แชร์ประสบการณ์ Work&Travel อันยากจะลืมเลือนค่ะ Vol.3

ลืมเรื่องบัตรโทรศัพท์ไปเลย เราซื้อในงานที่ acadex จัดอะ เปนของ อารายก้อไม่รู้อ่ะคะ 700 บาท โทได้ 20$ ถ้าโทภายในเมกาจะ 85 cent ต่อนาที แต่ว่าถ้าโทข้ามก็ ดอลกว่าๆ มั้งคะ แต่เวลาโทรกลับบ้านเนี่ย จะโทเข้ามือถือ เพราะฉะนั้นก็จะแพงกว่าอีก เราเอาไปทั้งหมด 3 ใบค่ะ เนื่องจากต้องโทหาที่บ้านบ่อยๆ แถวเพื่อนๆก็กำชับด้วยให้โทไปหาบ้าง สำหรับผู้ชาย 2 ใบก็อยู่ค่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายมันใช้ไม่หมดอะ แต่เราใช้ไม่พอ ต้องฝากเพื่อนที่เมืองไทยซื้อให้อีก 2 ใบ

สำหรับโทรศัพท์ที่ใช้ที่นั่น เนื่องจากว่าเราขี้เกียจเปลี่ยนซิมมือถือที่เราพกไป เราก็เลยซื้อ go phone ค่ะ ของ at&t เหมือนพวก dprompt สมัยก่อนอะ เครื่องละ 25$ แล้วก็ค่อยเติมเงินเอา แต่ขอบอกค่ะว่า ไม่เวิร์คเลย
เพราะโปรโมชั่นของเราเนี่ย คือโทหาเครือข่ายเดียวกันฟรี แต่ว่าถ้ามีการโทออกรับสายในวันไหน วันนั้นก็จะต้องจ่าย 1 $ ถ้าโทหาเครือข่ายอื่น นาทีละ 10 cent แล้วก็ อย่าลืมนะคะว่าที่เมกา โทออกหรือรับสาย เสียเงินทั้งนั้นค่ะ

จะขอแนะนำโปรโมชั่นที่เพื่อนใช้แทนละกันนะคะ เป็นของ t mobile ค่ะ บุฟเฟ่ต์โทตอนกลางคืนฟรี ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายไหนก็ตาม ไม่แพงด้วยค่ะ ลองหาดู คุ้มมากๆ


แล้วก็มาถึงเรื่องซักผ้านะคะ เนื่องจากอากาศที่นั่นไม่เหมือนเมืองไทย เสื้อพนักงานเราก็ใส่ อาทิดนึง ซักทีนึงค่ะ ส่วนกางเกงเราใส่สองตัวต่อ อาทิตย์ เพราะไม่มีเหงื่อออกด้วย ก็เลยไม่เหม็นค่ะ พอถึงวัน off ก็จะรวบรวมเสื้อผ้าของทุกคนไปหยอดเหรียญเครื่องซักผ้าที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของ apartment อะ 1.50$ ส่วนผ้าเช็ดตัวอย่าซักรวมกับเสื้อผ้านะ เด๋วขนมันติดกางเกงอะ แล้วก็เนื่องจากว่าที่นั่นเค้าไม่มีที่ตากผ้าให้ เราจึงจำเป็นที่จะต้อง อบแห้งด้วย ก็มีเครื่องอบให้เหมือนกัน ราคาเท่ากัน แต่ว่าควรวางแผนให้ดีๆ เสื้อผ้าที่แห้งง่ายๆ เราก็เฉลี่ยกันไปกับพวกที่แห้งยากๆ และที่สำคัญมากๆ กางเกงยีนส์ห้ามอบแห้งเด็ดขาด หลังจากเรา prove แล้วว่า การอบแห้ง มันทำให้กางเกงเล็กลง แล้วถ้าเราอ้วนขึ้นอีก งานเข้าแน่ๆ เพราะ size เสื้อผ้าที่นั่นไม่ค่อยจะพอดีกับเราสักเท่าไหร่หนัก
มาพูดถึงเรื่องบัตร isic กันมั่ง หรือ international student identity card มั้ง เราถือว่าคุ้มพอสมควร เพราะสำหรับเมืองเราทำให้ขึ้นรถบัสได้ฟรี 250 บาทเอง แล้วถ้าเราไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะมีส่วนลดสำหรับนักเรียนด้วย อย่างเช่นตึก Empire State ก็ลดราคาให้ เราสมัครในงานปฐมนิเทศของ acadex อะ หรือใครที่ไม่ได้ไป ในงาน สามารถสมัครได้ ลองเข้าไปดูที่ //www.isiccard.com นะคะ แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าจะมีประโยชน์มั้ย สำหรับคนที่ไปทำงานคนละเมืองกับเรา เพราะเพื่อนเราที่ไปทำงานอีกที่หนึ่ง ไม่ได้ใช้เลยค่ะ แล้วก็ร้านอาหารบางร้านมีส่วนลดสำหรับนักศึกษานะคะ แค่โชว์บัตรให้เค้าดูตอนจ่ายตัง แล้วก็ถามว่า นักเรียนลดมั้ยน่ะคะ เพราะปกติทางร้านเค้าจะไม่ลดให้ ถ้าไม่ถาม อย่าง ihop เนี่ย ลดให้ 10% ค่ะ


เรารู้สึกโชคดีมาก เพราะที่เมืองของเราอะ มีคนไทยใจดี คนไทยคนแรกที่รู้จักเปน cook ค่ะ อยู่ร้านอาหารไทย บางครั้งก็มาทำอาหารไทยให้กิน ที่บ้านเค้ามีหมูยอ มีปลาทู เครื่องปรุงไทยๆ เค้าก็เอามาให้ เลี้ยงเบียร์อีกต่างหาก แล้วก็มีลูกค้าที่เป็นคนไทยด้วยค่ะ ตอนนั้นกำลัง วุ่นๆ เลยแล้วแบบว่าได้ยิน ภาษาไทยตอนเดินผ่านโต๊ะนึง ตกใจค่ะ ภาษาบ้านเกิดพอเลิกวุ่น ก็เลยเดินเข้าไปยกมือสวัสดีค่ะ แล้วก็คุยกันตามประสาคนไทย พี่เค้าก็ให้เบอร์ติดต่อไว้ เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือ แล้วคือโต๊ะนั้นเด็กเสิร์ฟฝรั่งเป็นคนดูแลค่ะ พอคนไทยวางทิปไว้ให้เราก็แอบเห็นว่า อุ้ยน้อยจัง คิดอยู่ในใจว่า ก็เงี้ยแหละคนไทย ครั้งต่อๆมา เวลาเค้ามาที่ร้าน เราก็ไม่ได้ เสิร์ฟให้เค้าสักที เพราะโต๊ะเราเต็มตลอดเลย เค้าก้อแบบว่าเนี่ย เสียดายจัง เลย อยากให้เราเป็นคนเสิร์ฟให้ เพราะคนไทยด้วยกัน เราก็คิดในใจ ดีแล้วแหละ ดูแย่เนอะเรา แต่ทำไงได้ วันนั้นเปนวันที่เราทำเงินได้ดี เราก็เลยไม่ค่อยอยากจะเสียโอกาส และแล้ว ประมาณอาทิดเกือบสุดท้ายที่เราทำงาน ก็ได้เสิร์ฟให้เค้าจนได้ คราวนี้กลุ่มคนไทย เหลือแค่สองคนมาค่ะ เราก็ดูแลตามปกติ พอเค้าจากไป ทิ้งทิปไว้ให้ เราก็เดินไปดูเห็นแบงค์ 5 $ ปุ๊ป ก็เซ็งนิดหน่อยแต่พอ หยิบออกมา ปรากฏว่าซ้อนกันอยู่ 2 ใบค่ะ ให้คนละ 5 $ เรานี่ลัลล้าเลยอะ สงสัยคงเพราะว่า เป็นคนไทยด้วยกัน ก็เลยให้เยอะมั้งคะ รู้งี้หาโต๊ะว่างๆ เสิร์ฟเค้าตลอดดีกว่า


สำหรับเรื่องที่ทุกคนสนใจ อีกเรื่องก็คงเป็น second job ใช่มั้ยคะ ถึงแม้เราจะไม่มีประสบการณ์ตรงสำหรับ second job เพราะความขี้เกียจส่วนตัว แต่พี่ที่ไปด้วยกัน เค้ามีถึง third job เลยค่ะ ก็เลยจะเล่าให้ฟัง ในส่วนนี้ คือ ตำแหน่งของพี่เค้าเป็น hostess ค่ะ ดังนั้น เวลาทำงานจึงน้อยกว่าของเรา แล้วเงินก็จะได้น้อยกว่าเรา ดังนั้นพี่เค้าก็เลยต้องดิ้นรนหาเงินเพิ่มค่ะ สำหรับพวก burger king , Mc , starbucks หรือตามร้านดังๆ จะยากหน่อยสำหรับการสมัคร พี่เค้าเน้นไปที่ร้านเล็กๆน่ะค่ะ เพราะจะไม่ค่อยมีคนมาสมัคร ไม่ต้องแย่งกับพวกฝรั่งเจ้าของภาษา งานแรกที่พี่เค้าได้คืองานล้างจาน หลังจากที่เลิกงานที่ ihop ตอนบ่ายสอง ก็ต้องนั่ง bus ไปที่ร้านอาหารสไตล์ mediteranian ที่ downtown ค่ะ ล้างจาน เฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์ เหนื่อยมากค่ะ พี่เค้าบอกมา แต่ว่าได้วันละ 60 $ มั้งคะ ทำงานแค่ ห้าโมงเย็นถึงสี่ทุ่มมั้ง แล้วเจ้าของร้านก็มาส่งที่บ้านด้วย อีกงานหนึ่งก็คือ ผู้ช่วยกุ๊กค่ะ ถ้าจำไม่ผิดได้ชั่วโมงละ 8$ มั้ง คอยหั่นผัก ล้างผัก อารายประมาณนี้ ทำอาทิดละสามวัน สำหรับร้านอาหารไทยนะคะ ลองเข้าไปถามดูได้ เมืองเรามีร้านอาหารไทยสองร้าน ร้านแรกถามคุนพี่ กุ๊ก แล้ว เค้าบอกว่าตำแหน่งเต็ม ก็เลยไม่รับ ส่วนอีกร้านหนึ่งปิดปรับปรุงอยู่ ก็เลยสมัครไม่ได้ แต่ประมาน สามอาทิดก่อนกลับ ร้านเปิดค่ะ แล้วเค้าก็เข้ามาทานอาหารที่ ihop หาเด็กเสิร์ฟไทย ก็คือพวกเรา ว่าสนใจจะทำงานพิเศษที่ร้านเค้ามั้ย เค้าต้องการคน แต่พวกเราได้แค่ไปช่วยไม่กี่วันเท่านั้นเอง เพราะว่าจะกลับแล้ว พี่เค้าเลยไม่จ้าง ให้เป็นแค่ part time มาเฉพาะวันที่คนเยอะๆ ได้ 50$ ทำตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม ค่ะ แต่คนไทยจะเคี่ยวนิดนึงนะคะ ก็ดูดีๆละกัน

สำหรับธนาคารที่เราฝากเงิน เราเลือก Wachovia เพราะว่า มันได้เงิน 25$ ถ้ามีเพื่อน refer มาน่ะค่ะ เพื่อนฝรั่งเค้าให้มาใบนึง แล้วเราก็เอาใบเปิดบัญชี เราก็จะได้ 25 เพื่อนก็จะได้ 25 $ แล้วเราก็ refer ไปให้เพื่อนเรา เราก็จะได้อีก 25 เพื่อนก็จะได้อีก 25 ทำต่อกันเป็นทอดๆ เลือกสมัครแบบ free account นะคะ เพราะไม่เสียค่าธรรมเนียม ได้บัตรเดบิตไว้มารูดปรื๊ดๆ ด้วย แล้วก็ตอนที่จะกลับเมืองไทย ห้ามใช้คำว่า close account นะ เพราะว่าพวกเราเปิดบัญชีกันไม่เกินสามเดือน ดังนั้นเค้าจะคิดค่าปิดบัญชี ให้บอกเค้าไปว่า ถอนออกมาหมด อย่าปิด เพราะต้องเสียตัง 25 $ ซึ่งก็แพงอยู่นะ แต่ถ้าจะเอา bank ที่มีสาขาเยอะๆหน่อย เอาไว้สำหรับการไปต่างเมือง ก็ควรจะสมัคร Bank of America อะ สาขาเยอะ


อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของเรานะ คือเราคิดว่าการที่เราไป work & travel สำหรับเราคือไปเอาประสบการณ์ ไม่ได้ไปหาเงิน แล้วที่บ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจหรือรักสบายนะ แต่เราคิดว่า ถ้ามีโอกาสไปอยู่เมืองนอกแล้ว ทำไมไม่ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า มัวแต่ทำงานหาเงินงกๆๆ แล้วจะได้อะไร ก็ได้แค่เงินกลับบ้าน คือเราก็เคลียร์กะที่บ้านแล้วว่า อาจจะไม่ได้คืนเงินนะ พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่า จะทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กิน ไม่ต้องห่วง จะเที่ยวก็เที่ยว เราก็เลยตั้งใจทำงาน first job ของเราให้ดี เก็บเงินเยอะๆไว้ไปเที่ยว แล้วก็ เวลาที่ว่างนอกจากทำงานก็ไปเที่ยวเล่นให้ทั่วเมือง หาประสบการณ์ ฝึกภาษาอังกฤษ ให้คล่องๆ พอช่วงหลังๆ เพื่อนๆเราที่คิดไม่เหมือนเรา ก็เริ่มแบบว่าเปลี่ยนแนวคิดมาเปนแบบเรา เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่า ไหนๆก็มาถึงเมกาแระ ตั๋วเครื่องบินก็แพง จะมัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในร้านได้ยังไง กลายเป็นว่าทุกคน พร้อมจะเที่ยวค่ะ แต่แนวคิดเรา เราไม่แนะนำสำหรับคนที่ได้งานที่ได้เงินน้อยๆนะ เพราะเดี๋ยวจะมีเงินไปเที่ยวไม่พอ แล้วจะลำบากมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เดินทางคนเดียว เพราะค่าใช้จ่ายอาจจะสูงกว่าไปหลายๆคนที่จะได้แชร์กัน

เนื่องจากว่าปกติวัน off ของพวกเราจะเป็นวันที่ร้านไม่ค่อยมีคนมากิน ซึ่งก็คือวันอังคารและ วันพุธ ดังนั้นเราจึงวางแผนที่จะไปเที่ยว เมืองหลวงของอเมริกาสักหน่อย เพื่อนๆทุกคนว่างเกือบจะตรงกัน ดังนั้นจึงเลือกวันที่ 1 – 2 เมษาในการเดินทาง และด้วยความช่วยเหลือจากพี่ agency ของ acadex ซึ่งก็คือพี่จิ๊บ มาเยี่ยมพวกเราพอดี แล้วจะแวะไปเยี่ยมคนอื่นที่ DC เราจึงติดรถไปด้วย หลังจากวางแผนการเดินทาง จึงสรุปได้ว่า มีเรา แล้วก็เพื่อนผู้ชายอีกสองคน ไปรถพี่จิ๊บตอนเย็นวันที่ 1 ส่วนเพื่อนๆที่เหลือจะนั่งรถของคนไทยที่รุจักกัน ตามไปตอน ห้าทุ่ม เพราะมีเพื่อนคนนึงต้องทำงานคืนนั้นถึงสี่ทุ่ม พอพี่จิ๊บมาถึงที่ apartment พี่เค้าก็สอนวิธีการใช้ //www.priceline.com ให้เป็นประโยชน์ ก็เลยจะมาแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักวิธีการใช้กันนะคะ

ที่หน้าแรก กดปุ่มตรง bid now ที่ชี้ไว้น่ะค่ะ



ต่อจากนั้น จะขึ้นหน้าต่างนี้มา ให้พิมรายละเอียดลงไปค่ะ แล้วกด bid now


แล้วก็เลือกโซนที่ต้องการนะคะ ระดับดาวของโรงแรม แล้วก็ราคาที่เราต้องการค่ะ สำหรับ DC เราเอา 3ดาวครึ่งค่ะ แล้วก็ 60 $ ส่วนโซน ที่แนะนำก็คือ 5,8,9 และ 13 เพราะไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวมากเกินไปนักค่ะ แล้วก็พิมรายละเอียดของชื่อคนจองด้านล่างของหน้านั้นนะคะ เนื่องจากว่ามีข้อจำกัดว่าต้องอายุมากกว่า 21 ค่ะ ทาง โรงแรมจะไม่ให้คนทีอายุต่ำกว่า 21 check in ค่ะ จากนั้นก็กด next



ก็จะได้ประมาณนี้ ส่วนช่องเล็กๆข้างล่างของหน้านั้น ก็ให้พิมตัวอักษรอะไรก็ได้



แล้วก็กด next แล้วก็พิมรายละเอียดให้เรียบร้อย รวมถึงบัตรเครดิตที่จะใช้ตัดเงินด้วย


แล้วก็กด buy my hotel room now ซึ่งหลังจากกดปุ่มนี้แล้ว จะไม่สามารถแก้ไขอารายได้ เนื่องจากทางเว็บจะ random โรงแรมตาม spec ที่เราเลือกเอาไว้ให้มาเรียบร้อย แล้วจะตัดเงินจากบัญชีไปในทันที ดังนั้นควรตรวจทานข้อมูลให้เรียบร้อย แต่ถ้าปรากฏว่ามันขึ้นมาว่า ไม่สามารถให้ราคานี้กับคุณได้ ก็เปลี่ยนราคาไปเรื่อยๆ อีกสักหน่อย ก้อจะได้เอง จากนั้นก็ print reservation ออกมา หรือ จด reservation number ไว้ เอาไว้ตอนไป check in อย่าลืมพกบัตรเครดิตและpassport ไปด้วย
ขอบอกว่าเราปลื้มเว็บนี้มากๆเพราะทำให้เราได้ที่พักดีๆ และราคาถูก ครั้งที่ bid ที่พักใน DC เราได้พัก Marriott นะ ตอนแรกที่ไป check in คือเราจองเอาไว้ 3 ห้อง เราก้อบอกพนักงานว่าเราต้องการ double bed ทั้งหมด 3 ห้องเลย แต่เนื่องจากทางโรงแรมไม่มีห้อง double bed เหลือ พี่พนักงานสุดสวย ก็เลย offer ห้อง suite ให้ เป็นห้องใหญ่มาก สามห้องนอน มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักผ้า ให้ด้วย ส้มหล่นมากค่ะ พอเรากลับมาเราลอง search ดู ปรากฏว่าห้องที่เราไปพักเนี่ย คืนละ ครึ่งแสน ได้มั้ง หรูมาก เสียดายพักแค่คืนเดียว
นี่ค่ะ รูปห้องพักสุดหรู



ห้องนั่งเล่นรวม





ตอน check in ก็ขอแผนที่ DC เอาไว้ แผนที่อันนี้ เวิร์คมาก แต่เนื่องจากมันใหญ่อ่ะ เลยไม่สามารถสแกนให้ดูได้ ขอ เอารูปมาจากอินเทอร์เน็ตละกานนะคะ



เหนจุดแดงๆที่เรา mark ไว้มั้ยคะ อันนั้นคือสถานที่ที่ห้ามพลาดค่ะ จะเห็นว่ามันจะกระจุกอยุ่บริเวณเดียวกันหมดเลย เพราะฉะนั้นการเดินทางจึงใช้ การเดินค่ะ สำหรับตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดินแบบรายวันไม่คุ้มค่ะ เพราะระยะห่างของแต่ละที่มันนิดเดียว ถึงแม้จะขึ้น subway ก็ต้องเดินพอๆกานอยู่ดี เพราะฉะนั้นรองเท้าต้องแบบสบายๆนะคะ คำแนะนำพิเศษค่ะ ให้ไปช่วงวันเดียวกับที่เราไปนะ เพราะเป็นช่วงที่ดอกซากุระบาน รอบสระน้ำตรง Jefferson Memorial เหมือนอยู่ ญี่ปุ่นเลย ช่วงเราไปนี่เริ่มจะเหี่ยวแระ แต่ยังสวยอยู่
เราเริ่มออกจากโรงแรมตอนประมาณ ทุ่มกว่าๆ พี่จิ๊บขับรถออกมาส่งที่ china town เพราะว่าเค้าต้องไปหาเด็กเวิร์คคนอื่นต่อ แล้วจะกลับมาดึกๆ เราสามคนก็เลยเข้าไปกินร้านที่พี่เค้าแนะนำ



ถือว่าโอเคนะมือนี้ เป็ดย่างตัวละ 11 $แล้วก็ ราดหน้าหมี่กรอบอีกจานประมาน 5 $ ตกคนละ 5$ อยู่ท้องค่ะ เป็ดหนังกรอบมากกกก อร่อยดี แล้วก็ถึงเวลาตระเวนราตรีแล้วค่ะ
สถานที่แรก subway สถานี china town ค่ะ



ตุ้ขายตั๋วค่ะ



ภายในสถานี


ทะลุขึ้นมาใกล้ ๆกับ Washington Monument เดินไปเรื่อยๆก็เจอค่ะ เพราะมันโดดเด่นมาก หลายๆคนอาจจะคุ้นๆ ก็ไอ่แท่งนี้แหละคะ ที่หักในเรื่อง 2012





แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึง World War II Memorial ค่ะ สวยมากๆๆๆ




ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ นั่นคือ Lincoln Memorial ค่ะ ใครไม่รุจักบ้างคะ คนนี้ Abraham Lincoln ที่เปนคนเขียน คำประกาศอิสรภาพของอเมริกาค่ะ ภายในนั้นก็มีสลัก คำประกาศอิสรภาพไว้ พยายามยืนอ่านอยู่นาน แต่ว่าแปลไม่ออกค่ะ ไว้จะหารูปมาลงให้ดูนะคะ
ขยายภาพค่ะ Lincoln Memorial



แล้วก็ถ่ายกลับไปทางที่เดินมาค่ะ
สระน้ำที่เห็นเรียกว่า reflection pool ค่ะ
เสร็จแล้วพี่จิ๊บก็กลับมารับพวกเราที่นี่ แล้วก็ไปโรงแรมค่ะ เนื่องจากเที่ยงคืนแล้ว ต้องพักผ่อนบ้างอะไรบ้าง




Create Date : 27 ธันวาคม 2552
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 19:40:58 น. 3 comments
Counter : 551 Pageviews.

 
ที่แล้วมาขอให้ผ่าน
กาลเวลากำลงเริ่มต้นใหม่
ขอเป็นดั่งกำลังใจ
ให้ก้าวในปีต่อไปไม่ทุกข์ทน
ที่ผ่านมาอาจลำบากเจอเรื่องยากใจหมองหม่น
นั่นเป็นการทดสอบความเป็นคน
อีกไม่นานความหม่นจะจางไป

ต่อไปนี้จะขอเริ่มมาเต่งเติมชีวิคใหม่
จะไม่เศร้าเหงาต่อไปมีหัวใจเป็นเดิมพัน


โดย: chabori วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:20:26:37 น.  

 
กางเกงยีนส์ไม่อบแห้ง
แล้วแห้งได้ไงจ๊ะ


โดย: p_tham วันที่: 28 ธันวาคม 2552 เวลา:0:44:34 น.  

 



โดย: หนึ่งลมหายใจ วันที่: 3 มกราคม 2553 เวลา:19:50:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 
 

iamdiablo
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add iamdiablo's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com