ได้เวลาสมัครเรียน

พอรู้แล้วว่า "ตนเองอยากเรียนอะไร" ทีนี้ได้เวลาในการตระเวณหาว่า มีมหาวิทยาลัยไหนบ้างมีคอร์สที่เราอยากเรียน และคุณสมบัติเราตรงตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ (ในกรณีที่ต้องเสียค่าสมัคร เพื่อจะที่ไม่ต้องเปลืองเงินโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าไม่คิดค่าสมัคร ก็ส่งๆไปเถอะครับ)ในส่วนของผมได้ List คอร์สและมหาวิทยาลัยที่อยากเรียนสรุปได้ดังนี้ (มองเผื่อทางอื่นนอกจาก St Andrews)

  1.  International Business, University of St Andrews
  2.  International Business and Emerging Markets, University of Edinburgh
  3. International Business, University of Strathclyde
  4.  Management, Imperial College London
  5.   Management, Univercity City London
  6.  International Management, King's College London
  7.   International Business, Lancaster University
  8.  International Business and Strategic Management, University of York
  9.  International Business, University of Leeds
  10.   International Business Management, University of Newcastle
  11.  International Business and Management, University of Manchester

นี่คือ 11 มหาวิทยาลัยที่ผมตั้งใจจะสมัคร จากนั้นผมจึงมาพิจารณาเพิ่มเติม โดยตัดมหาวิทยาลัยที่ผมไม่เอาแน่ๆออกก่อนคือ 3 University of London (Imperial College London (ICL), University City London (UCL) and King's College London (KCL)) ออกเนื่องจากเมื่อคิดดูแล้ว ค่าเทอมทั้ง 3 มหาวิทยาลัยนี้แพงกว่า รวมถึงค่าครองชีพที่มากกว่าเมืองอื่นมาก นอกจากนี้ หนึ่งในสามมหาวิทยาลัยนี้ที่ผมอยากเข้าที่สุด ก็ไม่สามารถเข้าได้ นั่นคือ ICL หลังจากพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของ ICL ทราบว่า เนื่องจากหลักสูตรของที่นี่เป็นแบบ Conversion กล่าวคือจะรับนักเรียนที่เรียนสายอื่นมาก่อนแล้วเท่านั้น ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ผมสมัครอีกหลักสูตรนึงคือ MSc Economics and Strategy for Business ซึ่งผมก็ให้ความสนใจ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่หลักสูตรนี้เพิ่งเปิดเป็นปีแรก ผมจึงไม่ให้ความสนใจมากนัก เนื่องจากไม่อยากเป็นผู้บุกเบิก และพบกับความไม่พร้อมเท่าไหร่ จากนั้นมหาวิทยาลัยลำดับต่อมาที่ผมตัดคือ University of Manchester จริงๆแล้วผมอยากเข้ามหาวิทยาลัยนี้มาก เพราะมีชื่อเสียงในระดับโลก แต่เนื่องจากต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสมัคร ทำให้ผมอาจเกิดความลำเอียงและเลือกมหาวิทยาลัยนี้ ตอนเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นเพราะเสียค่าธรรมเนียมในการสมัคร

หลังจากที่ตัดมหาวิทยาลัยข้างต้นทำให้ผมเหลือมหาวิทยาลัยที่จะสมัครได้แก่ University of St Andrews, University of Edinburgh, University of Strathclyde, University of Leeds, Newcastle University, Lancaster University และ University of York

 




Create Date : 06 เมษายน 2555
Last Update : 6 เมษายน 2555 16:46:44 น.
Counter : 2351 Pageviews.

0 comment
MBA vs MSc; which of these is more suitable for me?

หลังจากได้รับ Offer อย่างไม่เป็นการทางจาก University of St Andrews แล้ว ผมต้องคิดหนักว่า จะไปเรียนด้าน MSc หรือว่า จะยังคงใจจดจ่อกับ MBA ที่วางแผนมาดั้งเดิม

ผมคิดจนความคิดตกผลึก จึงเริ่มถามตัวเองว่า แล้วทำไมเราต้องเรียน MBA? มันเป็นค่านิยมหรือเปล่า ที่ไม่ว่าอะไร พอจะเรียนต่อโท ต้องเรียนด้าน MBA? จากนั้นผมจึงเริ่มมามองตัวเองมากขึ้น พื้นฐานเดิม ปริญญาตรี จบการจัดการมา มีพื้นด้านบริหารพอสมควร จากนั้นจึงไปมองหลักสูตร MBA จึงนึกขึ้นได้ว่า MBA ถูกออกแบบมาให้กับวัยทำงานบางท่าน หรืออาจเป็นส่วนมาก ที่จบสายอื่นมาและเริ่มประสบความสำเร็จจึงต้องมาเข้าหลักสูตร MBA เพื่อจะปูพื้นในการบริหารต่อไป นั่นแปลว่า ถ้าผมเข้าไปเรียน MBA มันจะต้องเรียนสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว ฟังสิ่งที่ฟังอยู่แล้ว และอ่านสิ่งที่เคยอ่านมาแล้ว สิ่งที่จะเปลี่ยนคืออาจารย์ที่สอน พอคิดได้ถึงตรงนี้ สรุปได้ว่า MBA กับผมนั้นจบไปแล้ว

จากนั้นผมจึงเริ่มมอง MSc programme แล้วหลักสูตรไหนล่ะเหมาะกับผม MSc มีสายเรียนมากมายทั้ง Account, Finance, Management, Marketing, HRM และ International Business ด้วยความที่ผมมีเป้าหมายชัดเจนว่า อนาคตยังอยากเป็นMD, GM หรือ CEO อยู่ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเรียนอะไรที่กลางๆ จึงตัด Account, Finance, Marketing และ HRM ออกไป ส่วน Management ผมไม่อยากเรียนซ้ำกับสายเดิมๆ จึงถูกตัดออกไปในขั้นตอนนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นตัวเลือกที่เหลือคือ International Business

สาเหตุที่ International Business ยังคงอยู่เพราะผมชอบสายนี้มาก แม้ว่าจะไม่ได้เรียนสายนี้มาโดยตอนในช่วงปริญญาตรี แต่ผมก็ลงวิชาแนวนี้ทั้งหมด และกวาด A มาเรียบ!! พอได้หลักสูตรที่จะเรียนแล้ว เอาเป็นว่าประตูสำหรับประเทศอังกฤษ หรือสหราชณาจักรของผมได้เปิดขึ้นแล้ว

 




Create Date : 06 เมษายน 2555
Last Update : 6 เมษายน 2555 9:46:33 น.
Counter : 2191 Pageviews.

0 comment
จุดหักเห อีกครั้งง!!

จากความเดิมตอนที่แล้ว ที่ผมรู้ความจริงว่า ผมต้องรออย่างน้อยอีก 1 ปีเพื่อที่จะได้มีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีตามที่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าที่สหรัฐต้องการ ทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างสบายมากขึ้น ในการเตรียมตัวสอบทั้ง GMAT และ TOEFL(สอบอีกครั้ง)

จากนั้นไม่นาน ป๊าผมได้ดูโฆษณา รวมถึงการประกาศของรายการเรื่องเล่าเช้านี้เกี่ยวกับงาน OSCS International Education Expo 2011 จัดที่ Siam Paragon ระหว่างวันที่ 21 - 22 มกราคม 2555 จึงได้บอกให้ผมไปลองเดินเล่นดู รวมถึงมีทุนการศึกษาด้วย

ตอนแรกผมก็ยังคงเดินดูมหาวิทยาลัยของสหรัฐ (อยากไปประเทศนี้มาก) จนกระทั่งเดินมาถึงโซนของมหาวิทยาลัยของสหราชณาจักร แล้วมาหยุดอยู่ตรงบูธของมหาวิทยาลัยหนึ่ง ซึ่งคุ้นหูผมมาก (แม้ว่าผมจะโฟกัสไปแต่มหาวิทยาลัยสหรัฐก็ตาม) ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้นภายหลังพิธีอภิเษกของเจ้าชายแห่งประเทศอังกฤษ .. ใช่แล้ว มหาวิทยาลัยนี้คือ University of St Andrews ครับ

 

ซึ่งจากการคุยเบื้องต้นกับพี่ๆที่บูธ ได้ความว่า จะมีไดเรคเตอร์ของ School of Management มาสัมภาษณ์และมีอำนาจในการออก offer รับเข้ามหาวิทยาลัยทันที โดยหลักสูตรที่ผมดูนั้นเป็นปริญญาโทที่ไม่ใช่ MBA ซึ่งไม่ต้องรอประสบการณ์ทำงานที่ขาดอีก 1 ปีอีกต่อไป ผมจึงนำกลับมาปรึกษากับที่บ้าน ก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะไปลองสัมภาษณ์ดูก่อน ได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที

พอถึงวันสัมภาษณ์ ผลลัพธ์ออกมาว่า ผมได้ Offer จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ต้องคิดอีกครั้ง




Create Date : 06 เมษายน 2555
Last Update : 6 เมษายน 2555 9:32:44 น.
Counter : 1248 Pageviews.

0 comment
จุดเปลี่ยน

หลังจากคะแนน TOEFL iBT ออกแล้ว ผมยังต้องสอบ GMAT ด้วย เพราะเป็นข้อกำหนดสำหรับคนที่จะศึกษาต่อ MBA

ระหว่างนั้นผมจึงเลือกที่จะไปติว GMAT ที่ BB&C @Siam เพราะราคาไม่แพง และสามารถจบคอร์สได้ในเวลารวดเร็ว (ประมาณ 3 อาทิตย์ครึ่ง) โดยระหว่างที่เรียน GMAT นั้นผมได้ไปงานศึกษาต่อ และได้เข้าไปซุ้ม MBA ของ University of Sanfrancisco จึงต้องพบกับความจริงที่ว่า ตัวเองเข้าใจผิดมาโดยตลอด

เจ้าหน้าที่ได้บอกผมว่า การนับประสบการณ์ทำงาน จะนับจาก วันที่จบที่ระบุไว้ใน Transcript เท่านั้น ประสบการณ์แบบ Part Time หรือช่วยทำงานที่บ้านระหว่างเรียนไม่นับ!! เมื่อเป็นอย่างนี้แปลว่า ผมไม่สามารถไปศึกษาต่อสหรัฐทันในปีนั้นแล้ว

จากตอนนั้นผมก็รู้สึกโล่งอก กดดันน้อยลง เพราะแปลว่าผมมีเวลาอีกนับปี ที่จะเตรียมตัวให้ได้คะแนน GMAT และ TOEFL iBTที่พอใจ (ประมาณ 700 และ 100 ตามลำดับ)




Create Date : 06 เมษายน 2555
Last Update : 6 เมษายน 2555 8:10:58 น.
Counter : 1330 Pageviews.

1 comment
My First TOEFL Exam Score

หลังจากสอบที่ Kinetics เสร็จไป ผมก็ปลงกับคะแนน (ไม่ว่ายังไงก็ได้คะแนนน้อยแน่ๆ) แต่ก็ให้รางวัลกับตัวเองโดยการดูหนัง เล่นเกมส์ ฟังเพลง คุยโทรศัพท์ หลังจากที่นั่งทำ Mock Test มานับเดือน

จากทีแรกที่ตั้งเป้าไว้ว่า อยากได้ TOEFL 100iBT โดยมีคะแนนเป้าหมาย Reading 27 Listening 27 Speaking 18 Writing 28 ก็เริ่มหมดหวัง มั่นใจว่ายังไงก็ไม่ได้แน่ๆ ระหว่างที่รอนั้น ก็เปิด //www.ets.org/toefl เล่นๆ ไปๆมาๆ วันนั้นคะแนนออกเรียบร้อย และก็ตามคาดไม่ถึงจริงๆ 55

แต่ถึงแม้คะแนนจะไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผมก็ยังรู้สึกโอเคที่ว่าคะแนนยังเกิน 79 iBT (คะแนนที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐส่วนมากต้องการ) นอกจากนี้ Speaking ที่ผมตั้งเป้าว่าตัวเองได้แค่ 18 ได้เกินเป้าหมายมามาก ทำให้มีความมั่นใจระดับหนึ่ง พอพิจารณาคะแนนส่วนอื่น (Reading, Listening and Writing) คะแนนต่างไปจากเป้าหมายมาก Reading จริงๆแล้ว ได้คะแนนดีกว่าที่ตัวเองประเมินหลังสอบเสร็จอีก เพราะทำไม่ได้จริงๆ เนื้อหายากมาก และไม่มีสมาธิอีกด้วย ส่วน Listening ก็ไม่มีสมาธิอีกเช่นกัน หลุดมาก ในใจนึกถึงแต่ Reading ที่ทำไม่ได้ (ในตอนสอบนั้น ห่อเหี่ยวมากครับ เพราะตั้งเป้ามาว่า จะทำคะแนนในสองส่วนนี้ให้ได้ ตอนสอบ Mock Test ก็ได้เกิน 25 ตลอด) ส่วน Writing นั้นคะแนน 21 เหมือนจะดูว่าน้อย แต่ผมทราบสาเหตุครับ เป็นเพราะผมเขียนเยอะเกิน!

โดยผมเขียน Part 1 ไปประมาณ 330 คำ ส่วน Part 2 ผมเขียนไป 350 คำ (พอดี!!) พอมองจากคะแนนปลีกย่อยจะเห็นว่า Part 1 ได้ต่ำมาก (Fair 2.5 - 3.5)ในขณะที่ Part 2 อยู่ในระดับที่ดี (Good 4.0 - 5.0) เมื่อมองจากตรง Part 2 สรุปได้ว่า ผู้ตรวจข้อสอบไม่ได้มีปัญหากับสไตล์การเขียนของผม แต่คงเพราะว่า Part 1 ผมเขียนเกินกำหนด (ควรเขียนประมาณ 170 - 220) จึงน่าจะกลายเป็นว่า เป็นคนเขียนสรุปใจความไม่ได้ จริงๆแล้ว การเขียนออกมาเยอะของ Part 1 เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับก่อนสอบมากครับ ก่อนเข้าสอบ ผมกลัวว่าจะเขียน Part 1ไม่ได้เลย เพราะกลัวว่าจะจับ idea ตอนฟังไม่ออก พอถึงเวลาสอบจริง ดันฟังออกหมดทั้งเลคเชอร์เลยครับ ทำให้มีพื้นที่ในการเขียนมาก แล้วผมก็นั่งพิมพ์อย่างเดียว มาเงยหน้ามา เหลือเวลา 5 นาที ผมก็เลยตามเลยแล้ว (มันแก้ไม่ทัน แล้วก็ถ้าตัดพารากราฟใดออก ใจความมันจะหาย)

หลังจากการวิเคราะห์ ผมจึงมีความมั่นใจอยู่บ้างว่า ถ้าไปสอบครั้งที่สองได้เกิน 100 แน่ๆ ดังนั้นผมจึงเบนความสนใจจาก TOEFL แล้วไปเตรียมพร้อมด้านอื่นก่อน




Create Date : 06 เมษายน 2555
Last Update : 6 เมษายน 2555 8:00:00 น.
Counter : 2045 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

iAblazel
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]