หุ้นวัฎจักร-อะไรเคยดีๆ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแย่ไม่ได้

หุ้นวัฎจักร-อะไรเคยดีๆ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแย่ไม่ได้
อาทิตย์นี้ ปอดว่างๆ ฝนก็ตก ไปไหนลำบาก
ก็เลยไปหาหนังสือมาอ่านเล่นๆครับ ได้หนังสือของ ปีเตอร์ ลินช์ ที่แปลจาก beating the street มาอ่านฆ่าเวลา

ก่อนอื่นเลย ผมต้องบอกว่า ผมไม่มีความรู้ในทางการลงทุนเลยนะครับ

ในหนังสือมีหัวข้อหนึ่งเขียนว่า
"หุ้นวัฏจักร: อะไรที่แย่ เดี๋ยวมันก็ดี"

ทำให้ผมสนใจหุ้นกลุ่มนี้มาก
เพราะเห็นว่า ในตลาดหุ้นไทยมีก็เพียงกลุ่มนี้แหละ ที่น่าจะทำกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงจัง ถ้าเข้าถูกจังหวะ

ส่วนใหญ่ หนังสือที่ผมอ่านทางการลงทุน ก็เป็นหนังสือแปล เป็นแนวคิดของคนอเมริกา ซึ่งตลาดบ้านเรา คนละเรื่องกับตลาดบ้านเขาเลย เช่น
บริษัทเราหาธรรมาภิบาลยาก ถ้าธรรมาภิบาลยังไม่ดี เราจะวิเคราะห์งบการเงินได้ถูกต้องอย่างไร
บริษัทบ้านเราไม่มีสินค้าที่เป็น product ที่สามารถทำให้เกิด brand royalty จนสามารถขยายสาขาไปได้มาก หรือมีศักยภาพทำกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง เหมือนที่อเมริกาที่สินค้าเขาขายได้ทั่วโลก
ฯลฯ

ทีนี้มาเรื่องที่ผมกำลังสนใจ แต่ไม่มีความรู้ครับ คือ หุ้นวัฏจักร ถ้าใครมีความรู้ ช่วยเข้ามาชี้ทางกระจ่างให้ผมก็จะขอบคุณมากครับ

หุ้นแบบนี้ สำหรับคนที่เข้าถูกจังหวะ จะรวยไม่รู้เรื่องเลย และมันมีอยู่ในตลาดหุ้นไทยด้วย ส่วนใหญ่เป็นสินค้า commodities ทั้งหลาย
เช่น โลหะพวก เหล็ก ทองแดง สังกะสี ทองคำ เดินเรือ น้ำมัน ปิโตรเคมี
ใครที่เคยซื้อ atc, psl, rcl, tta ตอนขาขึ้น คงได้กันหลายสิบเท่าไปเรียบร้อยแล้ว ในระยะเวลาไม่กี่ปี

แต่แน่นอน ถ้าเข้าผิดจังหวะ ก็เจ๊งแน่นอน

หุ้นกลุ่มนี้ เขาว่า p/e ต่ำๆ ให้ขาย p/e สูงๆ ให้ซื้อ
ตอนนี้ p/e ก็ลงมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้วทั้งนั้น ดังจะเห็นได้ว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ tta อย่างกลุ่มไทเก้น ได้ขายไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับ บ้านปู ที่ทะยอยขาย atc

สำหรับนักลงทุนที่เข้าใจในกลุ่มวัฏจักร คงจะขายก่อนที่ราคามันจะลง อาจจะไม่ต้องขายที่จุดสูงสุด แต่ขายเมื่อเห็นว่า upside gain มันเหลือน้อยแล้ว ซึ่งเราไม่มีทางรู้ ยกเว้น เราจะเป็นผู้อยู่ในธุรกิจนั้นๆ และมีความแม่นในการวิเคราะห์ทิศทางของธุรกิจเสียเอง

ทีนี้ ถ้า p/e ดูไม่ได้ เราจะดูอะไรดี ว่า ธุรกิจมันเข้า cycle ขาลงแน่แล้ว

อันนี้ ผมอยากถามผู้รู้มากๆครับ

แต่ถ้าให้ผมเดาเอง ก็
๑ ดู p/bv เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือไม่
๒ ดูกำไรว่า ลดลงหรือไม่

ผมว่า ข้อสอง นี้สำคัญมาก ถ้าธุรกิจเริ่มแสดงว่า ทำกำไรได้น้อยลง นั่นอาจจะมี upside gain เหลือเพียงเล็กน้อยแล้ว หรืออาจจะเริ่มเข้า cycle ขาลงกันเลยก็ได้

ทีนี้ ถ้าเรามาดูการลงทุน ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเติบโต แบบที่เข้าสูตรหุ้นชั้นดี คือ มีกำไรทุกปี จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี ฯลฯ

เราจะลงทุนอย่างไร?

เรามองศักยภาพของธุรกิจไทยอยู่ที่ไหน หุ้นในกลุ่มไหน? ในเมื่อประชากรของเรา ไม่มี brand royalty ของสินค้าที่ผลิตในประเทศ ศักยภาพการส่งออกของเราสู้ต่างชาติไม่ได้ สินค้าของเราถูกกำหนดโดยภาพรวมของราคาสินค้าในตลาดโลก คือไม่สามารถมีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาสินค้าได้เอง ฯลฯ

ยกเว้น หุ้นวัฎจักรที่ต้องเข้าขาขึ้นแล้ว ผมก็แทบหาไม่เจออีกเลย ที่จะมีหุ้นที่ทำกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการเติบโตของตัวธุรกิจเอง
ส่วนใหญ่ เอาเข้าตลาดมาก็ตอนที่มัน peak แล้ว แถมยังปรับแต่งงบให้ดูดีก่อนเข้ามาอีก
ดังจะเห็น ipo หลายตัวทำวีรเวรเอาไว้

จุดแข็งของเราอยู่ที่ไหนกันนะ? หุ้นกลุ่มไหนที่เราน่าจะซื้อลงทุนกันดีนะ?

ใครรู้ช่วยตอบทีครับ
ผมจะได้เปลี่ยนเป็นนักลงทุน ที่เห็นหุ้นแดงๆแล้วดีใจ เห็นหุ้นเขียวๆ แล้วเซ็ง ได้เสียที

ถ้าให้ผมเดาเอง แบบคนไม่มีความรู้

ผมว่าน่าจะเป็นบริการ การอยู่ในทำเลที่ดี ภาพรวมของประเทศในทางการบริการและการท่องเที่ยวยังดูดี

ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นไทย น่าจะอยู่ที่
๑ รอลงทุนใน cycle ขาขึ้นของหุ้นวัฏจักร
๒ ลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ เพื่อรอ cycle ขาขึ้นรอบใหม่ของหุ้นวัฏจักร คือ
-กลุ่มบริการ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล
-กลุ่มพํฒนาอสังหาฯ ชั้นดี ที่มีประวัติยาวนาน ยิ่งเน้นขายต่างชาติ ยิ่ง work
-กลุ่มที่กระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะมีธุรกิจหลากหลาย คล้าย holding company
-กลุ่มโรงงานที่มีการบริหารจัดการที่ดี
-กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่มีศักยภาพ สามารถขยายงานไปในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

ก็คงคิดได้เท่านี้ครับ เพราะความรู้ผมยังน้อยเหลือเกิน

ผู้รู้ช่วยเติมให้ก็จะขอบคุณมากครับ

จากคุณ : แมงเม่ามือใหม่ - [ 8 ต.ค. 48 10:20:24 A:58.136.68.244 X: TicketID:080268 ]



Create Date : 15 ตุลาคม 2548
Last Update : 15 ตุลาคม 2548 20:25:58 น. 10 comments
Counter : 907 Pageviews.

 
ความคิดเห็นที่ 1

หุ้นที่ผมถือลงทุนตอนนี้ ผมเน้นประเภทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่นกลุ่มส่งออก เกษตร กับอิเล็คโทรนิค(ต่างชาติ) คือว่า ต้องแข่งขันกับต่างชาติได้
เพราะว่า อนาคต ทุกอย่าง ต้องเป็นการแข่งขันโดยเสรี
ต่างชาติเข้ามาทำแข่ง แล้วสู้เขาไม่ได้ อนาคตก็สูญพันธุ์ เช่นกลุ่มเหล็ก ลิสซิ่ง พวกนี้ ผมจะไม่ยุ่ง

กลุ่มเดินเรือ ถ้าเราศึกษามันดีๆ ก็มีโอกาสทำกำไรในภาวะขาลงได้ คือว่า ถ้าค่าระวางเป็นขาลง ผู้ประกอบการเดินเรือก็คงไม่มีใครคิดไปต่อเรือใหม่เข้ามาแน่ๆ และเรือเก่าๆก็ต้องปลดระวางไป เพราะไม่คุ้มค่าซ่อมแซม กองเรือโลกก็ต้องลดลง ค่าระวางก็พลิกกลับมาเป็นขาขึ้นพร้อมราคาหุ้น

จากคุณ : S-sung - [ 8 ต.ค. 48 10:46:43 ]


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:27:59 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 7

เรียนถามพี่เอสซุงต่อ ตามประสาคนไม่มีความรู้ทางการลงทุน ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องช่วยแย้งเลยนะครับ เพราะผมไม่รู้จริงๆ มือใหม่มากๆ

เห็นด้วยครับว่า
ธุรกิจอาหารคงจะดีจริง เพราะหลายบริษัทดูทำกำไรได้สม่ำเสมอ ทั้ง cpf, tuf ซึ่งมีความชำนาญมานานแล้ว

แต่ธุรกิจอย่างชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกส์ ซึ่งไม่ได้ใช้ความชำนาญมากมาย ในอนาคต เราจะเชื่อได้อย่างไร ว่าจะไม่เกิดการย้ายฐานการผลิตอย่างที่หุ้นกลุ่มสิ่งทอ ได้เปลี่ยนจากไทยไปที่จีนครับ และสินค้าส่วนใหญ่เป็นการสั่งทำของลูกค้ารายใหญ่ในต่างประเทศ หรือ ถ้าเกิดปัญหาอย่าง cei ขึ้นมาก็ลำบากแล้วครับ ทั้งๆที่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งเป็นหุ้นปันผลชั้นเยี่ยมตัวหนึ่งอยู่เลย

สิ่งที่ผมกำลังสนใจ คือ ถ้าผมไม่มีความรู้ทางการลงทุน แล้วอยากเข้ามาลงทุนจริงๆ ในตลาดหุ้นขึ้นมา(ไม่ใช่เล่นหุ้น) ต้องการถือยาวๆ เพื่อเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจในแต่ละช่วง

ธุรกิจไหน ที่แนวโน้มของมัน จะอยู่ได้ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ(ทำไมต้องเฉพาะเจาะจงว่าช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็เพราะส่วนใหญ่รอบของเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หุ้นชั้นดี ราคาจะลดลงโดยมีอัตราส่วนที่ช้ากว่า หรือถ้าเข้าถูกตัว อาจเพิ่มขึ้นสวนตลาดได้ เพื่อที่จะรอหุ้นวัฏจักรให้กลับมาเพราะส่วนใหญ่ หุ้นวัฏจักร มีวัฏจักรตามรอบของเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่า กลุ่มเรือ มันจะลงแล้วแน่นอน เพราะมันมีปัจจัยในเรื่องของราคา การแข่งขันระหว่างบริษัท และรอบของเศรษฐกิจในภูมิภาคอีกด้วย) เพราะเราจะเห็นแล้วว่า ในตลาดหุ้นไทย หุ้นวัฏจักรเป็นหุ้นที่มี leverage ที่สูงที่สุด คือมี fluctuation ของราคาเป็น high beta เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม ซึ่งจะดีมากๆในขาขึ้น
ถ้าจะเป็นนักลงทุน สมมติฐาน ผมได้กำหนดแผนการคร่าวๆในการลงทุนของตนเองว่า จะลงทุนในหุ้นกลุ่ม วัฏจักรเป็นหลัก โดยระหว่างนั้น จะรอลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นเพื่อไม่ให้เสียโอกาส)

กลุ่มไหนกันนะ ที่มันควรจะดำรงความสามารถในการทำกำไรของตนเองไว้ได้ค่อนข้างมาก

๑ ธุรกิจอาหาร-เพราะเรามีความชำนาญอยู่แล้ว (พี่เอสซุงเติมให้) ผมเดาว่า cpf ,tuf ใครช่วยเติมให้อีกหน่อยครับ เอาที่มีศักยภาพแข่งขันได้ในโลกนะครับ

๒ ธุรกิจส่งออกชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์-พี่เอสซุงเติมให้
ผมเดาว่า delta, ccet, kce, metco, hana

๓ ธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล-ก็อยู่ในประเทศเราอยู่แล้ว บริการของเราก็ดีต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับราคาค่าครองชีพในประเทศ เราน่าจะทำ nursing care ,homecare, holidays แบบที่มาทำ plastic surgery ฯลฯ เป็นจุดขายได้สบาย

๔ ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯดีๆ-เพราะพื้นที่อยู่ในประเทศเรา ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ผมยังมองว่า ต่อไป เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น ธุรกิจที่มี landbank มากๆ ในพื้นที่เป้าหมายในอนาคต ยังมีโอกาสโตได้เรื่อยๆ อันนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามีบริษัทไหนบ้าง ใครทราบช่วยมาต่อยอดให้หน่อยครับ (โดยเฉพาะบริษัทที่มีที่แถวสุวรรณภูมิ แต่อันนี้ น่าจะต้องไปเช็คดูอีกทีว่า มีกระแสเงินสดพร้อมลงทุน โดยที่ไม่ต้องเพิ่มทุน หรือมีแผนร่วมลงทุนกับต่างประเทศหรือไม่)
ใครบอกได้ว่ามีอะไรบ้าง ช่วยยกตัวอย่างหน่อยครับ

๕ ธุรกิจที่มีการกระจายความเสี่ยงได้ดี หรือเป็น holding company ตัวอย่างเช่น ptt, scc

๖ กลุ่มโรงงาน ผมเดาว่าเราน่าจะยังเป็นสถานที่ดึงดูดการลงทุนได้ต่อเนื่องในอนาคตนะครับ เช่น amata, ticon , rojana

๕ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพขยายการลงทุนไปในตะวันออก ทีผมมองว่า กลุ่มนี้มีผล เพราะตะวันออกกลางมีเงินทุนสูงมาก และกลุ่มประเทศนี้ เมื่อน้ำมันใกล้หมด เขาจะต้องมองหาการลงทุน ทั้งในประเทศตนเองและต่างประเทศ ผมว่าไทยน่าจะเป็นเป้าหมายหนึ่งของการลงทุนจากกลุ่มนี้นะครับ(ผมเดาเอาเอง) แต่ก่อนที่จะไปลงทุนที่อื่น เขาจะต้องสร้างฐานการค้าในประเทศตนเองก่อน กลุ่มก่อสร้าง จึงน่าสนใจเข้าไปบุกเบิกด้านการก่อสร้างได้อีกมาก เช่น itd, ck, stec, ple เพราะเราน่าจะแข่งขันทางด้านราคากับประเทศใหญ่ๆได้

๖ กลุ่มแฟชั่น อัญมณี พี่พ่อน้องไอซ์เติมให้ อันนี้ ผมยังไม่เห็นภาพเมืองแฟชั่นเลยครับ ต้องรอดูต่อไป

ตอบคุณแสดงความบริสุทธิใจด้วยอมยิ้มครับ -พอดีอยู่ว่างๆ เลยหาความรู้เพิ่มน่ะครับ เผื่ออนาคตข้างหน้าอยากเป็น vi ไว้บ้าง ก็ไม่เสียหลายนี่ครับ อิอิ
วันนี้ ฝนไม่ตก เดี๋ยวไปหาหนังเกาหลีดูดีกว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเลย ปีหน้าหุ้นตกแล้ว ว่าจะหยุดไปเที่ยวเกาหลีเสียหน่อย ถ้าลงทุนแบบ vi ไว้บ้าง ตอนนั้นก็จะได้ลงทุนอยู่ได้อย่างสบายอารมณ์ไงครับ เอิ๊กๆ

จากคุณ : แมงเม่ามือใหม่ - [ 8 ต.ค. 48 15:56:59 A:58.136.70.21 X: TicketID:080268 ]


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:29:27 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 8

อ้าว เมาตัวเลข ต่อจาก ๖ เป็น ๗ กับ ๘ นะครับ

จากคุณ : แมงเม่ามือใหม่ - [ 8 ต.ค. 48 15:59:51 A:58.136.70.21 X: TicketID:080268 ]


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:29:54 น.  

 
แบ่งตามกลุ่ม cluster ที่รัฐส่งเสริมดันสุด ๆ
กลุ่มแรกที่ต้องใช้ technology,know how
เป็น
1.กลุ่มยานยนต์ เพื่อดัน เป็น Detroit ของ Asia ในตลาดก็มี AH,TRU,STANLY,BAT-3K,SNC,....และต้องดันให้พัฒนามากๆ ไม่รับจ้าง OEM อย่างเดียว
2.Electronics & Software ทำพวก Nano technology และ graphic design กลุ่มนี้ในตลาดส่วนใหญ่ทำเป็น OEM เหมือนกัน - METCO,HANA,CCET,DELTA,MPT,...
3.กลุ่ม Fashion อัญมณี พวกนี้คงเกิดยาก เหมือนท่านที่อธิบายข้างบน พวกนีต้องมี idea ดีๆ แปลกๆ
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่เราถนัด ไม่ต้องใช้ technology ยุ่งยากเหมือยกลุ่มแรก
4.Foods ครัวของโลก ชั่วโมงนี้ก็ต้องยกให้เขาแหละครับCPF,TUF เหมือนที่เพื่อนข้างบน
5.กลุ่มท่องเที่ยว Tourism กลุ่มนี่ในตลาดไม่น่าจะมี แต่ที่จะได้ ประโยชน์ ก็ต้องกลุ่มโรงแรมระดับห้าดาว,โรงพยาบาล กลุ่ม HEALTH CARE
พยามสังเกต บริษัท ที่จะสามารถขยายงานไป GLOBAL
ที่สามารถแข่งขันได้ ไม่ใหญ่เฉพาะเมืองไทย
ค่อยมาหาดูว่าใครจะไปต่างประเทศบ้าง

จากคุณ : Jack Wealth - [ 8 ต.ค. 48 17:20:29 ]


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:30:22 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 11

ผมว่าการลงทุนในหุ้นถ้าเรารู้จักรอคอยและอดทนเหมือน วอร์แรนด์ บัฟเฟท เราคงรวยไม่รู้เรื่องเลยครับ หุ้นที่ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นซึ่งเป็นหุ้นสุดยอดการลงทุนของเมืองไทยและเข้าใจว่าขณะนี้เป็นหุ้นที่ราคาสูงที่สุดของเมืองไทยเมื่อเทียบกับราคา PAR คือ หุ้น SCC ครับ ผมจำได้ว่าเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ราคาหุ้นปูนซิเมนต์มีราคาหุ้นไม่ถึง 1000 บาท เทียบกับราคา PAR 100 บาท หรือเมื่อเทียบกับ PAR 1 บาท ณ ปัจจุบัน จะเท่ากับราคา 10 บาท หากเราอดทนรอคอยจนถึงปัจจุบันเท่ากับ 230 บาทหรือเพิ่มขึ้น 23 เท่าจากราคาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หมายความว่าถ้าหากท่านลงทุนบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเมื่อ 20 ปีก่อนเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท แล้วถือมาจนถึงปัจจุบัน ท่านจะมีมูลค่าลงทุนของหุ้นนี้ในปัจจุบันเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 23 ล้านบาทครับ โดยยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับในช่วง 20 ปีอีกด้วย และหากลงทุนโดยเอาเงินปันผลของหุ้นนี้ Reinvestment ต่อ ผมว่าเราคงเป็นเศรษฐีย่อย ๆ คนหนึ่งทีเดียวครับ ซึ่งวิธีนี้กองทุนของสิงคโปร์ที่มาลงทุนในหุ้นปูนซิเมนต์ไทย ก็ใช้วิธีการนี้ ขณะนี้ยังไม่ยอมลด Portfolio หุ้นตัวนี้เลยครับ แต่ Reinvestment โดยใช้ปันผลลงทุนในหุ้นนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ถามว่าเรารายย่อยกล้าที่จะยอมถือหุ้นตัวนี้แบบลืมไปเลย แล้วเอาปันผล Reinvestment หุ้นตัวนี้ทุก ๆ ปี ต่อเนื่องกันไป แล้วไปดูผลงานอีก 20 ปีต่อไปหรือไม่ เรื่องนี้น่าคิดนะครับสำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างเรา

จากคุณ : ยิ่งสูงยิ่งหนาว - [ 8 ต.ค. 48 18:14:54 A:203.156.26.4 X:203.130.159.2 ]


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:30:50 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 12

กรณีที่ผมเสนอความเห็นดังกล่าว ผมมองว่าการถือหุ้นที่มีวัฏจักรขึ้นลงในแต่ละช่วงเวลา ทำให้ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงต่อการคาดเดาภาวะตลาดในแต่ละช่วง อาจจะดูดีสำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรม แต่หากเป็นผู้ลงทุนที่ศึกษาข้อมูลไม่ลึกซึ้งเพียงพอ ก็อาจจะเผชิญกับความเสี่ยงที่เกินกว่าที่จะยอมรับได้

การลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงในลักษณะการขึ้นลงตามวัฏจักรของอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงต้องมีการติดตามภาวะอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดตามพี่แมงเม่ามือใหม่ได้พูดถึง แต่ถ้าเราไม่อยากคาดเดาตลาดมาก และต้องการลงทุนที่ง่ายและไม่ซับซ้อนเกินไป และอยากเป็นนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนในระยะยาว โดยถือว่าหุ้นที่ลงทุนคือ Asset ที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดให้กับเราอย่างสมำเสมอและมั่นคง และเติบโตอย่างยั่งยืน และอย่างต่อเนื่องในอนาคตแล้ว ในความเห็นของผมก็คือ เราควร Screen ดูหุ้นที่ชั้นเยี่ยมเกรด A เท่านั้น โดยดูจากผลงานในอดีตหลายช่วงชีวิต และควรสังเกตว่าหุ้นดังกล่าวเมื่อผ่านวัฏจักรในแต่ละช่วง ทั้งช่วงรุ่งเรือง และช่วงตกต่ำของหุ้น หุ้นดังกล่าวได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการองค์กร และสามารถต่อ S-Curve และฝ่าวิกฤตการณ์ในช่วงตกต่ำได้ดี และในช่วงรุ่งเรืองก็สามารถเก็บเกี่ยวโอกาสในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หรือไม่ หุ้นของบริษัทดังกล่าวมีผู้บริหารที่มีบรรษัทภิบาลที่ดี ไม่เคยมีประวัตด่างพร้อยในการโกงผู้ถือหุ้น เป็นต้น มีการบริหารงานที่โปร่งใส และกรรมการและผู้บริหารใส่ใจกับการดูแลผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี มีการให้ข้อมูลผลประกอบการเพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีข้อมุลในการติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด เป็นต้น การดูประวัติศาสตร์ของหุ้นดังกล่าว จะให้ข้อมูลที่สำคัญกับนักลงทุน เพื่อให้เรามั่นใจกับการลงทุนในหุ้นดังกล่าวระยะยาว โดยไม่หวั่นไหวกับภาวะของตลาดไม่ว่าหุ้นจะตกหรือขึ้น แต่ผู้ลงทุนมั่นใจว่าหากถือระยะยาวแล้วจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเราได้ครับ

จากคุณ : ยิ่งสุงยิ่งหนาว - [ 8 ต.ค. 48 21:35:11 A:203.156.27.236 X:203.130.159.3


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:31:22 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 13

ผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอก คุณแมงเม่า
ผมมองในส่วน ความคิดเห็นส่วนตัว

****โอกาสผิด มีอยู่แล้ว****


กลุ่มชิ้นส่วนฯที่ผมซื้อ มี 2 ตัว ผมกล้าถือยาว (ไม่ใช่ว่าไม่ขาย ถึงจังหวะหนึ่งถ้ามีกำไรพอสมควรผมก็ขาย) เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และเขาถือมากกว่า 50 %
เขามีเทคโนฯชั้นสูงและการพัฒนาที่ดีต่อเนื่องมาหลายปี เท่าที่ผมติดตาม เขากระจายการลงทุนในไทย และช่วงหลังไปจีนด้วย
ผมไม่กลัวว่าเขาจะย้ายฐานไปจีนทั้งหมดหรอก
เพราะบริษัทแม่ของเขา ต้องกระจายความเสี่ยงด้วย
เพราะถ้าเกิดวันดีคืนดี จีน เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา ผลกระทบก็จะเกิดเต็มๆ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงที่ดีคือการกระจายการลงทุน ทั้งไทย จีน และอนาคตอาจไปอินเดีย
ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในไทย และจีน หรือที่อื่น เขาจะพยายามไม่ให้เหมือนกัน คือคนละผลิตภัณฑ์ หรือถ้าแบบเดียวกัน เขาก็จะแยกตลาดกันอย่างชัดเจน เช่นคนหนึ่งไปขาย เมกา อีกคนไปขายยุโรป ฯลฯ

ส่วน CEI ผมไม่ซื้ออยู่แล้ว ตัวนี้ความเสี่ยงสูง เกิดจาก การไม่กระจายฐานลูกค้า มีลูกค้ารายใหญ่แค่รายเดียว

MPT ตัวนี้เห็นหลายโบรกฯเชียร์ ผมก็ไม่ชอบ เพราะลูกค้ารายใหญ่คือ seagate มากถึง 70 % มีความเสี่ยงมาก ถ้าจะถือยาว เหมาะสำหรับการเล่นเก็งกำไรเท่านั้น

KCE ตัวนี้ ผลิตแผ่น PCB เทคโนฯ ไม่สูงมาก การแข่งขันสูง ผมก็ไม่ชอบ ถ้าจะถือยาว เหมาะสำหรับเก็งกำไรเท่านั้น

ส่วนกลุ่มเกษตร ที่คุณแมงเม่าพูดถึง ก็โอเค
ผมขอเพิ่มเติมตรง กุ้ง ด้วย แต่หลายคนอาจไม่ชอบ เพราะมันเหมาะสำหรับคนที่ไม่โลดโผนมาก ปีหน้า กุ้ง จะดีมากๆ
ตั้งแต่ อียู คืนจีเอสพีมา ราคากุ้งในเมืองไทยเพิ่มถึง 50 บาทต่อกล.แล้ว

มันเป็นพอรต์การลงทุนของผม คือถือยาวๆ ระยะหนึ่ง ไม่ใช่ตลอดไป ถึงเวลาขาย ก็ต้องขาย

ส่วนพอรต์เก็งกำไรของผม จะมีอีกโบรกฯหนึ่ง ผมเล่นทุกตัว ถ้ามองว่ามันจะขึ้น

จากคุณ : S-sung - [ 9 ต.ค. 48 10:19:31 ]


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:31:49 น.  

 
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3792144/I3792144.html


โดย: HolySix วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:32:19 น.  

 
เข้ามาอ่านหาความรู้ค่ะ


โดย: iampum วันที่: 4 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:40:27 น.  

 
tks krab..


โดย: samsam (samsam ) วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:23:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

HolySix
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HolySix's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.