Edinburgh

Sovereign state	United Kingdom
Country	Scotland
Council area	City of Edinburgh
Lieutenancy area	Edinburgh
Admin HQ	Edinburgh City Centre
Founded	prior to the 7th century
Burgh Charter	1125
City status	1889

Sovereign state	United Kingdom
Country	Scotland
Council area	City of Edinburgh
Lieutenancy area	Edinburgh
Admin HQ	Edinburgh City Centre
Founded	prior to the 7th century
Burgh Charter	1125
City status	1889

Sovereign state	United Kingdom
Country	Scotland
Council area	City of Edinburgh
Lieutenancy area	Edinburgh
Admin HQ	Edinburgh City Centre
Founded	prior to the 7th century
Burgh Charter	1125
City status	1889

Coordinates: 55°57′11″N 3°11′20″W55°57′11″N 3°11′20″W 

Sovereign State: United Kingdom

Country: Scotland

Council Area: City of Edinburgh

Admin HQ: Edinburgh City Centre

Edinburgh (ⁱ/ˈɛdɪnbʌrə/ ED-in-burr-ə; Scottish Gaelic: Dùn Èideann) is the capital city of Scotland and the seat of the Scottish Parliament. It is the second largest city in Scotland and the seventh most populous in the United Kingdom. The City of Edinburgh Council governs one of Scotland's 32 local government council areas. The council area includes urban Edinburgh and a 30 square miles (78 km²) rural area. Located in the south-east of Scotland, Edinburgh lies on the east coast of the Central Belt, along the Firth of Forth, near the North Sea.

The city is one of the historical major centres of the Enlightenment, led by the University of Edinburgh, helping to earn it the nickname Athens of the North.^[3] The Old Town and New Town districts of Edinburgh were listed as a UNESCO World Heritage Site in 1995 in recognition of the unique character of the Medieval Old Town and the planned Georgian New Town. It covers both the Old and New Towns together with the Dean Village and the Calton Hill areas. There are over 4,500 listed buildings within the city.^[4] In May 2010, it had a total of 40 conservation areas covering 23% of the building stock and 23% of the population, the highest such ratios of any major city in the UK.^[5] In the 2010 mid-year population estimates, Edinburgh had a total resident population of 486,120.^[6]

The city hosts the annual Edinburgh Festival, a group of official and independent festivals held annually over about four weeks beginning in early August. The number of visitors attracted to Edinburgh for the Festival is roughly equal to the settled population of the city. The best-known of these events are the Edinburgh Fringe, the largest performing-arts festival in the world; the Edinburgh International Festival; the Edinburgh Military Tattoo; and the Edinburgh International Book Festival. Other events include the Hogmanay street party and the Beltane Fire Festival. Edinburgh attracts over 1 million overseas visitors a year, making it the second most visited tourist destination in the United Kingdom

Credit :: //en.wikipedia.org/wiki/Edinburgh

Edinburgh อ่านว่า "เอดินเบอระ" หรือบางคนเรียก "เอดินเบิร์ก" นั้น เป็นเมืองหลวงแห่งสก็อตแลนด์ ประเทศหนึ่งในเครือสหราชณาจักร Edinburgh ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลก เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางทางการเงิน โดยทางด้านการเงินนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ใน UK รองจาก London และเป็นอันดับ 5 ใน Europe มีศูนย์กลางอยู่รอบๆปราสาท เมือง Edinburgh มีประวัติศาสตร์มายาวนาน รวมถึงด้านการศึกษา เป็นแหล่งกำเนิดของความรู้ นวัตกรรมที่สำคัญของโลกมากมาย โดยเมือง Edinburgh มีมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยที่สำคัญ 5 แห่งได้แก่ University of Edinburgh, Heriot-Watt University, Edinburgh College of Art, Edinburgh Napier University และ Queen Margaret University

Credit :: Mcducation

ดูแบบ overview ทั้งเมือง 

ทั้งเมือง แบบอาบด้วยแสงอาทิตย์ ><  

ปราสาทยามราตรีครับ 

ปราสาทจากมุมเงยบ้าง 

 ปราสาทจากมุมปกติครับ ปราสาทนี้มีความสำคัญมาก เขาว่ากันว่า ในอดีต ถ้ายึดปราสาทนี้ได้ แปลว่ายึดประเทศได้ครับ ทั้งนี้ปราสาทตั้งอยู่บนที่สูง สามารถมองได้กว้างไกล เป็นชัยภูมิที่ดีครับ

 รัฐสภาบ้าง

 สถานีรถไฟ Waverley ครับอยู่กลางเมืองเลย

 สถานีรถไฟอีกทีครับ

Edinburgh ก็มีสนามบินด้วย

มาดู VDO กันบ้างครับ

The city of Edinburgh

Edinburgh - 10 things you need to know

วิธีประหยัดสตางค์ในกระเป๋าบ้างครับกับ How to save money in Edinburgh

ตามที่กล่าวไว้ในบทก่อนหน้า ถ้าสนใจจะไปศึกษาต่อ @uk ค่อนข้างแน่ และสมัครสอบ IELTS กับ IDP แนะนำว่าให้นัดวันทำ IOM วันเดียวกับวันที่คะแนนออกเลย ซึ่งจะสามารถประหยัดการเดินทาง เพราะตึกเกษมกิจ (ที่ทำ IOM) กับ CP TOWER (เอาคะแนน IELTS) อยู่ตรงข้ามกัน กล่าวคือทำ IOM เสร็จ ไปทานข้าว พอบ่ายโมงไปรับคะแนน IELTS ซึ่งจะทำให้ประหยัดเที่ยวการเดินทาง และการเปิดคะแนน IELTS จากจดหมายก็ลุ้นระทึกดี (ฮา)

นับตั้งแต่วันสอบจนถึง 13 วัน คะแนน IELTS ก็จะออก ตลอด 13 วันนี้ผมคิดในใจอยู่เสมอว่า ต้องสอบใหม่แน่ๆ มีจุดที่พลาดมากมาย และพอถึงเวลาที่ต้องดูคะแนนจริงๆ ก็อึ้งครับ .. ตรึกโป๊ะ >

ได้คะแนนรวมมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ครับ (คะแนนเป้าหมายอยู่ที่ IELTS 7.0) แต่พอมองรายทักษะ ก็มีผิดหวัง กับเกินหวังเกิดขึ้นด้วยครับ

Reading ได้เกินเป้ามากครับ ก่อนคะแนนออก นั่งคิดอยู่ในใจ Max 6.5 Min 6.0 คิดแค่นี้จริงๆ ดังนั้นคะแนนที่ออกมาจึงดีใจมาก

Writing น้อยกว่าที่คิดครับ แต่สาเหตุก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไร พี่ agency บอกว่าบางทีเขียนเยอะไปก็ไม่ดีครับ เพราะชาวตะวันตกมีเงื่อนไขอย่างนึงคือว่า อนุโลมให้เขียนได้บวกลบ 10 เปอร์เซ็นต์ครับ แต่ Part 1 ผมเขียนไปประมาณ 292 คำ (ซึ่งควรจะเขียนแค่ประมาณ 165 - 170 คำ) และ Part 2 ผมเขียนไป 400 (ควรเขียนแค่ 275 - 280 คำเท่านั้น)

แต่ก็ไม่ได้อะไรมากครับ เพราะยังไงผมก็สามารถเปลี่ยน Offer จาก Conditional เป็น Unconditional ได้แล้วว ^___,^

IOM ย่อมาจาก International Organisation for Migration เป็นองค์กรนานาชาติสำหรับผู้ย้ายถื่นฐานครับ โดยงานนี้องค์กรได้ทำข้อตกลงกับสถานฑูตในการตรวจสอบบุคคลที่จะไปอาศัยอยู่ในสหราชณาจักรเกิน 6 เดือน ต้องทำการตรวจวัณโรค เพื่อขอ TB Certificate

วิธีการสมัคร และเอกสารที่ต้องเตรียมพร้อม

1. ต้องโทรไปจองคิวกับ IOM ก่อน ที่เบอร์ 02 234 7950-5 (8.00 - 17.00 น) จะให้ดีพยายามนัดเช้าๆนะครับ จะได้เสร็จก่อนเที่ยง

2. เตรียมเอกสารที่ต้องใช้

• เงินทองสำคัญสุด เงินสด 3,300 บาท
• หนังสือเดินทาง (Passport) และสำเนา 1 ชุด
• บัตรประชาชน และสำเนา 1 ชุด
• รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 ใบ (ขนาด 45mm x 35mm--มาตราฐาน UK VISA)
• สำหรับสตรีมีครรภ์ ต้องเอาสมุดฝากครรภ์มาด้วย

ขั้นตอนในการขอ IOM แบบม้วนเดียวจบ

1. ไปตามวันนัด และนำเงินและเอกสารที่เตรียมตามข้างต้น ไปให้ถึงก่อนเวลานัดสัก 15 นาที เพื่อที่จะเซ็นต์รับรองสำเนาเอกสารถูกต้อง รวมถึงเขียนชื่อที่ด้านหลังรูปทั้ง 2 ใบ
2. พอไปถึงตึก เอ้อ เกือบลืม IOM อยู่ตึกเกษมกิจ แถวๆสีลมนะครับ อยู่ตรงข้าม CP Tower วิธีเดินทางมาแนะนำให้ใช้รถไฟฟ้า BTS ซื้อตั๋วแบบ One Day Pass ครับ เพราะเดี๋ยวเราต้องนั่งกันอีกยาว ตอนจะขึ้นตึกต้องแลกบัตรกับยามครับ ให้ใช้บัตรอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ บัตรประชาชน และ Passport เพราะเดี๋ยวเราต้องใช้ครับ กดลิฟต์ขึ้นไปชั้น 8
3. พอมาถึงก็เอาเอกสารของเรามอบให้พี่ตรงเคาเตอร์ครับ พี่เขาจะเรียงเอกสาร โดยขั้นตอนนี้พี่เขาจะถามว่า เราอยากไปตรวจโรงพยาบาลไหนนะครับ มี 2 แห่งได้แก่ รพ บำรุงราษฎร์ กับ รพ พญาไท 2 (ผมเลือก รพ นี้นะครับ เดินใกล้กว่า) และมอบบัตรคิวให้เราไปนั่งรอเรียกด้านใน
4. พอถึงคิวเรา เจ้าหน้าที่จะถามนิดหน่อยครับ และเราชำระเงิน โดยเราจะได้รับซองน้ำตาลมา เพื่อนำไปยัง รพ ที่เลือกตรงเคาเตอร์ครับ
5. พอได้รับซองมาเสร็จ มุ่งหน้าไป รพ เลยครับ สำหรับคนที่เลือกไป รพ พญาไท 2 เหมือนผมนั่ง BTS ลงสนามเป้าครับ แต่ถ้าคนที่เลือกไป รพ บำรุงราษฎร์ สามารถเลือก BTS ไปลง เพลินจิต หรือ นานา แล้วเดินต่อได้ครับ
6. พอถึง รพ ให้ไปหาพยาบาลที่ประชาสัมพันธ์เลยครับ บอกเขาว่า มาจาก IOM พยาบาลจะพาเราไปกรอกประวัติสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นคนไข้เดิมของที่นี่ครับ จากนั้นจะมีพยาบาลอีกคนมารับเราไปยังแผนก X-ray
7. การ X-ray จะทำเฉพาะท่อนบนนะครับ ผู้หญิงน่าจะมีการเปลี่ยนชุด แต่ของผมเป็นผู้ชาย คนฉายแสงจะให้ถอดเสื้อตรงนั้นเลย เสร็จเร็วมากครับ จากนั้นเขาจะบอกว่า อีกประมาณ 30 นาทีเสร็จ ให้ไปเดินเล่น หาอะไรทาน หรือจะนั่งรอก็ได้ครับมีทีวีฉาย
8. พอได้ฟิลม์ X-ray มาแล้ว ห้ามเปิดซองออกเด็ดขาด! โดยให้นำซองกลับไป IOM โดยมอบให้พี่ที่เคาเตอร์ก่อน 15.00 น ทั้งนี้ IOM พักเที่ยงตั้งแต่ 12.00 - 13.00 นะครับ
9. ถ้าร่างกายเราไม่มีปัญหาอะไร ก็จะได้กระดาษสีเหลืองๆ ขนาดประมาณ A4 มาครับ มีอายุ 6 เดือนสำหรับการใช้ขอ UK VISA

PS ถ้ายึดตามผม ผมนัดตอน 8.30 จะกลับมาที่ IOM ประมาณ 10 โมง และได้รับใบรับรองก่อน 11 โมงครับ

TIPS สำหรับคนที่ตั้งใจจะไป UK แน่ๆในปีนั้น ถ้าสมัครสอบ IELTS กับ IDP แนะนำให้สมัครตรวจ IOM วันเดียวกับมาวันคะแนนออกเลยครับ ทั้งนี้เมื่อเราตรวจเสร็จ ไปหาข้าวเที่ยงกิน แล้วเราก็สามารถไปรับคะแนน IELTS ที่ CP Tower ได้ตอน 13.00 น พอดี

พอตรวจเสร็จแล้วก็ลุยโล่ดเลยครับ จากนี้จนถึงเที่ยงคืน เราสามารถขึ้นรถไฟฟ้าไม่อั้น ;)

จากบทความตอนที่แล้ว จะเห็นว่าโดยหลักการแล้วการสอบระหว่าง IDP กับ British Council (BC) ไม่มีความแตกต่างกัน ยกเว้นแต่ว่า IDP จะถูกกว่า 400 บาท แต่ต้องแลกกับความไม่สะดวกในการเปลี่ยนที่สอบตอนเช้ากับตอนบ่าย ซึ่งสำหรับผมแล้วรับได้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณมั่นใจว่าสอบได้มากกว่าหรือเท่ากับ 7 แนะนำให้สอบกับ BC เลยครับ เพราะคุณอาจเป็นผู้โชคดีได้รับทุนการศึกษาของ BC ไปช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อต่างประเทศ 100,000 บาท โดยสามารถอ่านรายละเอียดได้ดังนี้ //www.britishcouncil.org/th/thailand-exam-ielts-scholarship.htm

ทีนี้เราจะมาดูกันว่า หากต้องการสอบกับ IDP ต้องทำยังไง (credit :: //www.idp.co.th/ielts/IELTSHowTo.aspx//www.idp.co.th/ielts/IELTSHowTo.aspx)

โดยผลสอบจะออกนับจากวันที่ไปสอบ 13 วัน เราสามารถไปรับผลสอบได้ที่ CP Tower หรือเช็คผลสอบทาง //www.idp.co.th/ielts/IELTSTestResults.aspx ในเวลา 13.00 น และเรายังสามารถให้เขาส่งคะแนนมาทางจดหมายก็ได้

ตามที่เคยเกริ่นนำไว้ตอนบทความแรกๆว่า เราสามารถสอบ IELTS ได้กับ 2 ค่าย ระหว่าง British Council (BC) กับ IDP ทีนี้มาดูความแตกต่างระหว่างการสอบกับทั้ง 2 ค่ายนี้กัน

	British Council	IDP
สถานที่สอบ	โรงแรมแลนด์มาร์ค      (เช้า -  บ่าย)	โรงแรมมณเฑียร(เช้า)       CP Tower (บ่าย)
ค่าสอบ	6300 ฿	5900 ฿
ระบบเสียง	มีหูฟัง	ลำโพง แต่ชัดมาก
ผู้สัมภาษณ์	ส่วนมากเป็นคนอังกฤษ	ส่วนมากเป็นคนออสเตรเลีย

นี่คือความแตกต่างระหว่าง 2 ค่ายนี้ ส่วนเนื้อหาข้อสอบที่มีคนเคยถามว่า IDP ง่ายกว่าไหม คำตอบคือไม่ เพราะในการสอบของแต่ละครั้งนั้นทั้ง BC และ IDP ใช้ข้อสอบเดียวกัน (จากประสบการณ์โดยตรง ผมสอบกับ IDP เพื่อนสอบ BC มาคุยกับแล้วพบว่า อ้าว เรื่องเดียวกัน!) ส่วนในบางคำถามที่ว่า ถ้าสอบกับ IDP ไม่สามารถยื่นกับมหาวิทยาลัยในอังกฤษได้นั้น "ไม่เป็นความจริง" แค่เข้าไปสอบกับ IDP เห็นกระดาษคำตอบแล้ว เห็นตราทั้ง 2 ค่าย ก็สามารถตอบได้อย่างชัดเจน