[Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 2 Rome (Part II).. Vatican City



(Day2 - 15 ก.ย. 2554) Rome: Vatican Museums


วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 5 ไม่ได้ขยันนะคะ
แต่ยังชินเวลาประเทศไทยอยู่


แวะไปทานอาหารเช้าที่ “Panella” ตามเคย


แพลนของวันนี้


Blue Hostel
-- เดิน 550 ม., 7 นาที -->
Roma Termini Station
-- เมโทร 7 สถานี -->
Cipro - Musei Vaticani Station
-- เดิน 550 ม., 7 นาที -->
Vatican Museum
-- เดิน 1.5 กม., 18 นาที -->
St. Peter's Basilica & Climbing the dome (Cupola)
-- เดิน 1.4 กม., 17 นาที -->
Ottaviano Station
-- เมโทร 6 สถานี -->
Roma Termini Station
-- เดิน 550 ม., 7 นาที -->
Blue Hostel


v
v
v


ตรงไป Vatican Museum (GPS 41.906701,12.453407) กันเลยค่ะ
นั่งเมโทรจากสถานี Roma Termini ไปลงสถานี Cipro - Musei Vaticani
แต่ถ้าใครจะตรงไป St. Peter's Basilica ก่อน ให้ไปลงสถานี Ottaviano ดีกว่า
ประหยัดพลังงานในการเดิน ^^


ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าวาติกันมิวเซียมไว้แล้ว
จองไว้รอบ 9:30 น.
ต้องไปรับตั๋วล่วงหน้า 15 นาที
เผื่อเวลาเดินทางไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงจากโฮลเทลกำลังดี


ขนาดเรามาถึงก่อน 09:30 คิวรอเข้าชมวาติกันมิวเซียมก็ยาวเกินกว่า 300 เมตรแล้ว
ระหว่างทางมีคนมาคอยขายทัวร์ บอกว่าเข้าชมได้เลย ไม่ต้องรอคิว
ดีว่าน้องแพร (+~%Chocolate Republic%~+) เตือนไว้ เราเลยไม่ต้อง
รอคิวยาวๆ เพราะน้องแพรเองก็ยืนรอคิว 2 ชม.กว่า -_-“


ปล. เสิร์ชเจอกระทู้นึงน่าสนใจทีเดียวค่ะ ข้อมูลของคุณ thyrocyte


ราคาตั๋ว 15 ยูโร + ค่าจองล่วงหน้าออนไลน์ 4 ยูโร = 19 ยูโร



มายืม audio guide ก่อน จำราคาที่แน่นอนไม่ได้ รู้สึกว่า 7 ยูโร
ปล. ไม่มีภาษาไทยนะคะ



ยืมไกด์บุ๊ค Rick Steves' Rome มาจากโฮลเทล
อ่านแล้วชอบมาก จนต้องหาซื้อ Rick Steves' Florence & Tuscany
และ Rick Steves' Venice ที่ฟลอเรนซ์
เสียหาซื้อ Rick Steves' Snapshot Italy's Cinque Terre ไม่ได้
ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจหนังสือของ Rick Steves' เลย
ชอบที่เค้าใช้ภาษาที่อ่านง่าย สอดแทรกทริกต่างและมุขขำๆ ไว้ตลอด
ลืม Lonely Planet Italy ที่หอบหิ้วไม่จากเมืองไทยได้เลย
จะโยนทิ้งก็เสียดาย ก็เลยซุกไว้ในกระเป๋าเดินทาง ^^


วันนี้ก็เลยเดินถือ Rick Steves' Rome กับ ฟัง audio guide ตลอด
แต่ตอนนี้ก็ลืมไอ้ที่อ่านกับฟังไปเกือบหมดแล้ว 55+
ความจำปลาทอง
เพื่อนๆ ก็ดูรูปไปละกันนะคะ คำบรรยายอาจจะไม่ค่อยมี ^^


เห็นโดม St. Peter's Basilica อยู่ไกลๆ ค่ะ




มาชมด้านนอกกัน





ด้านในก็จะแบ่งเป็นห้องๆ แต่ละห้องแบ่งเป็นประเภทแตกต่างกันไป



ห้องนี้โชว์ชิ้นงานรูปสลัก





ห้องต่อไปก็ยังโชว์ชิ้นงานรูปสลัก





ห้องนี้โชว์รูปสลักสัตว์





อีกห้องนึง
ชิ้นนี้ใหญ่อลังฯ สูงเกือบ 3 เมตรได้มั้ง



งานโมเสกบนพื้นพิพิธภัณฑ์ค่ะ



แหวนโบราณ



ระหว่างที่เดินชมรอบวาติกันมิวเซียม
จะมีหน้าต่างชมวิวด้านนอกไว้เป็นระยะๆ
ปล. ถ้าเลื่อนลงไปดูภาพด้านล่าง แล้วงงๆ ตามที่บอกไว้นี่แหละค่ะ
เดี๋ยวก็ถ่ายภาพด้านนอก เดี๋ยวก็ถ่ายด้านในค่ะ



ขึ้นมาที่ชั้น 2 แล้ว มองลงไปตรงสวนที่เราไปชมทีแรก
(Tilt-Shift Miniatures)



จากบนนี้ก็เห็น The Vittorio Emanuele II Monument เหมือนกัน



เพดานในแต่ละห้อง ก็สวยงามแตกต่างกันออกไป



เพดานห้องนี้ เหมือนเป็นปูนปั้นนูนต่ำ แต่จริงๆ แล้วเป็นงานเพนท์ค่ะ



ห้องนี้ เพดานเป็นงานนูนต่ำของจริงแล้วค่ะ

















กำลังจะเข้าไปชม Sistine Chapel กันแล้วค่ะ




ภาพเพดานใน Sistine Chapel
จริงๆ เค้าไม่ให้ถ่ายภาพแหละ
ที่ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพก็เพราะเมื่อปี 1980 Sistine Chapel มีการฟื้นฟูใหญ่โต
บริษัท Nippon Television Network Corporation ช่วยสนับสนุนเงินทุน ถึง 4.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
บริษัทนี้ก็เลยได้ลิขสิทธิ์ของภาพที่นี่เป็นการแลกเปลี่ยน



.
.
.


นี่ก็บ่ายแก่แล้ว ยังไม่ทานอาหารเที่ยงเลย
แว๊บ ไปทานพิซซ่าที่ cafeteria
ชิ้นใหญ่มาก แต่ไม่อร่อยค่ะ -_-“



.
.
.


สุดท้ายก่อนกลับ แวะชมอีกสักห้อง
Pinacoteca (painting Gallery)
ถ่ายมาภาพเดียวนี่แหละค่ะ



ถึงบันไดทางออกวาติกันมิวเซียมแล้ว
++ มุมมหาชน: บันไดวน ++



++ บันไดวน: side shot ++



++ บันไดวน: มุมเงย ++
ถ่ายมันให้ครบทุกมุม ^^



กว่าจะออกจากวาติกันมิวเซียมก็ 16:20 น.
OMG! เราใช้เวลาไปเกือบ 7 ชม.
สรุปว่าทุกคนที่มาโรม ไม่ควรพลาดวาติกันมิวเซียมค่ะ
ยิ่งใหญ่ อลังฯ มีงานศิลปะสวยๆ ขนาดหวานไม่ความรู้เรื่องศิลปะเลย ยังชอบเลยค่ะ


ไปลุยต่อกันที่ St. Peter's Basilica กันดีกว่าค่ะ


v
v
v


รถคันนี้ยิ่งกว่า eco car อีก
ปลูกหญ้ารอบคันเลย ^^
แต่เข้าไปยื่นใกล้ๆ กลิ่นไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่



พอเดินเข้ามาในบริเวณ St. Peter's Square
ก็จะมี Swiss Guard ยื่นเฝ้าประตูอยู่



โชคดีที่เรามาเย็นแล้ว คิว security check สั้นนิดเดียว



นี่แหละค่ะ St. Peter's Basilica(GPS 41.902341,12.457248)



ไปซื้อตั๋ว “Climbing the dome” ก่อนค่ะ เดี๋ยวเค้าจะปิดซะก่อน
ปล.เวลาทำการ 8:00-18:00 แต่ช่วงเดือน ต.ค.-มี.ค. จะปิดเร็วขึ้นเป็นเวลา 16:45 น.


ราคาตั๋วมีสองประเภท
ประเภทที่ 1: ขึ้นลิฟต์ไปครึ่งทาง แล้วเดินขึ้นบันไดต่ออีก (7 ยูโร)
ประเภทที่ 2: เดินขึ้นบันไดล้วนๆ 320 ขั้น (6 ยูโร)
สำหรับเราขอเลือกตั๋วประเภทที่ 1 ละกัน
เดินมาทั้งวันแล้ว



ขึ้นลิฟต์มาครึ่งทางแล้วค่ะ
ที่เหลือก็ต้องใช้กำลังขาแล้วล่ะ



งานโมเสกฝาผนังชิ้นนี้ คงมีอายุไม่น้อยกว่า 400 ปี




โดมน้อยๆ บนหลังคา



เฮ้อ! ถึงด้านบนซะที กว่าจะถึงหยุดพักไปหลายรอบ


.
.
.


มาชมวิวสวยๆกันดีกว่า
อาคารขาวๆ ด้านขวาก็คือ The Vittorio Emanuele II Monument
เค้าว่าหน้าตาเหมือนเครื่องพิมพ์ดีด
ที่เราขึ้นไปถ่ายรูปเมื่อวาน





แม่น้ำ Tiber แม่น้ำหลักของโรม
และยังเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสามของอิตาลี



นี่ก็วาติกันมิวเซียม ที่เราใช้เวลาชมถึง 7 ชม. -_-“



สังเกตว่าในภาพมีโดมให้เห็นหลายโดมทีเดียว
อย่างน้อยๆที่เราเห็นก็ 6 โดมแล้วล่ะ



มองลงมายัง St. Peter's Square



รีบลงไปด้านล่างกันดีกว่า ก่อนที่ St. Peter's Basilica จะปิด
ปล. ช่วงเดือน เม.ย.-ก.ย. เวลาทำการ 7:00-19:00 น.


.
.
.


การเข้าชม St. Peter's Basilica ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น
กระโปรงสั้น เสื้อขากุด เสื้อสายเดียว หรือเสื้อที่โชว์ใหล่ทั้งหลาย
สรุปก็คือต้องใส่ชุดสุภาพอย่างเดียว
เดรสโค้ดประมาณเดียวกับเวลาคนไทยเข้าชมวัดพระแก้ว
เท่าที่เพิ่งเช็คข้อมูลดูวาติกันมิวเซียมก็เพิ่งเปลี่ยนมาใช่กฏนี้เหมือนกัน



St. Peter's Basilica เป็นส่วนหนึ่งของ Vatican City



การตกแต่งด้านในเป็นผลงานของ Pannini
ยิ่งใหญ่ อลังการมาก



The Pietà ฝีมือของ Michelangelo
รูปสลักพระเยซูบนตักของพระแม่มารี
อยากจะให้ดูแขนของพระเยซู ให้ความรู้สึกถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมาจริงๆ



แหงนดูเพดานกันบ้างค่ะ





.
.
.


ออกมาชมด้านนอกกันบ้างค่ะ


++ St. Peter's Square++



St. Peter's Basilica หน้าตรง ^^



v
v
v


ทีแรกตั้งใจจะไปทานอาหารที่ “Osteria della Suburra”‎ (GPS 41.89517,12.493104)
ร้านนี้ Ercole แนะนำ (อีกแล้ว) ร้านโลคอล ถูกและอร่อย (เค้าว่างั้น)
เดินจาก Roma Termini (Line A) 1.0 กม. (12 นาที)
ถ้าลงที่สถานี Cavour (Line B) จะเดินใกล้กว่ามาก แค่ 110 ม. (2 นาที)
แต่ต้องเปลี่ยนรถไฟจาก Line A ไป Line B นะ


ตอนนั้นสมองตื้อคิดไม่ออก ^^ เลยลงที่ Roma Termini
แต่สุดท้ายก็เดินไม่ไหว เปลี่ยนใจขอหาอะไรกินแถวโฮลเทลแทนละกัน
มาลงเอยร้านนี้ที่จำชื่อไม่ได้ แต่อาหารอร่อยผิดคาด หรือว่าหิวก็ไม่รู้ ^^



++ ไม่เคยเห็น Balsamic กับน้ำมันมะกอกในขวดสเปรย์มาก่อน ++



++ Sprite ++



++ Sparkling wine ++



++ Tuna Salad ++
อร่อย! แต่หน้าตาธรรมดามาก
ผักสด กรุบกรอบ แค่ใส่ก็ balsamic vinegar และน้ำมันมะกอกก็เริ่ดแล้ว



++ Spaghetti Four Cheese ++
จานนี้ก็ yum! ลวกเส้นมาได้แบบ al dente
แหม ก็มากินถึงถิ่นเค้าแล้วนี่
หอมชีสมาก โรยหน้ามาด้วยพามีซานขูดแบบไม่ยั้ง



++ สุดท้ายสั่ง Red wine มาอีกแก้ว ^^ ++



.
.
.


ก่อนนอน ต้องทานเจลาโต้เพิ่มความอ้วน
แวะร้านนี้ อยู่ใกล้โฮลเทลมาก ห่างกันแค่ 2-3 ตึก







คุ้นๆ ว่าสั่งรสโยเกิร์ตกับอะไรสักอย่าง
รสชาติงั้นๆ -_-“ แต่ทำไมลูกค้าไม่ขาดสายเลยล่ะ



อิ่มแล้ว เข้านอนได้ หุหุ ^^



- - - คราวหน้าจะพาชม Borghese Gallery และใจกลางกรุงโรมอีกสักรอบ ^^ - - -




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2554 19:09:13 น.
Counter : 3557 Pageviews.  

[Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 1 Rome.. ก้าวแรกสู่อิตาลี



จำไม่ได้ว่าทริปนี้เริ่มขึ้นได้ยังไง..
รู้แต่ว่าเตรียมตัวกันตั้งแต่ ก.พ. โน้นแหนะ ^^


ขอบคุณเพื่อนๆใน Pantip.com ที่ทำรีวิวเกี่ยวกับอิตาลีกันไว้ก่อนหน้านี้
รวมทั้งน้องแพร (+~%Chocolate Republic%~+) ที่ช่วยตอบข้อข้องใจหลายๆ ข้อ


v
v
v


ขออนุญาตเล่าเกี่ยวกับการขอวีซ่าก่อนเลยละกัน
เราได้ข้อมูลจากกระทู้ของคุณ auraball
การขอวีซ่าอิตาลีไม่ยาก.. แต่น่ารำคาญใจที่สุด
ห้ามขอวีซ่าล่วงหน้าเกินสามเดือน"เด็ดขาด"..
เราไปยื่นเอกสารขอวีซ่าล่วงหน้าสามเดือนกับอีกสองวัน เอกสารโดนตีกลับ..
ตอนที่โทรไปนัดคิวครั้งแรก ก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่จะแจ้งอะไรเลย
ไปก่อนเวลานัด 40 นาทีก็ไม่ให้เข้าสถานฑูต.. เข้าได้ก่อนเวลา 15 นาทีเป็นอย่างมาก
กว่าจะได้คิวใหม่ก็อีกหนึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย
แถมเสียค่าโทรศัพท์อีกนาทีละ 9 บาท..
เฮ้อ! อะไรกันนักกันหนาเนี่ย


.
.
.


ส่วนแผนการเดินทางเป็นดังนี้
Rome  3 คืน
Florence  2 คืน
San Gimignano  1 คืน
Cinque Terre  2 คืน
Venice  1 คืน
Milan  1 คืน


.
.
.


นอกเหนือจากการจองโรงแรมแล้วในอิตาลีแล้ว
แนะนำควรจะจองตั๋วรถไฟและพิพิธภัณฑ์ต่างๆไว้ล่วงหน้าด้วย


1. โทรจอง Borghese Museum and Gallery (Rome) ให้โทรจองล่วงหน้าจากเมืองไทยได้เลยค่ะ
ให้แจ้งว่าใช้ Roma Pass (ซึ่งจริงๆ แล้วตอนที่โทรจอง ยังไม่มี Roma Pass ก็ไม่เป็นไรค่ะ)
ที่นี่ถ้าไม่จองล่วงหน้าหมดสิทธิ์ค่ะ มีกระทู้ของคุณ wison เคยลงไว้
แต่ตอนนี้เค้าไม่มี "Free Call" แล้วนะคะ


2. จองตั๋วรถไฟล่วงหน้า ผ่าน //www.trenitalia.com/ เราจองเฉพาะเที่ยวที่เป็นรถไฟยูโรสตาร์ (ES)
ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ช่วยประหยัดไปได้เยอะทีเดียวค่ะ
อย่างตั๋ว Venice - Milan ช่วงนั้นมีโปรโมชั่น เดินทางวันเสาร์ ซื้อตั๋ว 2 ใบ ได้ในราคาใบเดียว
Rome - Florence และ Venice - Milan ราคาทั้งหมด สำหรับ 2 คน = EUR 91.00 (THB 3,969.02)


3. จองตั๋วพิพิธภัณฑ์ล่วงหน้าออนไลน์ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียค่าจองเพิ่ม
แต่คุ้มค่าทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลารอคิวเป็นชั่วโมง หรืออาจจะถึงหลายๆชั่วโมงทีเดียว
เอาเวลาที่ต้องยืนรอคิวไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า ^^
ปล. ทั้งหมดด้านล่างเป็นราคาตั๋วสำหรับ 2 คน
3.1 Vatican Museum Ticket (Rome) = EUR 38.00 (THB 1,659.71)
3.2 The Accademia Gallery Ticket (Florence) &
The Uffizi Gallery Ticket (Florence) = EUR 60.00  (THB 2,648.07)
3.3 The Leaning Tower of Pisa Ticket (Pisa) ตั๋วสำหรับขึ้นหอเอน=EUR 34.00 (THB 1,507.99)



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(Day1 - 14 ต.ค. 2554) Bangkok - Rome


ใช้บริการของ TG เวลาดีทีเดียว..
ออกจากกรุงเทพฯ 00:20 ถึงโรม 06:50


รอคิวผ่านอิมมิเกรชั่นที่ Fiumicino Airport นานมากๆ
เจ้าหน้าที่เปิดช่องสำหรับ Non-EU Passport แค่ช่องเดียว..
"เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีกับอิตาลีแล้วสิ" -.-"


เจ้าหน้าที่เปิดพาสปอร์ต ดูรูปในพาสปอร์ตแล้วก็ดูหน้าเรา เปิดหน้าวีซ่า แล้วก็ปั๊มเข้าเมืองให้
ไม่เช็คข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ไม่สแกนพาสปอร์ต ไม่ถามคำถามสักคำ ไม่ต้องกรอกเอกสารอะไรเลยด้วยซ้ำ..
ทำไมมันง่ายแบบนี้!
ออกจากสนามบินมา ก็เดินตามป้าย "Treni"
เพื่อไปยังสถานีรถไฟ.. แวะซื้อตั๋ว Leonardo Express ในร้าน Tabacchi
สองใบ สำหรับสองคน ตั๋วเที่ยวเดียวราคาใบละ 14 ยูโร
ปลายทางที่สถานี Roma Termini




เดินทางแค่ 31 นาทีก็ถึงสถานี Roma Termini
แวะซื้อ Roma Pass (ราคา 25 ยูโร) จากร้าน Tabacchi ในสถานี.. ลืมซื้อมาจาก Fiumicino Airport
ก่อนเริ่มใช้บัตร ก็แค่เขียนชื่อและวันที่ด้านหลัง ก็พร้อมใช้งานได้เลย




Next stop: Blue Hostel ขอไปฝากกระเป๋าไว้ก่อน
ก็ยังไม่ถึงเวลาเช็คอินนี่นา

Ercole เจ้าของโฮลเทลแนะนำร้านเบเกอรี่ร้านนึงไม่ไกลจากโฮลเทล
ซึ่งเหมาะสำหรับมื้อเช้า และกลายเป็นว่าเราเดินเข้าออกร้านนี้กันเป็นว่าเล่น
ทุกเช้าในโรมเราก็มาเติมพลังกันร้านนี้แหละ “Panella(GPS 41.894315,12.500777)

ใครชอบทานเบเกอรี่ แนะนำเลยค่ะ อร่อยแน่นอน!




ลูกค้าแน่นร้านเลย



และภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ได้ถ่ายในร้าน
พี่ผู้ชายคนนี้กำลังยกมือ “ห้ามถ่ายภาพ!” -_-“
ปล. แต่พี่คนนี้ชงกาแฟอร่อยที่สุดในร้านแล้ว ให้อภัยจ้า



เลยได้ภาพ caffè latte ของตัวเองมาเพิ่มอีกภาพเดียว
เวลาสั่งต้องเน้นว่า caffè latte
ถ้าบอกแค่ latte คุณจะได้นมร้อนมาแทน


ใครบอกว่ากาแฟอิตาลีอร่อย ก็จริงนะแต่ไม่ทุกร้าน
สำหรับร้านกาแฟโลคอลที่มีโอกาสได้ลอง
รสชาติกาแฟที่ Panella แก้วที่พี่ผู้ชายในภาพด้านบนชง อร่อยที่สุด
ส่วนกาแฟยี่ห้อ Illy และ Lavazza เราไม่ได้ลองในทริปนี้
Starbucks ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีขายจ๊ะ



โบสถ์อะไรสักอย่าง อยู่ใกล้โบสถ์ Maria Maggiore
ดวงอาทิตย์อยู่ตรงยอดโบสถ์พอดี ก็เลยขอถ่ายภาพเก็บไว้หน่อย ^^




เดินมาถึงโบสถ์ Maria Maggiore (GPS 41.897364,12.498841) แล้วค่ะ
ทั้งสองโบสถ์อยู่ใกล้กันมากๆ



ที่นี่เป็นหนึ่งในห้าของโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโรม



++ รูปปั้นของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 ++



จริงๆ ตอนเดินเข้ามาชม ก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากมาย
ไกด์บุ๊คอะไรก็ไม่มี กะแค่มาเดินเที่ยวฆ่าเวลารอที่จะเช็คอินที่โฮลเทลเท่านั้น










เดินกลับไปโฮลเทลดีกว่า เพื่อห้องจะเรียบร้อยแล้ว
ขอตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
แล้วเราค่อยออกมาลุยกันอีกรอบ ^^



จริงๆ แพลนของวันนี้มีแค่ Colosseum
เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเหนื่อย + jet lag จากการเดินทางขนาดไหน
แต่ไปๆมาๆ วันนี้เดินซะเยอะเลย -_-“


Blue Hostel
-- เมโทร 2 สถานี -->
Colosseum
-- เดิน 1.4 กม., 17 นาที -->
The Vittorio Emanuele II Monument (Rome from the Sky)
-- เดิน 850 ม., 10 นาที  -->
Pantheon
-- เดิน 600 ม., 7 นาที -->
Trevi Fountain
-- เดิน 750 ม., 10 นาที -->
Spanish Steps
-- เมโทร 1 สถานี -->
Blue Hostel




++ ระหว่างเดินจากโฮลเทลไป Roma Termini ผ่านอาคารหลังนี้
ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร?!! ++
ยังไงก็ขอถ่ายภาพเก็บไว้ก่อนละกัน หุหุ



เราจะนั่งรถไฟใต้ดินไป Colosseum กัน แค่ 2 สถานีจาก Roma Termini
(Metro Line B - Colosseo Station) ใช้ Roma Pass ได้เลย


Graffiti พบเห็นได้ทั่วๆไปในอิตาลี รถไฟขบวนนี้ถ้ามี graffiti นิดหน่อยคงดูเลอะเทอะ
แต่นี่พ่นมันทั้งขบวนก็สวยดีเหมือนกัน
ปล. อย่างที่รู้กันอยู่ว่าขโมยขโจร พวกล้วงกระเป๋าเยอะมากในอิตาลี
โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะๆ
เรากับเพื่อนร่วมทริปก็โดนกันไปเหมือนกัน
เราสองคนใช้กระเป๋าเป้สะพายหลังทั้งคู่ เวลาขึ้นเมโทรก็เอากระเป๋ามาไว้ข้างหน้า
ลงจากรถไฟก้มดูกระเป๋าตัวเอง ต๊าย!ซิปกระเป๋าด้านหน้าเปิด
แต่ไม่มีอะไรหาย เพราะไม่มีอะไรให้โจรมันขโมย 55+
นี่ขนาดสะพายกระเป๋าเป็นจิงโจ้แล้วนะเนี่ย




ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน Colosseum (GPS 41.891552,12.491711) เด่นอยู่ตรงหน้าเลย
ไม่คิดว่าจะตั้งอยู่ใกล้สถานีขนาดนี้



ใช้บัตรเบ่ง (Roma Pass) ลัดคิวเข้าไปได้เลย
จากที่เห็นในภาพ แถวขวาเป็นแถวสำหรับซื้อตั๋ว
แถวซ้ายสำหรับคนที่มีตั๋วล่วงหน้าแล้ว คนที่มี Roma Pass
สามารถเดินตรวเข้าแถวซ้ายเข้าไปได้เลยค่ะ
โล่งมาก ประหยัดเวลาไปได้เยอะ ^^



ภายใน Colosseum บางคนอาจจะเห็นเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพัง



ส่วนเราเอง เรานึกถึงภาพยนต์เรื่อง Gladiator ตอนที่เรายื่นอยู่ข้างใน
ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการขึ้นมาทีเดียว
ปล. สามารถบรรจุคนได้ถึง 50,000 ที่นั่ง



สามารถมองเห็น
Arch of Constantine (Arco di Costantino)
และ Palatine Hill ได้จากภายใน Colosseum



นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็กำลังยื่นดู Roman Forum อยู่



ออกมาจาก Colosseum ทั้งร้อนทั้งหิว
เราเดินตามลายแทงของ Ercole มองหาร้าน Luzzi (GPS 41.889675,12.496605)
Ercole แนะนำว่าเป็นร้านอาหารคนท้องถิ่น อร่อย และราคาไม่แพง
ร้านนี้อยู่ใกล้ Colosseum มาก ห่างกันแค่ 500 ม. เอง
แต่ร้านดันปิดซะนี้ ก็เลยต้องจำใจกินร้านอื่นใกล้ๆกัน



เติมพลังแล้ว จุดหมายต่อไป
The Vittorio Emanuele II Monument
Roman Forum เป็นทางผ่านพอดีค่ะ
++ Roman Forum ++




ฝั่งตรงข้ามเป็น Foro di Nerva



ศิลปินคนนี้ ใช้สีสเปรย์กับเทมเพลทในการสร้างสรรค์งาน
ใส่เสื้อดำ กับหน้ากาก แถมเปิดเพลงร๊อคอีก เข้ากั๊นเข้ากัน



ถึง The Vittorio Emanuele II Monument แล้วค่ะ
(GPS 41.895537,12.482709)




ซื้อตั๋ว “Rome from the Sky” ราคาคนละ 7 ยูโร
เป็นตั๋วสำหรับขึ้นลิฟต์ ไปชมด้านบนสุด
วิวดีมาก สวยสุดๆ เห็นโรมรอบด้านเลย แนะนำเลยค่ะ


ทีแรกเพื่อนร่วมทริปจะไม่ยอมขึ้น บอกว่าแพง
“แหม! ทีตั๋ว Sands SkyPark: Marina Bay Sands Singapore
แพงกว่านี้เกือบสองเท่า ยังซื้อเลย”
ก็เลยยอมควักกระเป๋า ^^



ภาพทั้งหลายด้านล่างเป็นภาพที่ถ่ายจาก “Rome from the Sky” ค่ะ














Via del Corso ถือเป็นถนนที่กว้างและตรงที่สุดใจกลางเมืองโรม
กว้างถึง 10 เมตร



Via del Corso: Tilt-Shift Miniatures



นกอะไรไม่รู้ คล้ายๆนกนางนวล
ตัวใหญ่ และไม่กลัวคน
โชว์ภาพนี้ให้เพื่อนดู เพื่อนภาพว่านกจริงหรือเปล่า?
ขอตอบว่าของจริงนะยะ ^^



เดินต่อไป Pantheon (GPS 41.899061,12.476775)
ขนาดมีแผนที่ยังหลง ถึงใส่พิกัด GPS ไว้ให้เพื่อนๆนี่แหละ ^^
ป้ายบอกทางอะไรก็ไม่มี ถามคนท้องถิ่นก็ชี้กันคนละทิศละทาง
จริงๆ คือ Pantheon ตั้งอยู่ในจตุรัสก็เลยเข้าออกได้หลายทาง



ไม่น่าเชื่อว่าแค่แสงสว่างจาก oculus ที่ปลายของโดมด้านบน
และประตูด้านหน้าก็เพียงพอให้แสงสว่างแก่ทั้งหลัง
ความพิเศษอีกอย่างนึง คือ ความสูงของโดม
เท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของโดม 43.3 เมตร



ออกมาด้านนอก พี่เลี่ยนมาชุมนุมประท้วงกันซะงั้น
กะไว้แล้วเชียวมาทริปนี้ต้องเจอ ก็ประเทศนี้เค้าประท้วงกันเป็นอาจิณ



แมงปอก็บินวนดูสถานการณ์กันให้ว่อน เอ้ย!  ไม่ใช่ เฮลิคอปเตอร์ค่ะ ^^



จุดพลุควันกันด้วย ผู้ประท้วงก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย
เพื่อนร่วมทริปอยากเกาะติดสถานการณ์มาก ดีนะห้ามไว้ทัน



ไปต่อกันเถอะค่ะ มัวแต่ไปเกาะติดสถานการณ์ประท้วง
เดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้าน แย่เลย!




++ ตึกนี้แปลกดี ++
เหมือนผสมซากตึกเก่ากับตึกใหม่ไว้ด้วยกัน
มองเผินๆ ดูคล้ายจอมปลวกเลย

มาถึงร้าน Giolitti (GPS 41.901001,12.477266)
ร้านนี้ได้รับการโหวตให้เป็นร้านเจลาโต้ที่ดีในโรม
คนดัง บุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งหลายก็มาทานเจลาโต้ร้านนี้
Michelle Obama ก็มาร้านนี้ค่ะ




มีป้ายติดไว้เลย
“You can not sit at the tables with cups and cones”
แต่ก็ยังมีคนไปนั่ง พนักงานก็มาไล่อยู่ดี
ส่วนเราสองคนก็อยู่กินตามระเบียบ ^^
ปล. ร้านอาหารทุกร้านในอิตาลี รวมทั้งร้านกาแฟและเจลาโต้
ถ้าจะนั่งทานในร้าน จะต้องเสียค่าบริการเพิ่ม
เช่น caffè latte ราคา 1.5 ยูโร ถ้านั่งโต๊ะในร้านราคาก็จะเพิ่มเป็น 2-2.5 ยูโร
ที่เวนิซราคาจะเพิ่มเป็น 6 ยูโรเลยค่ะ แพงมากๆ -_-“



อันนี้จำไม่ได้ว่าสั่งรสอะไร (โคนนี้ 3.5 ยูโร)
น่าจะเป็น nocciola (hazelnut) กับ chocolate (cioccolato)
รสชาติไม่ได้อร่อยอย่างที่คาดหวังไว้
ร้านโปรดของพวกเราอยู่ที่ฟลอเรนซืกับซานจีมิญญาโนค่ะ



ทานไอติมกันเสร็จ ก็เดินไป Trevi Fountain (Fontana di Trevi)
(GPS 41.901095,12.48319) กันต่อค่ะ
น้ำพุเทรวีไม่เคยหลับไหลจริงๆ ผู้คนคับคั่งตลอด
ขนาดว่าเรามากันเกือบสามทุ่มแล้วนะเนี่ย
ปล. แต่ภาพนี้ไม่เห็นคน เพราะเราใช้วิชาที่ได้จาก “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ไปใช้ ^^
เบียด..เบียด..เบียด ไปข้างหน้าสุดติดน้ำพุเลย



สุดท้ายของวันนี้ Spanish Steps (Scala di Spagna) (GPS 41.90627,12.480853)
แถวนี้จะมีพวกชอบยัดดอกกุหลาบให้นักท่องเที่ยว แบบเดินๆอยู่ก็ยัดใส่มือให้เลย
อย่าเผลอไปรับเชียวนะคะ ไม่แน่ใจว่าถ้ารับมาเค้าจะชาร์จเท่าไหร่




เพื่อนร่วมทริปเริ่มอารมณ์บ่จอย ก็ทั้งเหนื่อยทั้งเหมื่อยกันนี่นะ
แถม jet lag อีก เอ้ากลับโฮลเทลก็ได้
เดินไปขึ้นเมโทรที่สถานีที่ใกล้ที่สุด สถานี Spagna
กลับถึงโฮลเทลสลบกันต้องสองคน 55+



- - - คราวหน้าจะพาชม Vatican Museum นะคะ “Stay tuned!” ^^ - - -






 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2554 21:45:59 น.
Counter : 13580 Pageviews.  

Maldives, the Last Paradise on Earth #3

- - - ต่อจากตอนที่แล้ว - - -


 


(16 เม.ย. 54)


สำหรับการดำน้ำตื่นวันนี้.. เราตั้งใจจะมาตามหาเจ้าปลาหมึก
จนว่ายเข้ามาใต้ Azzuri Mare.. เจอเจ้าฝูงนี้ (จำนวนเยอะมาก).. 
ไม่แน่ใจว่าปลาอะไร



.
.
.


ตั้งแต่มาที่เกาะนี้ยังไม่ได้ดู fish feeding..
วันนี้วันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่บนเกาะนี้แล้ว ต้องไปดูให้ได้


มีปลากระเบนมาโชว์ตัว 4 ตัว.. ปลาไหลมอเรย์ 1 ตัว
ปลากระเบนตัวใหญ่มาก ประมาณ 2 เมตรได้
เวลาเจ้าหน้าที่โยนอาหารลงไป เจ้าพวกนี้ก็จะแย่งกันใหญ่เลย
ส่วนเจ้า reef shark ทั้งหลาย ไม่รู้ว่ากลัวปลากระเบนหรืออย่างไร..
ไม่มีโผล่หน้ามาสักตัว







.
.
.


มื้อเย็น.. เรามาทานกันที่ Azzuri Mare
ขนาดว่าจองไว้ตั้งแต่วันแรก.. เพิ่งจะมีที่ว่างให้เราก็คืนสุดท้าย
อะไรมันจะ popular ขนาดนั้น


++ เมนู ++





อาหารมีทั้งหมด 6 คอร์ส
ถ่ายรูปไว้แค่คอร์สเดียว





++คอร์สแรกของคุณสามี: Fresh Mozzarella Tomato Basil Salad++





++ จานนี้ของฉันเอง: Pan-Seared Duck Foie Gras ++





.
.
.


คืนนี้.. เป็นคืนเดียวที่เราได้มีโอกาสถ่าย night shot












- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(17 เม.ย. 54)


วันสุดท้ายของเราแล้ว.. วันนี้น้ำทะเลใสราวกระจกทีเดียว
คลื่น ลมแทบไม่มีเลย





ไหนๆ ก็วันสุดท้ายของทริปแล้ว.. คลื่น ลม ก็ไม่แรงด้วย
เราตัดสินใจไม่ทานอาหารเช้า แต่จะไปดำน้ำตื้นรอบเกาะแทน


เริ่มจาก dive center.. ใช้เวลาดำน้ำตื้นรอบเกาะทั้งหมด 2 ชม. 10 นาที
จาก dive center นี้.. เราว่ายวนขวา
จริงๆ กล้องใต้น้ำของเราเก็บภาพได้ 45 นาที แต่เราไม่ได้ชาร์จแบตเตอรี่ไว้
.. ทำให้เราสามารถเก็บภาพไว้ได้แค่ 20 กว่านาทีเท่านั้น.. เสียดายมากๆ


v
v
v


มีคลิปดำน้ำตื้นมาให้ชมค่ะ..
เราหวังว่าจะได้เห็นกระเบนยักษ์ที่เราเห็นเมื่อคืน.. ทั้งๆที่เราอยู่ที่อยู่ของมัน
.. แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็น


คลิปแรก: ปะการังยังไม่ค่อยสวยนัก มีเสียหายบ้าง





คลิปที่สอง: สวยมาก ปลาเยอะมากๆ ด้วย.. อยากให้วีดีโอถ่ายได้จนครบสองชั่วโมงจัง T.T
.. white tip reef shark ว่ายมาหาเราด้วย (00:49)





เช้านี้เรียกว่าเป็น the best snorkeling ever ของฉันเลย
.
.
.


เมื่อคืนมีจดหมายจากฟร้อนท์ทิ้งไว้ให้เราในห้อง
แจ้งว่า.. เวลาซีเพลนของเรา คือ 15:00 และให้เราเช็คเอาท์ตอน 12:00
ฉันติดต่อไปฟร้อนท์ ขอเลือกเช็คเอาท์เป็นบ่ายสอง..
พนักงานบอกไม่ได้ เพราะจะมีลูกค้าเข้าพักต่อจากเรา
ก็ไหนบอกว่าลูกค้า Island Club สามารถเลทเช็คเอาท์ได้ถึงบ่ายสอง
แต่ก็เข้าใจละนะ ว่าขึ้นอยู่กับห้องว่างด้วย


เราต้องมานั่งรอซีเพลนที่ฟร้อนท์ตั้งแต่บ่ายสอง (ตามที่พนักงานแจ้งไว้)
ระหว่างเที่ยงถึงบ่ายสอง.. เราจึงไปหลบร้อนในห้องแอร์ที่ Island Club Lounge


v
v
v


ขามาเรานั่งซีเพลนสีแดง.. ขากลับเปลี่ยนลำสีทองแทน
แต่เป็นของบริษัทเดียวกัน





++ ตอนเครื่องเทคออฟ.. น้ำกระจายเต็มหน้าต่างเลย ++








++ Centara Grand Island Resort & Spa ++





++ ถ่ายจากบนซีเพลน ++









++ เตรียมตัวลงรันเวย์แล้ว ++





ลงจอดเรียบร้อยแล้ว.. ปลอดภัยดี ^^





.
.
.


ถึงสนามบินมาเล่.. เราฝากกระเป๋าไปกับนายคนนี้





คิดค่าฝากใบละ 3 USD.. ไม่มี tag หรือใบรับฝากใดๆ ให้ทั้งสิ้น
ฉันก็เลยถ่ายรูปเค้าไว้ พร้อมกับกระเป๋าของฉันเอง.. (กลัวกระเป๋าหาย)
ส่วนค่าฝาก.. ไว้จ่ายตอนที่มารับกระเป๋าคืน


ระหว่างนั้นก็มีคนมาเสนอตัว guide.. ตื้อมากๆ อ้างโน้นนี้ตลอด
.. เราถามคิดเท่าไหร่ เค้าบอกเท่าไหร่ก็ได้..
ฉันแอบถามเจ้าหน้าที่ของเซนทารา เค้าบอกปกติก็ 10 USD
เราชอบเดินเที่ยวเองมากว่า.. อีกอย่างฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย
จากการนั่งซีเพลน ที่ทั้งร้อนและเหม็นควันไอเสีย
จึงไม่ค่อยอยากจะเดินเที่ยวสักเท่าไหร่.. อยากจะหาร้านอาหารติดแอร์เพื่อกินรองท้องเท่านั้น


สลัดเจ้าไกด์หลุดไปจนได้.. พร้อมกับมีแผนที่มาเล่อยู่ในมือแล้ว
เราก็นั่งเรือ Dhoni ไปมาเล่กัน
ค่าเรือคนละ 15 Rufia หรือ 1 USD


++ เรือ Dhoni โดยสาร ++
เดินเข้าไปนั่งได้เลย เดี๋ยวกระเป๋าเรือเค้าเดินมาเก็บตังค์เอง





v
v
v


ตามลายแทงไปกินพิซซ่าร้านนึง
ก็อร่อยใช้ได้.. เป็นร้านห้องแอร์
ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านไอศกรีม.. รู้สึกว่าร้านนี้เป็นที่นิยมทีเดียว
ลูกค้าเต็มร้านเลย ทั้งนักท่องเที่ยวและคนมัลดีเวียนเอง
"Seagull".. เราสั่งไอศกรีมชอคโกแลตชิตกับโยเกิร์ต ฉันว่ารสชาติก็ใช้ได้นะ








.
.
.


นั่งเรือกลับมาสนามบินมาเล่.. รับกระเป๋าคืนพร้อมกับจ่ายเงินค่าฝากกระเป๋า


สนามบินมาเล่จะมีส่วนของห้องแอร์เฉพาะบริเวณที่เช็คอิน
เราใช้บริการ SQ เครื่องออกเวลา 23:45.. เราสามารถเข้าไปในบริเวณเช็คอินได้ตอน 20:00..
อ้อ! ที่สนามบินมีห้องอาบน้ำด้วย ฉันตัดสินใจเข้าไปล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่..
ก่อนจะเดินเข้าไปเช็คอินตอน รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ.. หลังจากที่เหงื่อออก เหนียวตัวมาทั้งวัน
(ในห้องอาบน้ำก็ร้อนมาก ถ้าใครจะอาบน้ำ.. ก็ให้กะเวลาว่าอาบน้ำเสร็จแล้ว
สามารถเดินเข้าอาคารไปเช็คอิน พร้อมกับตากแอร์ได้เลย)


ตารางบินขากลับ:
SQ451   มาเล่ 23:25 - สิงคโปร์ 07:10
SQ972   สิงคโปร์ 09:40 - กรุงเทพ 11:05


ปล. เรามาถึงสนามบินตั้งแต่ 15:30 ระหว่างรอเข้าไปเช็คอิน มีตัวเลือก 2 ทาง คือ
นั่งรอ แบบร้อนๆ ที่สนามบิน หรือเข้าไปเดินเที่ยวใน Male ซึ่งก็ร้อนเหมือนกัน



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(18 เม.ย. 54)


เช้าวันรุ่งขึ้น.. ถึงสนามบิน Changi ได้มีโอกาสเข้าชม Butterfly Garden
ได้ดูความงามของผีเสื้อ รีแลกซ์ดีค่ะ









.
.
.



เกร็ดเล็กน้อยจากทริปนี้.. โดยประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวทั้งหมด


Smiley ถึงรีสอร์ทจะบอกว่าเป็น Fully Inclusive - All Inclusive Benefits แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างเหมือนกัน..
ขอบอกเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ จากประสบการณ์ (ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ)


Smiley เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีรายการให้เลือกจำกัด.. เช่น cocktail จะมีให้เลือกเยอะ แต่ไม่มี Mai Tai ในลิสต์
พอคุณสามีจะสั่ง พนักงานบอกต้องชาร์จเพิ่ม.. แต่มีเบียร์ ไวน์ ฯลฯ อื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย..
ส่วนฉันเป็นพวกคออ่อน ก็เลยไม่ค่อยสนใจเจ้าพวกนี้ สั่งน้ำเปล่ากับน้ำสัปปะรดซะส่วนมาก..
Island Club Lounge จะเสิร์ฟน้ำผลไม้คั้นสด


Smiley ชา กาแฟ ฟรี.. แต่ถ้าสั่งคาปูชิโน ลาเต้ ฯลฯ ชาร์จเพิ่ม


Smiley น้ำดื่ม unlimited.. ถ้าน้ำดื่มในห้องหมดสามารถโทรขอเพิ่มได้


Smiley ถ้าจะทานมื้อเย็น ที่ Lotus (ร้านอาหารไทย) Azzuri Mare (ร้านอาหารอิตาเลียน)
ให้จองล่วงหน้าตั้งแต่ที่ไปถึง.. เราจองตั้งแต่วันที่เช็คอิน
ก็เกือบจะไม่มีโอกาสได้ชิมอาหารของทั้งสองร้าน


Smiley ถ้ามื้อเย็นอยากได้ที่นั่งริมน้ำของห้องอาหาร Reef ให้ไปตั้งแต่ร้านเปิด
เวลา 19:00 น. .. คุณจะได้เห็น reef shark ว่ายอยู่ใกล้ๆ.. ไม่สามารถจองโต๊ะล่วงหน้าได้..


Smiley สำหรับ Island Club Benefits เหมาะที่สุดกับครอบครัวที่มีเด็ก แล้วอยากจะเล่นอยู่ที่สระว่ายน้ำ (Island Club Pool) ทั้งวัน
เพราะบริเวณนี้เป็นส่วนตัวกว่าสระด้านนอก พร้อมมีอาหารและเครื่องดื่มบริการตลอด..
แต่ทั้งห้าวันที่ไปพักเราไม่ได้ลงสระว่ายน้ำเลย (ลงทะเลตลอด)..
เราใช้บริการแค่ทานอาหารเช้าหนึ่งมื้อ อาหารกลางวันหนึ่งมื้อ และดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งครั้ง ตลอดทั้งทริป..
ที่เหลือเราใช้บริการที่ outlets อื่นตลอด.. สำหรับเราสองคนคิดว่า Island Club Benefits ที่ได้ ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป
ถ้าได้มีโอกาสกลับไปพักที่นี่อีก ก็คงไม่เลือกพักห้อง Island Club


Smiley ปลั๊กไฟเป็นแบบขาเหลี่ยมสามขา เหมือนของประเทศอังกฤษ.. 220 volt มีอแดปเตอร์ให้ใช้ในห้องพัก.. ใช้ไฟได้ 24 ชม.





Smiley รีสอร์ทมี generator เครื่องยักษ์สามตัว (ใช้น้ำมันดีเซล) สำหรับปั่นไฟและทำน้ำจืด..
ส่วนน้ำจืดที่ได้ต้องผ่านเจ้า desalination plants เพื่อแปลงน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด (เหมือนที่ใช้ตามเรือเดินสมุทร)..
น่านนะสิ ทำไมมัลดีฟส์ถึงแพงนัก.. รีสอร์ทบอกว่าใช้น้ำมันสัปดาห์ละหนึ่ง truck (ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่า truck ที่ว่ามันใหญ่ขนาดไหน)


Smiley มีทีวีไทย ช่อง 3 ให้ดูด้วย


Smiley บริเวณตรงกลางเกาะเป็นที่พักของพนักงาน (Team Village).. มีแอร์กับน้ำอุ่นด้วย ดีจัง ^^


Smiley พนักงาน housekeeping ที่นี่ใส่ใจแขกมากๆ มากที่สุดตั้งแต่เราพบมา.. ตอนเช้าเราออกไปทานอาหารเช้า
กลับมาห้องสะอาดเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ได้โทรไปแจ้งที่ฟร้อนท์ด้วยซ้ำ
บางโรงแรมขนาดโทรแจ้งว่าให้มาทำความสะอาดตอนที่เราไปทานอาหารเช้า
ยังไม่มาทำให้เลย.. ปรกติตอนกลางวัน เราก็จะลงไปเล่นน้ำทะเล
เวลาเดินขึ้นมาที่ห้อง ก็จะเป็นรอยน้ำหยด ยิ่งเป็นน้ำทะเลด้วยแล้ว ก็ยิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่
บางทีออกไปข้างนอกตอนบ่ายแก่ กลับมาพื้นสะอาดเรียบร้อย บริการ turn down ให้เสร็จสรรพ..
ส่วนกาแฟที่เป็นแคปซูลในห้อง Luxury Sunset Water Villa จะมีบริการ 2 ชนิด ชนิดละ 2 แคปซูล
เราชอบดื่มกาแฟแคปซูลชนิดที่เป็นเอสเพรสโซ โดยที่ไม่ได้แตะต้องอีกชนิดนึงเลย..
พนักงานก็เพิ่มให้จาก  2 เป็น 4 แคปซูล โดยที่เราไม่ได้รีเควสใดๆทั้งสิ้น..
แล้วเค้าทำเช่นนี้ทุกวันจริงๆ


Smiley พักที่นี้ คุณจะต้องพูด good morning, good afternoon, good evening วันนึงหลายสิบครั้ง..
เพราะพนักงานเค้าจะทักทายคุณทุกครั้งที่พบหน้า ^^


.
.
.


ทริปนี้เป็นทริปที่มีความสุขอีกทริปนึงค่ะ ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะสูงทีเดียว
แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า ^^ .. ถ้ามีโอกาสเราจะกลับไปเยือนมัลดีฟส์อีก



 



 



- - - จบแล้วจ้า ^^ - - -


รวมค่าเสียหายทั้งหมด สำหรับ 2 ท่าน
Traders Hotel, Male 1 คืน จองโดยตรงกับโรงแรม 7,073.60 บาท = 228.25 USD
Singapore Airlines (ไป-กลับ 2 ท่าน) จองโดยตรงกับเว็บไซต์ SQ 51,840.00 บาท
Centara Grand Maldive 4 คืน จองผ่าน Agoda รวมค่า seaplane 116,002.16 บาท
Sunset Dolphin Cruise 60 USD++ x 2 ท่าน = 136.20 USD = 4,113 บาท
อินเตอร์เน็ท 5.15 USD x 2 (48 ชม.) = 10.30 USD = 311 บาท


รวมทั้งหมด 179,345.89 บาท






 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2554 20:34:13 น.
Counter : 1345 Pageviews.  

Maldives, the Last Paradise on Earth #2


- - - ต่อจากตอนที่แล้ว - - -


 


เช็คอินเรียบร้อย.. น้องโจโจ้ พนักงานคนไทยของที่นี่
ก็พาเราไปยังห้องพักในคืนแรกของเรา Deluxe Family Water Villa

(ดูรายละเอียดของห้องพักได้ที่ลิงค์เลยค่ะ)


หลังจาก unpack กระเป๋า.. + ชื่นชมห้องพักทั้งภายนอกภายใน
เราก็ทาครีมกันแดด เตรียมพร้อมออกไปทานอาหารกลางวัน
มื้อนี้เราตัดสินใจไปทานกันที่ Island Club Lounge


++ ถ่ายมาได้แต่อาหารชนิดสุดท้าย : Raspberry sorbet ++






++ เมนูดินเนอร์ของ Reef ที่เราขอมาดูล่วงหน้า++
theme อาหารแต่ละวันของ Reef จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ






.
.
.


อ้อ! ทริปนี้ที่ขาดไม่ได้
gadget ที่เราถอยมาใหม่โดยเฉพาะ
Kodak ZX3 ถ่ายวีดีโอและภาพนิ่งได้ กันน้ำได้สามเมตร
กันกระแทก ในราคาเพียง 4,990 บาท!
(ปล. แต่ถ่ายวีดีโอได้เพียง 45 นาที)






อิ่มแล้ว.. ขอกลับไปพักสักงีบ เมื่อคืนได้นอนไม่ถึง 5 ชม. เลย
แล้วเย็นๆเราจะออกมาพายคายัคกับ snorkeling กัน


++ คายัค.. สีสันสดใส ++








++ คลิปใต้น้ำ ++
คลิปนี้.. ถ่ายจากบริเวณ Deluxe Family Water Villa
ปลาเยอะมาก.. ปะการังยังสมบูรณ์มากๆ แม้สีสันจะไม่สดใสก็ตาม
จริงๆ เราถ่ายวีดีโอไว้ทุกวัน.. แต่เฉพาะวันแรกและวันสุดท้ายของทริปเท่านั้น
ที่ภาพไม่สั่นไหวจนเกินไป (จนเวียนหัว) จึงมีคลิปให้ชมเล็กน้อยเท่านั้น
(ปล. มีการตัดต่อคลิป.. นำภาพส่วนตัวออกไปบางส่วน ^^)



.
.
.


มื้อค่ำ.. เราไปหม่ำกันที่ Reef
อาหารเป็น buffet.. theme ของวันนี้เป็นอาหารฝรั่งเศส
ฉันหวังอยากจะให้มีสเตชั่น crepe .. แต่ไม่มี
(ไม่เป็นไร.. ค่อยกลับไปกินที่ Crepes & Co. )


ตกลงอาหารมื้อนี้ไม่มีอะไรตื้นเต้น
แต่.. หลังจากนั้นตื้นเต้นมากกว่า
reef shark กลุ่มนึงว่ายมาแถวๆ terrace ของร้าน
(หลังจากนั้น ความตื้นเต้นก็ลดลงเรื่อยๆ..
เพราะเราเห็นมันทุกวัน ^^..
ค่ำๆ เราจะเห็นพวกมันแถวนี้เสมอ)











- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(14 เม.ย. 54)


วันนี้เตรียมตัวแพคกระเป๋า.. เพื่อย้ายไป Luxury Sunset Water Villa
ขอบอกว่าห้องสวยมาก ^^


ส่วนกิจกรรมวันนี้ก็เหมือนเดิม.. "snorkeling" (กิจกรรมหลักของเรา)
ได้นั่งเรือถีบด้วย.. รู้สึกว่ามันช้ากว่าคายัค
แต่ไม่ต้องใช้มือ.. มือก็เลยว่างถ่ายวีดีโอได้


ตอนดำน้ำตื้นเจอเจ้าปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า (Powderblue Surgeonfish)
เยอะมากเป็นฝูงเลย.. ถือว่าเป็นไฮไลท์ของวันนี้ทีเดียว



.
.
.


วันนี้ฉันไปพาไปเที่ยวชมรอบๆ รีสอร์ทละกัน


++ สระว่ายน้ำส่วนกลาง ++
ด้านซ้ายของสระ คือ Coral Bar..
ส่วนด้านขวาเป็น ร้านอาหาร Reef






++ Gift shop & jewelry shop ++






++ Gym ++
ไฮโซมาก.. ออกกำลังกายไป ได้ดูฝูงปลาว่ายไปด้วย








++ ภาพนี้.. ถ่ายจากสระว่ายน้ำส่วนกลางจากห้องยิม ++






++ ดอกไม้.. ในรีสอร์ท ++








++ วันนี้จะมีงานแต่งงานบนชายหาดค่ะ ++








++ Lobby ++














++ อาคารที่เห็น คือ Island Club ++








++ Camp Safari: คิดส์คลับสำหรับเด็กเล็ก ++






++ E-Zone: สำหรับเด็กอายุ 4 - 17 ++
.. แต่เราก็เข้าไปเล่น PSP3 เหมือนกัน .. อายุเกินไปหลายปี  ^^








++ ระหว่างเดินกลับไปยัง Luxury Sunset Water Villa.. เห็นเจ้าปลาหมึกพวกนี้เป็นฝูงเลย ++
ประมาณ 30 ตัวได้ ^^








.
.
.


ก่อนไปดินเนอร์.. เรามานั่งจิบ cocktail ชมวิวกันที่ Aqua Bar
ขอบอกว่าวิวที่นี่สวยมาก.. นั่งชมพระอาทิตย์ตก
เห็นน้ำใสๆ.. อาคารสีขาว "สวยจัง"
เราไม่มีปัญญาถ่ายรูปตอนกลางคืน.. ขออนุญาตนำรูปตอนกลางวันมาให้ชมแทน
(จริงๆ ดูพระอาทิตย์ตกในห้องก็ได้.. แต่อยากออกมาชมบรรยากาศข้างนอก ^^)








++ Honeymooner (มั้ง).. ของฉันเอง ++






++ Apple Martini ของคุณผู้ชาย ++






.
.
.


ทานดินเนอร์กันที่ Lotus.. จริงๆ ไม่ได้อยากทานอาหารไทยเท่าไหร่
แต่อยากจะมาลองบรรยากาศช่วงกลางคืนของร้านนี้บ้าง
ไม่ต้องห่วงเรื่องรสชาติค่ะ.. อร่อยเหมือนที่เมืองไทย
เพราะเชฟทุกท่านส่งตรงมาจากเมืองไทย








++ ยำถั่วพลู และคอหมูย่าง ++






++ ส้มตำ และปอเปี๊ยทอด++







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(15 เม.ย. 54)


วันนี้.. ดำน้ำตื้นตามเคย
คุณสามีออกไปดำน้ำตื้นแต่เช้า.. บอกว่าเห็นปลากระเบนนก (Eagle ray)
ส่วนไฮไลท์ของฉันวันนี้เป็นเจ้าเต่าทะเล.. ที่ขึ้นมาหายใจตรงหน้าทีเดียว





และจะพาไปชมรอบๆ รีสอร์ทกันต่อละกันนะคะ ^^


++ รอบๆ รีสอร์ท ++
ปล. ไม่มีคำอธิบายค่า ^^


















++ Deluxe Water Villa ++






















++ ทางเดินในรีสอร์ท ++
ดูไปก็คล้ายๆ กับ Zeavola ที่เกาะพีพี






++ Lotus ร้านอาหารไทย ++






++ Cenvaree Spa ++










++ Azzuri Mare ร้านอาหารอิตาเลี่ยน ++








.
.
.


เมื่อเช้าระหว่างนั่งจิบกาแฟอยู่หน้าบ้าน.. ฉันเห็นปลาโลมากระโดดอยู่ลิบๆ
จึงตัดสินใจจอง Sunset Dolphin Cruise ของรีสอร์ท..
หวังว่าจะได้เห็นปลาโลมาง่ายๆ ขนาดนั่งอยู่เฉยๆ ยังมีโอกาสได้เห็นปลาโลมา..
ก็คิดเอาเองว่าถ้าขึ้นเรือคงมีโอกาสได้เห็นใกล้ชิดกว่านี้
ผิดคาด.. ฉันได้เห็นแค่หลังของปลาโลมาเท่านั้น
เสียใจ และเสียดายตังค์จริงๆ.. ค่าเรือคนละ 60 USD สองคนก็ 120 USD เข้าไปแล้ว T.T


แต่เราเห็น Flying fish หลายสิบตัว.. ขอบอกว่าไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ มาก่อนในชีวิต
Discovery Channel Videos: Flying Fish Fly


อยากจะเปลี่ยนชื่อจาก Sunset Dolphin Cruise เป็น..
Sunset Flying Fish Cruise จริงๆ เลย ^^


++เรือ คล้ายๆ ลำนี้ละ ที่นั่งออกไป ++






นั่งเรือผ่านรีสอร์ทอื่น






พระอาทิตย์ตกแล้ว.. สวยอีกแล้ว








พนักงานนำเครื่องดื่มและ snack มาเสิร์ฟ.. เราขอเป็นไวน์ขาวไป
นั่งดื่มบนหลังคาเรือก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ.. ^^






เซนทาราอยู่เบื้องหน้านี้เอง






.
.
.


คืนนี้มี crab race
แต่เราคงไม่มีโอกาสได้ดู
ง่วงแล้ว.. ไปนอนดีกว่า









- - - ต่อตอนหน้าจ้า ^^ - - -




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2554 8:13:14 น.
Counter : 1443 Pageviews.  

Maldives, the Last Paradise on Earth #1

Maldives Trip
12 - 17 April 2011


เคยได้ยินฝรั่งพูดบ่อยๆว่า "Maldives, the Last paradise on earth".. เมื่อเราได้มาอยู่ ณ ที่นี้เราถึงได้รู้ซึ้ง


ทริปสงกรานต์ปีนี้(2554) ฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนประเทศหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ที่ชื่อว่ามัลดีฟส์..
เราสองคนเคยคุยกันว่าเราไปประเทศแห่งนี้ด้วยกัน เพื่อฉลองครบรอบแต่งงานห้าปี.. อีกปีนึงแหนะถึงจะครบห้าปี
แต่จังหวะทุกอย่างเหมาะสม (รวมทั้งกระเป๋าตังค์ด้วย) ทริปนี้จึงเกิดขึ้น


เราจองโรงแรมและซื้อตั๋วเครื่องบินล่วงหน้ากันตั้งแต่เดือนกันยายน 2010



.
.
.


ประเทศ Maldives ที่เราเรียกๆกัน มีชื่อเต็มๆว่า Republic of Maldives
เป็นประเทศที่มีเกาะทั้งหมดถึง 1,322 เกาะ (island) รวมเป็น 26 atoll
และเป็นประเทศที่ต่ำที่สุดในโลก สูงเพียง 2.3 เมตรจากระดับน้ำทะเล


รีสอร์ทที่เราไปนั้น คือ Centara Grand Island Resort & Spa
ตั้งอยู่บนเกาะ Machchafushi ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ South Ari Atoll (Alifu Atoll)


ลักษณะโรงแรมในมัลดีฟส์ จะเป็นแบบ one island one resort




Credit: Mondomaldive.com


เหตุผลที่เราเลือกพักที่เซ็นทารา มีหลายประการด้วยกัน
Smiley 1. ปะการังที่สมบูรณ์บริเวณรีสอร์ท เป็นหลักพักพิงของสัตว์น้ำทั้งหลาย
Smiley 2. Fish feeding..  ไฮไลท์คือปลากระเบนไซส์ยักษ์ที่โชว์ตัวให้ชมใกล้ชิด
Smiley 3. Fully Inclusive - All Inclusive Benefits ราคาห้องพัก รวมค่าอาหารทั้งสามมื้อ น้ำเปล่า
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เรียบร้อย ทำให้เรารู้ค่าใช้จ่ายที่แน่นอนล่วงหน้าได้
Smiley 4. Water Villa & Sea Plane



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(12 เม.ย. 54)


ที่เราเลือก Singapore Airlines.. ทั้งๆ ที่ Bangkok Airways มีไดเร็คไฟลท์ กรุงเทพ - มาเล่..
เพราะราคาตั๋วของ PG ช่วงสงกรานต์ พุ่งสูงถึงใบละสี่หมื่นกว่าบาท (ไป-กลับ ต่อคน)..
.. และส่วนตัวแล้วชอบการบริการของ SQ มากกว่า PG ล้านเท่า
นั่ง PG ทีไร ไฟลท์ดีเลย์ทุกที.. เหมือนไม่ถูกกันมาแต่ชาติปางก่อน ^^


ตารางการเดินทางของวันนี้
SQ973   กรุงเทพ 09:40 - สิงคโปร์ 13:05
SQ452   สิงคโปร์ 20:45 - มาเล่ 22:10


ตามตารางดังกล่าวทำให้เรามีเวลาแฮงค์เอาท์ที่สิงคโปร์ถึงห้าชั่วโมงทีเดียว
.. จริงๆฉันอยากไป Universal Studios เพราะครั้งล่าสุดที่ได้มาเหยียบสิงคโปร์ก็ตั้งแต่ปี 2005
ถ้าไม่นับรวมที่มาทรานซิสที่ Changi Airport ..
แต่ถ้าใช้เวลาแค่สองสามชั่วโมงที่ USS คงไม่คุ้มค่าผ่านประตูแน่นอน
หมดมุข.. ไปเที่ยวไหนดีหวา


เสิร์ชเจอ "Three days in Singapore - Wikitravel"
.. ก็เลยเลือกข้อมูลจาก "Day 2 - Culture Vulture" มาใช้กับทริปนี้
ทริปนี้เราใช้ MRT กับเดินเท่านั้น !
เริ่มต้นนั่ง MRT จาก Changi Airport (CG2) --> Chinatown (NE4) Exit A






เดินออกมากจากสถานี.. เราก็เห็นร้านนี้ "Bee Cheng Hiang"
เลี้ยวเข้าไปซอยหมูแผ่นมาสองขีด ^^






++ ร้านค้าทั่วไปใน Chinatown ++






เดินผ่าน Sri Mariamman Temple






ถนนหนทางแถวนี้ มีสีสันดี








จุดหมายต่อไป.. Tong Heng
ตามลายแทงบอกว่าทาร์ตไข่ร้านนี้ขึ้นชื่อมาก
ฉันลองทานแล้วไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่..
แป้งทาร์ตลักษณะคล้ายๆ คุ้กกี้.. ส่วนตัวชอบแบบแป้งพายมากกว่า










ฝั่งตรงข้าม คือ Buddha Tooth Relic Temple






เราเดินเล่นที่ Chinatown กันสักพัก ก็ต่อ MRT ไปยังสถานี Promenade (CC4)
เพื่อไปยัง Marina Bay Sands








จุดหมาย คือ Marina Bay Sands - Sky Park ค่าเข้าชม 20 SGD


วิวจากด้านบน






++ ArtScience Museum ++






++ Singapore Flyer ++






สุดท้าย.. เรากลับมาทานมื้อเย็นใน Changi Airport
ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังมัลดีฟส์


v
v
v


เมื่อเรามาถึงสนามบินมาเล่ และผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย
เดินออกมาด้านนอกของ arrival hall ก็มองหาป้าย "Traders Hotel"..
เพราะเราจองห้องพักสำหรับคืนนี้ไว้กับโรงแรมนี้
Traders hotel มี complimentary speedboat transfers จากโรงแรม ไป-กลับ สนามบิน
เราเดินเข้าไปแจ้งชื่อกับพนักงานของโรงแรมที่ยืนชูป้ายอยู่
เค้าจะคอยดูตั้งแต่สนามบินจนเช็คอินที่โรงแรม
จากสนามบินมี speedboat รอเราอยู่.. ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
ถึงท่าเรือของโรงแรม ก็เดินเท้าต่ออีกนิดนึง ประมาณ 100 - 200 เมตร ใกล้มากๆ


ตอนที่เช็คอิน พนักงานของ Traders Hotel สอบถามว่าเราทราบไฟลท์ซีเพลนของวันรุ่งขึ้นหรือยัง..
เราบอกว่ายัง เค้าก็ติดต่อไปที่ Centara Grand แล้วแจ้งให้เราทราบถึงเวลาที่ต้องเช็คเอาท์พรุ่งนี้และไฟลท์ซีเพลนของเรา


(เซนทาราจะไม่แจ้งไฟลท์ซีเพลนล่วงหน้านานๆ เพราะเค้าจะแพลนล่วงหน้าได้แค่ 1 วัน..
จริงๆ เซนทาราเคยแจ้งว่าจะอีเมล์บอกเราล่วงหน้า 1 วัน แต่เราไม่ได้รับอีเมล์
.. ทุกรีสอร์ทที่มัลดีฟส์จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน)


เราจอง Deluxe Room ไว้.. ห้องเล็กมากๆๆๆ
ขนาดประมาณ 30 ตร.ม. ได้.. กับราคา 228.25 USD (7,073.60 บาท)
ไม่สมราคาเลย.. แต่ก็ใหม่และสะอาดดี
จองไว้ตั้งแต่เป็น Holiday Inn.. กว่าจะรู้ว่าโรงแรมเปลี่ยนเชนก็งงเป็นไก่ตาแตกอยู่พักใหญ่
เพราะหา reservation ของตัวเองในเว็บไซต์ของ Holiday Inn ไม่พบ
ขนาดโทรไป call center ของ Holiday Inn ที่สิงคโปร์ ยังไม่รู้เรื่องเลย
สุดท้ายเราต้องอีเมล์ไปถาม Traders Hotel ที่มาเล่เอง.. ว่ายังมี reservation ของเราอยู่ไหม
 




++ Deluxe Room : Traders Hotel++
รูปมีแค่นี้จริงๆ ค่ะ.. เหนื่อยมาก กว่าจะได้ห้องก็ประมาณเที่ยงคืน
(เวลาเมืองไทยก็ตีสองเข้าไปแล้ว)









ปล. สำหรับคนที่คิดจะเดินทางไปมัลดีฟส์เอง โดยไม่ได้ซื้อแพคเกจ
ไม่ต้องกลัวเรื่องความสะดวกในการเดินทาง.. หรือหลง (นั่นเอง) ทั้งสิ้น
พนักงาน Traders Hotel กับ Centara Grand แปะโป้ง ดูแลตลอด


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(13 เม.ย. 54)


เช้าวันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า.. เพื่อที่จะเช็คเอาท์ และต่อซีเพลนไปยัง..
Machchafushi Island หรือ Centara Grand Island Resort & Spa นั่นเอง


อาหารเช้าวันนี้เป็นหมูแผ่น Bee Cheng Hiang (จากสิงคโปร์) กับกาแฟ..
เพราะเรทของห้องพักของเรา ไม่รวมอาหารเช้า
คุณสามียุให้ทิ้งหมูแผ่นตั้งแต่บนเครื่อง SQ.. เนื่องจากมัลดีฟส์เป็นประเทศมุสลิม
จึงไม่อนุญาตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูทุกประเภทเข้าประเทศ
(รวมทั้งมีข้อจำกัดอีกหลายอย่าง อ้อ! ห้ามใส่พระห้อยคอด้วย)
แต่ฉันยืนยันกับคุณสามีว่า.. ยังไงก็ไม่ทิ้งหมูแผ่นแน่นอน (ฝันไปเถอะ ^^)
จัดการย้ายหมูแผ่นจากถุงของร้าน Bee Cheng Hiang สีเหลืองบาดตา..
ไปยังถุงมันฝรั่งเลย์ซะ.. คิดในใจว่าถ้าเจอ customs เรียก จะบอกว่ามันคือไก่แผ่น


จริงๆ เรื่องหมูแผ่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร.. ฉันคิดว่าเค้าเข้มงวดเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า
ตอนเช็คอินขึ้นซีเพลนยังเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีน หรือไต้หวัน ประมาณเนี่ย..
หอบหิ้วถุง Bee Cheng Hiang กันยกใหญ่ ^^


นอกเรื่องไปยาว.. กลับเข้าเรื่องกันต่อค่ะ




++ บนเรือ speedboat ของ Traders Hotel ++






++ ระหว่างนั่งเรือไปสนามบิน ++








เราเดินทางกลับมายังสนามบินมาเล่..
มีพนักงานของเซนทารารอเราอยู่ที่เคาท์เตอร์เช็คอินของ Maldivian Airtaxi








Baggage allowance 20 กก. ต่อคน + carry-on baggage อีกคนละ 5 กก.
เท่าที่สังเกต carry-on baggage ของคุณสามีน้ำหนักเกิน คือ 7.8 แต่ของฉันแค่ 2.3 กก. ก็ไม่มีปัญหาอะไร


เช็คอินเรียบร้อย.. ต่อรถตู้ไปรอที่ lounge ของเซนทารา
เป็น lounge เล็กๆ มีเครื่องดื่มบริการ ไม่ได้หรูหราอะไร
มี lounge ของหลายๆ รีสอร์ทอยู่บนอาคารนี้ (จำไม่ได้ว่ามีที่ไหนบ้าง)
การตกแต่งภายในแต่ละ lounge ก็แตกต่างกันไป.. ความหรูหราก็แตกต่างกันไปด้วย ^^






นั่งรอใน lounge เพียงสักครู่ก็ต้องต่อรถตู้อีกแล้ว.. เพื่อไปขึ้นซีเพลน (ซะที)


.
.
.






ระหว่างที่เดินขึ้นซีเพลน เค้าจะแจก ear plug เพราะบนเครื่องเสียดังมาก
ตอนขากลับก็อย่าลืมพกติดตัวมาด้วยนะคะ เค้าไม่แจกซ้ำค่ะ
ขากลับเราไม่ได้พกมา.. เสียงซีเพลนดังหนวกหูมาก
ส่วน carry-on baggage ต้องส่งให้เจ้าหน้าที่บนซีเพลนเก็บไว้ด้านหลังเครื่องอีกทีนึง


เช้านี้นักบินทั้งสองท่านเป็นคนขาว.. ส่วนเที่ยวกลับนั้น นักบินของเราเป็นชาวมัลดีเวียน













ได้เห็นมุมกว้างของมาเล่
เมืองหลวงเค้าเล็กนิดเดียวเอง








ตื่นเต้น.. ได้ขึ้นซีเพลน
ถ่ายรูปสะเปะสะปะไปหมด.. ไม่รู้ว่าจะถ่ายอะไรก่อนหลังดี
มีทั้งกล้องถ่ายรูปและกล้องวีดีโออยู่กับตัว
แถมยังทะเลาะกับคุณสามีอีก.. เค้าบอกเราเลือกที่นั่งไม่ดี
มองเห็นวิวไม่ชัด.. ฉันบอกให้เค้าไปนั่งที่อื่นเพราะที่นั่งยังว่างอีกหลายที่
คุณเธอก็ไม่ไปซะงั้น.. ตกลงคุณพี่จะเอายังไงเนี่ย
ขากลับฉันก็เลยให้เค้าเป็นคนที่นั่งละกัน
















.
.
.


เราใช้เวลาเดินทางเพียง 25 นาที
เราก็เดินทางถึง Machchafushi Island ก่อนสิบโมงซะอีก
ลงจากซีเพลน ก็มีเรือ Dhoni ของเซนทาราก็รอรับ












ทางรีสอร์ทจะใช้วิธีถ่ายเทลูกค้า..
ทุกไฟลท์ที่มีลูกค้าใหม่มาลง ก็จะมีลูกค้าที่เพิ่งเชคเอาท์กลับไปด้วย
เพราะฉะนั้นก็จะมีลูกค้าทยอยเข้า-ออก ตลอดทั้งวัน


++ ถ่ายจากบนเรือ Dhoni ++






เนื่องจากเราเป็นลูกค้า Island Club..
รถบักกี้จึงมาส่งเราที่นี่เพื่อมาเช็คอิน
มี welcome drink และผ้าเย็นบริการ








++ บรรยากาศภายใน Island Club Lounge ++

















- - - กรุณาติดตามต่อตอนหน้าค่ะ ^^  - - -




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2554 20:44:47 น.
Counter : 1694 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

Holly
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




counter for blogger

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Holly's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.