ไอบินหลาเอย ไม่เคยบินลับบินหาย
|
||||
MAYDAY Asalei !! กับทางเลือกสุดท้ายกลางอ่าวบิสไคย์ อ่าวบิสไคย์อยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ทอดยาวจากแนวชายฝั่งตะวันตกวันตกของประเทศฝรั่งเศส จรดแนวชายแดนสเปน จนถึงชายฝั่งตอนเหนือของประเทศสเปน
ในการข้ามอ่าวบิสไคย์ครั้งแรก (และอาจจะเป็นครั้งเดียว) ของพวกเรา มีสมาชิกร่วมทางกันเพียงสองคนคือ ปีเตอร์กับไอบินหลา จากเมือง Falmouth ประเทศอังกฤษไปยังเมือง Bayona ประเทศสเปน ระยะทางประมาณ 650 ไมล์ทะเล คาดว่าจะใช้เวลา 5-6วันก็น่าจะถึงเมือง Bayona โดยมีไอบินหลาเป็น skipper ตั้งแต่ออกเดินทางจากท่าเรือในเมืองเกนท์เมื่อสองเดือนก่อน
เครดิตภาพจาก wiki เราจัดสรรเวลาแบ่งกะยามกันคนละ 3-4 ชั่วโมงตลอดการเดินทางโดยเวรยามมีหน้าที่หลักคือ เฝ้าระวัง บันทึกการเดินทางใน Logbook ระบุตำแหน่งพิกัดลงในแผนที่ ปรับเปลี่ยนใบเรือและทิศทางของหางเสืออาซาเลมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ 2 แบบด้วยกัน คือ
ช่วงแรกของการเดินทางเป็นไปอย่างชื่นมื่นจนเข้าสู่เช้าตรู่ของวันที่ 9 สิงหาคม พวกเราต้องเผชิญกับหมอกหนาวิสัยทัศน์ไม่เกิน 3 เมตร เล่นเอาใจสั่นระทึกเพราะพวกเรายังอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางเดินเรือสินค้า Ouessant ห่างจากชายฝั่งบริตตานีของฝรั่งเศสประมาณ 60 ไมล์ทะเล ต้องอาศัยเครื่องรับสัญญาณ AIS ช่วยในการเฝ้าระวังเรือพาณิชย์และเรือขนส่งสินค้าที่แล่นอยู่รายรอบด้วยความเร็วสูงและใช้เครื่องยนต์ช่วยเพราะแรงลมน้อย
สองวันแรกของการเดินทาง อาซาเลทำระยะทางโดยเฉลี่ยวันละ 90 ไมล์ทะเล ซึ่งพอๆ กับที่ไอบินหลาได้ประเมินไว้ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อคืนที่สามลมเริ่มเปลี่ยนทิศจากทิศเหนือ มาเป็นตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกจนมาเป็นทิศใต้ในที่สุดและเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นระดับ 6 ในขณะที่พวกเรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อาซาเลถูกคลื่นลมพัดพากลับไปยังช่องแคบอังกฤษทำให้เราเลือกที่จะเปลี่ยนจุดหมายเป็นเมือง A Coruña ซึ่งอยู่บริเวณปากอ่าวบิสไคย์ห่างจาก Bayona จุดหมายเดิม 137 ไมล์ทะเล
ก่อนจะเล่าต่อถึงเหตุการณ์ช่วงนั้น ขอบอกรายละเอียดระดับความแรงของลมที่เรียกกันว่าโบฟอร์ต (Beaufort) ซึ่งใช้ในการพยากรณ์อากาศและการเดินเรือสำหรับนักแล่นเรือยอร์ชทั่วไปที่ทำด้วยโพลิเอสเตอร์หรืออะลูมิเนียม
ช่วงค่ำของวันที่ 11 สิงหาคม ลมเพิ่มกำลังแรงขึ้นใบเรือใหญ่บริเวณหัวเรือฉีดขาดด้วยกำลังลมแรงถึงแม้เราจะลดระดับใบเรือลงจนสุดแล้ว กว่าจะเสร็จเรื่องก็เกือบเที่ยงคืนอาซาเลถึงทำความเร็วและระยะทางได้ตามปกติ ถึงตอนนี้เราไม่สามารถใช้ Hydrovane ได้ต้องอาศัยเครื่องยนต์ + Autopilot เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนแล่นฝ่ากระแสลมแรงเพื่อมุ่งหน้าไปทางสเปน
ถึงตอนนี้ปีเตอร์เริ่มเกิดอาการเมาเรืออย่างหนักจนไม่สามารถดื่มน้ำ กินอาหารได้ตามปกติอ่อนเพลียจนทำให้สูญเสียความสามารถในการตัดสินใจไอบินหลาต้องพร้อมและคอยควบคุมดูแลจนแทบไม่ได้พักผ่อน
เย็นของวันที่ 12 สิงหาคม เหตุการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้น ลมเพิ่มกำลังแรงขึ้นเป็นระดับ 6-7 ผันเปลี่ยนเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ คลื่นสูงกว่า 5 เมตรที่ถูกพัดพามาจากมหาสมุทรแอตแลนติก
คืนนั้นเราเหมือวนอยู่ในอ่างน้ำ เรือแล่นได้ไม่เกินรัศมี 10 ไมล์ทะเล ซ้ำร้าย ระบบเดินเรืออัตโนมัติยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ท้องทะเลที่ดุดันทำให้ตัวบังคับทิศทางที่เชื่อมต่อกับหางเสือถูกคลื่นกระชากออกจากหางเสือ ต้องใช้มือคอยประคองไว้ตลอดเวลา คืนนั้นไอบินหลาอยู่เวรยาวทั้งคืน เพราะปีเตอร์เมาเรืออย่างหนัก แววตาส่อความกลัวและกังวลจนทำให้ไอบินหลาใจเสีย จึงให้เขาไปนอนพักเอาแรง
รุ่งสางของวันที่ 13 สิงหาคม เริ่มเห็นเมฆบนท้องฟ้าได้ชัดเจนขึ้นYachtmaster ทุกคนต้องฝึกการพยากรณ์อากาศ ดูเมฆ ทิศทางลมท้องถิ่นประกอบการอ่าน weather map เพื่อการคาดเดาที่แม่นยำว่า ลมฝนจะพัดมาทางทิศใด และวันนี้ไอบินหลาได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่มีในตำราคือ Cyclonic หรือศูนย์กลางของดีเปรสชั่นถึง 2 ลูก ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนักในคราวเดียว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นท้องฟ้าน่ากลัวขนาดนี้
ตอนนี้เริ่มใจคอไม่ดีเพราะพอเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จึงตัดสินใจปลุกปีเตอร์มาคุมท้ายเรือ และค้นดูตำราทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้เป็นกระต่ายตื่นตูม แต่ไม่เจออะไรที่เข้าเค้ากับเหตุการณ์ที่เราประสบพบเจอ จนกระทั่งเวลาประมาณ 08.00 น. เราได้รับประกาศเตือนจากยามชายฝั่งของสเปน เตือนพายุ Galeforce 8-9 ระหว่างเวลา 15.00 15.20 แถบเขต Pazzen ซึ่งอยู่บริเวณทิศเหนือจากจุดพิกัดของอาซาเล ตอนนั้นเราอยู่ทางตอนเหนือห่างจาก Cabo Prior ซึ่งเป็น Landfall หรือจุดเข้าแผ่นดินของเราเพียง 60 ไมล์ทะเล รึไม่เกิน 20 ชั่วโมงเราก็จะถึงท่าเรือในเมืองโครุนย่าแล้ว
คลื่นลมกระหน่ำแรงขึ้นพัดพาเรือให้ห่างจากฝั่งออกไป ดูจาก GPS จะเห็นได้ชัดว่าอาซาเลถูกพัดย้อนกลับไปในอ่าวบิสไคย์ ในขณะที่เรามีน้ำมันสำรองเหลือประมาณ 10 ชม. ไม่พอในการต่อสู้กับคลื่นลมและพายุที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย พวกเราประเมินกันว่าเราจะต้องอยู่อิทธิพลของพายุในทะเลแห่งนี้กันไปอีกไม่ต่ำกว่า 30 ชม.
เมื่อมองไปยังปีเตอร์ที่อิดโรยและท้อถอย ไอบินหลามีน้ำตาซึมด้วยความเป็นห่วงและกังวลว่าเขาจะไม่สามารถจะต่อสู้อยู่ในทะเลอันโหดร้ายได้ 24 ชม. ถึงนาทีนี้คำของครูผู้สอนดังก้องอยู่ในหัว One hand for the boat, one hand for yourself
ไอบินหลาตัดสินใจขอความช่วยเหลือ MAYDAY ผ่านวิทยุ VHF เริ่มด้วยการส่งสัญญาณ DSC ต่อด้วย MAYDAYMAYDAY MAYDAY, THIS IS yacht ASALEI, ASALEI, ASALEI. MMSI
. เพียงเท่านั้น ก็เกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิคสวิตซ์วงจรไฟฟ้าตัดขาดเพราะสัญญาณวิทยุพ่วงด้วยอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น GPS, Autopilot ที่กินกำลังไฟมากทำให้เกินกำลังฟิวส์ จึงต้องเปลี่ยนแผนใหม่โดยส่งสัญญาณ DSC ผ่าน VHF ประจำเรือ และเรียกเมย์เดย์ผ่านวิทยุมือถือ (VHF handel) ที่มีกำลังส่งต่ำ รอสักพักก็ยังไม่ได้การตอบรับ จึงตัดสินในส่งสัญญาณผ่าน EPIRB และเรียก MAYDAY ผ่าน VHFมือถืออีกครั้งโดยบอกตำแหน่งพิกัดและปัญหาที่เกิดขึ้น จนเวลาประมาณ 09.30 น.เราได้รับการติดต่อจากยามชายฝั่งสเปน แต่การสื่อสารติดขัดเพราะ VHF ประจำเรือที่มีกำลังส่งสูงไม่สามารถใช้งานได้ ต้องอาศัย VHF มือถือเท่านั้นจับใจความได้ว่า ยามชายฝั่งฯ แจ้งว่าจะส่งเฮลิคอร์ปเตอร์มาช่วย ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ไอบินหลาก็ได้ยินเสียงเฮลิคอร์ปเตอร์ ทางหน่วยกู้ภัยขอให้เราสละเรือขึ้นเฮลิคอร์ปเตอร์ไปกับเขา เป็นนาทีที่ไอบินหลาตัดสินใจลำบากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นแววตาของปีเตอร์ที่ต้องการกลับขึ้นฝั่งและหนีไปให้พ้นจากทะเลที่บ้าคลั่งนี้ แต่เมื่อคิดถึงอาซาเล.... เรือที่เป็นเหมือนบ้านของเรา ความรู้สึกรัก ความผูกพันธ์ที่พวกเรามีให้กับอาซาเลนั้นยากจะบรรยาย เธอเป็นเพื่อนตายที่ช่วยปกป้องคุ้มครองเราหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตลอดเวลา 3 คืนอันตรายในบิสไคย์ จนใกล้จะถึงจุดหมายแล้วจะทิ้งเธอไว้โดดเดี่ยวไอบินหลาทำไม่ลง พวกเราไอบินหลาตัดสินใจขออยู่กับอาซาเล เพราะแน่ใจว่าหากปล่อยอาซาเลให้ลอยลำอยู่ที่นี่พวกเราคงสูญเสียเธอไปอย่างแน่นอน!!!
ก่อนให้คำตอบกับทางหน่วยกู้ภัยฯ ไอบินหลาขอให้ปีเตอร์เดินทางไปกับเฮลิคอร์ปเตอร์เพราะสภาพเขาดูแย่มาก แต่ปีเตอร์ก็ขออยู่ ขอสู้กันต่อพวกเราต้องแสดงเจตน์จำนงและยืนยันหลายครั้งว่าจะไม่รับการช่วยเหลือจากเฮลิคอร์ปเตอร์ และร้องขอการช่วยเหลือจากเรือลากจูงแทนสุดท้ายทางหน่วยกู้ภัยฯ แจ้งว่าอีกประมาณ 2-3 ชม. เรือลากจูงจะมาถึง ให้เรายืนยันอีกครั้งว่าจะอยู่รอ . ตอนนั้นไอบินหลาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยืนยันกัน 6-7 หน
เป็นการรอคอยที่ยากและยาวนาน ไอบินห ลาต้องคอยประคองเรือให้แล่นผ่านคลื่นสูงกว่า 8 เมตร และต้องให้่กำลังใจปีเตอร์ไปด้วยพร้อมๆ กัน จนประมาณเที่ยงนิดๆก็ได้รับวิทยุจากเรือกู้ภัยเพื่อยืนยันตำแหน่งและนัดแนะวิธีการช่วยเหลือ วินาทีที่ได้เห็นเรือลากจูงเป็นเสี้ยวเวลาที่ดีที่สุดได้ยินเสียงตะโกนในใจว่า เฮ้อ! รอดแล้วกู ปีเตอร์ทำหน้าที่รับเชือกจากเรือลากจูงใช้เวลาไม่นานอาซาเลก็ผูกติดกับเรือกู้ภัย นาทีนี้ไอบินหลาหมดห่วงและมั่นใจว่าทั้งคนทั้งเรืออยู่ในความปลอดภัยจนพลั้งปากตะโกนออกท้าทายใครบางคนที่เรามองไม่เห็นท้ายเรือว่า You almost got me !! ตอนนี้เองที่เรื่องราวลึกลับ ชวนขนลุกก็เริ่มเปิดเผย ระหว่างลากจูงเรือออกจากอ่าวบิสไคย์ พวกเราเริ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์แปลกๆ บางอย่าง ปีเตอร์เล่าว่า สามวันสุดท้ายในอ่ายบิสไคย์เขาได้ยินเสียงคนพูดอยู่รอบๆ ตัวตลอดเวลา เป็นเสียงหญิงและชาย ทั้งผู้ใหญ่และเด็กส่วนใหญ่จะเป็นภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน บางทีก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเขาในช่วงกลางคืน
ไอบินหลาก็ได้เจออะไรคล้ายๆ กันคือ ได้ยินเสียงผู้ชายบ่นพึมพำๆ จากบริเวณท้ายเรือในช่วงอยู่ยามกลางคืน ความกลัวทำให้คิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปถึงเรือหลายร้อยลำและชีวิตนับไม่ถ้วนที่สังเวยให้กับท้องทะเลแห่งนี้ หลังแลกเปลี่ยนเรื่องพิศวง ชวนขนลุกกันแล้ว พวกเราก็นอนงีบเอาแรงกันด้วยความเหนื่อยล้า ประมาณ 10 ชั่วโมงต่อมาพวกเราก็ถึงท่าเรือ Cariño หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ หน่วยกู้ภัยให้ลากจูงอาซาเลไปจอดใกล้สะพานปลาของหมู่บ้าน หลังเสร็จเรื่องเอกสาร หัวหน้าทีมกู้ภัยใจดี ช่วยเป็นธุระโทร.จองโรงแรมและมีน้ำใจขับรถไปส่ง พร้อมทั้งฝากฝังทางโรงแรมให้ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี คืนนั้นปีเตอร์กินอาหารมื้อแรกด้วยความอร่อยแบบตายอดตายอยาก เหมาเรียบทุกจาน
ที่นี่พวกเราได้เจอเรื่องบังเอิญจนขนลุกคือ ไอบินหลาเหลือบไปเห็นแผนที่โบราณของอ่าวบิสไคย์ห้อยไว้บนฝาผนังหน้าโต๊ะอาหารประจำของ เป็นภาพสงครามทางทะเล มีเรือรบสมัยโบราณหลายลำท่ามกลางคลื่นสูงไม่ไกลจากแหลม Cabo Ortegal ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่พวกเราประสบเหตุจนได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย พอเอาเรื่องที่ได้ยินมาปนกับภาพที่เห็น ทำเอาเราทั้งสองขนลุกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
ตื่นเช้ามาเห็นเรือประมงจอดเสียบท่าแทนที่อาซาเลตามรูป
ไอบินหลาขอขอบคุณชื่นชมทีมกู้ภัยของสเปนที่มีการปฏิบัติตามแนวทางสากลกันอย่างมืออาชีพ ขอเกริ่นถึงเรื่องการกู้ภัยสักนิด ในยุโรปกัปตันเรือยอร์ชทุกคนต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของเรือ ลูกเรือในทะเลเป็นอย่างมาก เราต้องรู้และเข้าใจขั้นตอนการทำงานของทีม SAR หรือ Search And Rescue (แตกตางกันไประหว่างยุโรป - สหรัฐ - ออสเตรเลีย) อุปกรณ์สื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่เรือทุกลำต้องมีคือวิทยุ VHF ซึ่งต้องใช้ภายใต้การดูแลของผู้มีใบอนุญาตเท่านั้น EPIRB เป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ชาวเรือยอร์ชเริ่มนิยมใช้กันเรื่อยๆ ปัจจุบันนี้มีหลากรุ่นหลายราคาให้เลือก พวกเราเลือกรุ่นที่พอใช้ได้ มีสัญญาณ GPS อยู่ในตัว เป็นอุปกรณ์ราคาแพงที่ไม่ค่อยมีคนได้ใช้งานและไม่มีใครอยากใช้งาน ไอบินหลารู้จักตอนเรียน YachtMaster และยอมให้ปีเตอร์ทุบกระปุกซื้อไว้เพื่อความอุ่นใจ พอหายเหนื่อยปีเตอร์รีบติดต่อพ่อแม่ในเบลเยียมทันที เพราะหลังจากที่พวกเราส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือผ่าน EPIRB สัญญาณจะยิงผ่านดาวเทียมไปยังศูนย์ประสานงานการกู้ภัย ในกรณีของไอบินหลาสถานีภาคพื้นดินบนหมู่เกาะคานารีส กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ได้รับข้อมูลผ่านดาวเทียม แล้วส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังยามชายฝั่งสเปน ศูนย์ฯ ในแมดริดโทร.ติดต่อญาติตามรายชื่อที่เราแจ้งไว้ คือพ่อแม่ของปีเตอร์และน้องชายของไอบินหลา วันนั้นพ่อแม่ปีเตอร์ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากสเปน นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนีและเบลเยียม เขาแจ้งสถานการณ์คร่าวๆ พร้อมสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรือเพื่อช่วยในการค้นหา คงไม่ต้องบอกว่ตอนนั้นหัวใจพ่อแม่จะเป็นยังไง ศูนย์ฯ จะรายงานความคืบหน้าให้ญาติพี่น้องได้ทราบเป็นระยะๆ ระหว่างการปฏิบ้ติการค้นหา จนอาซาเลถูกลากจูงถึงท่าเรือโดยสวัสดิภาพ คืนนั้นพวกเราหลับจนบ่าย ลงมากินข้าว เจ้าของโรงแรมบอกว่าพวกเราได้ลงหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โชคดีที่ไม่มีรูปพวกเราลงไปด้วย ช่วงเย็นพวกเราไปดูแลความเรียบร้อยและทำความสะอาดเรือ มีคนมาเดินดู และถ่ายรูป จนเย็นๆ มีเด็กมาบอกว่าข่าวพวกเราออกโทรทัศน์ทุกช่อง ช่วงค่ำพวกเรากลับไปโรงแรมถึงเห็นภาพข่าวพวกเราที่ถ่ายจากเฮลิคอร์ปเตอร์ และภาพนักข่าวมารอสัมภาษณ์เต็มหน้าโรงแรมในช่วงเช้าที่พวกเรากำลังหลับเป็นตายกันอยู่ เราได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและอบอุ่นตลอดเวลาที่พักอยู่ LA CEPA ได้กินอาหารอร่อยทุกมื้อ หลังเช็คเอ้าท์เจ้าของโรงแรมที่อยู่ด้านซ้ายมือยังช่วยขับรถมาส่งพวกเราจนถึงที่จอดเรือ นับเป็นความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีที่สุดกว่าการเดินทางครั้งไหนๆ วันรุ่งขึ้นพวกเราได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากกัปตันเรือของหน่วยกู้ภัยอีกคน ช่วยขับรถพาพวกเราไปซื้อน้ำมันที่ปั๊ม (คนที่ช่วยพวกเราไว้ไปฮอลิเดย์ในวันรุ่งขึ้นหลังจากช่วยอาซาเล) เพราะตามกฎหมายทางท่าเรือขายน้ำมันให้กับเราไม่ได้ น้ำมันดีเซลปลอดภาษีสงวนไว้สำหรับเรือประมงเท่านั้น ที่สเปนเขาเคร่งครัดมากเช่นเดียวกับเบลเยียม ก่อนจากกันกัปตันบอกว่าเราควรแวะซื้อผลไม้ในตลาดนัดไว้เป็นเสบียงก่อนออกเดินทางไปทอดสมอที่ Ria de Cedeira ไปถึงก็ไม่ผิดหวังเพราะผลไม้ที่นี่สด ราคาถูก เมื่อคนพร้อม เรือพร้อมเราก็ออกเดินทางกันต่อ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ไอบินหลาได้รู้ถึงจุดหมายที่แท้จริงในการเดินเรือรอบโลก ว่าไม่ได้อยู่ที่เราไปไกลแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเราได้เห็น ได้สัมผัสอะไรบ้าง... สายลม แสงแดด พายุฝนลมแรง ชาวเมือง ชาวบ้านท้องถิ่น เพื่อนชาวเรือ ทุกสิ่ง ทุกอย่างระหว่างทางคือเสน่ห์ของเรือยอร์ชที่ไอบินหลาไม่ได้สัมผัส... เป็นเวลากว่า 2 เดือน จากเบลเยียม - บิสไคย์
ดีใจจังที่พี่รวยแวะมา และขอบคุณมากๆ สำหรับให้กำลังใจค่ะพี่
![]() โดย: barby
![]() |
barby
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Group Blog All Blog Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
P&P เก่งและยอดเยี่ยมมากที่สามารถควบคุมสถานการณ์ และผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอจ้า
ขอให้โชคดี และเดินทางอย่างราบรื่นนะคะ