คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^

ย้อนอดีตบางกอกน้อยที่วัดสวนพลูค่ะ

หลังจากเดินเที่ยววัดยานนาวาแล้ว เราก็มาเที่ยวต่อที่วัดสวนพลูนะคะ  

วัดสวนพลูนี้เป็นวัดเล็กๆอยู่บนถนนเจริญกรุงค่ะ



"วัดสวนพลู" ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมแชงกรีลา  ชื่อของวัดสวนพลูก็คงพอจะบอกที่มาของวัดได้ว่าสร้างขึ้นบนที่ดินที่เคยเป็นสวนพลูของชาวจีนมาก่อน โดยได้สร้างขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ หรือเมื่อประมาณ พ.ศ.2340 ก่อนที่ย่านนี้จะกลายมาเป็นย่านธุรกิจการค้ามีผู้คนหนาแน่นอย่างในปัจจุบัน




อุโบสถที่เป็นงานปูนปั้นประดับกระจก เครื่องบนของอุโบสถมีปูนปั้นเป็นรูปเทวดานางฟ้าประดับอยู่ดูสวยงามแปลกตา





สวยมากๆเลยค่ะ 







วิหารในวัดสวนพลูดัดแปลงมาจากหอไตรเก่า ซึ่งเป็นไม้สักทองทั้งหลังจัดสร้างใหม่อย่างสวยงามสำหรับเป็นที่ประดิษฐานองค์พระประธาน




"วิหารพระพุทธไสยาสน์" โดยพระพุทธไสยาสน์และวิหารที่ประดิษฐานนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2501 แต่ต่อมาก็ได้มีความชำรุดทรุดโทรมลงมาก อีกทั้งพื้นบริเวณภายในอาคารที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ก็ยังมีสภาพต่ำกว่าพื้นบริเวณภายนอก 


ทางวัดจึงได้ดำเนินการก่อสร้างวิหารพระพุทธไสยาสน์หลังใหม่ขึ้น อีกทั้งยังได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธไสยาสน์ไปด้วยพร้อมๆ กันจนเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2536




ภายในวิหารพระพุทธไสยาสน์นั้น ก็มีพระพุทธไสยาสน์ซึ่งได้รับการบูรณะแล้วเป็นสีทองสุกอร่ามอยู่ด้านในสุด และมีพระพุทธรูปปางต่างๆ เช่น ปางนาคปรก ปางอุ้มบาตร และพระสาวกประดิษฐานไว้ด้วยเช่นกัน 

ภายในวิหารนี้ก็ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอย่าง "หลวงพ่อพระป่าเลไลย์" ซึ่งเล่ากันสืบต่อมาด้วยความเคารพศรัทธาว่า ท่านได้ก่อปาฏิหาริย์โดยการช่วยชาวบ้านที่ไปหลบภัยบริเวณรอบองค์ท่านให้พ้นจากลูกระเบิดที่ทิ้งมาจากเครื่องบินในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง







รูปปั้นพระโพธิสัตย์กวนอิมประดิษฐานอยู่ในตำหนักหอไตร สร้างเป็นเรือนไทยด้วยไม้สักทองทั้งหลัง หรือชาวบ้านเรียกกันว่า องค์เจ้าแม่กวนอิม สร้างขึ้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 รูปลักษณะเป็นรูปปั้นเนื้อผง ผสมปูน ปั้นปูนสอผสมผงว่านวิเศษ 














เรือนไม้ขนมปังขิงสีสันสดใสที่นี่คือกุฎิพระคะ  จะโพสท่าถ่ายรูปก็ต้องระวังพระระวังเจ้าท่านหน่อยอ่า









วัดที่นี่ไม่ใหญ่โตนะคะ แต่มีที่มาทางประวัติศาสตร์เพียบ ใครสนใจมาแวะเวียนไหว้พระได้ค่ะ ใกล้นิดเดียวเอง




 

Create Date : 04 มกราคม 2557    
Last Update : 23 มกราคม 2557 9:48:46 น.
Counter : 1307 Pageviews.  

ชวนมาย้อนอดีตที่วัดยานนาวาค่ะ

วันนี้อิชั้นกะเพื่อนอ้อมีโปรแกรมมาตะลอนเมืองกรุงอีกแล้วค่ะ งวดนี้เพื่อนชวนมาที่วัดยานนาวา 

เราขึ้นรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีสะพานตากสิน  แล้วเดินย้อนมานิดเดียวก็จะถึงวัดแล้วค่ะ

Smiley


วัดยานนาวาอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ติดถนนเจริญกรุง เขตยานนาวา เป็นวัดโบราณ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานการสร้างวัดอยู่ในช่วงอยุธยาตอนปลาย ระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์-พระเจ้าปราสาททอง เดิมชื่อ “วัดคอกควาย” ในสมัยกรุงธนบุรี ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวง 




การปฏิสังขรณ์วัดมาเริ่มในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระอุโบสถอยู่ด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยโบสถ์นั้นหันหน้าออกไปทางด้านแม่น้ำ แม้ตามปกติคติของการสร้างโบสถ์นั้น ด้านหน้าจะหันไปทางทิศตะวันออก แต่เมื่อเบื้องหน้าคือแม่น้ำสายใหญ่ จึงถือสิ่งนี้เป็นมงคล จึงหันหน้าโบสถ์ไปสู่แม่น้ำ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดคอกกระบือ”


วัดยานนาวาเป็นวัดที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณมาโดยตลอดภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร เพราะมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ก็ยังปรากฏหลักฐานที่ทรงทำนุบำรุง และปฏิสังขรณ์วัดมาอย่างต่อเนื่อง 


โดยเฉพาะในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์อารามแล้ว ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ โดยโปรดฯ ให้ฐานเจดีย์เป็นรูป “เรือสำเภา” ประดิษฐานอยู่หลังพระอุโบสถ แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดญานนาวาราม” (ต่อมาชื่อได้เขียนเพี้ยนเป็นวัดยานนาวาดังที่ปรากฏในปัจจุบัน) 



ล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ค่ะ





มูลเหตุแห่งการสร้างฐานเจดีย์เป็นรูปเรือสำเภานี้ พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงกโร) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา พระอารามหลวง ในปัจจุบัน เล่าว่า มีเหตุปัจจัย 2 ประการด้วยกัน คือ หนึ่งนั้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระราชโอรส พระราชธิดา ในรัชกาลที่ 3 ที่ทรงสนิทเสน่หาอย่างยิ่ง คือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ และพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส (กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ) ซึ่งตั้งแต่วัยเยาว์นั้นรัชกาลที่ 3 จะทรงจูงหัตถ์ทั้งสองพระองค์เข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต ชิโนรส ที่ทรงผนวชอยู่เสมอ 



ต่อมาเมื่อกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพประชวรจึงทรงมีพระราชดำริทำบุญ ประกอบกับการสร้างเจดีย์รูปเรือสำเภา รัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้างรูปหล่อสัมฤทธิ์ “กัณหา-ชาลี” ที่กราบทูลลาพระเวสสันดรไปอยู่กับชูชก เพื่อร่วมสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ตามที่พระเวสสันดรต้องการ


“รัชกาลที่ 3 ทรงปวารณาองค์ให้กับพุทธศาสนา พระองค์ท่านจึงถือเสมือนว่าให้พระโอรส พระธิดา ในพระองค์ได้มาร่วมทำบุญ จึงมีรูปหล่อสัมฤทธิ์นี้ขึ้นมา ซึ่งความหมายของกัณหาชาลีนี้มีความงดงาม เชื่อมโยงรัชกาลที่ 3 กับพระโอรส พระธิดา เพราะตามเวสสันดรชาดก ได้มีการกล่าวว่า ให้ทั้งกัณหาชาลี ที่แม้จะเป็นแก้วตาดวงใจ ก็ขอให้ช่วยพ่อเป็นประดุจสำเภา ฐานเจดีย์รูปสำเภานี้จึงเสมือนนาวาชีวิตที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ซึ่งก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ที่ท้ายเก๋งเรือสำเภา ในสมัยก่อนโน้นยังมีการแห่รูปสัมฤทธิ์นี้เป็นการเอิกเกริกด้วย” 





ส่วนความหมายที่ทรงพระราชทานนาวาชีวิตนี้อีกประการหนึ่ง เป็นเพราะในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเรื่องการค้าขายกับต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งการค้าขายในยุคนั้นต้องอาศัยเรือสำเภาเป็นพาหนะติดต่อระหว่างกัน จึงทรงมีพระประสงค์ให้เรือสำเภาได้คงอยู่เพื่อคนรุ่นหลังจะได้รู้จัก เพราะได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า วันหนึ่งเรือสำเภาเพื่อการค้าขายจะหายไป นอกจากนั้น นาวาแห่งชีวิตนี้ยังมีความหมายในทางโลกด้วยว่า คนจะอยู่ด้วยทรัพย์ ไมตรี และเกียรติ ต้องอาศัยความบากบั่นมานะพยายาม


ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในฐานะพระอารามหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แบ่งเขตวัดเป็น 3 เขต คือ เขตสังฆาวาสเป็นเขตที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ เขตพุทธาวาสเป็นเขตบำเพ็ญศาสนกิจและกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และเขตจัดประโยชน์เป็นเขตให้เช่าที่และจัดสร้างอาคารให้เช่า เพื่อนำรายได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุ และเพื่อบำรุงศาสนกิจและกิจกรรมสาธารณประโยชน์


ท่านเจ้าคุณพรหมวชิรญาณเจ้าอาวาสวัดยานนาวา บอกว่า ไม่ว่าวัดจะทำการสิ่งใดในเรื่องการปรับปรุงการก่อสร้างทั้งในส่วนของวัด อาคารให้เช่า ต้องอยู่ภายใต้พระบรมราชานุญาตในสมเด็จพระบรมพิตรสมภารเจ้า (พระมหากษัตริย์) เสมอ 



เราเข้าไปชมในสำเภาเจดีย์กันเถอะค่ะ




ลอดอุโมงค์ไปนะคะ




วิวภายใน






ในเรือมีพระเจดีย์ซึ่งเปรียบเหมือนเสากระโดงเรือ 




ห้องเก๋งท้ายเรือยังมีพระพุทธรูป และรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ด้วยค่ะ














ด้านนี้เป็นพระราหูค่ะ





ทำบุญแล้วก็ตีระฆังให้ดังไปถึงสวรรค์เลยนะคะ



มองไปด้่านหลัง เห็นพระอุโบสถหลังเก่า  แปลกใจว่าทำไมเค้าไม่ซ่อมให้เสร็จหนา



เดินเข้าไปชมหน่อย




ลายประตูยังไม่ได้บูรณะ




ดูชำรุดเยอะจัง





ซุ้มประตู ถ้าซ่อมแซมแล้วคงสวยนะคะ








เดินมาด้านหน้า  มาไหว้เจ้าแม่กวนอิม








อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ภายในมีการจัดแสดงพระและพระธาตุมากมายน่าดูชมมากค่ะ แต่น่าเสียดายที่ถ่ายรูปไม่ได้




เมื่อคราวสร้างเจดีย์ฯ นั้น รัชกาลที่ 3 เสด็จฯ ไปควบคุมการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง จึงโปรดฯ ให้สร้างศาลาเล็กๆ ไว้เป็นที่ประทับเพื่อทอดพระเนตรการก่อสร้างด้วย 

ปัจจุบันศาลาที่ประทับนี้ก็ยังมีการเก็บรักษาไว้อยู่ค่ะ



มาทำบุญทำทานด้วยการให้อาหารปลากันเถอะค่ะ




มาให้อาหารปลาที่ท่าน้ำ







วันนี้อิ่มบุญกันทั่วหน้าเลยค่ะ  แล้วเราไปเที่ยวกันต่อนะคะ  Smiley




 

Create Date : 04 มกราคม 2557    
Last Update : 14 มกราคม 2557 22:18:32 น.
Counter : 1503 Pageviews.  

ชวนมาทำบุญที่วัดหัวลำโพง

ตอนนี้ใกล้เย็นย่ำเต็มทีแล้วค่ะ  เราเลยชวนเพื่อนอ้อมาทำบุญ บริจาคโลงศพที่วัดหัวลำโพง

การเดินทางก็ไปไม่ยากเลย  ลง MRT แล้วมาที่สถานีหัวลำโพง สถานีปลายทางเลยค่ะ

พอถึงมาก็จะเจอวัดเลย




มาทำบุญบริจาคโลงศพกันก่อนนะ



จุดรับบริจาค





เสร็จแล้วเดินเข้าไปข้างใน



เขียนชื่อของเรา และแปะลงโลง




จากนั้นเข้าไปไหว้ค่ะ








บริจาคโลงเสร็จแล้วเราเข้าไปเที่ยวชมในวัดต่อนะคะ



อุโบสถ



สวยงามมาก



หน้าต่างยังวิจิตรบรรจงค่ะ



เข้าไปไหว้พระข้างในค่ะ





ลายประตู



ลวดลายบนกำแพง





มาชมด้านนอกค่ะ  หลังคาเป็นมณฑปตรงกลางส่วนนี้คือจุดที่ไม่เหมือนโบสถ์ทั่วๆ ไป อย่างที่เคยคุ้นตาคือช่อฟ้าไม่ได้มียอดเดียวเหมือนวัดอื่น แต่กลับทำเป็นรูปพญานาค 3 เศียรค่ะ




เห็นพญานาคสามเศียรไหมคะ




ไหว้พระต่อค่ะ




เพื่อนอ้อเคาะระฆัง





เจดีย์ทรงกลมขนาดเล็ก มีตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ (5 ธันวาคม 2542)






วันนี้ได้มาทำบุญและชมวัด อิ่มบุญอิ่มใจกลับบ้านถ้วนหน้าเลยค่ะ




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2556    
Last Update : 4 มกราคม 2557 20:54:31 น.
Counter : 1010 Pageviews.  

ชวนมาเรียนรู้ และเข้าใจเพื่อนในโลกมืดที่ Dialogue in the dark ค่ะ

จะบอกว่าอิชั้นตั้งใจจะมาที่นี่นานแล้ว  แต่ไม่มีโอกาสสักที 

เคยตั้งใจจะมาแล้วหาไม่เจอ  ไปหลงที่อื่นซะนี่   คิดว่าจามจุรีแสควร์อยู่แถวสยามสแควร์ (บ้านนอกได้อีกตรู) Smiley


วันนี้มีโอกาส เพื่อนอ้อชวนเข้ากรุงมาเที่ยว เลยตั้งใจว่าจะมาที่นี่กัน  


เริ่มต้นการเดินทางที่ MRT อโศกนะคะ เสร็จแล้วก็มาขึ้นทีสถานีสามย่าน  เมื่อขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะเจอจามจุรีแสควร์เลย

เราขึ้นมาชั้น 4  เป็น จัตุรัสวิทยาศาสตร์ ของ อพวช. หรือองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติค่ะ




ก่อนอื่นเราไปซื้อตั๋วเข้าชม Dialogue in the Dark  ก่อนค่ะ  ที่นี่จำกัดการเข้าชมเป็นรอบๆนะคะ รอบนึงไม่กี่คนเอง เพราะฉะนั้นอย่าช้าค่ะ  


สำหรับวันนี้เราได้คิวเวลา 15.00 น.   ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 40 นาที  เราก็เลยไปเดินชมนิทรรศการอื่นๆทีเค้าจัดไว้  (สำหรับในส่วนนี้จะมีการจัดสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆนะคะ ไม่ได้กำหนดตายตัว)


อย่างอันนี้ก็คือ "ความลับของโครงกระดูกค่ะ"









นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของสัตว์แบบแปลกๆให้ดูเยอะเลย

อย่างอันนี้นกกระจอกเทศ...ตัวใหญ่มากก



แรดขาว




กระดูกงู !! เป็นอย่างนี้นี่เอง



ปลาโลมา




ไก่



อันนี้้รวมกระดูกนกนานาชนิดค่ะ  เสียดายมือสั่น ภาพไม่ชัดเลย




และก็มีนิทรรศการ "สาหร่ายเพื่อมวลมนุษย์"



ภายในค่ะ



ที่นี่ก็ไม่น้อยหน้า  มีสาหร่ายแบบแปลกๆให้เราดูเยอะเหมือนกัน







โคตรสาหร่ายอ่ะ  จะบอกว่าอันใหญ่มากกก



อันนี้สวยดี




SmileySmileySmileySmiley


เดินเล่นหาความรู้สักครู่  ก็ได้เวลาที่เค้านัดไว้แล้วล่ะค่ะ

เราเข้าไปห้องน้ำ ทำธุระห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับชมนิทรรศนการที่แปลกใหม่สำหรับเราในวันนี้


เมื่อพร้อมแล้วก็ขึ้นบันไดไปเลยค่ะ



Dialogue in the Dark  หรือ “บทเรียนในความมืด” 

เป็นนิทรรศการที่ได้รับการพัฒนาโดย Dr Andreas Heinecke ชาวเยอรมัน   ผู้เคยมีประสบการณ์ร่วมงานกับคนตาบอด เมื่อครั้งที่เขายังทำงานหนังสือพิมพ์ 

เขาพบว่าคนตาบอดสามารถทำอะไรได้เหมือนคนทั่วไป แต่สังคมจะแบ่งแยกคนตาบอดออกเพราะสงสาร เห็นใจ และไม่กล้าสื่อสารด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจ


Dialogue in the Dark  ได้พัฒนาเป็นนิทรรศการชั่วคราวและถาวรมาแล้วกว่า 160 เมือง 35 ประเทศทั่วโลก สำหรับที่กรุงเทพ จัดแสดงมาได้ 3 ปีแล้ว









ก่อนเข้าไปน้องเค้าจะอธิบายให้เราฟังคร่าวๆ ถึงระเบียบการปฎิบัติในการร่วมกิจกรรม วิธีการจับไม้เท้า


โดยเราไม่สามารถนำของที่มีแสง เช่น นาฬิกาเรืองแสง,กล้อง,มือถือ เข้าไปข้างในห้องได้นะคะ กระเป๋าสะพายเข้าไปก็ไม่ได้  ทั้งนี้จะมีล๊อกเกอร์ให้ฝากของข้างนอก

แต่จะให้ติดเงินไปเล็กน้อยสักยี่่สิบบาท เผื่อไปซื้อของข้างในค่ะ




กลุ่มของเรามี 8 คนนะคะ  บังเอิญว่ามากันเป็นคู่ๆ ลักษณะเป็นวัยรุ่นทั้งนั้นเลย (รวมทั้งอิชั้นและเพื่อนอ้อด้วย คริคริ) Smiley


แต่หลังจากที่เค้าจับกลุ่มเราอยู่ด้วยกันแล้ว   พวกเราก็ต้องถือว่าเป็นกลุ่มเดียว ลงเรือลำเดียวกัน  และพร้อมจะไปเผชิญโลกมืดด้วยกันแล้วค่ะ




น้องๆบอกให้เรายืนเข้าแถวกระดานเรียงหนึ่ง  โดยที่น้องบอกว่าให้ค่อยๆเดินเข้าไป  คนแรกห้ามให้คนหลังแซง และคนสุดท้ายก็ห้ามแซงใครเด็ดขาด


พวกเราก็รับฟังและตั้งใจจะปฎิบัติอย่างเคร่งครัด


โดยที่หารู้ไม่ว่า เมื่อเข้าไปข้างใน    ทุกอย่างบ่ ได้ง่ายเป็นดั่งใจ  เหมือนอย่างที่เราคาดหวังไว้...สักกะนิดเดียว Smiley


........................................................................



เมื่อเราเดินเข้าไปข้างใน   แสงสว่างก็เริ่มน้อยลงๆทุกที  จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เรามองไม่เห็นอะไรแล้วค่ะ แม้แต่มือตัวเอง  Smiley


จากนั้นก็มีไกด์อีกท่านมารับช่วงต่อพาพวกเราเข้าไปข้างใน   หลังจากแนะนำตัว (ทั้งๆที่มองไม่เห็นหน้ากัน)   ไกด์คนใหม่ก็พาเราเดินต่อทั้งๆความมืด  
ในช่วงเวลาที่เรายังปรับตัวไม่ค่อยได้  แต่ยังต้องเดินๆสะเปะสะปะไปข้างหน้า ใช้มือนึงจับไม้เท้ากวาดไปข้างหน้า  และใช้อีกมือคลำผนังไปเรื่อยๆ....


วูบนึงในใจอิชั้นรู้สึก "กลัว" ค่ะ SmileySmileySmiley



ความมืดมันทำให้เรารู้สึก...อึดอัดอ่ะ  แม้ว่าแอร์ข้างในจะเย็นฉ่ำ  แต่อิชั้นรู้สึกแน่นๆอย่างไรก็ไม่รู้   



คงเป็นความไม่เคยชินของเราเอง  ที่ไม่เคยต้องมาอยู่ในสภาวะแบบนี้มาก่อน  พอต้องเดินไปข้างหน้าทั้งที่มองไม่เห็นอะไรเลย ก็อดที่จะประหวั่นพรั่นหรึงไม่ได้


นึกในใจว่าแล้วคนตาบอดล่ะ  ต้องเดินไปข้างนอกบ้าน  ออกไปตามถนนทั้งๆที่มองอะไรไม่เห็นอย่างนี้เลยรึ   Smiley
ชักจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเค้าขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ


แต่โชคดีที่อาการดังกล่าวเป็นไม่นานก็หาย  พออิช้ันเดินๆไปสักพัก ร่างกายเหมือนจะปรับตัวปรับใจได้  ไม่อึดอัดเท่าเมือสักครู่แล้ว



ตอนนี้ไกด์ก็พาเราเดินข้ามสะพานลอย   ผ่านต้นไม้   ผ่านรูปปั้นในสวนสาธารณะ  และให้เราลองสัมผัสด้วยว่าสิ่งที่เราจับอยู่คืออะไร 



จะบอกว่าประสาทสัมผัสของคนเรานี้ มีศักยภาพมากเกินกว่าที่เราคิดนะคะ  ในความมืด อิชั้นคลำรูปปั้นจนบอกได้ว่ามันคืออะไร  โดยคลำจากมวยผม  ปากแหลมๆในอ้อมแขน  ก็เลยเดาได้ว่าเป็นผู้หญิงอุ้มนกอยู่  (ถูกด้วยแหล่ะ เฮ Smiley)



และจากนั้นเราก็ไปผจญภัยในโลกมืดต่อ   โดยมีพี่ไกด์คอยนำทาง


พาไปยืนรอรถเมล์  และนั่งรถตุ๊กๆ  มีคนขับรถให้ด้วย ขับไปพักนึงก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง  จนสุดท้ายฝนตก และเราก็โดนฝนสาด Smiley


จากนั้นจอดรถให้พวกเราลงจากรถไปนั่งดูคอนเสิร์ตค่ะ 


สุดท้ายเป็นร้านขายของ มีเคาน์เตอร์ให้พวกเราซื้อของ พวกน้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยว

จริงๆที่คนขายเขาหยิบของแต่ละอย่างได้ถูกต้อง เช่นหยิบน้ำดื่ม นม น้ำอัดลมกระป๋องเราก็ว่าอเมซิ่งแล้ว  แต่ที่สวดยอดกว่า คือเค้ารู้ได้ยังไงว่าแบงค์ไหนเป็นแบงค์ไหนเนี่ยสิ  บอกถูกด้วยนะว่าอันนี้แบงค์ 100 อันนี้แบงค์ 20


เราถามเค้าว่ารู้ได้ยังไง เค้าบอกว่าใช้วิธีคลำแบงค์ดูความหยาบของกระดาษ และกะความยาวของแบงค์เอาค่ะ




SmileySmileySmiley



เมื่อจบการเยี่ยมชม  เราก็ได้ออกมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง   และเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นหน้าไกด์ผู้นำทางเราในความมืดตลอด 1 ชั่วโมง


เรามองหน้าไกด์ของเรา   ผิดจากที่คาดแฮ่ะ...เสียงในความมืดของพี่ไกด์ทั้งดังแถมยังทุ้มกังวาล   ถ้าฟังแล้วจินตนาการอิชั้นจะคิดว่าเค้าชายร่างใหญ่ บุคลิกคล้ายทหาร  แต่ในความจริงไกด์เราเป็นไอ้หนุ่มผมยาวตัวเล็กอีกตังหาก Smiley


หากสงสัยว่าทำไมเค้าถึงเชี่ยวชาญในความมืดนัก   ก็บอกได้เลยว่า เพราะเค้าเป็นคนตาบอดค่ะ ซึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนตร์มาเมื่อ 10 ปีก่อน  และถอดแว่นตาให้เราดูด้วย



จริงๆเราก็พอรู้มาก่อนแหล่ะ  ว่าไกด์ของเราจะเป็นคนตาบอดแบบนี้  แต่ก็ผิดคาดนิดๆ ที่พี่ไกด์ของเรามีอารมณ์ขันมากมาย  ทั้งการคุย  การหยอก  การแซว ทำให้เรามีเสียงหัวเราะในการเยี่ยมชมนิทรรศการตอดเวลา



ก่อนจากกัน อิชั้นขอบคุณไกด์ที่ช่วยดูแลพวกเราเป็นอย่างดี  ครั้นจะยกมือไหว้เค้าคงไม่เห็น  ก็เลยพนมมือพร้อมรวบมือของเค้าในมืออิชั้น   หวังจะให้เค้ารับรู้ว่าเราซาบซึ้งในมิตรจิต มิตรใจของเค้ามากขนาดไหน Smiley


..........................................



เสร็จแล้วเค้าก็จะให้นั่งพักสายตาที่นี่ก่อน และให้เราเขียนความประทับใจในสมุดเยี่ยมไปพลางๆ Smiley




ขอวกกลับมานิดนึง 


ที่อิชั้นเล่าว่าน้องคนแรกบอกพวกเราไว้ว่าให้เดินเกาะไปตามลำดับ ใครหน้าใครหลังก็ให้รู้ตัว รู้ตำแหน่งตัวเองนั้น...พอเข้าไปในความมืดจริง ณ จุดนั้นตำแหน่งไม่มีความหมายแล้วค่ะ  เราเดินกันให้ "มั่ว" มากๆ สะเปะสะปะกันสุดๆ (ก็มันมองไม่เห็นนี่นา)  Smiley



เดินอยู่ด้วยกันดีๆนี่แหล่ะค่ะ  เดี๋ยวคนนู้นแซงคนนี้  เดี๋ยวคนนี้แซงคนนู้น ...ตลอดเวลาการเดิน เราจะได้ยินเสียงไกด์ถาม คนโน้นคนนี้อยู่ไหน  คนนี้ใครครับ บางทีความเปิ่นเดินพลัดหลงกันก็เรียกเสียงหัวเราะในทีมของเราได้มากอยู่เหมือนกันSmiley




แต่อันนี้เพราะเรามากันเป็นกลุ่มเนอะ เราก็เลยไม่ค่อยกลัวอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวไกด์ก็จะพาเราออกไป 



แต่คนตาบอดที่เค้าต้องเดินไปลำพัง ต้องเผชิญโลกมืดนี่สิ  ถ้าเค้ากลัวจะมีอะไรเป็นที่พึ่งให้เค้าได้บ้างนะ



ก็เลยอยากจะขอวิงวอนเพื่อนๆนะคะ  จากคำบอกเล่าของไกด์ของเรา  คนตาบอดในบ้านเราอาจจะช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง  แต่ไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่ต้องการความช่วยเหลือเลย  บางอย่างเค้าก็ยังทำไม่ได้ เช่นการโบกรถ  หรือการดูสายรถเมล์....เค้ายังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่



ทำเถอะนะคะ  ช่วยพวกเค้าหน่อย  เป็นหลักที่พึ่งของเค้ายามที่เค้าต้องการ...ถามเค้าว่าจะไปไหน จะให้ช่วยอะไรบ้าง 



แล้วสังคมของเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ







 

Create Date : 15 ธันวาคม 2556    
Last Update : 18 ธันวาคม 2556 10:15:30 น.
Counter : 1065 Pageviews.  

ย้อนอดีตเมืองเหนือ..ที่พิพิทธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง


วันนี้เรามาเที่ยวกทม.กับเพื่อนอ้ออีกแล้วค่ะ ลั้ลลาๆๆ

มาเริ่มที่ BRT หัวลำโพงจ้า



และก็มุ่งหน้ามาที่ BTS อโศก  เพื่อมาที่นี่ค่ะ

พิพิทธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง



ซื้อตั๋วก่อนนะจ๊ะ ค่าเข้าชม 100 บาทค่ะ



เข้ามาเค้าจะให้ดูวิดีโอเกี่ยวกับที่นี่ก่อนนะคะ



ดูจบแล้วก็ชมสถานที่โดยรอบค่ะ



หูกทอผ้าโบราณ (นึกถึงเจ้านางน้อยอ่า)



อุปกรณ์ทอผ้า



ใต้ถุนบ้านที่จะมีอุปกรณ์ทำมาหากินของชาวล้านนาอย่างไซ แซะ สุ่ม ตุ้มไว้จับปลา แสดงให้ดูด้วยค่ะ




เพื่อนอ้อขอเข้าเฟรม



เสร็จแล้วขึ้นไปดูข้างบนค่ะ



มุมสวยๆให้ถ่ายรูปเพียบ...





พิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยงนั้นอยู่ในการดูแลของสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ


 โดยเรือนคำเที่ยงนี้ เป็นเรือนเครื่องสับแบบล้านนาไทยดั้งเดิม หรือที่รู้จักกันว่า "เรือนกาแล" เป็นเรือนเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี สร้างขึ้นครั้งแรกริมฝั่งน้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สร้างคือนางแซ้ด ลูกหลานสืบเชื้อสายธิดาเจ้าเมืองแช่ ชาวไทลื้อจากแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งถูกกวาดต้อนมาอยู่เมืองเชียงใหม่สมัยที่พระเจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่



       ลูกหลานของนางแซ้ดได้อยู่อาศัยในเรือนนี้อย่างร่มเย็นเป็นเวลาร้อยกว่าปี จนมาถึง พ.ศ.2506 นางกิมฮ้อ นิมมานเหมินทร์ เจ้าของเรือนในขณะนั้นได้มอบเรือนเก่าแก่ของตระกูลให้แก่สยามสมาคม เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา และรักษาศิลปะล้านนาไทยชิ้นนี้เอาไว้ 


เรือนหลังนี้จึงถูกรื้อถอนขนย้ายมาประกอบขึ้นใหม่ในบริเวณปัจจุบัน พร้อมทั้งตั้งชื่อไว้ว่า "เรือนคำเที่ยง" ซึ่งมาจากชื่อของนางคำเที่ยง อนุสารสุนทร แม่ของนางกิมฮ้อ และเป็นผู้หนึ่งที่เกิดบนเรือนหลังนี้นั่นเอง




ผ้ายันต์ป้องกันภัยของหนุ่มเมืองเหนือสมัยก่อน






เครื่องประดับสตรีล้านนาที่มีฐานะ




ลายสักของชายล้านนา พร้อมดาบอาวุธประจำตัว



เครื่องเงิน



ลูกผู้หญิงล้านนาต้องทอผ้าซิ่นตีนจกเป็น โดยจะต้องฝึกหัดทอผ้ากับแม่ตั้งแต่เด็กและต้องหัดเก็บลวดลายให้ครบทุกอย่าง เมื่อชำนาญแล้วก็จะต้องทอซิ่นตีนจกไว้ใส่เองด้วย เครื่องนอนก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่หญิงล้านนาต้องหัดเย็บให้ได้ตั้งแต่ห้าขวบ


 เนื่องจากมีธรรมเนียมว่าหญิงสาวจะแต่งงานออกเรือนได้ต้องทำเครื่องนอนให้ได้ครบทุกอย่าง ได้แก่ ฟูก ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม มุ้ง และหมอนนั้นก็มีอีกหลายแบบด้วยกัน เรียกว่าจะเป็นผู้หญิงล้านนาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะนี่




ที่นี่มีเรือนครัวซึ่งอยู่แยกไปจากตัวบ้านกันบ้าง ในห้องครัวตอนนี้แม่ครัวกำลังตำน้ำพริกปูและแกงแคกบค่ะ

ในวีดิทัศน์ที่อยู่ในเรือนครัว แม่ครัวกำลังทำอาหารเหนืออยู่แถมยังโฆษณาอีกว่าน้ำพริกปูของเธอนั้นอร่อยจนลืมพี่ลืมน้องเลยเดียว ชาวล้านนานั้นจะทำอาหารวันละหนในช่วงเช้า โดยอาหารหลักจะเป็นข้าวเหนียวและสัตว์เล็กๆน้อยๆที่หาได้ในธรรมชาติ











ที่นี่คือหลองเข้า หรือยุ้งข้าวที่มีบรรยากาศทะมึนเล็กน้อย ว่ากันว่าหลองเข้าบ้านไหนใหญ่โตก็แสดงว่าบ้านนั้นฐานะดี ด้านในเป็นการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการปลูกข้าว ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการทำนา 



ภายในมีตาแหลว หรือเฉลวตั้งไว้กลางห้อง ซึ่งตาแหลวนี้จะใช้พิธีแฮกนา หรือแรกนา ก่อนที่จะเริ่มดำนาในแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นการบูชาผีเสื้อนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ข้าวเจริญงอกงามดี และในพิธีก็จะมีการปักตาแหลวที่สี่มุมของบริเวณพิธี ตรงกลางปักตาแหลวหลวงหรือตาแหลวแรกนา และมีที่วางเครื่องเซ่นไว้ที่หน้าตาแหลวหลวง



ใครที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับล้านนาก็สามารถมาเยี่ยมเยือนพิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยงได้นะคะ    นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับล้านนาอย่างเต็มที่แล้ว ยังเดินทางสะดวกด้วยค่ะ   อยู่แค่อโศกนี่เอง หาง๊าย ง่าย


สำหรับวันนี้ บ๊าย บายค่า 





 

Create Date : 15 ธันวาคม 2556    
Last Update : 4 มกราคม 2557 19:32:04 น.
Counter : 2243 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.