Sunset Love Song เพลงพระอาิทิตย์
โดย วินิทรา นวลละออง จากคอลัมน์มหัศจรรย์การ์ตูน ใน นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 19 พ.ค. 2555

แวะเข้าไปดูอนิเมชั่นฝีมือคนไทยเรื่องนี้ได้ที่ : //sunset-love-song.exteen.com/






















Create Date : 20 พฤษภาคม 2555
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:06:42 น.
Counter : 1318 Pageviews.

0 comment
Chi"s Sweet Home
คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง



แมว
เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก น่ารัก และน่าร้ากกกกกจริงๆ ค่ะ!
สำหรับท่านที่คิดว่าแมวเป็นสัตว์หยิ่งผยอง

วันๆ
เอาแต่เชิดไปเชิดมาเดินอ้วนไปอ้วนมาทั้งวันแบบเดียวกับการ์ฟิลด์
ตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วค่ะ

เพราะ "จี้"
แมวน้อยน่ารักตัวล่าสุดจะเข้ามาเขย่าหัวใจเราให้อยากรับแมวมาเลี้ยงกันทั้ง
บ้านทั้งเมืองแล้ว


"จี้" คือลูกแมวน้อยสีขาวลายเทา-ดำ
ซึ่งพลัดหลงจากครอบครัวและเจอหนุ่มน้อย "ยามาดะ โยเฮ" เข้าโดยบังเอิญ


แม้โยเฮและคุณแม่จะพาจี้กลับมาที่บ้านด้วยความเป็นห่วง
แต่ห้องพักของครอบครัวโยเฮก็ไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์

ดังนั้น
ทุกคนในครอบครัวยามาดะจึงต้องเลี้ยงจี้อย่างหลบๆ ซ่อนๆ
แต่ก็มีความสุขที่ได้ดูแลจี้ตัวน้อย


แม้ว่าจี้เองจะซนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเท่าไหร่


เนื้อเรื่องส่วน
ใหญ่เล่าถึงชีวิตประจำวันของจี้และกิจกรรมที่ทำร่วมกับครอบครัวยามาดะ


รวมถึงการผจญภัยเล็กๆ
ของจี้กับเหล่าสัตว์เลี้ยงเพื่อนบ้านและขาจรหลายตัวค่ะ


สิ่งที่ทำให้จี้กลายเป็นแมวน้อยในใจของนักอ่านชาวญี่ปุ่นและชาวไทยคือ
ความน่ารักนี่ล่ะค่ะ

แม้จี้จะนิสัยไม่ได้แตกต่างจากลูกแมวทั่วไปมากนัก
แต่ความน่ารักของหน้าตาท่าทางจากลายเส้นของ

อ.โคนามิ คานาตะกินขาดค่ะ
เห็นตอนจี้กินข้าวแล้วตีลังกานอนตีพุงเมื่ออิ่มแล้ว คนอ่านก็ใจละลายไปด้วย


แมวอะไรน่าร้ากกกก... อยากรับมาเลี้ยงที่บ้านซักสิบตัว


น่าสังเกต
อย่างหนึ่งว่า ครอบครัวที่ดูแลจี้นามสกุล "ยามาดะ" ซึ่งเข้าข่าย "โหลมาก"
ในญี่ปุ่น

และครอบครัวยามาดะนอกจากจี้และโยเฮแล้ว ก็มีคุณพ่อกับคุณแม่
(ไม่มีชื่อ)

ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้สวมตัวเองลงไปในครอบครัวยามาดะนี้
และรู้สึกว่าจี้เป็นสัตว์เลี้ยงของนักอ่านทุกๆ คน


ปัจจุบันจี้ตี
พิมพ์เป็นหนังสือการ์ตูนในญี่ปุ่นแล้ว 6 เล่ม ตั้งแต่ปี 2004 ค่ะ
แต่ในไทยเพิ่งพิมพ์ 4 เล่ม

และออกจำหน่ายเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง
แต่ถ้าใครอยากเห็นจี้เวอร์ชั่นเคลื่อนไหวและฟังเสียงน่ารักออดอ้อน


จี้ก็มีเป็นแอนิเมชั่นแล้วนะคะ ซีซั่นแรกใช้ชื่อ Chi?s Sweet Home
เช่นเดียวกับชื่อหนังสือการ์ตูน

ส่วนซีซั่นที่สอง
ซึ่งเพิ่งออกฉายเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาใช้ชื่อว่า Chi?s New
Address

แต่ละตอนเป็นการ์ตูนสั้น 3 นาที
เหมาะกับการดูก่อนนอนให้จิตใจเบิกบานนะคะ


ความสำเร็จของจี้คงไม่ได้
มาจากความน่ารักเพียงอย่างเดียวค่ะ แต่เกิดจากความรักแมวของคนญี่ปุ่น


ซึ่งทำให้ถ่ายทอดความรักและเอ็นดูผ่านออกมาทางการ์ตูน
จนทำให้คนอ่านอย่างเรารู้สึกหัวใจเบิกบานตามไปด้วย

มีงานวิจัยเมื่อปี 2006
ของบริษัทจำหน่ายอาหารสัตว์ในญี่ปุ่นรายงานว่า ญี่ปุ่นมีแมวเลี้ยงมากถึง
12.46 ล้านตัว

โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนแมวเลี้ยงสูงขึ้นกว่าเดิม
7.85 ล้านตัว
ตัวเลขนี้ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการที่ญี่ปุ่น

กลายเป็นสังคมคนแก่
เพราะอัตราการเกิดทารกน้อยลง ก็เลยหันไปเลี้ยงสัตว์กันเสียเยอะหรือเปล่า


แต่ที่แน่ๆ คือเขารักแมวมากถึงขนาดมีสปาแมว โรงแรมแมว นวดอโรมาเธราปีแมว


ไปจนถึงแคปซูลออกซิเจนแมว เพื่อให้แมวสดชื่นหายเหนื่อยด้วยค่ะ


สำหรับ
คนรักแมวคงพอนึกภาพออกว่า น้องเหมียวเหล่านี้ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้น


บางทีน้องแมวก็เหมือนลูกหลาน เหมือนเพื่อน
และหลายครั้งก็เป็นหมอนที่กอดแล้วอุ่นทั้งกายและใจ


สำหรับใครที่ยัง
ไม่สะดวกเลี้ยงแมวในตอนนี้ ก็สามารถหาซื้อการ์ตูนจี้จังมาอ่านก่อนได้นะคะ


แค่ได้เห็นจี้จังยิ้มอยู่บนกระดาษ บางทีหน้าเราก็ยิ้มตามไปด้วยแล้วค่ะ



//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun05310552§ionid=0120&day=2009-05-31





Free TextEditor



Create Date : 31 พฤษภาคม 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:06:31 น.
Counter : 1223 Pageviews.

3 comment
Vinland Saga ไวกิ้งเจ้าทะเล


คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง

ไม่บ่อยนักค่ะที่จะมีการ์ตูนเกี่ยวกับตำนานนักรบในแถบยุโรปทางเหนือที่เราคุ้น
เคยในชื่อ "ไวกิ้ง" ออกมาวางแผง
เขาคือชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและสู้รบทางทะเลแบบกอง
โจรด้วยเรือที่มีหัวเรือคล้ายมังกร
ความเก่งและโหดของไวกิ้งทำให้เหล่าอัศวินบนหลังม้ายุคนั้นทั้งแค้นและหวาด
กลัวเลยล่ะค่ะ


เล่มแรกเปิดเรื่องท่ามกลางไฟสงครามระหว่างชาวแฟรงค์
สองกลุ่มที่ต่อสู้กันเพื่อยึดสมบัติในป้อมปราการ
ฝ่ายบุกมีกองกำลังมหาศาลแต่ก็ไม่สามารถทลายป้อมที่ล้อมด้วยทะเลสาบได้
ส่วนฝ่ายรับแม้มีกำลังแค่หยิบมือแต่ยังสามารถต้านกองกำลังภาคพื้นดินไว้ได้
สบายเพราะอยู่ในชัยภูมิได้เปรียบ หลังจากงัดข้อกันอยู่นานจนล้มตายไปโข
กองกำลังไวกิ้งร้อยคนซึ่งนำโดย "อาเชรัด" ก็ตามกลิ่นเงินเข้ามาอย่างเงียบๆ
และเห็นว่าทางเดียวที่จะตีป้อมแตกได้คือการบุกทางน้ำ


เด็กหนุ่มตัว
เอกของเราได้ออกโรงงวดนี้ล่ะค่ะ "ทอลฟีน"
ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจากับฝ่ายบุกที่ตีป้อมไม่แตกเสียทีโดยงานของเขาคือ
เจรจาให้แม่ทัพชาวแฟรงค์จ้างไวกิ้งตีป้อม
ภารกิจของทอลฟีนสำเร็จด้วยดีแต่เขายังต้องการอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า
เขาต้องการหัวแม่ทัพศัตรูเพื่อขอรางวัลจากอาเชรัดโดยรางวัลไม่ใช่เงินทอง
แต่เป็นการสู้กับอาเชรัดเพื่อล้างแค้นแทนพ่อของเขาซึ่งถูกอาเชรัดฆ่าตายนั่น
เอง


แค่ความสัมพันธ์ต้นเรื่องก็ซับซ้อนแล้วค่ะ
ในยุคที่ไม่มีบ้านเด็กกำพร้าแบบนี้
ลูกของเชลยที่ถูกฆ่าก็ต้องโดนจับไปเป็นทาส
แต่กรณีของทอลฟีนดีกว่านั้นหน่อยเพราะเขามีฝีมือจึงได้รับอนุญาตให้เป็น
หนึ่งในนักรบบนเรือไวกิ้งได้
และความซื่อตรงมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นให้พ่ออย่างขาวสะอาดทำให้อาเชรัดผู้นำ
ทัพไวกิ้งไว้วางใจว่าจะไม่โดนแทงระหว่างหลับ
เสน่ห์ของทอลฟีนอยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ แม้เขาจะมีอุดมการณ์เรื่องล้างแค้นให้พ่อ
แต่เขาก็ไม่ลืมหน้าที่ในการทำงานใต้อาณัติของอาเชรัดให้สมกับที่ได้รับการ
ดูแลมาตลอด เรียกว่ารู้จักแยกแยะค่ะ อย่างไรก็ตาม
การ์ตูนสงครามที่ทำให้อดรีนาลีนสูบฉีดดำเนินไปได้เพียงครึ่งเล่ม
อ.ยูคิมุระ
มาโคโตะก็เล่าย้อนไปถึงทอลฟีนวัยเด็กสมัยยังใช้ชีวิตอยู่กับพ่อและพี่สาวใน
หมู่บ้านเล็กๆ บนไอซ์แลนด์ห่างไกลผู้คน เห็นว่าเล่ายาวไป 7 เล่ม
เหตุการณ์ก็ยังไม่มาบรรจบกับตอนต้นเรื่องเลยค่ะ


Vinland Saga
เขียนโดยยูคิมุระ มาโคโตะ
นักเขียนการ์ตูนซึ่งเคยได้รับรางวัลเซย์อุนซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผลงานแนวไซ
ไฟสาขาการ์ตูนยอดเยี่ยมจากเรื่อง Planetes เมื่อปี 2002
มีตีพิมพ์ในไทยแล้วค่ะว่าด้วยเรื่องนักเก็บขยะอวกาศ 4 เล่มจบ ส่วน Vinland
Saga เองแค่ 5 เล่มแรกก็มียอดจำหน่ายสูงถึง 1.2
ล้านเล่มและตอนนี้ยังเข้าชิงไทโชอวอร์ดประจำปี 2008 ด้วย
เรียกว่ารับทั้งเงินและกล่อง


ต้องยอมรับว่าการ์ตูนเรื่องนี้วาด
ภาพอยู่ในเกณฑ์ "สวยมาก"
ชุดและข้าวของในเรื่องรวมถึงโครงเรื่องมีความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ของ
ยุโรปเหนือ ดังนั้นอ่านแล้วนอกจากอินไปกับความสมจริง
ยังอินกับเนื้อเรื่องสไตล์ อ.ยูคิมุระซึ่งวาดมาเนิบๆ
แต่บทจะกินใจก็ทำเอาเราต่อมน้ำตาแตกเลยทีเดียว
แต่แม้จะทั้งสนุกน่าติดตามแค่ไหน
การ์ตูนเรื่องนี้ก็เหมาะกับผู้ใหญ่สักหน่อยนะคะ
อ่านแล้วจะฮึกเหิมอยากทำงานเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของเราเลย
ค่ะ!


ส่วนเด็กๆ วัยก่อนมหาวิทยาลัยเรื่องนี้ควรปล่อยผ่านนะคะ
ฉากสงครามและความโหดร้ายของมนุษย์อาจทำให้จิตใจห่อเหี่ยวได้
คนอ่านที่มีวุฒิภาวะจึงจะแยกแยะได้ค่ะว่ายุคไวกิ้งกับปัจจุบันมีค่านิยมต่าง
กันและพระเอกไม่ได้ทำถูกต้องเสมอไป แต่แม้จะจำกัดอายุผู้อ่านขนาดนี้
ยอดขายในญี่ปุ่นเป็นเครื่องยืนยันว่าคนที่มีวุฒิภาวะในประเทศเขาหลายคนก็ยัง
คงอ่านการ์ตูนอยู่


ถ้าสร้างนิสัยรักการอ่านได้ อ่านอะไรก็ดีทั้งนั้นล่ะค่ะ


https://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun04170552§ionid=0120&day=2009-05-17



Create Date : 17 พฤษภาคม 2552
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2561 16:52:29 น.
Counter : 432 Pageviews.

0 comment
Umimachi Diary ความทรงจำบนแผ่นกระดาษ
คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง



เคยอ่านหนังสือคำคมเล่มไหนสักเล่มกล่าวถึงบริษัทขายฟิล์มถ่ายภาพยี่ห้อหนึ่งว่า
เขาไม่ได้ขาย "ฟิล์ม" แต่เขาขาย "ความทรงจำ" ค่ะ
ดังนั้นคนเราไม่ได้ถ่ายภาพเพราะแค่อยากได้ภาพถ่ายเท่านั้น
แต่ทุกครั้งที่ย้อนกลับมาดูแผ่นกระดาษเก่าๆ
ที่เคยมีเราและคนรอบข้างทำอะไรประหลาดๆ สักอย่างในภาพถ่าย
ความทรงจำทั้งสุขและเศร้าก็จะหลั่งไหลออกมาได้ราวกับเปิดอ่านไดอารี่
นั่นคงเป็นสิ่งที่ Umimachi Diary "วันที่เสียงจักจั่นซา"
ต้องการนำเสนอให้ผู้อ่านรับรู้ผ่านหน้าหนังสือการ์ตูนที่ได้รับรางวัล
Excelent Prize ประจำปี 2007 ของ Japan Media Arts Festival ครั้งที่ 11
เรื่องนี้


"วันที่เสียงจักจั่นซา"
คือเรื่องเล่าของครอบครัวโคดะซึ่งประกอบด้วยสามสาวพี่น้องวัยทำงาน
อยู่มาวันหนึ่งทั้งสามคนทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณพ่อที่แยกไปมีครอบครัว
ใหม่และไม่ได้เจอกันมา 15 ปี
สามสาวจึงวางแผนจะไปงานศพด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดในฐานะลูก
นั่นเพราะพวกเธอไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจ จะว่าไปก็ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ
เพราะสำหรับพวกเธอแล้ว
พ่อก็เหมือนคนแปลกหน้าที่แทบไม่มีความทรงจำร่วมกันมาก่อน


"โยชิโนะ"
กับ "ชิกะ" น้องสาวตัดสินใจเดินทางล่วงหน้าไปร่วมเคารพศพ เพราะ "ซาจิ"
พี่สาวคนโตเป็นพยาบาลและติดอยู่เวรกลางคืนจึงอาจไปร่วมงานไม่ได้
สองสาวได้พบกับ "ซึสึ"
เด็กสาวมัธยมต้นที่มีใบหน้านิ่งเรียบเหมือนผู้ใหญ่กว่าวัย
ซึสึเป็นลูกติดของภรรยาคนที่สองของพ่อ
แต่ภายหลังเมื่อคุณแม่ของซึสึเสียชีวิต
พ่อจึงแต่งงานใหม่กับหม้ายลูกสามอีกครั้ง
ผลคือซึสึต้องเลี้ยงน้องที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อยและอยู่
กับพ่อที่ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเธอเช่นกัน
ความห่างเหินทางสายเลือดทำให้เธอพยายามเก็บความรู้สึกและทำตัวเป็นประโยชน์
กับคนรอบข้างให้มากที่สุด สามพี่น้องคงเป็นคนแรกๆ
ที่มีโอกาสได้เห็นซึสึร้องไห้ในงานศพของพ่อเพราะเธอเข้มแข็งเสียจนทุกคนลืม
ไปว่าเธอก็เป็นแค่เด็กสาวที่เพิ่งสูญเสียพ่อไปเท่านั้น


สามพี่น้อง
สารภาพว่าพวกเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับการจากไปของพ่อเลย เพราะตอนที่พ่อจากไป
พวกเธอยังเด็กมาก ดังนั้น
งานศพครั้งนี้จึงเหมือนงานศพของคนไม่รู้จักเสียมากกว่า
จนกระทั่งเมื่อซึสึมอบซองกระดาษหนาซองหนึ่งให้
ทั้งสามคนก็รู้สึกเหมือนบางอย่างกำลังหลั่งไหลออกมาจากความทรงจำ


ซอง
นั้นบรรจุภาพถ่ายวัยเด็กของทั้งสามคนไว้นั่นเองค่ะ
ในภาพอัดแน่นด้วยความทรงจำร่วมกันระหว่างพวกเธอกับพ่อ
กระทั่งรายละเอียดเล็กน้อยที่ตอนเด็กไม่เข้าใจก็สามารถเข้าใจได้ในตอนนี้ว่า
แท้จริงสิ่งที่พ่อทำล้วนก่อขึ้นจากความเป็นห่วงและรักใคร่
ความทรงจำจากภาพสีจางบนกระดาษเก่าๆ
ทำให้ชายแปลกหน้าในโลงศพกลับกลายเป็นพ่อของพวกเธอขึ้นมาอีกครั้ง
และทำให้พวกเธอลบความโกรธเมื่อวัยเด็กที่ถูกพ่อทอดทิ้งออกไปได้จนหมดสิ้น


นอนอ่านถึงตรงนี้แล้วน้ำตาหยดแหมะเลยค่ะ


ดู
จากเนื้อเรื่องแล้ว "วันที่เสียงจักจั่นซา"
ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการ์ตูนแนวฮิวแมนดราม่าที่ดำเนินเรื่องในเมืองเก่า
อย่างคามาคุระซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณความเป็นญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้
"โยชิดะ อาคิมิ" ผู้วาดได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมไม่ใช่แค่เนื้อหานะคะ
แต่เป็นการนำเสนอเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดของครอบครัว ซึ่งก็คือ
"ความผูกพัน" ให้เริ่มด้วยปมยุ่งเหยิงจากอดีตและจบด้วยการคลายอย่างช้าๆ
นุ่มนวล ไม่มีความโกรธแค้นบ้าคลั่งในเรื่องนี้ค่ะ
ทุกช่องทุกจังหวะเต็มไปด้วยการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ รื่นไหล
แต่เมื่อถึงจุดวิกฤตของครอบครัวกลับถ่ายทอดออกมากระแทกอารมณ์จนน้ำตาร่วง
อย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ




"โยชิดะ อาคิมิ" เกิดในเดือนสิงหาคมปี 1956
หมายถึงเธออายุ 52 ปีแล้วค่ะ!
ขณะที่เธอเป็นนักศึกษาในวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบ
เธอลองส่งผลงานการ์ตูนมือสมัครเล่นไปประกวดและได้รับรางวัลที่สาม
ส่งผลให้เธอหันหน้าเข้าสู่วงการการ์ตูนและได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่ออายุ 21
ปี อ.โยชิดะสร้างผลงานการ์ตูนชั้นดีในช่วงปลายยุค 70 ไว้มากมาย
หลายสำนักกล่าวว่าเธอคือนักเขียนการ์ตูนผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดใน
บรรดานักเขียนการ์ตูนที่เปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกันเนื่องจากผลงานได้รับการ
ตีพิมพ์ในฝั่งตะวันตกและได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม


ผลงานสร้าง
ชื่อของ อ.โยชิดะคือ "Banana Fish" กับ "Yasha"
ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการการ์ตูนผู้หญิง
ฝั่งอเมริกาเหนือ โดยส่วนตัวเคยไปลูบไล้ฉบับภาษาอังกฤษตัวเป็นๆ
ในร้านหนังสือการ์ตูนมือสองที่ลอนดอนค่ะ
ร้านนั้นขายการ์ตูนและหนังสือภาษาญี่ปุ่นมือสอง (แน่นอนว่าอ่านไม่ออก)
แต่มีเรื่องเดียวที่วางครบชุดทั้งที่เป็นการ์ตูนภาษาอังกฤษ เรื่องนั้นคือ
"Banana Fish" นั่นเอง เสียดายที่แพงจับจิตไปหน่อยเลยยังไม่ได้ถอยมาอ่าน
แต่คิดว่าก่อนกลับจากลอนดอนยังไงต้องหาทางซื้อมาอ่านให้ได้เลยค่ะ


อ.
โยชิดะยังเคยได้รับรางวัลการ์ตูนจากโชกักกุคังครั้งที่ 29 และ 47
โดยครั้งหลังได้รับจากเรื่อง Yasha
ซึ่งสำนักพิมพ์ในไทยได้ตีพิมพ์ภาคต่อเนื่องของเรื่องนี้ออกมาชื่อ
"ธิดามังกร" หรือ Yasha Next Generation สารภาพว่าอ่านแล้วเมานิดหน่อย
อาจเป็นเพราะไม่มีพื้นฐานจากเรื่องดั้งเดิมมาก่อนก็ได้


เธอให้
สัมภาษณ์หลังได้รับรางวัลจากเรื่อง "วันที่เสียงจักจั่นซา"
ว่าสิ่งที่ทำให้สร้างผลงานยอดเยี่ยมชิ้นนี้ขึ้นมาได้คือ
"ประสบการณ์อันยาวนาน" ของเธอนั่นเอง
และสิ่งที่คิดว่าโดดเด่นที่สุดในผลงานชิ้นนี้คือความ "จริงใจ"
หมายถึงตัวการ์ตูนทุกตัวดำเนินเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น
ไม่ได้ถูกบิดเบือนด้วยความนิยมของตลาดหรือความสะใจส่วนตัวแต่อย่างใด
เมื่อถูกถามว่าผลงานแบบไหนทรงอิทธิพลกับเธอที่สุด
อ.โยชิดะตอบอย่างมั่นใจว่าเธอได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์อเมริกันทั้งในอดีต
และปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะที่การนำเสนอใน "วันที่เสียงจักจั่นซา"
จะเป็นภาพวาดมุมกล้องสวยๆ
ลายเส้นละเอียดแต่เรียบง่ายเหมือนดูภาพยนตร์ที่วาดฉากหลังอย่างมีความหมาย
และเหลือเฟือ
ไม่อู้งานวาดแต่หน้าตัวละครกับช่องคำพูดแบบการ์ตูนยุคหลังซึ่งเป็นอิทธิพล
ที่ได้รับจากนวนิยายมากกว่าจากภาพยนตร์ค่ะ


อ.โยชิดะตอบคำถามสุดท้ายที่เด็กรุ่นหลังหลายคนอยากรู้ว่าเธอค้นหาความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้มากจากไหน


"ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นเพราะมันเป็นงานของฉัน มันเป็นชีวิตประจำวันของฉันไปแล้ว"


เป็น
คำตอบที่เรียบง่ายแต่ชัดเจนค่ะ
ความสำเร็จของนักเขียนมืออาชีพที่ยังคงสร้างผลงานชั้นดีจนอายุ 52
ปีคนนี้คือเธอมองว่าการคิดสิ่งใหม่ๆ
เป็นงานที่ไม่ใช่รอให้เกิดนิมิตแล้วจึงทำ เธอต้องคิดสิ่งใหม่ๆ
ให้ได้ทุกวันเป็นกิจวัตรเหมือนการซ้อมของนักกีฬา ยิ่งฝึกก็ยิ่งเก่ง
และยิ่งทำต่อเนื่องก็ยิ่งชำนาญ


ดังนั้น อ.โยชิดะกำลังบอกเด็กรุ่นใหม่ว่าไม่มีทางลัดสบายๆ ไปสู่การเป็นนักคิดชั้นดี อยากเก่งก็ต้องฝึกฝนทุกวันเท่านั้นค่ะ

//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun03100552§ionid=0120&day=2009-05-10


//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun04030552§ionid=0120&day=2009-05-03






Free TextEditor



Create Date : 11 พฤษภาคม 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:06:20 น.
Counter : 2013 Pageviews.

0 comment
Cat Street และปัญหาฮิคิโคโมริ
คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง



เคย
ได้ยินปัญหาสุขภาพจิตของวัยรุ่นที่เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" (Hikikomori)
ไหมคะ
ชื่อญี่ปุ่นจ๋าขนาดนี้เดาดูก็คงพอทราบค่ะว่าเป็นปัญหาที่พบมากในประเทศ
ญี่ปุ่นและเป็นปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ
เนื่องจากผู้ที่เป็นฮิคิโคโมริเองมีลักษณะสำคัญคือหลีกหนีจากการเข้า
สังคมอย่างรุนแรงเลยค่ะ โดยอาจจะอยู่แต่ในบ้านไม่พบเจอผู้คน
ออกมาซื้ออาหารในร้านสะดวกซื้อตอนกลางดึกเพื่อไม่ต้องเจอใครมาก
ไม่พูดคุยกับใคร ไม่ไปโรงเรียน หลายคนใช้ชีวิตอยู่แบบนี้เป็นสิบปีก็มี
หนึ่งในสาวน้อยที่เป็นฮิคิโคโมริคือ "อาโยยามะ เคโตะ" เด็กสาววัย 16
ที่ไม่ไปโรงเรียนเลยตลอด 7 ปีที่ผ่านมา


เคโตะเคยเป็นดาราเด็กที่โด่ง
ดังจากคณะละครเพลงแห่งหนึ่ง แม้เธออายุเพียง 9 ขวบ
แต่ก็สามารถแสดงและเต้นได้อย่างน่าทึ่ง
ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและหน้าตาน่ารัก
เคโตะจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและบดบังรัศมีของ "มาโกะ"
ดาราเด็กอีกคนซึ่งต้องแสดงละครเพลงสลับวันกับเธอ
เนื้อเรื่องก็เป็นไปตามพล็อตน้ำเน่าคลาสสิคทั่วไป
เคโตะถูกเพื่อนในชั้นเรียนรังเกียจเพราะเธอได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องเรียน
เต็มวันเนื่องจากมีงานแสดง
ความที่เคโตะเป็นคนพูดน้อยจึงไม่ได้แก้ตัวอะไรออกไป
ได้แต่เก็บความเสียใจไว้และหันไปสนิทกับมาโกะแทนโดยเคโตะสอนการแสดงให้มาโกะ
จนสุดท้ายเมื่อฝีมือการแสดงทัดเทียมกัน
มาโกะจึงหางโผล่และบอกว่าที่จริงรังเกียจเคโตะเต็มทน


"คนที่ไม่มีเพื่อนซักคนอย่างเธอน่าขยะแขยงจะตาย"


คำ
พูดนี้ทำให้เคโตะเสียใจและยืนอยู่กลางเวทีโดยไม่ขยับไปไหนเลยจนกระทั่งต้อง
ยกเลิกการแสดงในวันนั้น และนั่นคือจุดจบของชีวิตการเป็นดาราเด็ก
การไปโรงเรียน และการเข้าสังคมของเคโตะในวัย 9 ขวบ


เราอาจนึกภาพ
"ฮิคิโคโมริ" ว่าต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง กลัวการพบปะผู้คน
แต่เคโตะไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เธอไม่เกลียดตัวเอง ไม่เกลียดคนอื่น
และไม่ได้เกลียดโลกใบนี้เพราะเธอยังคงแต่งตัวสวยออกไปเดินเล่นนอกบ้านได้
เป็นประจำ สิ่งที่เธอกลัวคือ "ความคาดหวัง" ทั้งของตัวเองและจากคนรอบข้าง
เธอกลัวที่จะมีคนจำได้ว่าเธอคือดาราเด็กผู้ล้มเหลวเมื่อ 7 ปีก่อน ดังนั้น
จึงเลือกที่จะเดินหนีทุกคนและไม่คาดหวังว่าตัวเองจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ
จากใครแม้แต่จากคนในครอบครัว


คุณแม่ของเคโตะก็อ่อนแอเกินกว่าจะลุก
ขึ้นมาบีบบังคับลูกสาวให้ไปโรงเรียนจึงทำได้มากที่สุดแค่ทำหน้าที่แม่อย่าง
เต็มที่ ทำอาหารให้
ไม่ดุด่าว่ากล่าวและพยายามเข้าใจความเป็นฮิคิโคโมริของเคโตะโดยที่ไม่รู้เลย
ว่าสิ่งที่ตัวเองทำก็คือการวิ่งหนีปัญหาเช่นเดียวกัน
น้องสาวของเคโตะเองแสดงท่าทีรังเกียจพี่สาวอย่างชัดเจนและพยายามพูดเสียดสี
ต่อว่าทุกครั้งที่เจอหน้า
ดูเหมือนเธอจะเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่หนีปัญหาแต่สุดท้ายเคโตะก็ทราบความจริง
ว่าน้องสาวก็กำลังประสบปัญหาถูกเพื่อนรีดไถเงินอยู่
ทางออกของน้องสาวจึงมีแต่ขอเงินแม่ไปให้เพื่อนเพื่อรักษาสถานะความเป็น
เพื่อนไว้ซึ่งก็เป็นการหนีปัญหาเช่นกัน


ฮิคิโคโมริอย่างเคโตะซึ่ง
ตัดสินใจหันหลังให้กับแรงกดดันภายนอกและสายตาของคนในสังคมดำเนินมาถึงจุด
พลิกผันค่ะ ลองเดาได้ไหมคะว่าเราจะช่วยเหลือคนเป็นฮิคิโคโมริอย่างไรดี
ผลักดันกึ่งๆ
บีบบังคับให้ไปโรงเรียนเพื่อไม่ให้หนีปัญหาต่อไปจนกลายเป็นปัญหาที่เกิน
เยียวยาหรือเปล่า
หรือว่าจะยอมตามใจให้อยู่บ้านเพียงแต่จ้างครูมาสอนที่บ้านเสียแทนเพื่อให้ฮิ
คิโคโมริไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันภายนอกแต่ในทางกลับกันก็ยังได้รับการศึกษา
อย่างเหมาะสมด้วย



"ฮิคิโคโมริ"
ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้ประมาณ 1% ของประชากรในญี่ปุ่นค่ะ
มีลักษณะสำคัญคือทนแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมรอบข้างไม่ไหวจึงตัดสินใจที่จะหนี
จากสังคม ไม่พบเจอใคร ไม่ไปโรงเรียน
หลายคนอยู่แต่ในบ้านหรือในห้องของตัวเองเป็นสิบปี
แน่นอนว่าในจำนวนฮิคิโคโมริเหล่านี้หลายคนอาการแย่ลงและพบว่าเป็นโรคจิตใน
ภายหลัง แต่หลายคนไม่ได้เป็นโรคจิตค่ะ
เพียงแต่ต้องการหนีปัญหาวุ่นวายจากสังคมภายนอก ความที่หนีไปเรื่อยๆ
นานเข้าก็ไม่สามารถกลับสู่สังคมได้เหมือนเดิมเช่นเดียวกับ "เคโตะ"
เด็กสาววัย 16 ปีนางเอกของเรื่องนี้ เธอไม่ไปโรงเรียนเลยตั้งแต่ 9 ขวบ
และไม่คบหาสมาคมกับใคร
มีความรู้แค่จบประถมและสุดท้ายความที่แทบไม่ได้พูดกับคนอื่นเลย
เธอจึงไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางคำพูดออกมาได้ดีเท่าไหร่นัก


การแก้ปัญหาฮิคิโคโมริในความคิดของหลายท่านอาจทำได้โดยบังคับให้ไปโรงเรียนหรือ
ปล่อยให้อยู่บ้านต่อไปเพียงแต่จ้างครูมาสอนที่บ้านแทน แต่ Cat Street
มีทางออกที่ดีกว่านั้นอีกค่ะ
ในเมื่อเด็กที่เป็นฮิคิโคโมริไม่ยอมไปโรงเรียนและไม่ยอมเจอเพื่อน
เป็นไปได้ไหมที่จะมีโรงเรียนที่ไม่บังคับว่าต้องไปนั่งเรียนทุกวัน
ไม่อยากเจอเพื่อนก็ไปนั่งเรียนด้วยตัวเองที่ไหนก็ได้ในโรงเรียน
อย่างน้อยวิธีนี้ก็ทำให้เหล่าฮิคิโคโมริเลิกวิ่งหนีความจริงและหลบซ่อนตัว
แต่สามารถลุกขึ้นเริ่มต้นเผชิญหน้ากับคนรอบข้างโดยเริ่มจากสถานที่ที่เต็มไป
ด้วยคนแบบเดียวกันก่อนค่ะ


สถานที่นั้นคือโรงเรียน "เอล ลิสตัน"
เป็นฟรีสคูลหรือโรงเรียนเปิดซึ่งรวบรวมนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าเรียนใน
โรงเรียนปกติด้วยสาเหตุบางอย่างไว้ด้วยกัน
นักเรียนสามารถเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่นหรือเกิดฮึดอยากเรียนรู้ก็สามารถเข้าไป
นั่งศึกษาด้วยตนเองในห้องสมุดได้
คนที่แนะนำโรงเรียนนี้ให้เคโตะพูดได้น่าฟังค่ะ เขาถามเคโตะว่า "รอบๆ
ตัวเธอตอนนี้มีที่ให้ยืนหรือเปล่าล่ะ"
คำถามนี้แทงใจดำเคโตะอย่างจังจนเธอมองเห็นความไร้ค่าของตัวเอง
จะว่าไปเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการวิ่งหนีความจริงไปเรื่อยๆ
พร้อมกับโทษคนรอบข้างที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้
เธอไม่มีที่ให้หยุดยืนและเลือกก้าวไปทางใดทางหนึ่งจริงๆ เสียด้วย
ได้แต่วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตแห่งเดิมจนรู้ตัวอีกครั้งก็ผ่านมา 7 ปีแล้ว


ใน
ที่สุดเคโตะตัดสินใจทำความรู้จักกับคนในเอล ลิสตัน
และพบว่าฮิคิโคโมริอย่างเธอกลายเป็นคนธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น
เคโตะรู้จักกับเด็กหนุ่มนักฟุตบอลอัจฉริยะที่สุดท้ายก็ต้องออกจากโรงเรียน
เพราะเก่งเกินหน้าเพื่อนจนไม่มีใครคบ เจอเด็กหนุ่มไอคิว 200
ที่เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
หรือสาวน้อยที่แต่งตัวด้วยชุดโกธิคโลลิต้า (ลูกไม้ฟูฟ่องและดัดผมเป็นหลอด)
ตลอดเวลาจนดูประหลาดกว่าคนอื่น เมื่ออยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้
เคโตะจึงหยุดวิ่งหนีและหันกลับมามองตัวเองอีกครั้งว่าชีวิตเธอต้องการอะไร
กันแน่ เอล
ลิสตันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่และการหลุดจากความเป็นฮิคิโคโมริของ
เธอค่ะ


Cat Street เป็นการ์ตูนที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งของคามิโอะ
โยโกะผู้วาด "สาวแกร่งแรงเกินร้อย"
ที่ถูกนำไปสร้างเป็นละครจนโด่งดังทั่วเอเชียมาแล้วนะคะ
เรื่องนี้ก็มีสร้างเป็นละครในญี่ปุ่น 6 ตอนจบ (ทำไมสั้นจัง)
บางทีปัญหาฮิคิโคโมริพบมากในสังคมแบบญี่ปุ่นเนื่องจากเด็กเก่งๆ
กลับถูกจำกัดด้วยค่านิยมที่ต้อง "เหมือนเพื่อน" และสังคมตะวันออกที่ต้อง
"อ่อนน้อมถ่อมตน"


Cat Street
ไม่ได้บอกเราว่าทางออกของปัญหาคือไปเปลี่ยนค่านิยมของคนส่วนใหญ่
แต่กำลังบอกว่าถ้าเราเก่งจริง
เราก็ต้องยืดอกอย่างมั่นใจและกล้าที่จะแตกต่างเพื่อเป็นคนสร้างค่านิยมใหม่
ให้คนเดินตามเราแทนที่เราจะเดินตามคนอื่นต่างหาก

//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun02190452§ionid=0120&day=2009-04-19
//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01sun04260452§ionid=0120&day=2009-04-26





Free TextEditor



Create Date : 26 เมษายน 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:06:14 น.
Counter : 1321 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend