ขอเพียงมีรัก
ขอเพียงมีรัก

“อะไรนะครับ หมอ!!”
คำอุทานเสียงดังลั่นของชายหนุ่ม ในชุดโทรมๆ
กลบเสน่ห์แห่งบุรุษเพศให้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น
ส่งผลให้คนในโรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งนี้ต้องหันมามองเป็นตาเดียว บ้างสนใจ
บ้างสงสัย บ้างตำหนิ
“โรคหัวใจหรือครับ หมอ!!”
“ใช่แล้วครับ รพ.ที่นี่ไม่มีเครื่องมือทันสมัย หากต้องการช่วยเธอ
คงต้องส่งเข้าไปรพ.ในกทม.แล้วล่ะครับ”
หมอคนเดิมสีหน้าหนักใจให้คำแนะนำ แต่กลับยิ่งทำให้พจน์หน้าซีดเผือดลงไปอีก
นี่เขาจะทำเช่นไรดี ด้วยฐานะอย่างเขาแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆเท่านั้น
จะมีปัญญาที่ไหนส่งหล่อนเข้าไปรักษาในกรุงเทพฯ
พจน์เดินคอตกเข้าไปในห้องไอซียู
ร่างบางขาวซีดบนเตียงที่ยังต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา
หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาบาง หากสม่ำเสมอ
ทันใดนั้น เขาก็สะกิดใจสิ่งหนึ่ง ทีท่าลังเลชั่วครู่ก็ตัดสินใจเด็ดขาด
ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไอซียูตรงไปที่โทรศัพท์สาธารณะ
มือข้างหนึ่งล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงเก่าๆ
เศษเงินติดมือขึ้นมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กยู่ยี่แผ่นหนึ่ง
เขากดเบอร์โทรศัพท์ตามหมายเลขในกระดาษอย่างเร่งร้อน ไม่นาน ปลายสายถูกรับขึ้น
เสียงผู้หญิง อายุอานามคงประมาณ 40 กว่าๆถ้าจะให้เขาคาดเดา
เสียงนั้นฟังดูเศร้าหมองแม้จฝืนให้ดูเป็นปกติแล้วก็ตาม
“สวัสดีค่ะ บ้านกิตติยพงศ์ค่ะ”
“เอ่อ.. ขอโทษครับ ขอผมเรียนสายคุณนายนาราครับ” เขากรอกเสียงลงไป ประหม่าเล็กน้อย
“กำลังพูดค่ะ นั่นใครคะ”
“คือว่า..” เขานิ่ง คิดเรียบเรียงคำพูด “ผมโทรมาแจ้งข่าวเรื่องคุณขณิษฐาครับ”
“ยัยนิด!! คุณ! ช่วยบอกทีเถิดค่ะ ว่าตอนนี้ลูกสาวดิฉันอยู่ที่ไหน!!”
เสียงนั้นเปลี่ยนจากเฉื่อยชามาเป็นกระตือรือร้น ละล่ำละลักพูด
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความห่วงใยเต็มเปี่ยมที่ถ่ายทอดมาให้เขาสัมผัสได้ทางโสตประสาท
“ตอนนี้คุณขนิษฐาอยู่ที่รพ.ประจำจังหวัด….” พจน์ระบุชื่อจังหวัดลงไป
“กรุณารีบหน่อยนะครับ ผมเกรงว่าเธอจะแย่”
ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำใดลงมาอีก เขาวางหูโทรศัพท์ดังแกร๊ก สายตาหม่นหมอง
เดินกลับไปที่ห้องไอซียู คราวนี้เขาไม่เข้าไป หากนั่งอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ
ชายหนุ่มหลับตาลง เจ็บในอกลึกๆ ภาพผุดพรายขึ้นในมโนสำนึกเป็นฉากๆ
คืนท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกหนัก ฟ้าแลบแปลบปราบ
สายฟ้าฟาดลงกลางท้องทุ่งที่รกเรื้อไปด้วยวัชพืชต่างๆมากมาย
เขาเพิ่งกลับจากตัวเมืองกำลังจะกลับบ้าน แต่นั่น! ใครกันน่ะ
พจน์เดินแกมวิ่งเข้าไปหาร่างบางที่นอนสลบไสลไม่รู้สึกตัว
ร่างนั้นเปียกชุ่มไปทั้งตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็แนบเนื้อ
อวดทรวดทรงที่ซ่อนภายใต้อาภรณ์มิดชิดชัดเจน เขารีบหุบร่มที่กางอยู่
ชายหนุ่มรู้ดีว่าร่มไม่สามารถต้านทานพายุที่โหมกระหน่ำในเวลานี้ได้แน่นอน
ก็ขนาดว่าเขากางร่มมาตลอดทางก็ยังชุ่มโชกไปด้วยน้ำฝนไม่ต่างอะไรกับหญิงสาว ไม่สิ
ควรจะเรียกว่าเด็กสาวมากกว่า
เขาก้มลงช้อนร่างที่สั่นเทาด้วยอิทธิพลของลมหนาวพัดแรงอันไม่ปรานีปราศรัย
ทิ้งสัมภาระรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเพื่อให้ถึงจุดหมาย
และแล้ว คืนนั้นก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเล
วันใหม่มาเยือน เธอผู้นั้นฟื้นขึ้นในบ้านไม้ซอมซ่อ
หากเนื้อที่ภายนอกกินบริเวณกว้าง ซึ่งเป็นที่พักพิงของเขาเอง จากการแนะนำตัว
เธอบอกว่าชื่อ ขนิษฐา แต่ไม่ยอมบอกนามสกุลให้ชัดเจน เพียงให้เขาเรียกเธอว่า ‘นิด’
เท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่คิดอะไรมาก
ทั้งที่คิดว่าหล่อนดูสดใสขึ้น ทว่าในตอนเย็นหล่อนกลับมีไข้สูง
คงเป็นเพราะฝนเมื่อคืนนี้ทำพิษ
พจน์ปฐมพยาบาลโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามใบหน้าหล่อนอย่างอดทนตลอดคืนจนไข้หล่อนลด
หลายวันต่อมา ขนิษฐาแข็งแรงขึ้น มีเรี่ยงแรงพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
ทำให้เขาคิดว่าเด็กสาวคนนี้คงเป็นคุณหนูไม่น้อยเนื่องจากเจ้าหล่อนทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
แถมยังซุ่มซ่ามจนบางครั้งเขาบอกไม่ถูกว่าควรจะโกรธหรือขำดี
“ก็นิดไม่รู้นี่คะว่ามันทำยังไง”
นั่นเป็นเหตุผลยอดฮิตของหล่อนที่นำมาใช้เสมอตั้งแต่ หุงข้าว ทำอาหาร
ล้างจานหรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาคิดว่าผู้หญิงควรจะทำเป็น
“แล้วคุณไม่เคยทำบ้างเลยหรือ
อย่างจานนี่คุณรู้รึเปล่าว่าถ้ามันเป็นจานกระเบื้องหรือแก้ว มันคงแตกไปเป็นโหลแล้ว”
“แต่มันเป็นอลูมิเนียมนี่คะ ยังไงมันก็ไม่แตกหรอก”
หล่อนเถียงหน้ามุ่ย เริ่มงอนขึ้นมา เอากับหล่อนสิ
ตำหนินิดตำหนิหน่อยเป็นต้องแง่งอนอยู่ร่ำไป แต่ประโยคต่อมาหล่อนอ่อนลง
“ถึงงั้น นิดก็ขอโทษด้วยค่ะ ที่มาทำความเดือดร้อนให้ นิดสัญญาว่าจะระวังมากกว่านี้
แต่พี่พจน์อย่าไล่นิดไปเลยนะคะ นิดไม่รู้จะไปทางไหน”
พจน์ยิ้มเล็กๆให้ แล้วใช้มือลูบศีรษะหล่อนเบาๆอย่างพี่ชายพึงกระทำต่อน้องสาว
หากไม่ได้อุปปาานไปเองหรือเขาตาไม่ฝาด เขาคิดว่า
วูบหนึ่งเขาเห็นหยาดน้ำตาคลอที่นัยน์ตา หากวินาทีต่อมามันก็หายไป
“คุณ… เป็นอะไรรึเปล่า” พจน์ถามอย่างไม่แน่ใจ เป็นห่วงหล่อนขึ้นมาในชั่วขณะจิต
“เปล่าค่ะ ไม่เป็นไร”
ขนิษฐาปฏิเสธพร้อมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาเพื่อพิสูจน์ว่าหล่อนไม่เป็นไรจริงๆ
พจน์ยังไม่วายถามย้ำให้แน่ใจ
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
“แน่สิคะ พี่พจน์อย่าห่วงมาเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว” เขาถอนใจโล่งอก “เดี๋ยวผมจะออกไปเก็บผักอะไรหน่อยหนึ่งนะ
พรุ่งนี้จะได้เอาไปตลาดขาย”
“พี่พจน์ปลูกผักขายหรือคะ”
ช่างซักช่างถามจริง เขานึกเอ็นดู
“ใช่แล้ว ก็เป็นรายได้เล็กๆน้อยๆ พอใช้จ่ายไปวันๆหนึ่งเท่านั้น
เพราะข้าวปกติก็มีตุนไว้อยู่แล้ว ส่วนพวกพืชผักก็เก็บกินเอา
เนื้อซื้อบ้างเป็นบางครั้งหรือไม่ก็หาปลาเอาจากแม่น้ำหลังบ้านนี่ล่ะ”
คำอธิบายฟังดูยืดยาว น่าเบื่อ แต่เด็กสาวกลับจ้องเขาตาแป๋ว ทีท่าสนอกสนใจ
“แล้วนี่ นิดเป็นภาระมากไหมคะ” ขนิษฐารู้สึกกังวล รายได้น้อยนิดเพียงเท่านี้
หล่อนยังจะกล้ารบกวนเขาอีกหรือ
“ไม่หรอก อย่างน้อยคุณก็ช่วยดูแลบ้านให้ผมได้”
เขาพูดยิ้มๆ เด็กสาวส่งค้อนให้เขา ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาพูดประชด
ก็หล่อนทำอะไรเป็นที่ไหน
“หึ ประชดนักนะคะ” เด็กสาวว่า “แต่นิดจะพยายามช่วยดูแลบ้านให้ดีแล้วกัน อ้อ
แล้วพี่พจน์เลิกเรียกนิดว่าคุณเถอะค่ะ เรียกนิดว่านิดดีกว่า”
“ตกลง นิดก็นิด”
ขนิษฐาหัวเราะสดใส
ใจหล่อนเป็นสุขอย่างประหลาดทั้งที่เวลาที่ผ่านมามีแต่ความมือดำปกคลุมมาโดยตลอด
ก็เพิ่งจะรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อได้มาอยู่ในบ้านไม้ซอมซ่อหลังน้อยที่ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีนี่เอง
**************************************
จากวันผ่านไปเป็นเดือน ขนิษฐาเรียนรู้งานบ้านต่างๆอย่างรวดเร็ว
และทำได้ดีจนเป็นที่ไว้วางใจของชายหนุ่ม ทุกวัน
ทั้งเขาและหล่อนจะช่วยกันเก็บผักไปขายที่ตลาด ความสดใสน่ารักของเด็กสาวช่วยได้มาก
จากที่แต่ก่อนไม่มีหล่อน กว่าจะขายได้หมดก็มืดค่ำ กลายเป็นยังไม่ทันถึงสองชั่วโมง
ของทุกอย่างก็เรียบในพริบตา
หล่อนร่าเริงและยิ้มง่ายก็จริง แต่เขาก็ยังคงไม่สบายใจ
เขาเคยเห็นบางครั้งหล่อนมีอาการเหนื่อยหอบ หน้าขาวซีด เขาเคยถามหล่อนว่าเป็นอะไร
แต่หล่อนกลับไม่ยอมบอกเขาและไม่ยอมไปโรงพยาบาล ดื้อแพ่งจนเขาเลิกราไปเอง
เช้านี้ ขนิษฐาตื่นเช้าเช่นทุกวัน หล่อนมอไปยังอีกฝากหนึ่งของห้อง ในมุ้งสีขาว
พจน์ยังนอนหลับสนิท เสียงกรนเบาๆเป็นจังหวะ ขนิษฐามองเขา นัยน์ตาหวานแฝงรอยหม่นหมอง
เกือบหกเดือนแล้วสินะที่หล่อนใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านไม้กลางทุ่งที่ไร้เครื่องอำนวยความสะดวก
และต้องทำงานอะไรเองอย่างนี้ ถึงจะเหนื่อยกาย แต่หล่อนก็สบายใจ
และรู้สึกอบอุ่นเหลือเกินยามที่ได้อยู่ใกล้ชายหนุ่มผู้นี้
ตั้งแต่แรก เขาไม่เคยถามคำถามอะไรให้หล่อนลำบากใจทั้งๆที่เขาน่าจะถาม
เช่นหล่อนเป็นใคร มาจากไหน ลูกเต้าเหล่าใคร และอื่นๆอีกร้อยแปดพันเก้า
แต่ก็ไม่เคยถาม กลับกัน เขามีแต่จะสร้างความสบายใจให้กับหล่อน เป็นห่วงเป็นใยสารพัด
สิ่งเดียวที่หล่อนสามารถตอบแทนเขาได้ก็มีแต่ช่วยงานบ้านต่างๆและเป็นเพื่อนคุยให้เขาคลายเหงา
ก็เท่านั้น
น้ำใสๆหล่อนลงบนหลังมือหล่อนเงียบๆ มือน้อยกำแน่น สะกดกลั้นอารมณ์ที่ล้นปรี่
ริมฝีปากบางเม้มตรง ทำไมนะ ทำไมชีวิตหล่อนถึงถูกลิขิตไว้เช่นนี้ คุณพระคุณเจ้า
เจ้าป่าเจ้าเขาทั้งหลาย โปรดช่วยให้ลูกได้อยู่ต่อไป
ได้มีความสุขเช่นนี้ให้นานกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ เวลาของหล่อนเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
อีกแค่ไม่กี่เดือน ไม่กี่เดือนเท่านั้นที่หล่อนจะไม่ได้เห็นหน้าเขาไป…ตลอดกาล
ขนิษฐายกแขนขึ้นปาดน้ำตารวดเร็ว หล่อนจะอ่อนแอไม่ได้ หากหล่อนอ่อนแอ
เวลาที่น้อยนิดก็จะยิ่งหดสั้นเข้าไปอีก หล่อนไม่ยอมหรอก หล่อนต้องเข้มแข็ง ต้องยิ้ม
ต้องคุย ต้องหัวเราะ เพื่อเขา เขาเท่านั้น!
หล่อนล้มตัวลง นอนตะแคงหันข้างให้เขาเมื่อเห็นว่าพจน์ขยับตัว เขากำลังจะตื่น
แต่ตอนนี้หล่อนกำลังร้องไห้ จะให้เขาเห็นไม่ได้เด็ดขาด
“นิด เช้าแล้ว ตื่นเถอะ”
นั่นไง เขามาปลุกหล่อนแล้ว ขนิษฐาแสร้งบิดตัวอย่างขี้เกียจ เปิดนัยน์ตาขึ้นช้าๆ
แน่นอน ตาหล่อนแดง
“นิดเป็นอะไรน่ะ ทำไมตาแดงๆ” เขาถาม ความห่วงใยแฝงไว้ทุกคำพูดจนหล่อนตื้นตัน
น้ำตาพาลจะไหลออกมาอีกหากหล่อนต้องกลืนไว้
“เมื่อคืนนิดนอนไม่ค่อยหลับค่ะ เพิ่งมาหลับตอนใกล้รุ่ง ตาเลยแดงๆอย่างนี้มั้ง”
หล่อนโกหก
“งั้นนิดก็ยังไม่ต้องตื่นแล้วกัน นอนซะให้พอ เดี๋ยวสายๆพี่มาเรียก มีอะไรจะให้ดู
แล้วหยุดเถียงได้แล้ว”
เขาสรุปเอาเองเสร็จสรรพ ไม่ลืมดักคอไว้ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยปาก
ไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตาม เด็กสาวหลับตาลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย
พจน์มองใบหน้านวลนั้นลึกซึ้ง อยากสัมผัสผิวกายหล่อนเล่น แต่ก็ไม่กล้า
ครู่เดียวพจน์ก็เดินออกไป ขนิษฐาหลับตาอยู่อย่างนั้น ไม่อยากให้เขาต้องเป็นห่วง
ไม่นาน หล่อนก็หลับไปอย่างง่ายดาย
“พี่พจน์คะ เมื่อเช้านี้พี่พจน์บอกจะให้อะไรนิดดูคะ”
ขนิษฐาเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ได้ หลังจากรดน้ำต้นไม้ พืชผักสวนครัวเรียบร้อยแล้ว
และขณะนี้ทั้งเขาและเธอต่างนั่งเล่นอยู่บนแคร่ไม่ไผ่ตัวเก่งใต้ต้นพิกุล
กลิ่นหอมอบอวลแผ่กำจาย
“อ๊ะ! พี่บอกอย่างนั้นหรือ” พจน์ทำหน้าตาตื่นตกใจจนเด็กสาวหมั่นไส้
มือบางเล็กที่บัดนี้แห้งกร้านจากการกรำงานมาตลอดเกือบครึ่งปีก็ทุบอั้กลงบนหน้าอกเขา
“โอ๊ย! พี่เจ็บนะนิด” เขาแกล้งร้องเสียงดัง
ขนิษฐาค้อนหน้าคว่ำด้วยรู้ว่าเขาแหย่เล่น
“เอาอีกทีไหมคะ ฮึ นิดไม่ดูแล้วก็ได้” หล่อนสะบัดหน้าหนีงอนๆ
พลางทำท่าจะลงจากแคร่ หมายใจจะกลับบ้าน
แต่พจน์กลับเอื้อมจับข้อมือกลมกลึงนั้นไว้ทัน
“โอ๋… แต่ช้าแต่ อย่างอนเลยน่า พี่ล้อเล่นนิดเดียวเอง”
“ไม่รู้ล่ะ นิดไม่อยากดูแล้ว”
หล่อนพยายามดึงมือออก หากไม่ได้ผล แถมจังหวะที่หล่อนดึงออก
กลับถูกเขากระชากกลับเข้ามา เด็กสาวเสียหลัก
ล้มลงปะทะกับแผงอกอันเต็มไปด้วยมัดกร้ามตามแบบหนุ่มบ้านนาอย่างจัง
เขาฉวยโอกาสนั้นโอบกอดหล่อนไว้ ร่างเล็กในอ้อมแขนดิ้นรน หน้างามนั้นแดงก่ำ
หล่อนบอกไม่ถูกว่าตื่นเต้น ตกใจ อายหรือดีใจกันแน่ แต่ที่แน่ๆตอนนี้
ในอ้อมกอดเขาอบอุ่นมาก แต่หล่อนเป็นผู้หญิง มันไม่ควร
“พี่พจน์ อย่าทำอย่างนี้ค่ะ มันไม่ดี” หล่อนร้องขึ้น ทว่า
พจน์กลับคว้ามือขวาหล่อน บังคับให้นิ้วทั้งห้ากางออก
แล้วสวมสิ่งหนึ่งลงบนนิ้วนางรวดเร็ว
ขนิษฐาหยุดดิ้นเป็นปลิดทิ้ง พินิจดูสิ่งแปลกปลอมนั้นอย่างตื่นตะลึง
ใจหล่อนเต้นไม่เป็นส่ำ ให้ตายสิ
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งใดที่จะทำให้หัวใจหล่อนเต้นแรงได้ถึงขนาดนี้
แหวนกลมกลึงสีเขียวจากใบหญ้า
แซมด้วยดอกไม้แห้งสีสวยเล็กๆน่ารักประดับบนนิ้วหล่อนเป็นประจักษ์พยานว่าคนทำตั้งใจทำเพียงใด
ฝ้าน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างตื้นตันใจ เด็กสาวทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก “พี่ให้นิด”
เขาเอ่ยนุ่มนวล หยุดความคิดที่สับสนอลหม่านของหล่อน “พี่อยากให้นิดมานานแล้ว
แต่ไม่มีโอกาสสักที”
“พี่ให้นิด..ทำไมคะ” ขนิษฐากลั้นใจถามออกไป หล่อนไม่อยากคิดไปเองอีกแล้ว
แทนคำตอบ พจน์จรดจมูกลงที่กลุ่มผมสีดำขลับของหล่อน
กิริยาอาการเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน เสน่หา
“พี่รักนิด พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพราะงั้น
พี่ถึงไม่กล้าถามเรื่องทางบ้านของนิดให้มากมายนัก พี่กลัว กลัวว่าพี่จะเสียนิดไป
พี่คงเห็นแก่ตัวมากสินะ”
ขนิษฐาหลับตาลง หยาดน้ำตาแห่งความปีติหยดระรินลงสองข้างแก้ม
เอนกายพิงอกแข็งแกร่งของเขาอย่างอิ่มเอมใจ สารภาพกับเขาอายๆ
“นิดก็…รัก…พี่พจน์ค่ะ นิดจะไม่ไปไหนทั้งนั้น นิดจะอยู่ อยู่จนกว่าวินาทีสุดท้าย”
ท้ายประโยคแผ่วไป ในความสุขเหลือล้นนี้ ซอกหนึ่งกลับขมขื่นเกินพรรณา
แม้ว่าพจน์จะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงไว้ แต่เขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว
กระชับกอดร่างน้อยนี้ไว้แน่น
ยิ่งหวงแหนหล่อนมากขึ้นเมื่อรู้ว่าทั้งเขาและเธอใจตรงกัน
“พี่สัญญา ว่าพี่จะรักนิดตลอดไป!”
***********************************
หน้าห้องฉุกเฉิน กลุ่มคนประมาณ 2-3 คน นั่งรอคอยอย่างกระวนกระวาย
จวบจนคณะแพทย์พากันทยอยออกจากห้อง ชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าเนื้อดี
หน้าตาเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านก็ถลันเข้าไปทันที
“อาหมอ ยัยนิดเป็นไงบ้าง!”
‘อาหมอ’ เหลือบสายตามองสตรีวัยกลางคนที่อ่อนระโหย ต้องพึ่งยาดมอยู่ตลอดเวลา
ความสงสารเห็นใจผุดขึ้นในแววตา
“คุณชัย บอกมาเถอะค่ะ ฉันฟังได้”
เสียงแผ่วเบาดังขื่นๆ พอจะทราบเลาๆถึงชะตาบุตรีได้ไม่ยาก พลชัยถอนหายใจ
ฝืนบอกความจริงอันโหดร้ายออกไป
“อาการของคุณนิดน่าเป็นห่วงมาก หัวใจอ่อนแอเหลือเกิน ภายในสัปดาห์นี้
หากไม่มีหัวใจเปลี่ยน ผมก็จนใจครับ”
น้ำตาคนเป็นแม่หยดลงเงียบๆ
อะไรจะร้ายกาจเท่ากับต้องรอทำศพลูกตัวเองโดยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
“แม่!” เชษฐา ลูกชายคนโตเข้าโอบประคองคุณนาราเอาไว้
ตัวเขาเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าแม่ แต่เพราะเขาเป็นบุตรชายคนโต
เป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อที่เสียไป เขาจะเอนล้มไม่ได้
“เราต้องมีทางสิครับแม่ เราต้องไม่เสียนิดไป” เชษฐาพยายามปลุกปลอบ แต่ไม่ได้ผล
ทั้งเขาและคุณนารารู้ดีเท่าๆกันว่าแม้จะทุ่มเทเงินทองขนาดไหน
หัวใจของน้องก็ยากเกินกว่าจะหามาเปลี่ยนได้
“อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยเชษฐ์” เสียงสั่นเครือเอ่ย
“ลูกก็รู้อยู่ว่าอะไรคือความจริง กรุ๊ปเลือดของน้องพิเศษเกินไป”
“แต่…”
“อย่าพูดอีกเลยนะเชษฐ์ แม่ทำใจมานานแล้วว่ามันต้องมีวันนี้!” คุณนาราขัด
นางรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีวันนี้!!
พจน์ไม่ได้ปริปากออกมาแม้สักคำ คำสนทนาชัดเจน ใบหน้าที่เฉยเมย
ใครเล่าจะรู้ได้ว่าภายใต้ความเฉยเมยนั้น แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเพียงใด
หลังจากวันนั้น วันที่ทั้งเขาและหล่อนรู้ใจกันและกัน ต่อมาอีกไม่ถึงสองเดือน
หล่อนก็เป็นลม หน้าซีดเผือดจนเขาตกใจ ในมือกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ ใช่
หล่อนรู้ตัวดีมาตลอด ร่างไร้สติถึงมือแพทย์ในสองชั่วโมงต่อมา และไม่นาน
หล่อนก็ถึงกรุงเทพด้วยความช่วยเหลือจากพี่ชายและแม่ รวมทั้งรพ.กิตติพงศ์
ที่ครอบครัวหล่อนเป็นเจ้าของ
“คุณหมอครับ” พจน์เรียกพลชัยสุภาพ หมอจึงเชิญเขานั่นตามมารยาท
ชายหนุ่มเปิดปากถามเรียบๆ เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ไม่ทราบว่าคุณขนิษฐากรุ๊ปเลือดกรุ๊ปไหนครับ”
พลชัยจ้องหน้าพจน์อย่างพิศวง แต่ก็ตอบโดยดี
“กรุ๊ป เอบี อาร์เอชลบ!!”
ชายหนุ่มใจหายวาบ อาร์เอชลบหรือ ในประเทศไทย พันคนจะมีสักคนได้กระมัง
“คุณเข้าใจใช่ไหม” พลชัยถามเสียงขรึม สีหน้าหนักใจ พจน์พยักหน้ารับ
หากคราวนี้เขาไม่ได้เจ็บปวดอย่างตอนแรกอีกแล้ว ตรงข้าม
เขาโล่งใจจนมีรอยยิ้มออกมาได้ อีกครั้งที่ผู้เป็นหมอตั้งพิศวง
“คุณหมอกรุณาช่วยผมอย่างหนึ่งได้ไหมครับ“
**********************************
ใต้ต้นพิกุลต้นใหญ่ที่คุ้นเคย
ร่างแน่งน้อยกึ่งนั่นกึ่งนอนพิงลำต้นแข็งแรงที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่นเป็นนิจ
ดวงตาหวานนั้นเหม่อไร้จุดหมาย ความทรงจำครั้งเก่าก่อนตอกย้ำ ทั้งความสุข ความเศร้า
หากทั้งหมดไม่มีความเหงาเข้าแผ้วพาลตราบใดที่มีเขาอยู่เคียงข้าง
‘คุณพจน์มีกรุ๊ปเลือดตรงกับนิด เขาตัดสินใจบริจาคหัวใจเขาเพื่อนิด’
นี่คือคำพูดของพี่ชายที่อธิบายหล่อนยามที่หล่อนร้องถามหาเขาหลังการผ่าตัดมาแล้วหนึ่งสัปดาห์
ข้างกายหล่อน ซองจดหมายฉบับหนึ่งเปิดอ้า
บอกให้รู้ว่าข้อความข้างมนได้ผ่านสายตาเด็กสาวแล้ว และขณะนี้
กระดาษสีขาวแผ่นนั้นอยู่ในมือหล่อน
ข้อความในกระดาษเป็นความจริงที่หล่อนปฏิเสธไม่ได้
ไม่มีเขาอีกแล้วในโลกนี้!! หล่อนอยากร้องไห้ แต่น้ำตาหล่อนกลับไม่ไหลรินอีกต่อไป
ในเมื่อชายอันเป็นที่รักยอมสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อหล่อน เช่นนี้แล้ว
หล่อนจะมีหน้ามาร้องไห้คร่ำครวญได้อีกหรือ
เด็กสาวหมุนแหวนสีเขียวในมือเล่นอย่างใจลอย
พุ่มไม้สั่นไหวด้วยแรงลม พัดดอกพิกุลร่วงลงมา แววตาของหล่อนไม่หมองอีกต่อไป
แปรเปลี่ยนเป็นสดใส น้ำหล่อเลี้ยงนัยน์ตาชุ่มชื่น ไม่แห้งผากอย่างที่ผ่าน
หัวใจเขาอยู่กับหล่อน หล่อนจะเก็บรักษาหัวใจดวงนี้ให้ดีที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ
พี่พจน์
ขนิษฐาเดินจากไปแล้ว ลมเย็นพัดขึ้นอีกวูบ
พากระดาษสีขาวที่วางทิ้งไว้บนแคร่ลอยปลิวลงมาจนเห็นข้อความในกระดาษ
“พี่รักนิด”

fw mail



Create Date : 06 กันยายน 2550
Last Update : 6 กันยายน 2550 20:41:58 น.
Counter : 609 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend