Group Blog
 
All Blogs
 
ย้อนรอย......จากจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

นับย้อนหลังไปตั้งแต่รู้ผลสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ เป็นการพลิกผันชีวิตในขั้นต้นที่คนเรานอกจากความพยายามแล้วยังต้องมีโชคชะตาเข้ามาเกี่ยวข้องแม้เพียงน้อยนิด แต่หากความน้อยนิดนั้นสามารถมีอิทธิพลให้ชีวิตต้องผกผันไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมากมายจนทุกวันนี้



หลังจากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในภาคอีสาน จุดผกผันที่ทำให้ผลักดันตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือมีความสำนึกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ใช่คนเรียนเก่ง ไม่ใช่คนหัวดี แต่มีข้อดีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ ถ้าเข้าใจแล้วจะจำเนื้อหาบทเรียนได้ และจำได้ติดตาไม่เคยลืม เป็นมาแบบนี้มาตั้งแต่มัธยม แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่ผลักดันให้ตัวเองออกมาเดินอยู่แถวหน้าในกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เรียนดีได้ จึงต้องผันตัวเองไปทำกิจกรรมทั้งชมรมของมหาวิทยาลัย หรือชุมนุมต่าง ๆ ภายในคณะ

รุ่นพี่มาชักชวน โดยมีกิจกรรมเป็นตัวชูโรง.....หนึ่งในนั้นคือ ชุมนุมวิเทศสัมพันธ์ ภายใต้การกำกับของศูนย์ประสานงานนักศึกษาเกษตรศาสตร์นานาชาติแห่งประเทศไทย ที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนนักศึกษาสาขาเกษตรศาสตร์จากประเทศสมาชิกทั่วโลก เมื่อได้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงาน ทำกิจกรรมต่าง ๆ นา ๆ อยู่เป็นนิจ ทำตั้งแต่อยู่ปี 2 ไปจนเรียนจบ ในระหว่างนั้นได้รับคัดเลือกให้ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ประเทศเนเธอแลนด์ ทุกอย่างเรียบร้อย มีเอกสารตอบรับจากทางปลายทางเรียบร้อย แต่โชคชะตาก็ทำให้ต้องพลาดจากการเดินทางครั้งนี้ไป เนื่องจากความประมาทที่ไม่ทำหนังสือเดินทางไว้แต่เนิ่น ๆ ไปทำเอาตอนก่อนที่จะมีการคัดเลือกตัวแทน พอได้เอกสารทุกอย่างครบจึงไปทำเรื่องยื่นขอวีซ่า ก็ถูกปฏิเสธวีซ่าไปด้วยเหตุผลพาสปอร์ตใหม่เกินไปสำหรับการเดินทางครั้งนี้.....

พอถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าเนเธอแลนด์ ก็ต้องตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยการเริ่มสมัครงาน ก็ได้งานในเวลาไม่นานนัก ไปทำได้ไม่นานเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่งานที่ตัวเองอยากทำ ไม่ถนัด เพราะต้องไปเป็นพนักงานขายเคมีเกษตร ที่ต้องออกไปพบลูกค้า สังสรรค์ลูกค้าตามต่างจังหวัด ออกไปพบเกษตรกรแนะนำสินค้า เมื่อค้นพบตัวเองว่าไม่สามารถทำหน้าที่พูดข้อดีของสินค้า โดยไม่พูดข้อเสียของสินค้าได้ ต้องเอาอกเอาใจลูกค้าเพื่อให้ได้ขายสินค้า ความที่นิสัยส่วนตัวเป็นคนพูดตรงไปตรงมา อ้อมไม่เป็นทำให้มีปัญหาเวลาทำงาน จึงต้องลาออกเพื่อมาหางานใหม่ทำ แต่ก็เคว้งอยู่หลายเดือนพอสมควร....

จึงได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัย ให้มาช่วยทำงานเพิ่มอีกตำแหน่ง เลยได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคณาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในญี่ปุ่น ทำทุกอย่างตั้งแต่ทำความสะอาดที่ทำงาน เตรียมเอกสาร ขับรถ คนงาน เก็บตัวอย่าง ประสานงานอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่วิจัยจากญี่ปุ่น บางงานไม่เคยทำ แม้แต่งานก่อสร้างก็ยังได้ทำ....

งานที่ทำก็ทำด้วยความสุขเพราะว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก มีอะไรก็ว่าไปตามตรง ทำงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่ 2 ปี อาจารย์เจ้าของโครงการจากญี่ปุ่นก็มาตรวจงานตามปกติปีละ 2 – 3 ครั้ง แต่ในระหว่างฤดูร้อนของปีที่ 2 อากาศร้อนมาก ทำงานเหนื่อยสุด ๆ แถมยังต้องขับรถระยะทางยาววันละไม่ต่ำกว่า 400 กิโลเมตร ตกเย็นก็ต้องดื่มเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยความเหนื่อยสุด ๆ จึงดื่มเบียร์ไปเยอะพอสมควร เพื่อนและผมจึงตัดพ้อเล็ก ๆ กับอาจารย์ท่านนั้นว่า

“พวกคุณมาทำวิจัยกันเยอะมาก ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก หรือแม้แต่วิจัยหลังปริญญาเอก ปีหนึ่ง ๆ มาเป็นเกือบ 10 คน พวกเรา (ผมกับเพื่อน 2 คน) มีโอกาสจะได้ไปทำวิจัยที่ญี่ปุ่นหรือไม่”

“อยากไปมั๊ย”

“อยากครับ”

“ต้องทำงานดี ๆ นะ”

“ครับ”

หลังจากคืนนั้นผ่านไปก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะว่าพูดกันแค่ในวงเหล้าเท่านั้น ทำงานไปเรื่อย สนุกสนานตามประสาคนโสด สรวญเสเฮฮากับเพื่อนฝูงไปวัน ๆ จนเวลาล่วงเลยไป 4 เดือนอาจารย์อีกท่านที่เป็นผู้แลโครงการอีกคนก็แวะมา บอกว่าทำเปเปอร์เสร็จแล้วจะเอาไปนำเสนอในงานประชุมที่ญี่ปุ่นนะ

“ผมจะให้พวกคุณเป็นคนเสนอ เพราะว่ามีชื่ออยู่ในผู้แต่งร่วม”

ตายล่ะหว่า ทำไงดีล่ะ ภาษาอังกฤษก็งู ๆ ปลา ๆ งานประชุมก็เป็นงานประชุมจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกก็เลยได้ตั้งต้นเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแบบจริง ๆ จังคราวนั้นเป็นต้นมา

และแล้วการเดินทางไกลออกต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตก็เริ่มขึ้น หลังจากไปประเทศเพื่อนบ้านมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว....ตั้งแต่เช็คอิน ไปจนถึงตรวจเอกสารเพื่อนเดินไปรอขึ้นเครื่อง ผู้คนที่มองเห็นผมยิ้มคงจะคิดว่าไอ้นี้บ้าแน่ ๆ เลยเดินยิ้มอยู่ได้ นั่งก็ยิ้มจนขึ้นเครื่องบิน และเครื่องบินไต่ระดับเรียบร้อยจึงหายตื่นเต้น

เวลาอาทิตย์กว่า ๆ ที่อยู่ญี่ปุ่นได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตนักศึกษาของญี่ปุ่น ชีวิตหลังเลิกงานของชาวออฟฟิศ หรือแม้แต่ชีวิตของคนกลางคืน เพื่อนคนญี่ปุ่นก็พาไปได้รับรู้ความลำบากของนักขุดทองที่นี่หลายคน แต่กระนั้น ณ เวลานั้นมีความสามารถแค่รับฟังเท่านั้น จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

ได้ไปทานอาหารญี่ปุ่นภัตตาคารหรูบนตึกสูง นั่งโต๊ะริมหน้าต่าง มองเห็นหอคอยโตเกียวอยู่ตรงหน้า ซึ่งจะให้มาเองคงไม่สามารถจ่ายได้ในราคานั้นได้ แต่พอดีมีคนเลี้ยงส่งกลับเมืองไทยก็เลยได้มีโอกาสทานหรูแบบนั้น

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับเมืองไทย และใฝ่ฝันว่าจะมาเที่ยวให้ได้สักวัน ในโอกาสต่อไป ทำงานเก็บตังค์ไปเรื่อย ๆ .....และได้แต่หวังว่าคงจะทำได้สักวัน

จนถึงปีสุดท้ายก่อนโครงการจะครบกำหนด 4 ปี อาจารย์ท่านเดิมก็ส่งเอกสารมาให้พร้อมบอกว่ากรอกให้เรียบร้อยหน่อยนะ พอเปิดดูจึงทราบว่านั่นเป็นใบสมัครทุนเรียนประเภทวิจัยที่ญี่ปุ่น หรือที่ตอนนี้เรียกว่า มอนบูคากักคุโช ..... ทุกอย่างต้องรีบทำหมดเพราะว่าต้องส่งใบสมัครให้ได้ภายใน 2 อาทิตย์ หากช้ากว่านั้นก็พ้นกำหนดส่งใบสมัคร....

ด้วยความที่ไม่พร้อมอะไรหลาย ๆ อย่างทั้งเรื่องเอกสาร เรื่องแผนการทำวิจัยและภาษา เลยทำให้ต้องพลาดไปอย่างน่าเสียดาย

ปีที่ 2 ยังติดต่อกับอาจารย์อยู่แต่เนื่องจากประสบปัญหาชีวิต สภาพจิตใจย่ำแย่ ทำให้ทุกอย่างออกมาไม่ดีและพลาดไปในที่สุด และตั้งต้นชีวิตใหม่ วางอนาคตตัวเองใหม่ด้วยการเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองไทยก่อน อย่างน้อยก็ทำให้สมองได้ทำงาน ได้มีโอกาสอ่านผลงานตีพิมพ์ต่าง ๆ เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก ถึงแม้จะไม่มีความหวังก็ตาม แต่ด้วยความเชื่อว่าอนาคตมันต้องดีกว่าเดิม เลยเรียนต่อไป

ปีที่ 3 หลังจากประสบปัญหาสภาพจิตใจย่ำแย่ เริ่มเรียนต่อปีแรก เรียนหนักมาก มีโอกาสพักแค่วันอาทิตย์วันเดียว ใจไม่แข็งแรงสุขภาพจึงแย่ตามมา ชนิดเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากส่งโรงพยาบาลช้าไปครึ่งชั่วโมง ประคับประครองตัวเองอย่างทุลักทุเลจนอาการดีขึ้นจึงกลับมาเรียนต่อ ใช้เวลา 5 เดือนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่ กว่าจะทราบว่าอาการที่เป็นนั้นเกิดจากอะไร หมอแนะนำว่าพักผ่อนให้เพียงพอ เครียดให้น้อยที่สุด ทานยา แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ปีนี้เองที่กังวลว่าจะถอนตัวจากการสมัครทุน แต่คิดอีกที ไม่อยากเสียโอกาส หากว่าอาการไม่สบายสามารถรักษาหาย ก็เลยส่งใบสมัครไปเหมือนเดิม ผลก็ออกมาเหมือนเดิมคือไม่ได้ เพราะโควต้าเต็ม (มารู้ภายหลังว่าเกรดตอนเรียนตรีน้อยเกินไปเลยไม่ได้)

ปีที่ 4 เป็นปีที่จะเรียนจบปริญญาโทที่ขอนแก่นพอดี ทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งผลการทดลอง การเขียนวิทยานิพนธ์ ก็เลยตั้งปฏิญาณว่าจะสมัครเป็นปีสุดท้าย เพราะหากเรียนจบแล้วยังไม่ได้ไป ก็ต้องหางานทำ สร้างความฝันเล็ก ๆ ให้เป็นความจริง จะใช้เวลานานขนาดไหนก็ต้องทำให้ได้ คราวนี้ตั้งใจจริง ปรับปรุงเอกสารทุกอย่าง เขียนเค้าโครงใหม่ แผนการทำวิจัยใหม่ แต่หัวข้อเดิม แล้วส่งใบสมัครไป หลังจากนั้นก็ตั้งใจเขียนวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทยให้เสร็จเรียบร้อย จนสามารถสอบผ่านได้อย่างเรียบร้อย มีปัญหาเล็กน้อยแต่ก็แก้ไขได้อย่างนุ่มนวล ระหว่างรอเอกสารรับรองว่าเรียนจบ เพื่อใช้สมัครงานก็ได้รับการติดต่อกับอาจารย์ว่าผลทุนอย่างไม่เป็นทางการออกแล้ว ปรากฎว่าเราผ่านการคัดเลือก แต่ไม่สามารถเรียนต่อปริญญาเอกได้ ฉะนั้นต้องมาเรียนต่อปริญญาโทอีกใบ เมื่อจบแล้วจึงสมัครเรียนต่อเอกภายหลังได้
ปีนี้เป็นปีแห่งโชคดีที่สามารถเรียนจบปริญญาโทใบแรกได้อย่างเรียบร้อย ถึงจะไม่ราบรื่นในช่วงแรกนักแต่สุดท้ายก็ผ่านได้ด้วยความชื่นชมของอาจารย์หลาย ๆ ท่าน เรื่องต่อมาก็เป็นข่าวดีเรื่องสุขภาพ ที่คุณหมอตรวจอย่างละเอียดแล้วบอกว่าให้หยุดทานยาได้ และเรื่องสุดท้ายที่เป็นความโชคดีที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนทางเดินอย่างมากคือ ผลทุนออกมาปรากฎว่าเราได้

จากนั้นก็เตรียมตัวอีกครั้งด้วยการเรียนการเขียนภาษาอังกฤษให้เข้มข้นกว่าเดิม เพราะจิตใต้สำนึกคิดไว้ตลอดเวลาว่าไม่ใช่คนหัวไว ไม่ใช่คนสมองดี จึงต้องสร้างความคุ้นเคยให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องเคลียร์ปัญหาทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเดินทางออกจากเมืองไทย เพื่อมาเริ่มต้นการก้าวเดินก้าวใหม่ที่แดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้

ลุ้นกันตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รอการประกาศผลอย่างเป็นทางการ และรอรับเอกสารรับรองเพื่อใช้ขอวีซ่า แล้วก็ได้รับในที่สุด หลังจากนั้นก็รอการติดต่อจากสายการบินเพื่อไปรับตั๋วก่อนเดินทาง จนได้รับการติดต่อให้ไปรับตั๋วเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น เครื่องออกห้าทุ่มหน้าสิบเก้านาที ไม่ได้เลือกตั๋วเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยอะไร แต่อยากเดินทางไปถึงตอนเช้า เพราะว่าต้องเดินทางต่ออีกก็เลยต้องเอาเวลานั้นมาเผื่อเวลาพักผ่อนตอนเดินทางถึงหอพักแล้ว.....

การเดินทางเป็นไปอย่างเรียบร้อย นั่งยิ้มเหมือนเดิมตั้งแต่เครื่องขึ้นจนทานอาหารเรียบร้อย แล้วก็หลับจนเกือบถึง ก็โดนปลุกให้มาทานอาหารเช้า ตอน 6 โมงเช้าของญี่ปุ่น แต่ตี 4 ของเมืองไทย ง่วงนอนมากกว่าแต่ก็จำเป็นต้องทาน เพราะว่าคงยังไม่สามารถหาซื้ออะไรทานเองได้ในตอนนั้น

พอออกมาได้ปรากฎว่าอาจารย์ใจดีมาก ให้บริษัทนำเที่ยวมารับรองจัดการเคลมกระเป๋า จัดการตั๋วรถไปสนามบินอีกแห่งพร้อมตั๋วเครื่องบินเพื่อบินตรงไปยัง matsue โดยอาจารย์รอรับอยู่ที่นั่น แต่ขอโทษอาจารย์จองตั๋วให้ตอนบ่าย 2 โมงครับท่าน แล้วตรูจะทำยังไงล่ะเนี่ยต้องนั่งรอตั้งแต่ 10 โมงเช้ายันบ่าย 2 ทำได้อย่างเดียวคือหยอดเหรียญ กดน้ำอัดลมมาดื่มแก้หิว จะว่าไปอาจารย์ก็วางแผนไว้ถูกแหละ เพราะว่าถ้าจะเดินทางเองต้องนั่งลิมูซีนมาลงในโอซาก้า จากนั้นก็นั่งรถไฟไปต่อลงเปลี่ยนขบวนที่โอกายาม่า แล้วค่อยมาถึงยังเมือง matsue คงได้หลงทาง ขึ้นผิดขบวนเป็นแน่แท้ต้องต่อหลายต่อเหลือเกิน ถ้าเคยมาอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาอะไร

และแล้วการผจญภัยเล็ก ๆ และมิตรภาพระหว่างเพื่อนๆ และน้องก็เริ่มขึ้นเมื่อบ่ายแก่ ๆ วันที่ 3 ตุลาคม 2546 ครานั้นเอง



Create Date : 07 ตุลาคม 2548
Last Update : 7 ตุลาคม 2548 15:01:28 น. 10 comments
Counter : 713 Pageviews.

 
มาเยี่ยมจ้าน้องสั่น

พี่ว่าน้องสั่นอึดนะคะ....อย่างน้อยกะประคับประคองตัวเองจนจบโท....พี่สิ...เก็บเครดิตหมดแล้ว แต่ก็ขี้เกียจเอามันซะดื้อ ๆ ห่วงแต่ทำงาน...ดรอปมันจนหมดเวลาสอบcomprehensive ชีวิตนักศึกษาป.โทจึงหมดไปในเวลา 6 ปี คิดแล้วก็เสียดายเวลา เสียดายเงินทอง

หากพี่ย้อนเวลากลับไปได้...ก็คงจะทำอะไรให้มันดีกว่านี้ เพราะพี่เป็นคนไม่อึด...จะอึดเฉพาะมีเหตุการณ์บังคับ พอผ่านพ้นไปก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรมอีก....

ตอนนี้ก็เลยกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก....ขออึดไว้ก่อน (เรื่องเรียนไม่อึด แต่เรื่องทำงานอึดนะยะ ขอโบก)


โดย: fudge-a-mania วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:16:55:50 น.  

 
ขอบคุณพี่ฟัดจ์ครับที่แวะมาเยี่ยม


โดย: สั่นฯ.... (Tsuwamono ) วันที่: 8 ตุลาคม 2548 เวลา:14:04:54 น.  

 
พึ่งได้มาอ่านบนนี้ ถึงได้รู้ว่า พี่สั่นก็ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะนะเนี่ย

ชีวิตมันไม่ง่ายจริง ขนาดผมอายุแค่นี้ พอเจอมรสุมเข้าไปก็เขว่ไปเหมือนกัน เกือบอยากจะยอมแพ้ซะแล้ว


โดย: House Of FlyingBird (House Of FlyingBird ) วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:17:47:37 น.  

 
ur life very interesting


โดย: puimnida IP: 60.41.79.67 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:09:52 น.  

 
โอ้โหขนาดคนเขียนไม่ได้แวะมาดู...แต่คนอ่านแวะมาให้กำลังใจเยอะเลย

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะครับ ทั้งที่แสดงความคิดเห็นและเข้ามาอ่านครับ


โดย: Tsuwamono IP: 192.244.210.205 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:54:00 น.  

 
ขอเป็นแรงบันดาลใจหน่อยนะครับ เป็นคนหนึ่งที่อยากจะมีโอกาสได้ทุนเรียนต่อญี่ปุ่นบ้างเหมือนกัน จะพยายามครับ


โดย: เอ๋ (ov69 ) วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:18:52:14 น.  

 
แวะมาเยี่ยมชมครั้งแรกค่ะ

คนญปยังเข้ายาก ไม่เก่งจริงเข้าไม่ได้หรอกค่ะ น่าภูมิใจ!
ยังไม่จบเล้ยยค่ะ ไม่มีตอนต่อไปเหรอคะ?



โดย: ELiiCA IP: 71.132.135.244 วันที่: 6 ธันวาคม 2549 เวลา:16:57:39 น.  

 
เก่งและอึดมากๆๆค่ะน่านับถือ คารวะด้วย โชยุ+น้ำปลา 1 จอก ฮี่ๆๆๆ


โดย: แม่บ้านณ.โตเกียว IP: 218.110.120.189 วันที่: 1 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:53:36 น.  

 
ยินดีกับว่าที่ ดอกเตอร์ค่ะ พี่อั๋นมีความพยายามจัง


โดย: น้องเกษตรคนหนึ่ง IP: 84.169.90.47 วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:9:01:51 น.  

 
สุ้ต่อไป ไม่มีคำว่า สาย หรือ ไม่สำเร็จ สำหรับผู้ที่ มีความเพียร ไม่นานคุณจะมีความภูมิใจและมีความสุขในชีวิต ว่า เราก็ทำได้ ทำเถอะ ทำได้เพราะได้ทำ ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ สู้ๆๆๆๆๆๆ


โดย: yuri2007 IP: 117.121.218.61, 117.121.208.2 วันที่: 23 มิถุนายน 2552 เวลา:0:06:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tsuwamono
Location :
Shimane Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Tsuwamono's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.