แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
 

กระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำ สำหรับอาหารและวัสดุชีวภาพ

นิธิปรียา จันทวงษ์ โทร. (02) 278-8249


การอบแห้ง เป็นกระบวนการแปรรูปอาหารที่สำคัญมากกระบวนการหนึ่ง เนื่องจากสามารถลดปริมาณความชื้นของอาหารจนอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการเก็บรักษาได้ นอกจากนี้ ยังเป็นวิธีการที่สำคัญอีกวิธีการหนึ่งซึ่งอาจนำไปใช้ในการผลิตอาหาร (หรือวัสดุชีวภาพ) ที่มีคุณลักษณะพิเศษ และไม่สามารถผลิตขึ้นมาได้โดยวิธีการแปรรูปแบบอื่นๆ อีกด้วย

ปัจจุบันในอุตสาหกรรมอาหารนิยมใช้การอบแห้งแบบลมร้อนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นวิธีการที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ตลอดจนสามารถจัดหาเครื่องอบแห้งและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้งานได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการอบแห้งแบบลมร้อนมักมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลิตภัณฑ์เริ่มต้นค่อนข้างมาก ทั้งในแง่ของสี เนื้อสัมผัส การหดตัว (การเสียรูป) หรือในแง่ของคุณค่าทางอาหารซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน

จากกระแสความนิยมในการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ผู้ประกอบการบางรายจึงได้นำวิธีการอบแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (Freeze drying) มาใช้ในกระบวนการผลิตของตน ซึ่งสามารถรักษาคุณค่าทางอาหาร สี และกลิ่นรสของผลิตภัณฑ์ได้ดี แต่เป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่าย ทั้งในแง่ของการติดตั้งอุปกรณ์เบื้องต้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงมาก จึงอาจไม่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ทุกๆ ชนิด

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น รศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา และคณะ จากภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงได้พัฒนาวิธีการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายวิชาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

การอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำนี้ ได้รวมเอาข้อดีของการอบแห้งแบบสุญญากาศ คือความสามารถในการอบแห้งที่อุณหภูมิต่ำ เข้ากับข้อดีของการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่ง คือการที่ไม่มีออกซิเจนในระบบอบแห้ง ทำให้ไม่มีการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันใดๆ ได้ระหว่างการอบแห้ง ส่งผลให้สีและคุณค่าทางโภชนาการต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับสารอาหารที่สูญสลายได้ง่ายภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน เช่น วิตามินซี) ได้รับการรักษาเอาไว้ค่อนข้างดี เมื่อเปรียบเทียบกับการอบแห้งแบบลมร้อน หรือแม้กระทั่งการอบแห้งแบบสุญญากาศเพียงอย่างเดียว

คณะผู้วิจัยได้ทดลองอบแห้งผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ หลายประเภท โดยใช้เครื่องอบแห้งแบบใช้ไอน้ำยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำ เช่น แครอต มะขามป้อม (สำหรับผลิตเป็นชาชงมะขามป้อม) กล้วย และมันฝรั่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบผลที่ได้กับกรณีการอบแห้งแบบลมร้อนและแบบสุญญากาศ พบว่า การอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำสามารถรักษาสีและคุณค่าทางอาหาร (เช่น เบต้าแคโรทีน และวิตามินซี) ของผลิตภัณฑ์เอาไว้ได้ดี นอกจากนี้ ในกรณีของกล้วยและมันฝรั่ง ยังพบว่า เนื้อสัมผัส (ในแง่ของความแข็งและความกรอบ) ของผลิตภัณฑ์ที่ได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการอบแห้งแบบอื่นๆ ที่ทำการทดสอบ และมีศักยภาพในการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทอด ซึ่งมีปริมาณไขมันสูง จึงอาจกล่าวได้ว่า กระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำมีศักยภาพในการผลิตขนมขบเคี้ยวสุขภาพได้อีกด้วย

นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้ทดลองผลิตฟิล์มบริโภคได้จากไคโตซาน โดยใช้เครื่องอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำ และเปรียบเทียบผลที่ได้กับกรณีการใช้วิธีการอบแห้งแบบอื่นๆ ได้แก่ การอบแห้งแบบลมร้อนและแบบสุญญากาศ พบว่า ฟิล์มบริโภคได้ที่ผลิตจากกระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำมีสมบัติเชิงกล (ในแง่ของความแข็งแรงต่อแรงดึง) และสีที่ดีกว่าฟิล์มบริโภคได้ ที่ผลิตโดยวิธีการอบแห้งแบบอื่นๆ ที่ทำการศึกษา

ทั้งนี้เมื่อผนวกรวมกับศักยภาพของกระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำที่สามารถรักษาคุณค่าสารอาหารต่างๆ ได้ดีดังกล่าวแล้วข้างต้น อาจสรุปได้ว่า กระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำ มีศักยภาพสูงในการนำไปใช้ผลิตฟิล์มบริโภคได้สำหรับบรรจุภัณฑ์แบบแอคทีฟ ซึ่งอาจมีการเติมสารต้านอนุมูลอิสระหรือสารต้านจุลชีพลงไปในเนื้อฟิล์ม และให้เกิดการปลดปล่อยออกมาในภายหลัง เมื่อใช้ฟิล์มดังกล่าวมาห่อหุ้มอาหาร เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาของอาหารได้

ข้อดีของกระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำ คือใช้เวลาน้อยกว่าการอบแห้งแบบลมร้อนหรือแบบสุญญากาศ ส่วนค่าใช้จ่ายแม้ว่าอาจจะสูงกว่า แต่ก็ยังถูกกว่าการอบแห้งแบบแช่เยือกแข็งมาก โดยราคาเครื่องตกประมาณเครื่องละ 5 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตสามารถซื้อเครื่องอบแห้งที่ผลิตในประเทศ มาประกอบกับตัวปั๊มที่จะทำให้เกิดสุญญากาศซึ่งสั่งซื้อได้จากประเทศจีนหรือไต้หวัน ราคาประมาณ 1 แสนบาท ก็จะช่วยลดต้นทุนลงมาได้ ขณะที่เครื่องกำเนิดไอน้ำราคาประมาณ 3 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท

"กระบวนการอบแห้งแบบใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำ จึงเหมาะสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ รวมทั้งอาหารและวัสดุชีวภาพที่อาจเสื่อมสลายได้ง่าย เมื่อได้รับความร้อนและสัมผัสกับออกซิเจน ซึ่งมีอยู่มากในอุตสาหกรรมเทคโนชีวภาพและอุตสาหกรรมยา" รศ.ดร.สักกมน กล่าวทิ้งท้าย




 

Create Date : 17 กันยายน 2551   
Last Update : 17 กันยายน 2551 8:40:26 น.   
Counter : 2368 Pageviews.  


เตาเผาถ่าน 200 ลิตร ถูก ให้ประสิทธิภาพสูง



จากที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังก้าวไปด้วยอัตราเร่งที่สูงในการเข้าสู่สถานการณ์ที่จะก่อตัวเป็นวิกฤตการณ์มวลรวม ผลกระทบจากราคาพลังงานแพงขึ้น ทำให้สินค้าและบริการสูงขึ้นตามมา คนชั้นกลางและล่างของสังคมเข้าสู่ข้าวยากหมากแพง การแก้ไขปัญหาของภาครัฐที่เป็นไปในลักษณะเฉพาะหน้า ขาดนโยบายหรือแนวทางที่แน่วแน่ในการจัดการที่ต้นตอของปัญหา ก็คือ คน หรือพฤติกรรมของคนในการใช้พลังงาน ในการปรับวิถีชีวิต รูปแบบการใช้ชีวิตให้สอดคล้องและพึ่งพากันระหว่างคนกับธรรมชาติ

จากสิ่งที่เกิดข้างต้น จึงทำให้เป็นที่มาของนิทรรศการพลังงานยั่งยืนเพื่อชุมชน ซึ่งจัดขึ้นที่ อาศรมพลังงาน สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม ตั้งอยู่ที่ 135/4 หมู่ที่ 4 ถนนธนะรัชต์ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โทร. (044) 297-621 ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งนิทรรศการในครั้งนี้ สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้การสนับสนุนของสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เพื่อเสนอทางออกให้กับคนไทยโดยเฉพาะเกษตรกร ได้กลับมาสู่แนวทางการพึ่งพาตนเองด้านปัจจัยในการทำการเกษตร และการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานในการผลิต

ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และมีการนำเสนอให้ภายในนิทรรศการครั้งนี้คือ เตาเผาถ่าน 200 ลิตร ที่ทางอาศรมพลังงาน สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม ได้ดำเนินการเผยแพร่ถ่ายทอดออกไปสู่เกษตรกรที่สนใจได้นำไปใช้

ซึ่งปัจจุบันนี้ ตามชนบทยังคงนิยมใช้เชื้อเพลิงจากไม้เพื่อใช้ในการหุงต้ม อยู่ประมาณร้อยละ 30 แต่เตาเผาถ่านแบบดั้งเดิมที่ยังคงเห็นแถวตามท้องนานั้น มีข้อเสียอยู่หลายประการ ไม่ว่าการสิ้นเปลืองไม้ในการเผา และคุณภาพของถ่านไม่สม่ำเสมอ



วิธีทำเตาถ่าน 200 ลิตร

แต่เตาเผาถ่าน 200 ลิตร อันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เผาถ่านให้ได้คุณภาพ และมีประสิทธิภาพสูงกว่าเตาเผาถ่านแบบดั้งเดิมประมาณ 1.2-1.5 เท่า โดยจุดเด่นของเตาเผาถ่าน 200 ลิตร นี้ คือ

- สำหรับไม้ที่นำมาเผาถ่านนั้นสามารถหาได้ง่ายๆ จากหัวไร่ปลายนา ไม่ว่าจะเป็นเศษกิ่งไม้ ปลายไม้จากการตัดแต่งกิ่ง

- เชื้อเพลิงในการเผาถ่านน้อย

- ใช้เวลาเผาสั้น ภายใน 1 วัน

- ใช้แรงงานคนเดียวในการเผา

- ลงทุนน้อย ไม่เกิน 800 บาท เหมาะกับการใช้งานในครัวเรือน

จากที่ใช้ถังขนาด 200 ลิตร เป็นตัวเตา และอาศัยความร้อนไล่ความชื้นในเนื้อไม้ที่อยู่ในเตา ทำให้ไม้กลายเป็นถ่าน หรือที่เรียกว่า กระบวนคาร์บอนไนเซชั่น (Carbonization) นอกจากนี้ เตายังมีโครงสร้างที่มีลักษณะปิด ทำให้สามารถควบคุมอากาศได้ จึงไม่มีการลุกติดไฟของเนื้อไม้

ผลผลิตที่ได้จึงเป็นถ่านที่มีคุณภาพ มีสารก่อมะเร็งต่ำ ขี้เถ้าน้อย และผลพลอยได้จากกระบวนการเผาถ่านอีกอย่างหนึ่ง คือ "น้ำส้มควันไม้ หรือ Wood Vinegar" ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมธรรมชาติได้ด้วย

สำหรับถ่านที่ได้นั้น จากที่ใช้ไม้สดที่ใช้เผา ไม้สดที่ตัดทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน 100 กิโลกรัม เมื่อนำมาเผาในเตา 200 ลิตร จะได้ถ่านประมาณ 20-22 กิโลกรัม และน้ำส้มควันไม้ดิบที่ได้ประมาณ 1-2 ลิตร

ซึ่งวิธีการประกอบเตานั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. นำถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่จะดัดแปลงมาตัดฝาถังด้านใดด้านหนึ่งออก สามารถเปิด-ปิด ได้ นำฝาถังที่ตัดออกมาเจาะเป็นรูสี่เหลี่ยม ขนาดรูเจาะ 20x 20 เซนติเมตร

2. ส่วนตัวถังฝาอีกด้านหนึ่งเจาะรูกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว

3. ปูพื้นทรายให้มีขนาดกว้างและความยาวเท่ากับขนาดของตัวถัง นำถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่จะทำหน้าที่เป็นผนังเตามาวางบนพื้นทรายที่เตรียมไว้

4. ประกอบท่อข้องอ 90 องศา และท่อใยหินที่ทำหน้าที่เป็นปล่องควันต่อเข้ากับตัวเตา พร้อมเชื่อมประสานรอยต่อโดยใช้ดินเหนียวผสมกับขี้เถ้าแกลบ

5. ตัวเตาหุ้มด้วยดินเหนียว หนาประมาณ 30 เซนติเมตร หรือห่อหุ้มด้วยทรายก็ได้

6. นำไม้ที่ต้องการจะเผาที่มีขนาดความยาวประมาณ 80 เซนติเมตร ใส่เข้าไปตามแนวความยาวของตัวถังใส่เข้าไปจนเต็ม ทั้งนี้ไม้ที่ใช้ควรจะเป็นไม้ที่สดและไม่แห้งจนเกินไป

7. ปิดฝาถังแล้วนำอิฐบล็อคมาวางให้ตรงช่องที่เจาะไว้ ประสานรอยต่อโดยใช้ดินเหนียวผสมกับขี้เถ้าแกลบดำ

สำหรับสิ่งที่ได้จากการเผาในเตาดังกล่าว จะประกอบด้วยถ่านและน้ำส้มควันไม้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามต้องการ



ใช้ถ่านปรับปรุงดิน

แต่ทั้งนี้ในส่วนของถ่านนั้น นอกเหนือจากการใช้เป็นเชื้อเพลิงการหุงต้มในครัวเรือนแล้ว เกษตรกรยังสามารถนำถ่านไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการปรับปรุงดินได้อีกด้วย

โดยอาศรมพลังงาน สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้ข้อมูลว่า ถ่านไม้ใช้เป็นสารปรับปรุงดินได้ เนื่องจากถ่านมีรูพรุนมากมาย เมื่อใส่ถ่านลงในดินจะทำให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศได้ดี ทำให้รากพืชขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังดูดซับปุ๋ยไนโตรเจนไม่ให้ระเหยสู่อากาศในรูปของก๊าซแอมโมเนีย ทำให้ประหยัดปุ๋ย รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในถ่านจะเป็นแหล่งจุลธาตุ (Trace Element) สำหรับพืชได้อย่างดี

ถ่านไม้สามารถปรับปรุงดินที่เสื่อมโทรมจากการทำการเกษตรไม่ถูกต้อง ทำให้ดินเป็นแหล่งสะสมโรค แมลง รวมทั้งสารเคมีตกค้างและดินเป็นกรดมาก เมื่อใช้ถ่านจะช่วยปรับสภาพความเป็นกรดให้น้อยลง รูพรุนของถ่านจะมีขนาดเล็กมากจึงจะเป็นที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น เชื้อแอคทิโนมัยซิส ไตรโคเดอร์ม่า และบาซิลลัส และจากการที่ถ่านไม้มีรูพรุนมากเชื้อจุลินทรีย์อโซโตแบคเตอร์มักจะอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ผลิตอาหารโดยการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ทำให้ถ่านเป็นแหล่งสะสมไนโตรเจน ให้พืชนำไปใช้ในการเจริญเติบโต

นอกจากนี้ ถ่านไม้ยังช่วยเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับดิน ซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ปรุงอาหารโดยการสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น เช่น ทำให้ผลไม้ลดความฝาด และเพิ่มความหวานมากขึ้น

อัตราส่วนในการใช้นั้น มีข้อแนะนำว่า สำหรับนาข้าวและพืชไร่ ใช้ในอัตราส่วน 300 กิโลกรัม ต่อไร่ ปีละ 1 ครั้ง เช่นเดียวกับพืชผักและพืชล้มลุก ที่ใช้ในอัตราส่วน 300 กิโลกรัม ต่อไร่ ปีละ 2 ครั้ง ส่วนไม้ผลและไม้ยืนต้น อัตราส่วนที่ใช้ 1 กิโลกรัม ต่อทรงพุ่ม 1 เมตร ปีละ 1 ครั้ง และในไม้กระถาง ใช้ 1 ใน 5 ส่วน ของดินผสม



การใช้ประโยชน์จากน้ำส้มควันไม้

น้ำส้มควันไม้ หรือน้ำวู้ดเวเนการ์ (Wood vinegar) เป็นของเหลวสีน้ำตาลใสมีกลิ่นควันไฟ ได้มาจากการควบแน่นของควันที่เกิดจากการผลิตถ่านไม้ในช่วงที่ไม้กำลังเปลี่ยนเป็นถ่าน ในช่วงที่อุณหภูมิในเตาอยู่ระหว่าง 300-400 องศาเซลเซียส สารประกอบต่างๆ ในไม้ฟืนจะถูกสลายตัวด้วยความร้อน เกิดเป็นสารประกอบใหม่มากมาย แต่ถ้าเก็บควันในช่วงอุณหภูมิต่ำกว่า 300 องศาเซลเซียส จะมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์น้อยมาก ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และถ้าเก็บควันในช่วงอุณหภูมิเกิน 425 องศาเซลเซียส จะมีปริมาณน้ำมันดินหรือทาร์ออกมามาก

น้ำส้มควันไม้ที่ได้ยังไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที เนื่องจากการเปลี่ยนจากไม้เป็นถ่านไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งเตา ดังนั้น ควันที่เกิดขึ้นจึงเป็นควันที่ผสมกันระหว่างควันอุณหภูมิต่ำและสูง ดังนั้น จะมีน้ำมันดิน และสารระเหยง่ายปนออกมาด้วย น้ำมันดินที่ละลายน้ำไม่ได้จะนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรไม่ได้ เพราะจะไปปิดปากใบของพืช และเกาะติดรากพืช ซึ่งจะทำให้พืชเจริญเติบโตช้าหรือตายได้ น้ำส้มควันไม้ดิบที่ได้ถ้าจะให้มีคุณภาพดี จะต้องแยกเอาสารเจือปนอื่นๆ ออกก่อน โดยจะต้องนำไปเก็บไว้ในภาชนะที่ไม่ใช่โลหะ แล้วปล่อยให้ตกตะกอน ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 เดือน ถ้าจะให้ได้คุณภาพดียิ่งขึ้น ควรทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน

ส่วนประกอบของน้ำส้มควันไม้ดิบ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1. น้ำมันไม่เข้มข้น (ลอยอยู่ข้างบน)

2. น้ำส้มควันไม้ (อยู่ตรงกลาง)

3. น้ำมันดิน หรือทาร์ (ตกตะกอนบริเวณก้นภาชนะ)

ประโยชน์และการนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้งาน

1. ใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น ป้องกันขับไล่ไส้เดือนฝอยในมะเขือเทศ ใช้น้ำส้มควันไม้ 1 ส่วน ต่อน้ำ 50 ส่วน ราดบริเวณโคนต้น เชื้อรา ใช้ในอัตรา 1 ต่อ 200 ฉีดพ่นใบ โรครากเน่า ใช้ในอัตรา 1 ต่อ 200 ราดบริเวณโคนต้น ส่วนในแตงกวา เชื้อรา ใช้ในอัตรา 1 ต่อ 200 ฉีดพ่นใบ โรครากเน่า ใช้ในอัตรา 1 ต่อ 200 ราดบริเวณโคนต้น กรณีขับไล่แมลงในผักกะหล่ำปลี และผักกาดขาว ใช้อัตรา 1 ต่อ 1,500 รดแทนน้ำปกติ เป็นต้น

2. เพิ่มปริมาณรสชาติของผลไม้ และกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ฉีดน้ำส้มควันไม้ในอัตราส่วน 1 ต่อ 500 ถึง 1 ต่อ 1,000 เท่า สามารถเพิ่มรสชาติของผลไม้ ให้มีความหวาน ที่เป็นเช่นนี้เพราะน้ำส้มควันไม้ช่วยลดไนโตรเจนส่วนเกิน กระตุ้นการสันดาปของพืช และเพิ่มระดับน้ำตาลให้กับพืชชนิดที่ให้รสหวาน

3. ช่วยเร่งการหมัก น้ำส้มควันไม้ที่มีความเข้มข้นประมาณ 1 ต่อ 100 จะช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรีย ที่มีประโยชน์ในการเร่งการหมักสารชีวภาพ คือสามารถย่นระยะเวลาในการหมักลงอีกครึ่งหนึ่งของการหมักสารชีวภาพโดยปกติ

4. ลดกลิ่นเหม็น น้ำส้มควันไม้มีคุณสมบัติในการต่อต้านการผลิตแอมโมเนีย จึงสามารถนำไปใช้ลดกลิ่นเหม็นในคอกสัตว์ ใช้ในอัตราส่วน ประมาณ 1 ต่อ 50

5. ขับไล่สัตว์บางชนิดที่มีพิษ เนื่องจากน้ำส้มควันไม้เข็มข้น มีส่วนผสมของน้ำมันดิน ซึ่งส่งกลิ่นฉุนอยู่มาก กลิ่นนี้จะคล้ายควันไฟ ซึ่งไปรบกวนและขับไล่สัตว์ที่มีพิษไปได้ เช่น ตะขาบ

6. ใช้ในการขับไล่แมลงวัน เนื่องจากน้ำส้มควันไม้นั้นมีกลิ่นฉุน กลิ่นฉุนเหล่านี้จะสามารถขับไล่แมลงวันได้ ใช้ในอัตราส่วนเจือจาง ประมาณ 1 ต่อ 100

7. บำรุงผิวดินในการเพาะปลูก น้ำส้มควันไม้ที่รดลงไปบนหน้าผิวดิน ควรมีความเข้มข้นประมาณน้ำส้มควันไม้ 1 ส่วน ต่อ น้ำ 30 ส่วน และควรใช้ในปริมาณ 6 ลิตร ต่อ 1 ตารางเมตร สำหรับบำรุงผิวดินก่อนเพาะปลูก แต่ถ้าต้องการนำไปฆ่าเชื้อในดินควรจะมีความเข้มข้นสูงกว่านี้ประมาณ 1 ต่อ 5 หรือ 1 ต่อ 10

เตาเผาถ่าน 200 ลิตร จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการใช้พลังงานทดแทนที่สามารถนำไปใช้ได้ในเรือกสวนไร่นา เพื่อเป็นการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้เป็นอย่างดี




 

Create Date : 17 กันยายน 2551   
Last Update : 17 กันยายน 2551 8:26:35 น.   
Counter : 3608 Pageviews.  


แนะแนวสู่ตลาด การเลี้ยงหมาเพื่ออาชีพ

ธีรนันท์ โชติกะพุกกะนะ



สุนัข หรือหมา เป็นสัตว์เลี้ยงที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของคนเรามาช้านาน เราให้ความรัก ความเมตตา เอื้ออาทรกับมันมามาก หมาก็ตอบแทนบุญคุณของเจ้าของด้วยความจงรักภักดี ประจบประแจง และบ่อยครั้งที่หมาตอบแทนบุญคุณด้วยการปกป้องหรือทดแทนด้วยชีวิต และที่สำคัญสิ่งเหล่านี้หมาทำไปโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เรียกว่าทำไปโดยสัญชาตญาณ ทำโดยไม่มีเงื่อนไขแม้จะต้องตาย ซึ่งเชื่อว่ามันตายตาหลับที่ได้ช่วยให้เจ้าของพ้นภัย

หมามีหลายชนิด ผู้เกี่ยวข้องได้แบ่งประเภทของหมาออกตามลักษณะการใช้งาน และตามความถนัดของหมา เช่น หมาใช้งาน หมาใช้ในการกีฬา หมาใช้ในการล่าสัตว์ หมาเลี้ยงเล่น และหมาประเภทอื่นๆ ซึ่งผู้ที่สนใจจำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ หรือให้ได้หมาตามที่ตนประสงค์ไปเลี้ยง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว การผสมพันธุ์หมาเพื่อให้ได้หมาที่ดีที่สุดตามความต้องการจึงเกิดขึ้น กลายเป็น "ธุรกิจ" ที่คนรักหมาเดินทางเข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่อง

การขายสุนัขสามารถทำเป็นทั้งอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักก็ได้ ทั้งนี้ ขอให้มีความรู้เรื่องหมาในระดับหนึ่ง เช่น วิธีเลี้ยง การให้อาหาร การผสมพันธุ์ การออกกำลังกาย และสิ่งสำคัญสูงสุดที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้ก็คือ "การตลาด"

การตลาดในวงการหมา ไม่ใช่แค่การขายหมา แต่การตลาดของหมานั้นหมายรวมถึง วิธีการขาย วิธีการเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์เชิงพาณิชย์ การตั้งราคา ซึ่งปัจจุบันการขายหมาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปยังต่างจังหวัด มีการซื้อขายภายในฟาร์มหรือในคอก หรือแม้แต่ในโลกอินเตอร์เน็ต

และตลาดก็มิได้อยู่เพียงภายในประเทศ แต่ยังขยายวงออกไปไกลถึงต่างประเทศ ทั้งในยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่ในเอเชียของเราเอง ปัจจุบันมีพ่อค้าหมาชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาหาซื้อหมาสวยๆ ในบ้านเราแทบจะเหยียบกันตาย ซึ่งมีทั้งพ่อค้าสัญชาติจีน และสัญชาติยุโรป กระจายเจรจาซื้อขายทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด เช่น ในจังหวัดขอนแก่นบ้านผมก็ไม่น้อยหน้า

ดังนั้น การขายหมาในทุกวันนี้ถ้าผู้เลี้ยงสามารถเจรจาซื้อขายด้วยภาษาต่างประเทศได้ ก็จะได้เปรียบผู้ค้ารายอื่น อย่างภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ซึ่งธุรกิจการขายหมาทุกวันนี้ไม่มีวันธรรมดาหรือวันหยุด แต่ดำเนินไปด้วยตัวของมันเองในทุกวัน ดังนั้น การติดต่อทางโทรศัพท์หรือแม้แต่ทางอินเตอร์เน็ต นับว่าจำเป็นอย่างมากที่ต้องอาศัยภาษาต่างประเทศ

ในการติดต่อสื่อสารก็สำคัญ การเลือกสื่อในการลงโฆษณาขายหมา หรือประชาสัมพันธ์หมาและคอกหมาของท่านก็ต้องเลือกให้ดี เนื่องจากปัจจุบันมีสื่อที่เป็นนิตยสารอยู่หลายฉบับ ท่านจะต้องพิจารณาว่านิตยสารฉบับไหนที่ให้ผลตอบแทนในการลงโฆษณาของท่านได้มากที่สุด นิตยสารบางฉบับมิได้มุ่งเน้นเรื่องการลงโฆษณา แต่เปิดโอกาสเพื่อการประชาสัมพันธ์เป็นความรู้ก็อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่ง

นอกจากนี้ ท่านจะต้องมีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตด้วย ควรสามารถโพสข้อความและภาพถ่ายของหมาที่ท่านจะขายลงในตลาดซื้อขายที่มีบริการฟรีได้ ช่องทางนี้ก็ควรเลือกเช่นกัน อย่างมองข้ามบอร์ดที่มีผู้นิยมเข้าไปดูกันมากๆ เด็ดขาด โดยเฉพาะในหมวดสัตว์เลี้ยง ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องจัดไว้เป็นการเฉพาะหมาด้วย ซึ่งรายละเอียดที่ระบุต้องชัดเจน ทั้งเบอร์โทรศัพท์ สถานที่ และอี-เมล

การตรวจสอบอี-เมลนั้นก็สำคัญ เพราะอาจจะทำให้พลาดโอกาสในการขายหมาได้เช่นกัน เนื่องจากถ้าท่านประกาศทางอินเตอร์เน็ตและมีการติดต่อมาทางอี-เมล อาจจะมีอี-เมลขยะเข้ามารวมอยู่ด้วย ท่านจะต้องดูอย่างละเอียดและแยกให้ถูกต้องว่าอันไหนเป็นขยะ และอันไหนเป็นธุรกิจของท่าน

นอกจากนี้ การตลาดของการขายหมายังต้องมีความรู้เรื่องการตั้งราคาขาย โปรดอย่าให้ความสำคัญกับคติที่ว่า "ของถูกไม่ดี ของดีต้องแพง" หมาที่ท่านจะขายเป็นหมาที่ท่านผสมมันขึ้นมาเอง เป็นหมาตัวเดียวในโลกที่ท่านคิดว่าดีที่สุด ดังนั้น ถ้าจะขายต้องได้ราคาที่ท่านพอใจที่สุด และขายให้กับผู้ที่ต้องการนำไปเลี้ยงเท่านั้น ถ้าคิดได้ดังนี้ท่านก็จะกล้าที่จะตั้งราคา ขอเพียงมีความมั่นใจในหมาของตนเอง แต่ไม่ใช่เข้าข้างตนเอง และไม่หลอกขาย หากมั่นใจแล้วท่านก็จะกล้าบอกราคา

และจงอย่าคิดว่าแพงไปหรือถูกไป เนื่องจากไม่สามารถหาราคากลางที่ไหนมาเปรียบเทียบได้ เนื่องจากการค้าขายหมาย่อมมีข้อแตกต่าง แม้ว่าจะเป็นหมาพันธุ์เดียวกัน อายุเท่ากัน เพศเดียวกัน อย่าไปหลงกลว่าหมาทุกตัวต้องเหมือนกันทั้งหมด ผมขอยืนยันนั่งยันนอนยันว่าไม่เหมือนครับ ลูกหมาทุกตัวก่อนผสมออกมาต้องมีการคัดเลือกทั้งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เมื่อผสมแล้วต้องดูแลให้ความสนใจ คลอดออกมาก็ต้องเลี้ยงดูอย่างดีทั้งแม่หมาลูกหมา ทั้งที่อยู่อาศัย อาหารการกิน เป็นห่วงเป็นใยเอื้ออาทรต่อกันจนกว่าจะโต ต้องมีการถ่ายพยาธิตามระยะเวลา ทำวัคซีน และให้กินอาหารเสริม คัดตัวคัดสี ตรวจลักษณะสร้างความพร้อมในการเดินทาง เพราะ 90% ผู้ซื้อจะมาจากต่างถิ่น ทั้งทางรถยนต์ เครื่องบิน ลูกหมาต้องพร้อมที่จะเผชิญกับสภาวะในการเดินทาง

ในกรณีที่ผู้ขายไม่สามารถขายหมาขายออกไปได้ภายใน 90 วัน อาจจะต้องมีต้นทุนสูงขึ้น ทั้งวัคซีน อาหาร และค่าเลี้ยงดูอื่นๆ ช่วงอายุของลูกที่เหมาะกับการซื้อขายมากที่สุดก็คือ วัย 60-90 วัน นับเป็นลูกหมาที่กำลังน่ารักและต้องการเรียนรู้ หากเลยเวลานี้อาจทำให้ลูกหมาของท่านหมดโอกาสในการจำหน่าย มีผู้ซื้อที่รู้มากบางคนมักหาโอกาสซื้อหมาในระหว่างนี้เพื่อนำไปขายต่อ ผู้ซื้อกลุ่มนี้จึงให้ราคาต่ำ ไม่น่าพอใจ เพื่อเสาะหากำไรต่อหนึ่ง และที่สำคัญอาจทำให้ลูกหมาของท่านไปตกระกำลำบากก็ได้ คนขายหมา มีคอกหมาจึงมีสิทธิ์ที่ไม่จำหน่ายให้ใครก็ได้ หากเห็นว่าถ้านำลูกหมาไปแล้วอาจไม่ปลอดภัย หรือเสี่ยงตาย แม้จะให้ราคาดีเพียงใด ซึ่งในความเป็นจริงไม่มี

ระยะหลังมานี้มีข่าวมาเข้าหูไม่เว้นแต่ละวันว่าหมานั้นสามารถทำเป็นเมนูเด็ดได้หลายอย่าง (แถมเป็นเมนูระดับฮ่องเต้เสียด้วย) เล่นเอาคนรักหมาทั้งหนาว และคลื่นไส้ไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งมีกระแสว่าพ่อค้าเหล่านี้จะให้ราคาดีแสนดี แต่จะนำหมาไปทำยาโด๊ป หมาที่พวกนี้ชอบกิน ได้แก่ พูเดิ้ล บลูด็อก เซนต์เบอร์นาร์ด มิเนียเจอร์ พินเชอร์ สำหรับพูเดิ้ลนั้นเห็นจะเป็นอันดับหนึ่งก็ว่าได้ เพราะได้ข่าวว่าพวกนี้จะนำไปทำ "ยาหมาแดง" โดยนำมดลูกไปผสมเหล้าขาวแล้วดื่มกันสดๆ เพื่อเพิ่มพลังทางเพศ

การเลี้ยงหมาเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นรายได้เสริมหรือรายได้หลักต้องประกอบด้วยใจรัก มีความรู้เรื่องหมา มีความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่เอาเปรียบคนที่ไม่รู้ ไม่หวงวิชา และสามารถทำตลาดได้ ถ้ามีครบก็เชื่อว่าธุรกิจจะไปได้ดี หากขาดสิ่งใดไปการเลี้ยงการขายก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร แถมทุนยังเข้าเนื้อ ไม่สามารถสร้างรายรับหรือทำเป็นอาชีพได้

การมาซื้อหมาส่วนใหญ่ ผู้ที่ต้องการซื้อไปเลี้ยงมักจะมาเลือกหากันเป็นครอบครัว ทั้งพ่อ-แม่-ลูก ไหวพริบของผู้ขายก็สำคัญ ต้องมองให้ออกว่าใครเป็นใหญ่ ใครเป็นคนตัดสินใจ บางครอบครัวยกให้ลูก แต่บางครอบครัวต้องแม่เท่านั้นพ่อไม่เกี่ยว หากมองออกก็คงพอทราบกันว่าควรจะนำเสนอลูกหมาในลักษณะใด แต่อย่าลืมเรื่องการบริการหลังการขายซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นไม่แพ้กัน เนื่องจากผู้ซื้อหมาบางคนอาจเลี้ยงหมาไม่เป็น ผู้ขายจะต้องคอยเป็นครูก่อนในเบื้องต้น ควรให้คำปรึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับหมาตัวที่ซื้อไป หรือแม้แต่เรื่องของหมาตัวอื่นๆ ที่ไม่ได้ซื้อไปจากเรา ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องเจ็บป่วย เรื่องวัคซีน และอื่นๆ เรื่องเหล่านี้ท่านไม่เสียอะไรแต่เป็นการผูกใจหรือร้อยใจลูกค้าไว้ และเชื่อว่าการให้คำปรึกษาต่างๆ นั้นจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีกับตัวท่านเอง

การเลี้ยงหมา เพื่อเป็นอาชีพเสริมนั้นต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความรอบรู้ ท่านที่อ่านบทความนี้แล้วน่าจะเกิดไอเดียอันนำมาซึ่งความสำเร็จได้ไม่ยาก ขอให้ท่านโชคดี สามารถเลี้ยงหมาได้ประสบผลสำเร็จ ขายหมาได้ราคาดี และมีคนรู้จักมากมาย สวัสดีครับ...




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2551   
Last Update : 18 มิถุนายน 2551 9:14:38 น.   
Counter : 1676 Pageviews.  


เพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น (Caulerpa lentillifera J. Agardh) ในถังไฟเบอร์กลาส

อาจารย์นิสราภรณ์ เพ็ชร์สุทธิ์ และ อาจารย์จิรเวฐน์ เพ็ชร์สุทธิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง



ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเลี้ยงกุ้งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งในการเลี้ยงกุ้งมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นตามมามากมาย เช่น มีการปล่อยน้ำทิ้งภายหลังจากการเลี้ยง ซึ่งหากไม่ได้รับการบำบัดก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำได้

สำหรับสาหร่ายพวงองุ่น (Caulerpa lentillifera) ซึ่งเป็นสาหร่ายทะเลชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายพวงองุ่น จึงเรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า sea grapes หรือ green caviar สามารถนำมาใช้ในการบำบัดน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งได้โดยการลดปริมาณสารอาหารที่มีในน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งก่อนปล่อยออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งภายหลังจากการบำบัดน้ำพบว่า สาหร่ายสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และในประเทศไทยเองได้มีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อบำบัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

แต่เนื่องจากผลผลิตในธรรมชาติยังไม่เพียงพอ เกษตรกรจึงจำเป็นต้องสร้างแหล่งพันธุ์ของสาหร่ายให้มีปริมาณเพียงพอ ดังนั้น สาหร่ายพวงองุ่นจึงเป็นสาหร่ายทะเลอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในการนำมาเลี้ยงเพื่อการสร้างแหล่งพันธุ์ให้มีปริมาณเพียงพอเพื่อใช้ประโยชน์ในการลดปริมาณสารอาหารในน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากบำบัดน้ำทิ้งแล้ว บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทยก็มีการบริโภคสาหร่ายชนิดนี้มาเป็นเวลานาน ดังนั้น การพัฒนาการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นจึงจำเป็นต้องทราบข้อมูลพื้นฐานในหลายๆ ด้าน เช่น อัตราการเจริญเติบโตของสาหร่าย รวมถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมและคุณภาพน้ำที่ใช้เลี้ยงที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาการเลี้ยงเพื่อสร้างแหล่งพันธุ์ของสาหร่าย และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสาหร่ายชนิดนี้ในประเทศไทยต่อไป

งานเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งฉะเชิงเทรา ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน 2548 โดยเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในถังไฟเบอร์กลาสทรงกลม ขนาดความจุน้ำประมาณ 1,000 ลิตร มีการเลี้ยงสาหร่ายโดยใช้น้ำทะเลธรรมชาติ และเลี้ยงโดยใช้น้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเล ในอัตราส่วนที่ขึ้นกับความเค็มของน้ำทะเลที่ใช้ในแต่ละครั้ง โดยเลี้ยงสาหร่ายเพื่อหาอัตราการเจริญเติบโตในตะกร้าพลาสติคทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เซนติเมตร แต่ละใบใส่สาหร่ายน้ำหนักเริ่มต้น 100 กรัม พร้อมด้วยก้อนหิน ขนาดจำนวน 3-4 ก้อน เพื่อให้เป็นที่ยึดเกาะของสาหร่ายที่เลี้ยง แขวนตะกร้าพลาสติคไว้กับไม้ไผ่ซึ่งวางพาดกับขอบของถังไฟเบอร์กลาส ตะกร้าพลาสติคอยู่ต่ำจากระดับผิวน้ำ ประมาณ 15-30 เซนติเมตร ชั่งน้ำหนักสาหร่ายในตะกร้าพลาสติคทุก 10 วัน เพื่อตรวจวัดอัตราการเจริญเติบโต จากนั้นชั่งน้ำหนักสาหร่ายกลับให้ได้ใกล้เคียงกับน้ำหนักเริ่มต้นเลี้ยง (ประมาณ 100 กรัม) และนำใส่กลับลงในตะกร้าเดิม แล้วนำลงเลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาสต่อไป ในระหว่างการเลี้ยงมีการให้อากาศด้วยหัวทรายขนาดใหญ่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังควบคุมความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายโดยใช้น้ำบาดาลและน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเลผสมในน้ำทะเลธรรมชาติให้มีความเค็มอยู่ในช่วงประมาณ 30 ส่วน ในพัน (เนื่องจากที่ความเค็มนี้เหมาะสมในการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่น) เปลี่ยนถ่ายน้ำในปริมาตร 1 ใน 2 ส่วน ของน้ำที่เลี้ยง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตรวจวัดอุณหภูมิ ความเค็ม ก่อนและหลังเปลี่ยนน้ำทุกครั้ง เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อนำไปวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางเคมี (ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (DO) ความเป็นกรดด่าง (pH) แอมโมเนีย ไนไตรต์ ไนเตรต ออร์โทฟอสเฟต และความเป็นด่างของน้ำ)

ผลการเลี้ยงพบว่า สาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาสมีอัตราการเจริญเติบโตขึ้นกับความเข้มข้นของสารอาหารในน้ำ ความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่าย อิพิไฟต์หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ขึ้นปกคลุมบนทัลลัส (thallus หมายถึง ต้นของสาหร่ายที่ประกอบด้วยส่วนที่คล้ายราก ลำต้น และใบ) และฤดูกาลการเลี้ยงสาหร่าย สำหรับการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในถังไฟเบอร์กลาสโดยใช้น้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเลมีการเจริญเติบโตสูงกว่าสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในน้ำทะเลธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ความเค็มของน้ำในถังไฟเบอร์กลาสที่ลดลงอย่างรวดเร็วมีผลต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายและส่งผลให้สาหร่ายตายลงอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ความเข้มแสงต่ำและระดับสารอาหารยังมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายเช่นเดียวกัน

การเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในถังไฟเบอร์กลาสในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม สาหร่ายมีอัตราการเจริญเติบโตลดลงเนื่องจากมีสาหร่ายสีเขียวบางชนิดเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น สาหร่ายไส้ไก่เกาะที่ตะกร้าพลาสติคและเชือกที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งสาหร่ายสีเขียวชนิดดังกล่าวแย่งสารอาหารในน้ำที่ใช้สำหรับการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่น ส่งผลให้สารอาหารในน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่น จึงมีการเพิ่มสัดส่วนการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่เลี้ยงสาหร่ายให้มากขึ้น จาก 1 ใน 2 ส่วน เป็น 3 ใน 4 ส่วน ของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่าย เพื่อเป็นการเพิ่มสารอาหารในน้ำให้แก่สาหร่าย และมีการกำจัดสาหร่ายสีเขียวชนิดดังกล่าวออกจากตะกร้าพลาสติคและเชือก โดยการทำความสะอาดทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ มีหนอนแดงปกคลุมบนทัลลัสของสาหร่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุในการขัดขวางการสังเคราะห์แสงของสาหร่ายพวงองุ่น จึงทำให้สาหร่ายเจริญเติบโตลดลง ได้มีการแก้ไขโดยการเขย่าตะกร้าพลาสติคที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายเบาๆ ทุก 2 วัน ส่งผลให้ปริมาณหนอนแดงลดลง สาหร่ายจึงสามารถเพิ่มพื้นที่สังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโตได้มากขึ้น ส่งผลให้ในเดือนต่อมาสาหร่ายมีแนวโน้มของอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาสอาจเกี่ยวข้องกับความยาวนานของแสงแดดที่สาหร่ายได้รับ พบว่าช่วงที่สาหร่ายพวงองุ่นมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมเป็นช่วงเดียวกับที่สาหร่ายได้รับความยาวนานของแสงแดดมาก เนื่องจากสาหร่ายพวงองุ่นมีความไวต่อแสง สาหร่ายจะถูกยับยั้งการเจริญเติบโตเมื่อได้รับแสงมาก จึงส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย ทำให้สาหร่ายมีอัตราการเจริญเติบโตลดลง ส่วนในเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม อัตราการเจริญเติบโตของสาหร่ายลดลงเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูฝน ฝนตกหนักมาก เป็นเหตุให้น้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายในถังไฟเบอร์กลาสมีความเค็มลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทัลลัสมีลักษณะนิ่มและเริ่มตาย อัตราการเจริญเติบโตจึงลดลง ซึ่งความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายเกี่ยวข้องกับกระบวนการออสโมซิสของสาหร่ายโดยตรง เมื่อน้ำมีความเค็มลดลงมาก กระบวนการออสโมซิสสูงขึ้น ทำให้สาหร่ายต้องใช้พลังงานในการควบคุมสมดุลของน้ำภายในเซลล์ ส่งผลกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตของสาหร่าย และจากการที่ความเค็มของน้ำในถังไฟเบอร์กลาสลดลงมากเพราะถูกเจือจางด้วยน้ำฝน ทำให้ค่าความเป็นด่างลดลงด้วย ซึ่งค่าความเป็นด่างเป็นปัจจัยที่ช่วยควบคุมไม่ให้น้ำมีการเปลี่ยนแปลงค่า pH รวดเร็วเกินไป ถ้าค่าความเป็นด่างต่ำทำให้ความสามารถของน้ำที่จะป้องกันไม่ให้ pH ของน้ำเปลี่ยนแปลงต่ำ ซึ่งจะทำให้ค่า pH ของน้ำเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว และก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ

ด้านปัจจัยแวดล้อมและคุณภาพน้ำที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาสมีดังนี้ คุณภาพน้ำทางกายภาพของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นพบว่า อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงสาหร่ายมีค่าอยู่ในช่วง 25.0-33.0 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิของอากาศบริเวณที่เลี้ยงสาหร่าย อยู่ในช่วง 25.0-34.0 องศาเซลเซียส สำหรับคุณภาพน้ำทางเคมีของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในถังไฟเบอร์กลาส พบว่าความเค็มมีค่าอยู่ในช่วง 21.0-33.0 ส่วน ในพัน ส่วนค่า pH มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง 7.9-8.4 สำหรับค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (DO) มีค่าอยู่ในช่วง 2.73-8.25 มิลลิกรัม ต่อลิตร ซึ่งปัจจัยแวดล้อมและคุณภาพน้ำมีผลต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาส โดยพบว่า สาหร่ายมีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้นในเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ความเข้มข้นของสารอาหาร (แอมโมเนีย ไนไตรต์ ไนเตรต และออร์โทฟอสเฟต) ในน้ำใช้เลี้ยงสาหร่ายมีปริมาณค่อนข้างสูง สาหร่ายจึงสามารถดึงสารอาหารต่างๆ ดังกล่าว เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต นอกจากนี้ ค่าปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) ในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมมีค่าค่อนข้างสูง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราการเจริญเติบโตของสาหร่ายสูงขึ้น เนื่องจากสาหร่ายต้องการใช้ออกซิเจนในการหายใจเพื่อการเจริญเติบโต

สำหรับลักษณะทางกายภาพที่ปรากฏของสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาสโดยใช้น้ำทะเลธรรมชาติ จะเห็นสโตลอน (stolon) มีขนาดเล็กยืดยาว มีสีซีดเหลือง จำนวนรามูลัส (ส่วนที่ทำหน้าที่สังเคราะห์แสงมีลักษณะคล้ายใบ) มีน้อย และมีขนาดเล็ก บางครั้งไม่มีรามูลัส ไรซอยด์ (ส่วนที่ทำหน้าที่ยึดเกาะมีลักษณะคล้ายราก) มีเป็นจำนวนน้อย เห็นเป็นเส้นสั้นๆ อาจเนื่องจากได้รับสารอาหารในน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ส่วนสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์กลาสโดยใช้น้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเล ลักษณะทางกายภาพที่ปรากฏจะเห็นทัลลัสเป็นสีเขียวใส ปลายทัลลัสยืดยาว รามูลัสค่อนข้างถี่ ไรซอยด์มีเป็นจำนวนมากและแตกแขนงเป็นเส้นยาว เนื่องจากในน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเลมีสารอาหารที่เพียงพอและจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย ดังจะเห็นได้จากสาหร่ายที่เลี้ยงในน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเลมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าสาหร่ายที่เลี้ยงในน้ำทะเลธรรมชาติ และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น

การเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในถังไฟเบอร์กลาสพบว่า อัตราการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่เลี้ยงโดยใช้น้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเลมีค่าสูงกว่าสาหร่ายที่เลี้ยงโดยใช้น้ำทะเลธรรมชาติเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในน้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเลมีสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย สำหรับลักษณะทางกายภาพของสาหร่ายพวงองุ่นที่เลี้ยงโดยใช้น้ำทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งทะเล ทัลลัสมีสีเขียวใส รามูลัสค่อนข้างถี่ ไรซอยด์มีเป็นจำนวนมากและแตกแขนง ในขณะที่สาหร่ายที่เลี้ยงโดยใช้น้ำทะเลธรรมชาติทัลลัสมีสีเหลืองซีด รามูลัสมีน้อยและอยู่ห่างๆ กัน ส่วนไรซอยด์มีน้อยและเป็นเส้นสั้นๆ สำหรับคุณภาพของน้ำในถังไฟเบอร์กลาสช่วงที่เลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นพบว่า องค์ประกอบหลักที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตและลักษณะทางกายภาพของสาหร่ายผันแปรคือ สารอาหารและความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่าย ทั้งนี้ ในน้ำที่มีสารอาหารไนโตรเจนสูงทำให้สาหร่ายพวงองุ่นมีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น และสาหร่ายพวงองุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ที่ความเค็ม 30-35 ส่วน ในพัน ที่ความเค็มประมาณ 30 ส่วน ในพัน สาหร่ายเจริญเติบโตดี แต่ความเค็มที่ต่ำกว่า 20 ส่วน ในพัน ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายและเป็นสาเหตุให้สาหร่ายตายอย่างฉับพลัน

จากการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในถังไฟเบอร์กลาสพบว่า ความเค็ม สารอาหารในน้ำ และสภาพแวดล้อมมีผลต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่น สำหรับความเค็มของน้ำที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่นอยู่ในช่วงตั้งแต่ 30-35 ส่วน ในพัน ดังนั้น แนวทางในการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นคือ ควรเลี้ยงสาหร่ายในช่วงนอกฤดูมรสุม ไม่ควรเลี้ยงในฤดูมรสุม เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวฝนตกชุก มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสูง ส่งผลให้ความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายในถังไฟเบอร์กลาสลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุให้การเจริญเติบโตของสาหร่ายลดลงและส่งผลทำให้สาหร่ายตายได้ เนื่องจากสาหร่ายชนิดนี้ทนต่อความเค็มได้ในช่วงแคบ แต่หากต้องการเลี้ยงสาหร่ายชนิดนี้ในฤดูมรสุม ควรเลี้ยงสาหร่ายในโรงเรือนที่มีหลังคาค่อนข้างโปร่งแสง เพื่อให้สาหร่ายสังเคราะห์แสงได้ อีกทั้งสามารถป้องกันน้ำฝนได้ด้วย นอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจสอบความเค็มของน้ำที่ใช้เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ และควรมีการเพิ่มสารอาหารในน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายโดยการใส่ปุ๋ยลงไป โดยเฉพาะสารอาหารไนโตรเจนและฟอสฟอรัส เป็นต้น เพื่อเพิ่มการเจริญเติบโต ผลผลิต และเพิ่มคุณภาพของทัลลัสของสาหร่ายที่มีรามูลัสลักษณะเม็ดกลม สีเขียวใส มีก้านสั้นๆ เรียงกันแน่นคล้ายพวงองุ่น การเก็บเกี่ยวผลผลิตของสาหร่ายควรเก็บเกี่ยวเป็นระยะๆ ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง หรือ 2 เดือน ต่อ 1 ครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นกับการเจริญเติบโตของสาหร่าย มิฉะนั้นจะทำให้สาหร่ายในบ่อมีความหนาแน่นมากเกินไป และเกิดการบังแสงกันเอง ส่งผลต่อการสังเคราะห์แสง อีกทั้งปริมาณสารอาหารในน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย ทำให้ผลผลิตและคุณภาพของสาหร่ายพวงองุ่นลดต่ำลง

ผู้สนใจท่านใดต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ชี้แนะ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สามารถติดต่อได้ที่ mamnidporn@yahoo.com หรือที่ อาจารย์นิสราภรณ์ เพ็ชร์สุทธิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง บางกะปิ หัวหมาก กรุงเทพฯ 10240 หรือที่เบอร์โทร. (02) 310-8382 , (081) 774-3618

ขอได้รับความขอบคุณยิ่ง




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2551   
Last Update : 18 มิถุนายน 2551 9:11:03 น.   
Counter : 6491 Pageviews.  


ไปดู พรเทพฟาร์มกบ เลี้ยงกบไม่ขายตัว แต่ขายลูก (อ๊อด)



ถ้าคิดให้ลึกจะเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอันมาก ว่าธรรมชาติเข้าใจสร้างสรรค์ให้โลกกลมๆ ดวงนี้ ได้ลงตัวในทุกๆ ด้านจนหาที่ติไม่ได้ (เว้นในปัจจุบัน) เป็นต้นว่า แบ่งพื้นของโลกเป็นสี่ส่วน ให้มีพื้นดินเพียงหนึ่งส่วน นอกนั้นเป็นพื้นน้ำ ในส่วนต่างๆ ของโลกยังแบ่งให้เป็นเขตร้อน เขตอบอุ่น เขตหนาว เนรมิตให้มีพืช มีสัตว์ทั้งบนบกและในน้ำ มีอากาศ มีเมฆ มีฝน มีกลางวัน มีกลางคืน และอีกหลายๆ มี

ประเทศไทยของเราในอดีตเคยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างยิ่ง ความอุดมสมบูรณ์เลื่องลือไปไกลจนคนต่างชาติหลายชาติหลายภาษา พากันอพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย บัดนี้ความอุดมสมบูรณ์ตามคำกล่าวได้อยู่ในภาวะพิกลพิการแล้ว เราลูกหลานไทยคงไม่กล้าเอ่ยอ้างคำนั้นอีกต่อไป

วกมาเรื่องของกบ กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อาศัยอยู่ตามท้องทุ่งนา ป่าเขา ห้วย หนอง ไม่เคยมีใครคิดว่าจะนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์บ้าน ธรรมชาติของกบจะเข้ารูในหน้าหนาว หน้าแล้ง จะออกมาอีกทีก็ช่วงต้นฤดูฝน พอฝนแรกตก มีน้ำขังตามแอ่งตามนาก็จะพากันออกจากรู ไปส่งเสียงร้องเรียกคู่เพื่อผสมพันธุ์ยามค่ำคืน ไอ้เสียงร้องของกบยามจะผสมพันธุ์นี้แหละ เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้กบถูกจับถูกทำลายลงเร็วกว่าปกติ หากกบรู้จักปรับตัวลดเสียงร้องในเวลาผสมพันธุ์ได้เหมือนสัตว์ประเภทอื่น ประชากรของกบคงไม่ลดน้อยลงเหมือนปัจจุบันอย่างแน่นอน

ลูกของกบ ชาวอีสานเรียกว่า "ฮวก" เป็นอาหารยอดนิยมของคนอีสานมายาวนาน รสชาติอร่อยถูกปาก นำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น แกงใส่หน่อไม้ส้ม (หน่อไม้ดอง) ทำห่อหมก ห่อปิ้ง แกงอ่อม เวลานำไปประกอบอาหารจะควักไส้ล้างให้สะอาดเสียก่อน หากลูกกบโตจนขาเริ่มงอกมักจะไม่เป็นที่นิยมนำมารับประทาน

ที่บ้านแดนสวรรค์ ตำบลอุ่มเหม้า อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีผู้ทำฟาร์มกบขายลูกอ๊อดอยู่สองครอบครัว ครอบครัวแรกเป็นพ่อตา และอีกครอบครัวเป็นลูกเขย อันเป็นที่มาของพรเทพฟาร์มกบ เพราะลูกเขยคือ คุณพรเทพ โกพล ผู้จะนำวิธีการเลี้ยงกบมาถ่ายทอดแก่ผู้สนใจนั่นเอง



ความเป็นมา

คุณพรเทพเล่าว่า แต่เดิมพ่อตาเลี้ยงกบมาก่อน เมื่อตนมาเป็นลูกเขยก็ต้องร่วมเลี้ยงกบด้วย ตนเองไม่มีพื้นฐานการเลี้ยงกบมาก่อน แต่ก็เคยไปศึกษาดูงานตามสถานที่เลี้ยงกบอื่นๆ มาบ้าง ตนเองแยกตัวมาเลี้ยงกบเองตั้งแต่ปี 2541 นับถึงบัดนี้ก็ 10 ปีขึ้นแล้ว ฟาร์มกบของตนก็ใช้ที่ดินของพ่อตาซึ่งปกติก็ใช้ทำนา เนื้อที่ทำฟาร์มจำนวน 8 ไร่ เริ่มแรกก็ปรับที่นาให้เรียบได้ระดับเดียวกัน ยกคันนาเป็นแปลงๆ ให้พอเหมาะกับการทำคอกเลี้ยง ขนาดของคอกกว้าง 5 เมตร ยาว 27 เมตร ส่วนคอกพ่อแม่พันธุ์จะกว้างกว่านี้ เพราะมีการทำคันดินตรงกลางคอกเพิ่มขึ้นอีก 1 คัน เพื่อปลูกต้นไม้ไว้เป็นร่มเงา



เริ่มจากพ่อแม่พันธุ์

พ่อแม่พันธุ์ที่เลี้ยงเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์บลูฟร็อกกับกบนา ปัจจุบันมีพ่อแม่พันธุ์ประมาณ 6,000 คู่ ใช้อาหารปลาดุกใหญ่ ราคาอาหารในปัจจุบันกระสอบละ 400 บาท (กระสอบละ 20 กิโลกรัม) ช่วงที่ไม่มีการผสมก็เลี้ยงไปตามปกติ ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็น ส่วนฤดูผสมพันธุ์ก็มีการเพิ่มพวกวิตามิน ฮอร์โมนเสริมบ้าง คอกพ่อแม่พันธุ์ในส่วนที่เป็นน้ำจะนำผักตบชวาวางกระจายให้ทั่วพื้นน้ำ ส่วนคันดินกลางคอกก็ปลูกมันสำปะหลังห่างกันประมาณ 1 เมตร เพื่อเป็นร่มเงาเวลากบขึ้นจากน้ำ ระดับน้ำในคอกประมาณ 30 เซนติเมตร (ตามภาพ)



การเพาะพันธุ์ และการจำหน่าย

คอกเพาะพันธุ์จะล้อมรอบด้วยตาข่ายไนล่อนสีฟ้า ใช้ไม้ไผ่เป็นเสา ปลายเสาขึงลวดให้รอบเพื่อยึดตาข่ายให้ตึง ด้านล่างฝังตาข่ายให้จมดิน ตรวจดูให้ดีอย่าให้มีช่องว่างได้ หากมีช่องว่างจะทำให้ศัตรูกบจำพวกงูเข้าไปกินลูกกบได้ เมื่อถึงฤดูกาลเพาะพันธุ์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมไปสิ้นสุดปลายเดือนสิงหาคมของทุกปี เริ่มแรกจะปล่อยน้ำเข้าคอกผสมพันธุ์ ระดับน้ำประมาณ 5-10 เซนติเมตร พอตกเย็นก็จับกบพ่อแม่พันธุ์ลงผสมพันธุ์ คอกละประมาณ 300 คู่ พอรุ่งเช้าก็จะจับพ่อแม่พันธุ์ออกจากคอกให้หมด นำไปพักฟื้นรอผสมพันธุ์ในรอบต่อไป หากฝนตกบ่อยๆ จะใช้เวลาเพียง 7-8 วัน ก็นำไปผสมพันธุ์ใหม่ได้ หากฝนไม่ตก ระยะพร้อมผสมพันธุ์ใหม่อยู่ระหว่าง 10-15 วัน

หลังจากกบออกไข่แล้ว ประมาณ 24 ชั่วโมง ไข่กบก็ฟักออกเป็นตัว เรายังไม่ต้องให้อาหารใดๆ จนผ่านไปถึงวันที่ 3 จึงเริ่มให้อาหาร โดยเริ่มให้ทีละน้อยๆ และหมั่นสังเกตด้วยว่า ลูกกบกินอาหารหมดหรือไม่ หากหมดก็ค่อยๆ เพิ่ม หากไม่หมดก็ลดการให้อาหารลง ระยะอนุบาลลูกกบนี้ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกๆ 3 วัน หรือหากน้ำเริ่มเสียก็เปลี่ยนน้ำเร็วขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึง 3 วัน อาหารลูกกบก็ให้อาหารปลาดุกเล็ก ราคาปัจจุบันกระสอบละ 525 บาท ระดับน้ำในคอกโดยเฉลี่ยประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อลูกอ๊อดอายุครบ 15 วัน ก็จะเริ่มจับจำหน่าย ลูกอ๊อดแต่ละรุ่นในหนึ่งคอกจะอยู่ที่ 80-100 กิโลกรัม ราคาจำหน่ายสูงสุดกิโลกรัมละ 120 บาท ต่ำสุดก็ 80 บาท การจำหน่ายจะมีลูกค้าประจำไปรับที่ฟาร์มและลูกค้าขาจร เคยจำหน่ายได้มากที่สุดวันหนึ่งถึง 700 กิโลกรัม การบรรจุหีบห่อ ใช้ถุงพลาสติคซ้อนสองใบ ใส่ลูกอ๊อดตามขนาดของถุง อัดออกซิเจน ปิดปากถุงด้วยยางรัดให้แน่น ป้องกันการรั่วของอากาศ อายุในการขนส่งอยู่ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง ลูกค้าที่รับไปสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ได้โดยที่ลูกอ๊อดยังไม่ตาย



ปัญหาต่างๆ ในด้านการผลิตที่สำคัญ

ณ ปัจจุบันนี้ปัญหาหลักก็คือ เรื่องอาหารของกบที่มีราคาสูงขึ้น ส่วนราคาจำหน่ายก็ไม่สามารถเพิ่มได้ เพราะมีฟาร์มกบหลายแห่งที่ทำในลักษณะเดียวกัน หากเราขึ้นราคาแต่ฟาร์มอื่นไม่ขึ้นราคา เราก็ขาดลูกค้าประจำไป จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายบ้านเมืองจะต้องหาทางช่วยเหลือบ้าง ส่วนด้านแรงงานก็จ้างแรงงานประจำอยู่ 4 คน หากราคาอาหารไม่สูงกว่านี้อีก คิดว่ายังพอมีกำไร ต้นทุนกับกำไรอยู่ที่ 50-50 ก็คิดว่าพออยู่ได้

ท่านผู้อ่านครับ หากท่านสนใจจะไปเยี่ยมชมกิจการของพรเทพฟาร์มกบ สามารถเดินทางไปได้สะดวกตามเส้นทางมุกดาหาร-ธาตุพนม หากเริ่มจากมุกดาหารไปประมาณ 32 กิโลเมตร ที่ตั้งฟาร์มจะอยู่ฝั่งซ้ายถนนพอดี หากเริ่มต้นจากอำเภอธาตุพนมไปประมาณ 22 กิโลเมตร ฟาร์มจะอยู่ทางฝั่งขวาของถนน หรือหากจะติดต่อสอบถามก็กรุณาโทรศัพท์ไปที่หมายเลข (086) 231-7449 สวัสดีครับ




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2551   
Last Update : 18 มิถุนายน 2551 9:09:34 น.   
Counter : 3597 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com