ชวนมาเรียนรู้ และเข้าใจเพื่อนในโลกมืดที่ Dialogue in the dark ค่ะ
จะบอกว่าอิชั้นตั้งใจจะมาที่นี่นานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที
เคยตั้งใจจะมาแล้วหาไม่เจอ ไปหลงที่อื่นซะนี่ คิดว่าจามจุรีแสควร์อยู่แถวสยามสแควร์ (บ้านนอกได้อีกตรู)
วันนี้มีโอกาส เพื่อนอ้อชวนเข้ากรุงมาเที่ยว เลยตั้งใจว่าจะมาที่นี่กัน
เริ่มต้นการเดินทางที่ MRT อโศกนะคะ เสร็จแล้วก็มาขึ้นทีสถานีสามย่าน เมื่อขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะเจอจามจุรีแสควร์เลย
เราขึ้นมาชั้น 4 เป็น จัตุรัสวิทยาศาสตร์ ของ อพวช. หรือองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติค่ะ
ก่อนอื่นเราไปซื้อตั๋วเข้าชม Dialogue in the Dark ก่อนค่ะ ที่นี่จำกัดการเข้าชมเป็นรอบๆนะคะ รอบนึงไม่กี่คนเอง เพราะฉะนั้นอย่าช้าค่ะ
สำหรับวันนี้เราได้คิวเวลา 15.00 น. ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 40 นาที เราก็เลยไปเดินชมนิทรรศการอื่นๆทีเค้าจัดไว้ (สำหรับในส่วนนี้จะมีการจัดสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆนะคะ ไม่ได้กำหนดตายตัว)
อย่างอันนี้ก็คือ "ความลับของโครงกระดูกค่ะ"
นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของสัตว์แบบแปลกๆให้ดูเยอะเลย
อย่างอันนี้นกกระจอกเทศ...ตัวใหญ่มากก
แรดขาว
กระดูกงู !! เป็นอย่างนี้นี่เอง
ปลาโลมา
ไก่
อันนี้้รวมกระดูกนกนานาชนิดค่ะ เสียดายมือสั่น ภาพไม่ชัดเลย
และก็มีนิทรรศการ "สาหร่ายเพื่อมวลมนุษย์"
ภายในค่ะ
ที่นี่ก็ไม่น้อยหน้า มีสาหร่ายแบบแปลกๆให้เราดูเยอะเหมือนกัน
โคตรสาหร่ายอ่ะ จะบอกว่าอันใหญ่มากกก
อันนี้สวยดี
เดินเล่นหาความรู้สักครู่ ก็ได้เวลาที่เค้านัดไว้แล้วล่ะค่ะ
เราเข้าไปห้องน้ำ ทำธุระห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับชมนิทรรศนการที่แปลกใหม่สำหรับเราในวันนี้
เมื่อพร้อมแล้วก็ขึ้นบันไดไปเลยค่ะ
Dialogue in the Dark หรือ บทเรียนในความมืด
เป็นนิทรรศการที่ได้รับการพัฒนาโดย Dr Andreas Heinecke ชาวเยอรมัน ผู้เคยมีประสบการณ์ร่วมงานกับคนตาบอด เมื่อครั้งที่เขายังทำงานหนังสือพิมพ์
เขาพบว่าคนตาบอดสามารถทำอะไรได้เหมือนคนทั่วไป แต่สังคมจะแบ่งแยกคนตาบอดออกเพราะสงสาร เห็นใจ และไม่กล้าสื่อสารด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจ
Dialogue in the Dark ได้พัฒนาเป็นนิทรรศการชั่วคราวและถาวรมาแล้วกว่า 160 เมือง 35 ประเทศทั่วโลก สำหรับที่กรุงเทพ จัดแสดงมาได้ 3 ปีแล้ว
ก่อนเข้าไปน้องเค้าจะอธิบายให้เราฟังคร่าวๆ ถึงระเบียบการปฎิบัติในการร่วมกิจกรรม วิธีการจับไม้เท้า
โดยเราไม่สามารถนำของที่มีแสง เช่น นาฬิกาเรืองแสง,กล้อง,มือถือ เข้าไปข้างในห้องได้นะคะ กระเป๋าสะพายเข้าไปก็ไม่ได้ ทั้งนี้จะมีล๊อกเกอร์ให้ฝากของข้างนอก
แต่จะให้ติดเงินไปเล็กน้อยสักยี่่สิบบาท เผื่อไปซื้อของข้างในค่ะ
กลุ่มของเรามี 8 คนนะคะ บังเอิญว่ามากันเป็นคู่ๆ ลักษณะเป็นวัยรุ่นทั้งนั้นเลย (รวมทั้งอิชั้นและเพื่อนอ้อด้วย คริคริ)
แต่หลังจากที่เค้าจับกลุ่มเราอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเราก็ต้องถือว่าเป็นกลุ่มเดียว ลงเรือลำเดียวกัน และพร้อมจะไปเผชิญโลกมืดด้วยกันแล้วค่ะ
น้องๆบอกให้เรายืนเข้าแถวกระดานเรียงหนึ่ง โดยที่น้องบอกว่าให้ค่อยๆเดินเข้าไป คนแรกห้ามให้คนหลังแซง และคนสุดท้ายก็ห้ามแซงใครเด็ดขาด
พวกเราก็รับฟังและตั้งใจจะปฎิบัติอย่างเคร่งครัด
โดยที่หารู้ไม่ว่า เมื่อเข้าไปข้างใน ทุกอย่างบ่ ได้ง่ายเป็นดั่งใจ เหมือนอย่างที่เราคาดหวังไว้...สักกะนิดเดียว
........................................................................
เมื่อเราเดินเข้าไปข้างใน แสงสว่างก็เริ่มน้อยลงๆทุกที จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เรามองไม่เห็นอะไรแล้วค่ะ แม้แต่มือตัวเอง
จากนั้นก็มีไกด์อีกท่านมารับช่วงต่อพาพวกเราเข้าไปข้างใน หลังจากแนะนำตัว (ทั้งๆที่มองไม่เห็นหน้ากัน) ไกด์คนใหม่ก็พาเราเดินต่อทั้งๆความมืด ในช่วงเวลาที่เรายังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่ยังต้องเดินๆสะเปะสะปะไปข้างหน้า ใช้มือนึงจับไม้เท้ากวาดไปข้างหน้า และใช้อีกมือคลำผนังไปเรื่อยๆ....
วูบนึงในใจอิชั้นรู้สึก "กลัว" ค่ะ
ความมืดมันทำให้เรารู้สึก...อึดอัดอ่ะ แม้ว่าแอร์ข้างในจะเย็นฉ่ำ แต่อิชั้นรู้สึกแน่นๆอย่างไรก็ไม่รู้
คงเป็นความไม่เคยชินของเราเอง ที่ไม่เคยต้องมาอยู่ในสภาวะแบบนี้มาก่อน พอต้องเดินไปข้างหน้าทั้งที่มองไม่เห็นอะไรเลย ก็อดที่จะประหวั่นพรั่นหรึงไม่ได้
นึกในใจว่าแล้วคนตาบอดล่ะ ต้องเดินไปข้างนอกบ้าน ออกไปตามถนนทั้งๆที่มองอะไรไม่เห็นอย่างนี้เลยรึ ชักจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเค้าขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ
แต่โชคดีที่อาการดังกล่าวเป็นไม่นานก็หาย พออิช้ันเดินๆไปสักพัก ร่างกายเหมือนจะปรับตัวปรับใจได้ ไม่อึดอัดเท่าเมือสักครู่แล้ว
ตอนนี้ไกด์ก็พาเราเดินข้ามสะพานลอย ผ่านต้นไม้ ผ่านรูปปั้นในสวนสาธารณะ และให้เราลองสัมผัสด้วยว่าสิ่งที่เราจับอยู่คืออะไร
จะบอกว่าประสาทสัมผัสของคนเรานี้ มีศักยภาพมากเกินกว่าที่เราคิดนะคะ ในความมืด อิชั้นคลำรูปปั้นจนบอกได้ว่ามันคืออะไร โดยคลำจากมวยผม ปากแหลมๆในอ้อมแขน ก็เลยเดาได้ว่าเป็นผู้หญิงอุ้มนกอยู่ (ถูกด้วยแหล่ะ เฮ )
และจากนั้นเราก็ไปผจญภัยในโลกมืดต่อ โดยมีพี่ไกด์คอยนำทาง
พาไปยืนรอรถเมล์ และนั่งรถตุ๊กๆ มีคนขับรถให้ด้วย ขับไปพักนึงก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง จนสุดท้ายฝนตก และเราก็โดนฝนสาด
จากนั้นจอดรถให้พวกเราลงจากรถไปนั่งดูคอนเสิร์ตค่ะ
สุดท้ายเป็นร้านขายของ มีเคาน์เตอร์ให้พวกเราซื้อของ พวกน้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยว
จริงๆที่คนขายเขาหยิบของแต่ละอย่างได้ถูกต้อง เช่นหยิบน้ำดื่ม นม น้ำอัดลมกระป๋องเราก็ว่าอเมซิ่งแล้ว แต่ที่สวดยอดกว่า คือเค้ารู้ได้ยังไงว่าแบงค์ไหนเป็นแบงค์ไหนเนี่ยสิ บอกถูกด้วยนะว่าอันนี้แบงค์ 100 อันนี้แบงค์ 20
เราถามเค้าว่ารู้ได้ยังไง เค้าบอกว่าใช้วิธีคลำแบงค์ดูความหยาบของกระดาษ และกะความยาวของแบงค์เอาค่ะ
เมื่อจบการเยี่ยมชม เราก็ได้ออกมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นหน้าไกด์ผู้นำทางเราในความมืดตลอด 1 ชั่วโมง
เรามองหน้าไกด์ของเรา ผิดจากที่คาดแฮ่ะ...เสียงในความมืดของพี่ไกด์ทั้งดังแถมยังทุ้มกังวาล ถ้าฟังแล้วจินตนาการอิชั้นจะคิดว่าเค้าชายร่างใหญ่ บุคลิกคล้ายทหาร แต่ในความจริงไกด์เราเป็นไอ้หนุ่มผมยาวตัวเล็กอีกตังหาก
หากสงสัยว่าทำไมเค้าถึงเชี่ยวชาญในความมืดนัก ก็บอกได้เลยว่า เพราะเค้าเป็นคนตาบอดค่ะ ซึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนตร์มาเมื่อ 10 ปีก่อน และถอดแว่นตาให้เราดูด้วย
จริงๆเราก็พอรู้มาก่อนแหล่ะ ว่าไกด์ของเราจะเป็นคนตาบอดแบบนี้ แต่ก็ผิดคาดนิดๆ ที่พี่ไกด์ของเรามีอารมณ์ขันมากมาย ทั้งการคุย การหยอก การแซว ทำให้เรามีเสียงหัวเราะในการเยี่ยมชมนิทรรศการตอดเวลา
ก่อนจากกัน อิชั้นขอบคุณไกด์ที่ช่วยดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ครั้นจะยกมือไหว้เค้าคงไม่เห็น ก็เลยพนมมือพร้อมรวบมือของเค้าในมืออิชั้น หวังจะให้เค้ารับรู้ว่าเราซาบซึ้งในมิตรจิต มิตรใจของเค้ามากขนาดไหน
..........................................
เสร็จแล้วเค้าก็จะให้นั่งพักสายตาที่นี่ก่อน และให้เราเขียนความประทับใจในสมุดเยี่ยมไปพลางๆ
ขอวกกลับมานิดนึง
ที่อิชั้นเล่าว่าน้องคนแรกบอกพวกเราไว้ว่าให้เดินเกาะไปตามลำดับ ใครหน้าใครหลังก็ให้รู้ตัว รู้ตำแหน่งตัวเองนั้น...พอเข้าไปในความมืดจริง ณ จุดนั้นตำแหน่งไม่มีความหมายแล้วค่ะ เราเดินกันให้ "มั่ว" มากๆ สะเปะสะปะกันสุดๆ (ก็มันมองไม่เห็นนี่นา)
เดินอยู่ด้วยกันดีๆนี่แหล่ะค่ะ เดี๋ยวคนนู้นแซงคนนี้ เดี๋ยวคนนี้แซงคนนู้น ...ตลอดเวลาการเดิน เราจะได้ยินเสียงไกด์ถาม คนโน้นคนนี้อยู่ไหน คนนี้ใครครับ บางทีความเปิ่นเดินพลัดหลงกันก็เรียกเสียงหัวเราะในทีมของเราได้มากอยู่เหมือนกัน
แต่อันนี้เพราะเรามากันเป็นกลุ่มเนอะ เราก็เลยไม่ค่อยกลัวอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวไกด์ก็จะพาเราออกไป
แต่คนตาบอดที่เค้าต้องเดินไปลำพัง ต้องเผชิญโลกมืดนี่สิ ถ้าเค้ากลัวจะมีอะไรเป็นที่พึ่งให้เค้าได้บ้างนะ
ก็เลยอยากจะขอวิงวอนเพื่อนๆนะคะ จากคำบอกเล่าของไกด์ของเรา คนตาบอดในบ้านเราอาจจะช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่ต้องการความช่วยเหลือเลย บางอย่างเค้าก็ยังทำไม่ได้ เช่นการโบกรถ หรือการดูสายรถเมล์....เค้ายังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่
ทำเถอะนะคะ ช่วยพวกเค้าหน่อย เป็นหลักที่พึ่งของเค้ายามที่เค้าต้องการ...ถามเค้าว่าจะไปไหน จะให้ช่วยอะไรบ้าง
แล้วสังคมของเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
Create Date : 15 ธันวาคม 2556 | | |
Last Update : 18 ธันวาคม 2556 10:15:30 น. |
Counter : 1065 Pageviews. |
| |
|
|
|