การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยอยุธยา ตั้งแต่สมัยพระนเรศวร-พระนารายณ์
ความเปลี่ยนแปลงในลักษณะการเมืองการปกครองหลังสมัยพระนเรศวร ในสมัยต้นอยุธยาการปกครองของ ลักษณะการเมืองการเมืองการปกครองในราชอาณาจักร ค่อนข้างจะเป็นอิสระต่อกัน แต่เมื่ออยุธยาขยายอำนาจ ไปยังศูนย์อำนาจอื่นๆอย่างกว้างขวางขึ้นทำให้ระบบราชการของอยุธยา ขยายตัวและซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วย พยายามจะกลืนอำนาจเล็กๆของศูนย์อำนาจต่างๆ ให้เข้ามาอยู่ในระบบราชการ และขยายอำนาจการปกครองครอบคลุมทั่วอาณาจักรมากขึ้น รากฐานอำนาจของการเมืองในอยุธยาคือการคุมเลกไพร่ และการคุมกำลังพล อันเป็นรากฐานของการปกครองของอยุธยา ซึ่งขุนนางนอกจากขุนนางฝ่ายปกครองแล้ว ยังมี ขุนนางฝ่ายชำนาญการ ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติและสังกัดกับกษัตริย์โดยตรง ระบบราชการใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพมากหากกษัตริย์ฉลาดและเข้มแข็ง ซึ่งสามารถกอบโกยทั้งพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์จากระบบนี้ แต่จุดอ่อนอย่างหนึ่งของสถาบันกษัตริย์คือ การสืบราชสมบัติ สถานะของขุนนางในระบบนี้ มีอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองอย่างยิ่ง อำนาจที่ทวีมากขึ้นของขุนนางเหล่านี้ ทำให้กษัตริย์ต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามและ เป็นผู้อนุญาตให้กษัตริย์ดำรงอยู่ในเศวตฉัตร และขุนนางที่มีอำนาจเช่นนี้ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายปกครองทั้งสิ้น โดยเฉพาะออกญากลาโหม และขุนนางที่มีอำนาจทางการเมืองนี้ จึงใช้อำนาจนี้ช่วงชิงราชบัลลังก์ อันจะเป็นการเปลี่ยนโฉมลักษณะทางการเมืองอยุธยาไปอย่างยิ่ง
ความเปลี่ยนแปลงในลักษณะการเมืองตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง การขึ้นครองราชย์ของออกญากลาโหมเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เป็นจุดสุดยอดของอำนาจทางการเมืองของขุนนางฝ่ายปกครองอยุธยา ในช่วงสามปีแรกที่ขึ้นครองราชย์สมบัติ ก็ยังคงมีการต่อต้านพระองค์อยู่ในลักษณะการเมืองแบบเดิม ตั้งแต่หลังรัชกาลพระเอกาทศรถ เป็นผลให้ต้องมีการประหารพระราชโอรส๒พระองค์ ของพระเจ้าทรงธรรม และฆ่าฟันขุนนางและริบราชบาทว์เป็นจำนวนมาก โดยทรงบั่นทอนพระราชทรัพย์ซึ่งเป็น รากฐานที่สำคัญในการสะสมอำนาจของขุนนาง และเข้าแทรกแซงการแบ่งมรดกของขุนนางด้วย และได้เพิ่มกิจกรรมทางการค้าของพระองค์ทำให้ เหล่าขุนนางสูญเสียกำไรจากการค้าที่เคยทำได้ และการค้านี้ก็นำกำไรอย่างไม่น่าเชื่อมาให้แก่พระองค์ นอกจากนี้ยังได้ฆ่าล้างขุนนางอำนาจสูงอีกมากมาย เพื่อที่จะไม่ให้สามารถกระทำการทุจริตกับพระองค์ได้ เหมือนกับที่พระองค์เคยกระทำกับกษัตริย์องค์ก่อนได้ การฆ่าฟันนี้เป็นการลบล้างอำนาจของขุนนางที่สะสมมาเป็นเวลานาน รวมถึงลูกหลานด้วย ทำให้พวกไพร่จำนวนมากได้กลายมาเป็นเสนาบดี ขุนนางซึ่งพระองค์สามารถควบคุมได้ง่ายมากกว่า ในขณะเดียวกันขุนนางที่เหลืออยู่ ก็ไม่สามารถเพิ่มอำนาจได้มากกว่าที่เคย เพราะว่าพระองค์ทรงระวังสถานะของขุนนาง ให้ไร้เสถียรภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยทรงเปลี่ยนตัวขุนนางตำแหน่งสูงๆบ่อย จนไม่มีขุนนางคนไหนมั่นใจในสถานะของตนเลย ขุนนางในส่วนภูมิภาคก็เช่นกัน พระองค์ทรงให้เจ้าเมืองต่างๆมีอำนาจแค่ราชทินนาม แต่ตัวต้องรับราชการอยู่ที่อยุธยา ทำให้ไม่สามารถสะสมอำนาจทางการเมืองอยู่ที่เมืองของตนได้ และมีสถานะไม่ต่างอะไรกับทาสที่ต้องรับใช้พระองค์อยู่ในพระราชวัง และพระองค์ยังโปรดปรานชาวต่างชาติให้เข้ามารับราชการ เพื่อคานอำนาจขุนนางฝ่ายปกครอง ซึ่งชาวต่างชาติไม่มีรากฐานอำนาจในอาณาจักรนี้และตำแหน่งราชการก็ ขึ้นอยู่กับพระองค์ทำให้ทรงไว้ใจขุนนางชาวต่างชาติ มากกว่าชาวพื้นเมืองเอง นอกจากนี้พระองค์ ยังเลื่อนชาวต่างชาติให้เข้าไปอยู่ ในตำแหน่งขุนนางฝ่ายปกครองอีกด้วย ย่อมมีผลต่อการบั่นทอนอำนาจขุนนางฝ่ายปกครอง ที่พระองค์ไม่ไว้ใจอีกด้วย
การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงขึ้นครองราชย์ท่ามกลางสภาวะทางการเมืองดังที่กล่าว จุดอ่อนของสถาบันกษัตริย์ก็ยังคงเป็นเรื่องการสืบราชสมบัติ หลังสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ปัญหาเช่นนี้ก็ยังคงวนกลับมาไม่มีใครมีตำแหน่งอยู่ในวังหน้า จึงเกิดปัญหาแย่งชิงราชบัลลังก์ ผู้ที่ชนะและขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าปราสาททองได้แก่พระเจ้าไชย ผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์ เพราะเป็นโอรสที่เกิดจากชายาองค์ที่๑ และได้รับการสนับสนุนจากขุนนางฝ่ายปกครองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนพระนารายณ์ก็ได้ร่วมมือกับพระศรีสุธรรมพระอนุชา ในสมเด็จพระเจ้าปราสาททองขึ้นชิงราชบัลลังก์ และพระศรีสุธรรมราชา ก็ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เนื่องจากพระองค์ เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ จึงอาจจะเป็นโอกาส ให้ขุนนางกู้อำนาจที่เคยถูกลิดรอนไปมากสมัยพระเจ้าปราสาททอง กลับคืนมาอีกครั้ง นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่พระนารายณ์ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ในทันที และรอจังหวะในการล้มราชอำนาจของพระศรีสุธรรม ขุนนางฝ่ายชำนาญการหรือชาวต่างชาติ จึงเป็นพันธมิตรใหม่ที่พระองค์ให้ความสนใจ ซึ่งขุนนางที่ให้ความช่วยเหลือแก่พระนารายณ์ส่วนมาก จะเป็นขุนนางฝ่ายปกครองตำแหน่งเล็กๆและ ชาวต่างชาติ เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ยังไม่สามารถช่วงชิงอำนาจเด็ดขาดจากฝ่ายปกครองได้ง่ายๆ ยังคงมีการวางแผนต่อต้านลับๆเกิดเป็นกบฏที่ชื่อว่า กบฏไตยภูวนาทิตย์ และพระองค์ทอง ซึ่งส่วนมากเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองชั้นสูง ที่สนับสนุนอนุชาต่างมารดาของพระนารายณ์ กบฏไตยภูวนาทิตย์นี้ ถือเป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งของฝ่ายปกครอง ที่จะต่อต้านกษัตริย์ที่พวกตนไม่สามารถควบคุมได้ การกบฏครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนมากนัก ทำให้พระนารายณ์ทรงใช้ขุนนางฝ่ายชำนาญการปราบกบฏได้อย่างง่ายดาย และต้องรอจังหวะอีกนานกว่าพวกขุนนางฝ่ายปกครองจะสามารถปลุกประชาชน ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านพระองค์ได้ ชัยชนะครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันนี้ที่พระนารายณ์ จะใช้ลิดรอนอำนาจฝ่ายปกครองลงและเสริมสร้างอำนาจให้ขุนนางต่างด้าว นอกจากพระนารายณ์ทรงระวังไม่ให้ขุนนางฝ่ายปกครองมีอำนาจมากเกินไป ถ้าทำได้อาจปล่อยตำแหน่งบางตำแหน่งให้วางลงไปเช่น ตำแหน่งจักรี หรือบางทีทรงใช้ขุนนางที่ไว้ใจได้ ไปดูแลซึ่งเท่ากับเพิ่มความไม่มั่นคงในตำแหน่งนั้นขึ้นไปอีก นอกจากนี้พระองค์ยังสืบต่อนโยบาย ที่ดึงเอาขุนนางและเจ้าเมืองในส่วนภูมิภาคมารับใช้ในราชธานี นอกจากจะป้องกันไม่ให้ขุนนางเหล่านี้แข็งเมือง ยังได้ทรงคนต่างชาติไปดูแลซึ่งจะสามารถสร้างฐานอำนาจ ได้ยากกว่าเจ้าเมืองในท้องถิ่น ขุนนางฝ่ายปกครองที่ขาดฐานอำนาจแบบนี้ย่อมปลอดภัยกับพระองค์มากกว่า ขุนนางในสมัยพระนารายณ์ไม่สามารถที่จะหาเสถียรภาพทางการเมืองได้ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็ถูกลิดรอน ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งสูงเพียงใด ก็อาจจะต้องราชทัณฑ์อย่างรุนแรงในพริบตา ในขณะเดียวกับก็ทรงสนับสนุนให้ขุนนางต่างชาติ ดำรงตำแหน่งสูงๆในฝ่ายปกครอง รัชกาลสมัยพระนารายณ์ต้องเผชิญกับสงครามและกบฏอยู่หลายครั้ง การที่ชาวนาต้องถูกเกณฑ์แรงงานไปรบ และก็ไม่ได้นำประโยชน์ใดๆมาแก่พวกเขา ย่อมทำให้พระองค์ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของพระชาชนนัก ขุนนางส่วนใหญ่ก็คอยเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ คอยวางแผนจะโค่นล้มตลอดเวลา พระองค์จึงปกครองประเทศค่อนข้างโดดเดี่ยว ส่วนการประทับอยู่ที่ละโว้เป็นเวลานานนั้น จากการพิจารณาจากหลักฐานชั้นต้นหลายๆชิ้นพบว่า เหตุที่พระองค์ประทับอยู่ที่ลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ แต่มีเหตุผลเชื่อว่าพระองค์ทรงรู้สึกเสรีจากการวางแผนประทุษร้าย และลพบุรีก็เป็นฐานอำนาจของพระองค์ เพราะขุนนางจากอยุธยาเมื่อขึ้นจากลพบุรีแล้ว ก็จะขาดจากฐานอำนาจของตน ลพบุรีจึงเป็นที่มั่นทางการเมืองของพระองค์ ตราบเท่าที่ประทับที่นี่พวกขุนนางก็จะก่อการรัฐประหารได้ยากขึ้น ประสิทธิภาพของราโชบายก็ขึ้นอยู่กับการจัดการ เกี่ยวกับชาวต่างชาติด้วย พระองค์ทรงใช้ประโยชน์จากชาวต่างชาติ ซึ่งได้รับใช้ผลประโยชน์จากพระองค์มาตั้งแต่ต้น ชาวต่างชาติที่รับพระองค์มีหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น โปรตุเกส ญี่ปุ่น หรือพวก มัวร์ โดยเฉพาะพวกมัวร์ ที่นอกจากจะช่วยพระองค์เรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว ยังช่วยพระองค์ในเรื่องของการค้าในมหาสมุทรอินเดียอีกด้วย พระองค์ทรงไว้ใจประชาคมชาวต่างชาตินี้ ยิ่งกว่าประชาชนของพระองค์เองแท้ๆ ตำแหน่งพระคลังเป็นตำแหน่งที่ดูแลประชาคมชาวต่างชาติทั้งหมด จึงทรงพิถีพิถันในการเลือกคนเข้ามารับตำแหน่ง พระคลังจึงนับเป็นเสาเอกหนึ่ง ที่พระองค์จะใช้บั่นรอยอำนาจของขุนนางฝ่ายปกครอง เนื่องจากชาวต่างชาติมีอาวุธอยู่ในมือ และสามารถใช้อาวุธนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ขาดสัมพันธ์โยงใยกับประชาชน ก็สามารถใช้คนเหล่านี้พยุงฐานะทางการเมืองได้อย่างมาก เมื่อประชาคมชาวมัวร์แตกร้าวขึ้น ก็สร้างความปั่นป่วนให้พระองค์อย่างมาก ช่วง ๑๖๘๐ สถานะทางการเมืองของพระองค์จึงออกจะมีอันตรายอยู่มาก ในช่วงที่ดูจะน่ากลัวแก่สถานะทางการเมืองนี่เอง ฟอลคอนและฝรั่งเศสเปิดโอกาสให้ทรงจัด แนวร่วม ใหม่และดัดแปลงนโยบายทางการเมืองให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ แม้ว่ายังทรงรักษาหลักการในแนวทางเดิมไว้ก็ตาม แหล่งข้อมูล หนังสือการเมืองไทยสมัยพระนารายณ์ ของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์
Create Date : 28 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2553 3:18:12 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3095 Pageviews. |
|
|