One day trip in อยุธยา....กราบหลวงพ่อโต ที่วัดพนัญเชิง
หลังจากอิ่มมื้อเที่ยงแล้ว เราก็ตะลุยเที่ยววัดกันต่อคะ
มาที่วัดแรก วัดพนัญเชิง ค่ะ
วัดพนัญเชิง
วัดพนัญเชิงเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า วัดพระเจ้าพระนางเชิง (หรือวัดพระนางเชิง)
มาถึงแล้ว เข้าไปในวิหารหลวงพ่อโตกันค่ะ วันนี้คนเยอะมากเลย
มาไหว้พระกันนะคะ
พระพุทธรูปทองคำในพระอุโบสถ
ในพระอุโบสถวัดพนัญเชิงนั้นมีพระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ คือพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปปูน และพระพุทธรูปนาค พระพุทธรูปทองเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ทำจาทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก สูง 4 ศอก มีสีทองอร่ามใสเป็นเงาสะท้อนอย่างชัดเจน องค์กลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นสมัยอยุธยาหน้าตักกว้าง 4 ศอกสูง 5 ศอก ส่วนพระพุทธรูปนาคเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยนั้นจะมีสีออกแดงๆหน้าตักกว้าง 3 ศอก สูง 5 ศอก
กล่าวกันว่าพระพุทธรูปทองและนาคนี้เพิ่งถูกพบว่าเป็นพระทองและพระนาค ด้วยบังเอิญ เนื่องจากแต่เดิมทีพระทั้งสององค์ถูกฉาบเคลือบด้วยปูน จนมีลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปปูนปั้นทั่วไป สาเหตุคงเพราะว่าช่วงเวลาก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะถูกข้าศึกบุกตีพระนคร คนในสมัยนั้นเกรงว่าพระพุทธรูปทองและพระพุทธรูปนาคนี้จะถูกขโมยหรือเผาเอาทองไปจึงได้ฉาบปูนเคลือบและปั้นปูนในขณะที่ปูนยังไม่แห้งเพื่อทำเป็นลายจีวรและลักษณะต่างๆเช่น ปั้นรูปพระพักตร์ พระเกศา เพื่อให้เข้าใจว่าไม่ใช่พระทองคำและพระนาค จนกระทั่งในภายหลังมีผู้ไปค้นพบว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำ
เนื่องจากเศษปูนได้กะเทาะออกมาและเนื้อภายในเป็นทอง จึงได้ค่อยๆกะเทาะปูนออกให้หมด จึงได้เห็นว่าเป็นพระทองคำทั้งองค์และนำมาประดิษฐานอยู่ภายพระอุโบสถของวัด
ห้องนี้จะออกแบบจีนๆนะ
มาอีกหนึ่งอุโบสถด้านซ้ายค่ะ น่าเสียดายที่หาประวัติของพระพุทธรูปองค์นี้ไม่เจอ เลยไม่รู้ว่าที่มาเป็นยังไง
ห้องนี้แต่งแบบไทยๆ
ใบเสมา
เข้ามาในวิหารหลวงพ่อโตจริงๆกันเสียที
พระวิหารนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ตามพงศาวดารกล่าวว่าสร้างเมื่อพ.ศ.1867 ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา 26 ปีเดิมชื่อ พระพุทธเจ้าพนัญเชิง(พระเจ้าพะแนงเชิง)
แต่ในรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปองค์นี้ได้พระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก (ชาวบ้านนิยมเรียกหลวงพ่อโต ชาวจีนนิยมเรียกว่าซำปอกง ผู้คุ้มครองการเดินทางทางทะเล) เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบอู่ทองปางมารวิชัยลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง 14 เมตรและสูง 19.13 เมตร ฝีมือปั้นงดงามมาก เบื้องหน้ามีตาลปัตรหรือพัดยศและพระอัครสาวกที่ทำด้วยปูนปั้นลงรักปิดทองประดิษฐานอยู่เบื้องซ้ายและขวา อาจนับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปนั่งสมัยอยุธยาตอนต้นที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียง
เข้าใจว่าเมื่อสร้างพระองค์ใหม่เสร็จแล้วจึงสร้างพระวิหารหลวงขึ้นคลุมอีกทีหนึ่ง ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อคราวพระนครศรีอยุธยาจะเสียกรุงแก่ข้าศึกนั้น พระพุทธรูปองค์นี้มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง
ส่วนในพระวิหาร เสาพระวิหารเขียนสีเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งสีแดงที่หัวเสามีปูนปั้นเป็นบัวกลุ่มที่มีกลีบซ้อนกันหลายชั้น ผนังทั้งสี่ด้านเจาะเป็นซุ้มเล็กประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กโดยรอบจำนวน 84,000 องค์เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ส่วนประตูทางเข้าด้านหน้าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นบานประตูไม้แกะสลักลอยตัวเป็นลายก้านขดยกดอกนูนออกมา เป็นลักษณะของศิลปะอยุธยาที่งดงามมากแห่งหนึ่ง
จะบอกว่าน่าเศร้ามากที่เราเข้าไปได้ใกล้ที่สุดแค่นี้เอง คนเยอะมากกก ได้แต่ไหว้จากข้างนอกก็แล้วกันนะคะ
ในวิหารหลวงพ่อโตจุดธูปเทียนไม่ได้นะคะ เค้าให้มาไหว้ข้างนอก
ที่นี่เค้านิยมทำบุญด้วยถวายผ้าห่มหลวงพ่อโต คิวข้างในที่ยาวก็เพราะรอถวายนี่แหล่ะ
เดินออกมานอกวิหาร ก็ยังมีเทพเจ้าให้สักการะอีกเพียบ
ไฉ่สิงเอี้ย (เทพแห่งโชคลาภ)
เจ้าแม่กวนอิมพันมือ
พระสังกัจจาย
เจ้าพ่อเสือ
เทพกวนอู
มีเยอะมากๆ ค่ะ ไหว้ไม่หวาดไม่ไหว
เดินในสุดของวัดจะพบศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากค่ะ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ก่อสร้างเป็นตึกแบบจีนเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากในเครื่องแต่งกายแบบจีน ชาวจีนเรียกว่า จูแซเนี๊ย
เพื่อนอ้อตั้งใจมานานแล้วว่าอยากมาไหว้ท่าน สมใจอยากเสียที
ที่มาของศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากมีอยู่ว่า เมื่อครั้งก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา สยามประเทศในตอนนั้นไร้ซึ่งกษัตริย์ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง เหล่าอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และสมณชีพรามณ์ทั้งหลายจึงลงความเห็นว่า ต้องทำพิธีเสี่ยงเรือสุวรรณหงส์เอกชัย เพื่อเสาะหาผู้มีบุญวาสนามาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยให้เรือแล่นไปตามแม่น้ำ
ครั้นเมื่อเรือมาถึงยังตำบลแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำ มีกลุ่มเด็กเลี้ยงโคเล่นกันอยู่ เรือก็จอดสนิทนิ่งไม่ยอมเคลื่อนที่ แม้ว่าเหล่าฝีพายจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม เมื่อเหล่าอำมาตย์เห็นเช่นนั้น จึงเดินเข้าไปในกลุ่มเด็กเลี้ยงโคและพบกับเด็กชายคนหนึ่งท่าทางฉลาด พูดจาฉะฉาน หลักแหลม จึงคิดว่าเด็กผู้นี้คงเป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงรับตัวมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศ
หลังได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สยามประเทศแล้ว มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่สร้างความน่าอัศจรรย์ใจ และเป็นที่มาของพระนาม "พระเจ้าสายน้ำผึ้ง" เมื่อพระองค์ทรงโปรดให้ยกขบวนพยุหยาตราไปทางชลมารคพร้อมกับเหล่าเสนาบดี เมื่อเรือล่องมาถึงวัดปากคลอง ซึ่งเป็นเวลาน้ำขึ้น จึงตรัสสั่งให้จอดเรือพระที่นั่งอยู่หน้าวัด และทรงทอดพระเนตรเห็นรังผึ้งใต้ช่อฟ้าหน้าโบสถ์ พระองค์จึงดำริว่า...
"จะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากร ด้วยเดชะบุญญาภิสังขารของเรา เพื่อจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ขอให้น้ำผึ้งหยดลงมากลั้วเอาเรือขึ้นไปประทับแทนกำแพงแก้วนั้นเถิด"
เมื่อตรัสจบน้ำผึ้งก็หยดลงมากลั้วเอาเรือพระที่นั่งยกขึ้นไปถึงที่ทันที เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สายตาของเสนาบดีน้อยใหญ่ พระเจ้ากรุงไทยจึงเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธปฏิมากร เสร็จแล้วจึงเสด็จลงเรือพระที่นั่ง จากนั้นเรือพระที่นั่งก็ถอยลงมาตามเดิมได้เอง บรรดาภิกษุสงฆ์และเหล่าเสนาบดีจึงพากันถวายพระพรชัยและถวายพระนามพระเจ้ากรุงไทยว่า "พระเจ้าสายน้ำผึ้ง"
ครั้นถึงเวลาน้ำลง พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ก็รับสั่งให้เหล่าเสนาบดีกลับไปรักษาพระนคร ส่วนพระองค์จะเสด็จโดยเรือเพียงลำเดียว เพื่อเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ และด้วยกุศลที่สร้างมาแต่ปางหลัง จึงทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อยปลอดภัยจนกระทั่งถึงกรุงจีน เมื่อชาวจีนเห็นว่าว่าทรงเดินทางเพียงพระองค์เดียวท่ามกลางทะเลใหญ่ แต่ยังสามารถรอดชีวิตมาได้นั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงนำความขึ้นทูลว่าพระเจ้าแผ่นดินจีนว่า พระเจ้าแผ่นดินไทยองค์นี้มีบุญญาธิการมาก
ด้านพระเจ้ากรุงจีนเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงอยากทดสอบว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งจะมีบุญญาธิการจริงหรือไม่ โดยรับสั่งให้เสนาบดีไปทูลเชิญพระเจ้าสายน้ำผึ้งประทับที่อ่าวนาค ซึ่งเป็นที่ที่มีอันตรายมาก และให้ทหารไปสอดแนมดูว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นหรือไม่ แต่ผลปรากฎว่านอกจากจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ยังมีเสียงดุริยางค์ดนตรีเป็นที่ครึกครื้น เมื่อความทราบถึงพระเจ้ากรุงจีน พระองค์จึงมีรับสั่งให้จัดขบวนแห่ออกไปรับพระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้ามาภายในพระราชวัง พร้อมทั้งให้ราชาภิเษกกับพระนางสร้อยดอกหมาก ธิดาบุญธรรมของพระองค์ ขึ้นเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสายน้ำผึ้งด้วย
ระหว่างการเดินทางกลับเมืองสยาม ในขณะที่ใกล้ถึงพระราชวัง พระเจ้าสายน้ำผึ้ง มีรับสั่งให้พระนางสร้อยดอกหมากคอยพระองค์อยู่ในเรือ เนื่องจากพระองค์ต้องการเสด็จเข้าพระราชวังก่อนเพื่อจัดเตรียมขบวนเกียรติยศออกมาต้อนรับ ทว่าเมื่อขบวนเกียรติยศมาถึงพระเจ้าสายน้ำผึ้ง กลับไม่ได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง พระนางสร้อยดอกหมากจึงไม่ยอมเสด็จขึ้นจากเรือ พร้อมกล่าวว่า...
"มาด้วยพระองค์ก็โดยยาก เมื่อมาถึงพระราชวังแล้ว เป็นไฉนพระองค์จึงไม่มารับ ถ้าพระองค์ไม่เสด็จมารับก็จะไม่ไป" เมื่อเสนาบดีนำความไปกราบทูล พระเจ้าสายน้ำผึ้ง คิดว่าพระนางหยอกเล่น จึงกล่าวเล่น ๆ ว่า "เมื่อมาถึงแล้วจะอยู่ที่นั่นก็ตามใจเถิด"
หลังพระนางสร้อยดอกหมากทราบว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งตรัสเช่นนั้น ก็รู้สึกน้อยพระทัยยิ่งนัก ครั้นรุ่งเช้าพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พระนางสร้อยดอกหมากจึงตัดพ้อต่อว่าพระองค์ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงงตรัสสัพยอกอีกว่า"เอาล่ะ เมื่อไม่อยากขึ้นก็จงอยู่ที่นี่เถิด" เมื่อได้ฟังดังนั้น ด้วยความน้อยพระทัย พระนางสร้อยดอกหมากจึงกลั้นพระทัยตายทันที ทำให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระศพของพระนางสร้อยดอกหมากขึ้นมาพระราชทานเพลิงพระศพ ท่ามกลางความอาลัยรักของประชาชนชาวจีนและชาวไทย และทรงให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระนางสร้อยดอกหมาก โดยตั้งชื่อวัดนี้ว่า "วัดพระนางเชิญ" หรือ "วัดพนัญเชิง" (ในปัจจุบัน) แต่นั้นมา
ภายในยังมีเทพเจ้า 108 องค์ให้สักการะด้วยค่ะ
มีชั้นสองด้วย ลองขึ้นมาดูนะคะ
ข้างบนเป็นศาลเจ้าแบบเก่าแก่มาก
ข้างบนยังมีหุ่นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากขนาดเล็กอีกหนึ่งองค์ด้วยค่ะ
ที่วัดพนัญเชิงยังมีจุดเด่นอีกอย่างตรงที่ปลาเยอะ + ตัวใหญ่มากกก
ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าสะบัดตัวทีนี่ นี้น้ำกระจายขึ้นมาถึงหน้าอิชั้นเลย
แย่งปลากินซะเรย หง่ำๆ
เพื่อนอ้อเข้าเฟรมบ้างค่ะ
วัดพนัญเชิงนี่กว้างใหญ่มากนะคะ มีทั้งพระแบบไทยและจีนให้เราสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลกันเยอะมาก (ความเห็นส่วนตัว ที่นี่มีเยอะที่สุดที่อิชั้นเคยเห็นแล้วค่ะ ครบทุกองค์จริงๆ)
ช่วงนี้อากาศก็ดีค่ะ เดินเที่ยวได้ไม่ร้อนเลย สนุกสนานเพลิดเพลินกันมากมาย
เวิร์คๆ
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2556 | | |
Last Update : 4 ธันวาคม 2556 10:24:03 น. |
Counter : 1408 Pageviews. |
| |
|
|
|