกำลังภาคพื้นดินไว้ได้
สบายเพราะอยู่ในชัยภูมิได้เปรียบ หลังจากงัดข้อกันอยู่นานจนล้มตายไปโข
กองกำลังไวกิ้งร้อยคนซึ่งนำโดย "อาเชรัด" ก็ตามกลิ่นเงินเข้ามาอย่างเงียบๆ
และเห็นว่าทางเดียวที่จะตีป้อมแตกได้คือการบุกทางน้ำ
เด็กหนุ่มตัว
เอกของเราได้ออกโรงงวดนี้ล่ะค่ะ "ทอลฟีน"
ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจากับฝ่ายบุกที่ตีป้อมไม่แตกเสียทีโดยงานของเขาคือ
เจรจาให้แม่ทัพชาวแฟรงค์จ้างไวกิ้งตีป้อม
ภารกิจของทอลฟีนสำเร็จด้วยดีแต่เขายังต้องการอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า
เขาต้องการหัวแม่ทัพศัตรูเพื่อขอรางวัลจากอาเชรัดโดยรางวัลไม่ใช่เงินทอง
แต่เป็นการสู้กับอาเชรัดเพื่อล้างแค้นแทนพ่อของเขาซึ่งถูกอาเชรัดฆ่าตายนั่น
เอง
แค่ความสัมพันธ์ต้นเรื่องก็ซับซ้อนแล้วค่ะ
ในยุคที่ไม่มีบ้านเด็กกำพร้าแบบนี้
ลูกของเชลยที่ถูกฆ่าก็ต้องโดนจับไปเป็นทาส
แต่กรณีของทอลฟีนดีกว่านั้นหน่อยเพราะเขามีฝีมือจึงได้รับอนุญาตให้เป็น
หนึ่งในนักรบบนเรือไวกิ้งได้
และความซื่อตรงมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นให้พ่ออย่างขาวสะอาดทำให้อาเชรัดผู้นำ
ทัพไวกิ้งไว้วางใจว่าจะไม่โดนแทงระหว่างหลับ
เสน่ห์ของทอลฟีนอยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ แม้เขาจะมีอุดมการณ์เรื่องล้างแค้นให้พ่อ
แต่เขาก็ไม่ลืมหน้าที่ในการทำงานใต้อาณัติของอาเชรัดให้สมกับที่ได้รับการ
ดูแลมาตลอด เรียกว่ารู้จักแยกแยะค่ะ อย่างไรก็ตาม
การ์ตูนสงครามที่ทำให้อดรีนาลีนสูบฉีดดำเนินไปได้เพียงครึ่งเล่ม
อ.ยูคิมุระ
มาโคโตะก็เล่าย้อนไปถึงทอลฟีนวัยเด็กสมัยยังใช้ชีวิตอยู่กับพ่อและพี่สาวใน
หมู่บ้านเล็กๆ บนไอซ์แลนด์ห่างไกลผู้คน เห็นว่าเล่ายาวไป 7 เล่ม
เหตุการณ์ก็ยังไม่มาบรรจบกับตอนต้นเรื่องเลยค่ะ
Vinland Saga
เขียนโดยยูคิมุระ มาโคโตะ
นักเขียนการ์ตูนซึ่งเคยได้รับรางวัลเซย์อุนซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผลงานแนวไซ
ไฟสาขาการ์ตูนยอดเยี่ยมจากเรื่อง Planetes เมื่อปี 2002
มีตีพิมพ์ในไทยแล้วค่ะว่าด้วยเรื่องนักเก็บขยะอวกาศ 4 เล่มจบ ส่วน Vinland
Saga เองแค่ 5 เล่มแรกก็มียอดจำหน่ายสูงถึง 1.2
ล้านเล่มและตอนนี้ยังเข้าชิงไทโชอวอร์ดประจำปี 2008 ด้วย
เรียกว่ารับทั้งเงินและกล่อง
ต้องยอมรับว่าการ์ตูนเรื่องนี้วาด
ภาพอยู่ในเกณฑ์ "สวยมาก"
ชุดและข้าวของในเรื่องรวมถึงโครงเรื่องมีความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ของ
ยุโรปเหนือ ดังนั้นอ่านแล้วนอกจากอินไปกับความสมจริง
ยังอินกับเนื้อเรื่องสไตล์ อ.ยูคิมุระซึ่งวาดมาเนิบๆ
แต่บทจะกินใจก็ทำเอาเราต่อมน้ำตาแตกเลยทีเดียว
แต่แม้จะทั้งสนุกน่าติดตามแค่ไหน
การ์ตูนเรื่องนี้ก็เหมาะกับผู้ใหญ่สักหน่อยนะคะ
อ่านแล้วจะฮึกเหิมอยากทำงานเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของเราเลย
ค่ะ!
ส่วนเด็กๆ วัยก่อนมหาวิทยาลัยเรื่องนี้ควรปล่อยผ่านนะคะ
ฉากสงครามและความโหดร้ายของมนุษย์อาจทำให้จิตใจห่อเหี่ยวได้
คนอ่านที่มีวุฒิภาวะจึงจะแยกแยะได้ค่ะว่ายุคไวกิ้งกับปัจจุบันมีค่านิยมต่าง
กันและพระเอกไม่ได้ทำถูกต้องเสมอไป แต่แม้จะจำกัดอายุผู้อ่านขนาดนี้
ยอดขายในญี่ปุ่นเป็นเครื่องยืนยันว่าคนที่มีวุฒิภาวะในประเทศเขาหลายคนก็ยัง
คงอ่านการ์ตูนอยู่
ถ้าสร้างนิสัยรักการอ่านได้ อ่านอะไรก็ดีทั้งนั้นล่ะค่ะ
https://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun04170552§ionid=0120&day=2009-05-17
Umimachi Diary ความทรงจำบนแผ่นกระดาษ
คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง
เคยอ่านหนังสือคำคมเล่มไหนสักเล่มกล่าวถึงบริษัทขายฟิล์มถ่ายภาพยี่ห้อหนึ่งว่า
เขาไม่ได้ขาย "ฟิล์ม" แต่เขาขาย "ความทรงจำ" ค่ะ
ดังนั้นคนเราไม่ได้ถ่ายภาพเพราะแค่อยากได้ภาพถ่ายเท่านั้น
แต่ทุกครั้งที่ย้อนกลับมาดูแผ่นกระดาษเก่าๆ
ที่เคยมีเราและคนรอบข้างทำอะไรประหลาดๆ สักอย่างในภาพถ่าย
ความทรงจำทั้งสุขและเศร้าก็จะหลั่งไหลออกมาได้ราวกับเปิดอ่านไดอารี่
นั่นคงเป็นสิ่งที่ Umimachi Diary "วันที่เสียงจักจั่นซา"
ต้องการนำเสนอให้ผู้อ่านรับรู้ผ่านหน้าหนังสือการ์ตูนที่ได้รับรางวัล
Excelent Prize ประจำปี 2007 ของ Japan Media Arts Festival ครั้งที่ 11
เรื่องนี้
"วันที่เสียงจักจั่นซา"
คือเรื่องเล่าของครอบครัวโคดะซึ่งประกอบด้วยสามสาวพี่น้องวัยทำงาน
อยู่มาวันหนึ่งทั้งสามคนทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณพ่อที่แยกไปมีครอบครัว
ใหม่และไม่ได้เจอกันมา 15 ปี
สามสาวจึงวางแผนจะไปงานศพด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดในฐานะลูก
นั่นเพราะพวกเธอไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจ จะว่าไปก็ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ
เพราะสำหรับพวกเธอแล้ว
พ่อก็เหมือนคนแปลกหน้าที่แทบไม่มีความทรงจำร่วมกันมาก่อน
"โยชิโนะ"
กับ "ชิกะ" น้องสาวตัดสินใจเดินทางล่วงหน้าไปร่วมเคารพศพ เพราะ "ซาจิ"
พี่สาวคนโตเป็นพยาบาลและติดอยู่เวรกลางคืนจึงอาจไปร่วมงานไม่ได้
สองสาวได้พบกับ "ซึสึ"
เด็กสาวมัธยมต้นที่มีใบหน้านิ่งเรียบเหมือนผู้ใหญ่กว่าวัย
ซึสึเป็นลูกติดของภรรยาคนที่สองของพ่อ
แต่ภายหลังเมื่อคุณแม่ของซึสึเสียชีวิต
พ่อจึงแต่งงานใหม่กับหม้ายลูกสามอีกครั้ง
ผลคือซึสึต้องเลี้ยงน้องที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อยและอยู่
กับพ่อที่ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเธอเช่นกัน
ความห่างเหินทางสายเลือดทำให้เธอพยายามเก็บความรู้สึกและทำตัวเป็นประโยชน์
กับคนรอบข้างให้มากที่สุด สามพี่น้องคงเป็นคนแรกๆ
ที่มีโอกาสได้เห็นซึสึร้องไห้ในงานศพของพ่อเพราะเธอเข้มแข็งเสียจนทุกคนลืม
ไปว่าเธอก็เป็นแค่เด็กสาวที่เพิ่งสูญเสียพ่อไปเท่านั้น
สามพี่น้อง
สารภาพว่าพวกเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับการจากไปของพ่อเลย เพราะตอนที่พ่อจากไป
พวกเธอยังเด็กมาก ดังนั้น
งานศพครั้งนี้จึงเหมือนงานศพของคนไม่รู้จักเสียมากกว่า
จนกระทั่งเมื่อซึสึมอบซองกระดาษหนาซองหนึ่งให้
ทั้งสามคนก็รู้สึกเหมือนบางอย่างกำลังหลั่งไหลออกมาจากความทรงจำ
ซอง
นั้นบรรจุภาพถ่ายวัยเด็กของทั้งสามคนไว้นั่นเองค่ะ
ในภาพอัดแน่นด้วยความทรงจำร่วมกันระหว่างพวกเธอกับพ่อ
กระทั่งรายละเอียดเล็กน้อยที่ตอนเด็กไม่เข้าใจก็สามารถเข้าใจได้ในตอนนี้ว่า
แท้จริงสิ่งที่พ่อทำล้วนก่อขึ้นจากความเป็นห่วงและรักใคร่
ความทรงจำจากภาพสีจางบนกระดาษเก่าๆ
ทำให้ชายแปลกหน้าในโลงศพกลับกลายเป็นพ่อของพวกเธอขึ้นมาอีกครั้ง
และทำให้พวกเธอลบความโกรธเมื่อวัยเด็กที่ถูกพ่อทอดทิ้งออกไปได้จนหมดสิ้น
นอนอ่านถึงตรงนี้แล้วน้ำตาหยดแหมะเลยค่ะ
ดู
จากเนื้อเรื่องแล้ว "วันที่เสียงจักจั่นซา"
ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการ์ตูนแนวฮิวแมนดราม่าที่ดำเนินเรื่องในเมืองเก่า
อย่างคามาคุระซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณความเป็นญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้
"โยชิดะ อาคิมิ" ผู้วาดได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมไม่ใช่แค่เนื้อหานะคะ
แต่เป็นการนำเสนอเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดของครอบครัว ซึ่งก็คือ
"ความผูกพัน" ให้เริ่มด้วยปมยุ่งเหยิงจากอดีตและจบด้วยการคลายอย่างช้าๆ
นุ่มนวล ไม่มีความโกรธแค้นบ้าคลั่งในเรื่องนี้ค่ะ
ทุกช่องทุกจังหวะเต็มไปด้วยการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ รื่นไหล
แต่เมื่อถึงจุดวิกฤตของครอบครัวกลับถ่ายทอดออกมากระแทกอารมณ์จนน้ำตาร่วง
อย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ
"โยชิดะ อาคิมิ" เกิดในเดือนสิงหาคมปี 1956
หมายถึงเธออายุ 52 ปีแล้วค่ะ!
ขณะที่เธอเป็นนักศึกษาในวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบ
เธอลองส่งผลงานการ์ตูนมือสมัครเล่นไปประกวดและได้รับรางวัลที่สาม
ส่งผลให้เธอหันหน้าเข้าสู่วงการการ์ตูนและได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่ออายุ 21
ปี อ.โยชิดะสร้างผลงานการ์ตูนชั้นดีในช่วงปลายยุค 70 ไว้มากมาย
หลายสำนักกล่าวว่าเธอคือนักเขียนการ์ตูนผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดใน
บรรดานักเขียนการ์ตูนที่เปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกันเนื่องจากผลงานได้รับการ
ตีพิมพ์ในฝั่งตะวันตกและได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม
ผลงานสร้าง
ชื่อของ อ.โยชิดะคือ "Banana Fish" กับ "Yasha"
ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการการ์ตูนผู้หญิง
ฝั่งอเมริกาเหนือ โดยส่วนตัวเคยไปลูบไล้ฉบับภาษาอังกฤษตัวเป็นๆ
ในร้านหนังสือการ์ตูนมือสองที่ลอนดอนค่ะ
ร้านนั้นขายการ์ตูนและหนังสือภาษาญี่ปุ่นมือสอง (แน่นอนว่าอ่านไม่ออก)
แต่มีเรื่องเดียวที่วางครบชุดทั้งที่เป็นการ์ตูนภาษาอังกฤษ เรื่องนั้นคือ
"Banana Fish" นั่นเอง เสียดายที่แพงจับจิตไปหน่อยเลยยังไม่ได้ถอยมาอ่าน
แต่คิดว่าก่อนกลับจากลอนดอนยังไงต้องหาทางซื้อมาอ่านให้ได้เลยค่ะ
อ.
โยชิดะยังเคยได้รับรางวัลการ์ตูนจากโชกักกุคังครั้งที่ 29 และ 47
โดยครั้งหลังได้รับจากเรื่อง Yasha
ซึ่งสำนักพิมพ์ในไทยได้ตีพิมพ์ภาคต่อเนื่องของเรื่องนี้ออกมาชื่อ
"ธิดามังกร" หรือ Yasha Next Generation สารภาพว่าอ่านแล้วเมานิดหน่อย
อาจเป็นเพราะไม่มีพื้นฐานจากเรื่องดั้งเดิมมาก่อนก็ได้
เธอให้
สัมภาษณ์หลังได้รับรางวัลจากเรื่อง "วันที่เสียงจักจั่นซา"
ว่าสิ่งที่ทำให้สร้างผลงานยอดเยี่ยมชิ้นนี้ขึ้นมาได้คือ
"ประสบการณ์อันยาวนาน" ของเธอนั่นเอง
และสิ่งที่คิดว่าโดดเด่นที่สุดในผลงานชิ้นนี้คือความ "จริงใจ"
หมายถึงตัวการ์ตูนทุกตัวดำเนินเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น
ไม่ได้ถูกบิดเบือนด้วยความนิยมของตลาดหรือความสะใจส่วนตัวแต่อย่างใด
เมื่อถูกถามว่าผลงานแบบไหนทรงอิทธิพลกับเธอที่สุด
อ.โยชิดะตอบอย่างมั่นใจว่าเธอได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์อเมริกันทั้งในอดีต
และปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะที่การนำเสนอใน "วันที่เสียงจักจั่นซา"
จะเป็นภาพวาดมุมกล้องสวยๆ
ลายเส้นละเอียดแต่เรียบง่ายเหมือนดูภาพยนตร์ที่วาดฉากหลังอย่างมีความหมาย
และเหลือเฟือ
ไม่อู้งานวาดแต่หน้าตัวละครกับช่องคำพูดแบบการ์ตูนยุคหลังซึ่งเป็นอิทธิพล
ที่ได้รับจากนวนิยายมากกว่าจากภาพยนตร์ค่ะ
อ.โยชิดะตอบคำถามสุดท้ายที่เด็กรุ่นหลังหลายคนอยากรู้ว่าเธอค้นหาความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้มากจากไหน
"ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นเพราะมันเป็นงานของฉัน มันเป็นชีวิตประจำวันของฉันไปแล้ว"
เป็น
คำตอบที่เรียบง่ายแต่ชัดเจนค่ะ
ความสำเร็จของนักเขียนมืออาชีพที่ยังคงสร้างผลงานชั้นดีจนอายุ 52
ปีคนนี้คือเธอมองว่าการคิดสิ่งใหม่ๆ
เป็นงานที่ไม่ใช่รอให้เกิดนิมิตแล้วจึงทำ เธอต้องคิดสิ่งใหม่ๆ
ให้ได้ทุกวันเป็นกิจวัตรเหมือนการซ้อมของนักกีฬา ยิ่งฝึกก็ยิ่งเก่ง
และยิ่งทำต่อเนื่องก็ยิ่งชำนาญ
ดังนั้น อ.โยชิดะกำลังบอกเด็กรุ่นใหม่ว่าไม่มีทางลัดสบายๆ ไปสู่การเป็นนักคิดชั้นดี อยากเก่งก็ต้องฝึกฝนทุกวันเท่านั้นค่ะ
//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun03100552§ionid=0120&day=2009-05-10
//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun04030552§ionid=0120&day=2009-05-03
Free TextEditor
Cat Street และปัญหาฮิคิโคโมริ
คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง
เคย
ได้ยินปัญหาสุขภาพจิตของวัยรุ่นที่เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" (Hikikomori)
ไหมคะ
ชื่อญี่ปุ่นจ๋าขนาดนี้เดาดูก็คงพอทราบค่ะว่าเป็นปัญหาที่พบมากในประเทศ
ญี่ปุ่นและเป็นปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ
เนื่องจากผู้ที่เป็นฮิคิโคโมริเองมีลักษณะสำคัญคือหลีกหนีจากการเข้า
สังคมอย่างรุนแรงเลยค่ะ โดยอาจจะอยู่แต่ในบ้านไม่พบเจอผู้คน
ออกมาซื้ออาหารในร้านสะดวกซื้อตอนกลางดึกเพื่อไม่ต้องเจอใครมาก
ไม่พูดคุยกับใคร ไม่ไปโรงเรียน หลายคนใช้ชีวิตอยู่แบบนี้เป็นสิบปีก็มี
หนึ่งในสาวน้อยที่เป็นฮิคิโคโมริคือ "อาโยยามะ เคโตะ" เด็กสาววัย 16
ที่ไม่ไปโรงเรียนเลยตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
เคโตะเคยเป็นดาราเด็กที่โด่ง
ดังจากคณะละครเพลงแห่งหนึ่ง แม้เธออายุเพียง 9 ขวบ
แต่ก็สามารถแสดงและเต้นได้อย่างน่าทึ่ง
ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและหน้าตาน่ารัก
เคโตะจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและบดบังรัศมีของ "มาโกะ"
ดาราเด็กอีกคนซึ่งต้องแสดงละครเพลงสลับวันกับเธอ
เนื้อเรื่องก็เป็นไปตามพล็อตน้ำเน่าคลาสสิคทั่วไป
เคโตะถูกเพื่อนในชั้นเรียนรังเกียจเพราะเธอได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องเรียน
เต็มวันเนื่องจากมีงานแสดง
ความที่เคโตะเป็นคนพูดน้อยจึงไม่ได้แก้ตัวอะไรออกไป
ได้แต่เก็บความเสียใจไว้และหันไปสนิทกับมาโกะแทนโดยเคโตะสอนการแสดงให้มาโกะ
จนสุดท้ายเมื่อฝีมือการแสดงทัดเทียมกัน
มาโกะจึงหางโผล่และบอกว่าที่จริงรังเกียจเคโตะเต็มทน
"คนที่ไม่มีเพื่อนซักคนอย่างเธอน่าขยะแขยงจะตาย"
คำ
พูดนี้ทำให้เคโตะเสียใจและยืนอยู่กลางเวทีโดยไม่ขยับไปไหนเลยจนกระทั่งต้อง
ยกเลิกการแสดงในวันนั้น และนั่นคือจุดจบของชีวิตการเป็นดาราเด็ก
การไปโรงเรียน และการเข้าสังคมของเคโตะในวัย 9 ขวบ
เราอาจนึกภาพ
"ฮิคิโคโมริ" ว่าต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง กลัวการพบปะผู้คน
แต่เคโตะไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เธอไม่เกลียดตัวเอง ไม่เกลียดคนอื่น
และไม่ได้เกลียดโลกใบนี้เพราะเธอยังคงแต่งตัวสวยออกไปเดินเล่นนอกบ้านได้
เป็นประจำ สิ่งที่เธอกลัวคือ "ความคาดหวัง" ทั้งของตัวเองและจากคนรอบข้าง
เธอกลัวที่จะมีคนจำได้ว่าเธอคือดาราเด็กผู้ล้มเหลวเมื่อ 7 ปีก่อน ดังนั้น
จึงเลือกที่จะเดินหนีทุกคนและไม่คาดหวังว่าตัวเองจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ
จากใครแม้แต่จากคนในครอบครัว
คุณแม่ของเคโตะก็อ่อนแอเกินกว่าจะลุก
ขึ้นมาบีบบังคับลูกสาวให้ไปโรงเรียนจึงทำได้มากที่สุดแค่ทำหน้าที่แม่อย่าง
เต็มที่ ทำอาหารให้
ไม่ดุด่าว่ากล่าวและพยายามเข้าใจความเป็นฮิคิโคโมริของเคโตะโดยที่ไม่รู้เลย
ว่าสิ่งที่ตัวเองทำก็คือการวิ่งหนีปัญหาเช่นเดียวกัน
น้องสาวของเคโตะเองแสดงท่าทีรังเกียจพี่สาวอย่างชัดเจนและพยายามพูดเสียดสี
ต่อว่าทุกครั้งที่เจอหน้า
ดูเหมือนเธอจะเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่หนีปัญหาแต่สุดท้ายเคโตะก็ทราบความจริง
ว่าน้องสาวก็กำลังประสบปัญหาถูกเพื่อนรีดไถเงินอยู่
ทางออกของน้องสาวจึงมีแต่ขอเงินแม่ไปให้เพื่อนเพื่อรักษาสถานะความเป็น
เพื่อนไว้ซึ่งก็เป็นการหนีปัญหาเช่นกัน
ฮิคิโคโมริอย่างเคโตะซึ่ง
ตัดสินใจหันหลังให้กับแรงกดดันภายนอกและสายตาของคนในสังคมดำเนินมาถึงจุด
พลิกผันค่ะ ลองเดาได้ไหมคะว่าเราจะช่วยเหลือคนเป็นฮิคิโคโมริอย่างไรดี
ผลักดันกึ่งๆ
บีบบังคับให้ไปโรงเรียนเพื่อไม่ให้หนีปัญหาต่อไปจนกลายเป็นปัญหาที่เกิน
เยียวยาหรือเปล่า
หรือว่าจะยอมตามใจให้อยู่บ้านเพียงแต่จ้างครูมาสอนที่บ้านเสียแทนเพื่อให้ฮิ
คิโคโมริไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันภายนอกแต่ในทางกลับกันก็ยังได้รับการศึกษา
อย่างเหมาะสมด้วย
"ฮิคิโคโมริ"
ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้ประมาณ 1% ของประชากรในญี่ปุ่นค่ะ
มีลักษณะสำคัญคือทนแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมรอบข้างไม่ไหวจึงตัดสินใจที่จะหนี
จากสังคม ไม่พบเจอใคร ไม่ไปโรงเรียน
หลายคนอยู่แต่ในบ้านหรือในห้องของตัวเองเป็นสิบปี
แน่นอนว่าในจำนวนฮิคิโคโมริเหล่านี้หลายคนอาการแย่ลงและพบว่าเป็นโรคจิตใน
ภายหลัง แต่หลายคนไม่ได้เป็นโรคจิตค่ะ
เพียงแต่ต้องการหนีปัญหาวุ่นวายจากสังคมภายนอก ความที่หนีไปเรื่อยๆ
นานเข้าก็ไม่สามารถกลับสู่สังคมได้เหมือนเดิมเช่นเดียวกับ "เคโตะ"
เด็กสาววัย 16 ปีนางเอกของเรื่องนี้ เธอไม่ไปโรงเรียนเลยตั้งแต่ 9 ขวบ
และไม่คบหาสมาคมกับใคร
มีความรู้แค่จบประถมและสุดท้ายความที่แทบไม่ได้พูดกับคนอื่นเลย
เธอจึงไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางคำพูดออกมาได้ดีเท่าไหร่นัก
การแก้ปัญหาฮิคิโคโมริในความคิดของหลายท่านอาจทำได้โดยบังคับให้ไปโรงเรียนหรือ
ปล่อยให้อยู่บ้านต่อไปเพียงแต่จ้างครูมาสอนที่บ้านแทน แต่ Cat Street
มีทางออกที่ดีกว่านั้นอีกค่ะ
ในเมื่อเด็กที่เป็นฮิคิโคโมริไม่ยอมไปโรงเรียนและไม่ยอมเจอเพื่อน
เป็นไปได้ไหมที่จะมีโรงเรียนที่ไม่บังคับว่าต้องไปนั่งเรียนทุกวัน
ไม่อยากเจอเพื่อนก็ไปนั่งเรียนด้วยตัวเองที่ไหนก็ได้ในโรงเรียน
อย่างน้อยวิธีนี้ก็ทำให้เหล่าฮิคิโคโมริเลิกวิ่งหนีความจริงและหลบซ่อนตัว
แต่สามารถลุกขึ้นเริ่มต้นเผชิญหน้ากับคนรอบข้างโดยเริ่มจากสถานที่ที่เต็มไป
ด้วยคนแบบเดียวกันก่อนค่ะ
สถานที่นั้นคือโรงเรียน "เอล ลิสตัน"
เป็นฟรีสคูลหรือโรงเรียนเปิดซึ่งรวบรวมนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าเรียนใน
โรงเรียนปกติด้วยสาเหตุบางอย่างไว้ด้วยกัน
นักเรียนสามารถเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่นหรือเกิดฮึดอยากเรียนรู้ก็สามารถเข้าไป
นั่งศึกษาด้วยตนเองในห้องสมุดได้
คนที่แนะนำโรงเรียนนี้ให้เคโตะพูดได้น่าฟังค่ะ เขาถามเคโตะว่า "รอบๆ
ตัวเธอตอนนี้มีที่ให้ยืนหรือเปล่าล่ะ"
คำถามนี้แทงใจดำเคโตะอย่างจังจนเธอมองเห็นความไร้ค่าของตัวเอง
จะว่าไปเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการวิ่งหนีความจริงไปเรื่อยๆ
พร้อมกับโทษคนรอบข้างที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้
เธอไม่มีที่ให้หยุดยืนและเลือกก้าวไปทางใดทางหนึ่งจริงๆ เสียด้วย
ได้แต่วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตแห่งเดิมจนรู้ตัวอีกครั้งก็ผ่านมา 7 ปีแล้ว
ใน
ที่สุดเคโตะตัดสินใจทำความรู้จักกับคนในเอล ลิสตัน
และพบว่าฮิคิโคโมริอย่างเธอกลายเป็นคนธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น
เคโตะรู้จักกับเด็กหนุ่มนักฟุตบอลอัจฉริยะที่สุดท้ายก็ต้องออกจากโรงเรียน
เพราะเก่งเกินหน้าเพื่อนจนไม่มีใครคบ เจอเด็กหนุ่มไอคิว 200
ที่เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
หรือสาวน้อยที่แต่งตัวด้วยชุดโกธิคโลลิต้า (ลูกไม้ฟูฟ่องและดัดผมเป็นหลอด)
ตลอดเวลาจนดูประหลาดกว่าคนอื่น เมื่ออยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้
เคโตะจึงหยุดวิ่งหนีและหันกลับมามองตัวเองอีกครั้งว่าชีวิตเธอต้องการอะไร
กันแน่ เอล
ลิสตันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่และการหลุดจากความเป็นฮิคิโคโมริของ
เธอค่ะ
Cat Street เป็นการ์ตูนที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งของคามิโอะ
โยโกะผู้วาด "สาวแกร่งแรงเกินร้อย"
ที่ถูกนำไปสร้างเป็นละครจนโด่งดังทั่วเอเชียมาแล้วนะคะ
เรื่องนี้ก็มีสร้างเป็นละครในญี่ปุ่น 6 ตอนจบ (ทำไมสั้นจัง)
บางทีปัญหาฮิคิโคโมริพบมากในสังคมแบบญี่ปุ่นเนื่องจากเด็กเก่งๆ
กลับถูกจำกัดด้วยค่านิยมที่ต้อง "เหมือนเพื่อน" และสังคมตะวันออกที่ต้อง
"อ่อนน้อมถ่อมตน"
Cat Street
ไม่ได้บอกเราว่าทางออกของปัญหาคือไปเปลี่ยนค่านิยมของคนส่วนใหญ่
แต่กำลังบอกว่าถ้าเราเก่งจริง
เราก็ต้องยืดอกอย่างมั่นใจและกล้าที่จะแตกต่างเพื่อเป็นคนสร้างค่านิยมใหม่
ให้คนเดินตามเราแทนที่เราจะเดินตามคนอื่นต่างหาก
//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun02190452§ionid=0120&day=2009-04-19 //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun04260452§ionid=0120&day=2009-04-26Free TextEditor