คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^

“วิธีการรักษาสุดโหด” ในสมัยอดีต

ถ้ารักษากันอย่างนี้อิชั้นยอมตายดีกว่าค่า น่ากัวผุดๆSmiley







สมัยก่อนมีวิธีการรักษาแบบสุดโหดมากมายแบบที่คนในสมัยนี้คงไม่มีใครยอมทำด้วย ในบทความนี้ลองเอาตัวอย่างของวิธีการรักษาแบบแปลกๆ เหล่านั้นมาให้ลองดูกัน

ยาน้ำกล่อมเด็กผสมยาเสพติด

996001754p1

ที่มาภาพ artefact

ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 มีการขายยาน้ำสำหรับกล่อมเด็กเพื่อเหล่าแม่ๆ ในยุคนั้นที่ชีวิตแต่ละวันมีแต่เรื่องวุ่นวายและความเครียดเกินกว่าจะรับมือลูกๆ ที่เอาแต่ร้องไห้งอแงได้ ยาน้ำที่ขายดีมากอย่างยี่ห้อ Mrs. Winslow’s Soothing Syrup ที่มีสรรพคุณอยู่ว่า เพียงให้เด็กๆ กินยาน้ำนี้ก่อนนอน เด็กก็จะหลับสบายไม่ร้องกวนตลอดคืน แน่ละ ก็เพราะยาน้ำนี้มีส่วนประกอบของมอร์ฟีนบริสุทธิ์ถึง 65 มิลลิกรัม ที่ไม่แค่มีผลกับเด็กเท่านั้น แต่ถึงเป็นผู้ใหญ่ตัวโตๆ กินเข้าไปก็คงหลับเป็นตาย

ในยุคนั้นเรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสารเคมีต่างๆ ดีนัก ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารอันตรายมากมาย อย่างเช่นยาน้ำนี้ก็มีการขายกันมาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1910 เมื่อหนังสือพิมพ์ New York Times ได้ตีพิมพ์บทความที่ชี้ว่า สารที่มีอยู่ในยาน้ำเหล่านี้อาจส่งให้เกิดผลร้ายกับเด็กในระยะยาวได้ และนอกจากมอร์ฟีนแล้ว ยังมีส่วนประกอบของคลอโรฟอร์ม เฮโรอีน ผงฝื่น กัญชา และสารเสพติดอื่นๆ อีกหลายชนิด

soothingsyrup3ส่วนผสมของยาน้ำกล่อมเด็ก

ที่มาภาพ Cracked

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการสั่งห้าม ยาแบบนี้ก็ขายดีมาก แต่ก็เป็นสาเหตุให้เด็กบางคนเวลาที่หายเมากลับมีพฤติกรรมก้าวร้าวหนักกว่าเก่า หรือถ้าอาการหนักๆ บางคนก็เสียชีวิตไปเลย นอกจากยาน้ำแบบนี้แล้ววิธีการกำหราบเด็กเกเรในสมัยก่อนก็มีการใช้เฮโรอีนและโคเคนด้วยเหมือนกัน

cocaine-tooth-ache-drops

ที่มาภาพ jack-the-ripper-tour

รักษาโรคด้วยปรอท

mercury_drops_large

ที่มาภาพ the naked scientists

ปรอทน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสสารที่สวยงาม ด้วยความที่มันดูเหมือนเป็นโลหะแต่แท้จริงแล้วเป็นของเหลวทำให้มนุษย์รู้สึกทึ่งและหลงไหลกับปรอทมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว (มีหลักฐานด้วยว่ามนุษย์มีการใช้ปรอทมาตั้งแต่ก่อนคริสตศักราช) จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อก่อนคนเชื่อกันว่า ปรอทเป็นยาวิเศษที่รักษาได้เกือบทุกโรค และหมอในสมัยก่อนก็ใช้ปรอทในการรักษาคนไข้มาเป็นเวลานับร้อยๆ ปี

แต่ปัจจุบันนี้เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าปรอทเป็นสารพิษอันตรายร้ายแรง และถ้ารับเข้าไปก็จะทำให้เกิดอาการพิษจากปรอทเช่น เจ็บหน้าอก หัวใจและปอดทำงานผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก เห็นภาพหลอน และเสียชีวิตได้ น่าแปลกที่สมัยนั้นคนก็ยังคงใช้ปรอทในการรักษาอยู่ดีทั้งๆ ที่ใครได้รับเข้าไปก็พากันเสียชีวิตทั้งนั้น แต่คนก็พากันโทษว่าการเสียชีวิตมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับปรอทเลยสักนิด

mercuryภาพคนไข้ที่พิการจากการรักษาด้วยปรอท

ที่มาภาพ hospitalstay

ช่วงยุคหลังๆ ปรอทถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคซิฟิลิส ซึ่งก็อาจจะนับได้ว่าได้ผลเพราะใครที่รักษาด้วยวิธีนี้ส่วนมากก็จะเสียชีวิตไปแทน แม้แต่ Mozart นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ก็เชื่อกันว่าเสียชีวิตจากพิษปรอทที่ใช้ในการรักษาโรคซิฟิลิสนี่เอง

syphilis medecineยารักษาโรคซิฟิลิสใรสมัยก่อนซึ่งก็คือปรอทนั่นเอง

ที่มาภาพ delilah marvelle

Bloodletting

bloodletting1

ที่มาภาพ callyn pierson , biological exceptions , ocd history

การปล่อยเลือด (Bloodletting) เป็นวิธีการรักษาโรคที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีมาย้อนไปตั้งแต่สมัยก่อนคริสตศักราช วิธีการก็คือ ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดด้วยการทำให้เกิดบาดแผล เพราะเชื่อกันว่าถ้าอยากให้มีสุขภาพดีต้องทำการถ่ายเลือดออกมาบ้างเพื่อให้ร่างกายสมดุล ดังนั้นการปล่อยเลือดนี้ใช้เพื่อรักษาโรคแทบทุกชนิด

การรักษาแบบนี้มีมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกาก็รักษาอาการเจ็บคอด้วยวิธีนี้ และเชื่อกันว่าเพราะการรักษาแบบนี้เองที่ทำให้เขาเสียชีวิตลง

รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพด้วยการช็อตไฟฟ้า

nutbelt1

ที่มาภาพ Cracked

ในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 19 ช่วงที่ผู้คนกำลังเห่อเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าทั้งหลาย จึงไม่แปลกที่จะมีการนำเอาไฟฟ้ามาใช้ในการรักษาด้วย

เข็มขัดช็อตไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ช่วยรักษาสุดแปลกที่อ้างว่า สามารถช่วยรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพของท่านชายได้ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าไปยัง “น้องชาย” เพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง (เหมือนกับสัตว์ประหลาดแฟรงเกนสไตน์)

electrical-impotence-cure

ที่มาภาพ Cracked

เข็มขัดไฟฟ้านี้ถูกวางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อ สื่อให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้น่าจะขายดีจริงๆ น่าแปลกว่าคนซื้อไม่สงสัยหรืออย่างไรว่าการช็อตน้องชายแบบนี้ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่

nutbelt2jy1

ที่มาภาพ Cracked

เจาะสมองผ่านทางเบ้าตา (Lobotomy)

My_lobotomy-howard_during_full

ที่มาภาพ psychology wikia

สมัยช่วงแรกๆ ของศตวรรษที่ 20 วิธีการรักษาด้วยการเจาะสมองผ่านทางเบ้าตาเป็นที่นิยมมากในการรักษาอาการทางจิตต่างๆ ตั้งแต่ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มีอาการหนักๆ ไปจนถึงผู้ป่วยที่แค่มีอาการซึมเศร้า ใครที่เข้าข่ายในกลุ่มนี้แล้วเดินทางไปพบแพทย์ คุณจะได้รับการรักษาแบบสุดสยองแบบไม่ได้ร้องขอเลยทันที

การรักษาแบบนี้ทำโดยแพทย์จะใช้แท่งเหล็กแหลมยาวๆ (ในสมัยแรกๆ ใช้ที่เจาะน้ำแข็ง) สอดเข้าไปทางเบ้าตาด้านบนผ่านไปยังสมอง แล้วบิดเพื่อทำลายเส้นประสาทที่สมองส่วนหน้า ด้วยวิธีการนี้ที่สามารถทำได้รวดเร็วอีกทั้งไม่ต้องผ่าตัดทำให้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

lนายแพทย์ Walter Freeman กำลังรักษาคนไข้ ภาพนี้ถ่ายเมื่อปี ค.ศ.1949

ที่มาภาพ My space

ไม่น่าเชื่อว่ารักษาด้วยวิธีนี้เคยได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ.1949  ด้วย แพทย์ที่ทำการรักษาด้วยวิธีนี้อ้างว่า “สามารถทำได้ง่าย และรวดเร็ว พอๆ กับไปหาหมอฟัน” และเมื่อถึงปี ค.ศ.1960 พ่อแม่ทั้งหลายที่มีลูกวัยรุ่นทีมีปัญหาก็ต่างพาลูกตัวเองมารักษาด้วยวิธีนี้

โชคดีที่วิธีการรักษาแบบนี้ใช้กันอยู่ไม่นานนัก แต่กว่าจะรู้ว่าวิธีการนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดก็อาจจะสายไปหน่อยแล้ว เพราะมีคนไข้โดนเหล็กเจาะสมองไปแล้วกว่า 70,000 คน

รักษาด้วยวิธีเจาะกะโหลก (Trepanation)

i-d52426bd5600c4685d7f5937bd57a46c-800px-Crane-trepanation-img_0507

ที่มาภาพ scienceblogs

การเจาะกะโหลก เป็นวิธีการรักษาตามชื่อของมันเลย คือ เจาะรูบนกะโหลกศีรษะ วิธีนี้ถือเป็นการผ่าตัดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่ย้อนไปตั้งแต่สมัยยุคหินซึ่งอาจจะทำไปด้วยเรื่องของความเชื่อมากกว่าเรื่องของการรักษา

trepanation_tools

เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการเจาะกะโหลก

ที่มาภาพ 1dunia

เมื่อก่อนนี้การเจาะกะโหลกทำเพื่อรักษาอาการชักและปวดหัวไมเกรน น่าแปลกว่าการเจาะรูบนหัวแบบนี้ (ส่วนมากไม่ใช้ยาชาด้วย) จะทำให้หายปวดหัวหรือแก้อาการของสมองได้อย่างไร

220px-Trepanation_illustration_France_1800s

ที่มาภาพ answers

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ การเจาะกะโหลกแบบนี้ยังคงมีมาถึงในยุคปัจจุบัน เช่นตัวอย่างของ หมอ Bart Hughes (ผู้ซึ่งไม่ใช่หมอจริงๆ เพราะเรียนไม่ทันจบก็ถูกไล่ออกเสียก่อน) ที่เชื่อว่า การเจาะกะโหลกแบบนี้จะช่วยให้สมองของเราทำงานได้ดีขึ้น คุณหมอคนนี้เชื่อในทฤษฎีของตัวเองมากเสียจนทำการเจาะกะโหลกตัวเองให้ดูเป็นตัวอย่างเสียเลย

bart_trepanBart Hughes ผู้เจาะกะโหลกตัวเอง




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:18:54 น.
Counter : 1548 Pageviews.  

"พิพิธภัณฑ์สุดแปลกและสยอง" จากทั่วทุกมุมโลก

เอามาจาก Post jung ค่ะ น่ากลัวจัง บรื๊อๆๆ  Smiley








ในโลกใบนี้มีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ อยู่มากมาย ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปดู พิพิธภัณฑ์ที่รวมเรื่องราวสุดแปลก และสุดสยองจากทั่วทุกมุมโลก มาดูกันว่ามันจะน่าสนใจขนาดไหนกัน

พิพิธภัณฑ์มัมมี่ (El Museo De Las Momias)

สถานที่ : รัฐกวานาคัวโต ประเทศเมกซิโก

ที่มาภาพ traveladventures , whatswhatdaily , fotografias

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เต็มไปด้วยมัมมี่นับพันร่าง แต่ที่น่ากลัวไม่ใช่แค่นั้น มัมมี่เหล่านี้คือร่างของคนที่ตายจากโรคอหิวาตกโรคที่ระบาดครั้งใหญ่ในเมืองกวานาคัวโตเมื่อปี ค.ศ.1833 ศพของคนที่ครอบครัวยากจนเกินกว่าจะจ่ายเงินค่าฝังศพได้จะถูกนำมาฝังรวมกันไว้ที่สุสานแห่งนี้ แต่ในร่างทั้งสุสานมีเพียง 2% เท่านั้นที่กลายเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติ

มีการนำศพมาทิ้งไว้ที่สุสานนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1865 จนถึงปี ค.ศ.1958 และเมื่อเข้าสู่ช่วงปี ค.ศ.1900 มัมมี่เหล่านี้ก็เริ่มกลายเป็นที่สนใจและทำให้เมืองกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว คนดูแลสุสานเริ่มเก็บงานค่าเข้าชม และในที่สุด สถานที่นี้ก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อ El Museo De Las Momias ที่แปลได้ว่า พิพิธภัณฑ์มัมมี่

ในช่วงที่โรคมีการระบาดหนักที่สุด ร่างคนตายมากมายจะถูกฝังอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย รวมถึงบางคนที่ยังไม่เสียชีวิตก็ถูกฝังทั้งเป็นด้วย ดังนั้นมัมมี่บางตัวจึงมีสีหน้าหวาดกลัวและทุกข์ทรมานเป็นสีหน้าสุดท้ายก่อนจะตาย

ที่มาภาพ thisbelongsinamuseum , laurenhamm

ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์นี้มีมัมมี่จัดแสดงอยู่ 119 ร่าง มีทั้งที่เป็นเด็กทารกไปจนถึงคนแก่ บางร่างก็มีท่าทางแปลกๆ และบางร่างก็ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าเดิมของตัวเอง พิพิธภัณฑ์นี้ยังมีร่างมัมมี่ที่เล็กที่สุดในโลก เป็นร่างของตัวอ่อนในครรภ์ของผู้หญิงซึ่งเสียชีวิตจากโรคอหิวาตกโรค

นี่คือมัมมี่มนุษย์ที่เล็กที่สุดในโลก

ที่มาภาพ traveladventures

ที่มาภาพ whatswhatdaily , traveladventures

พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลบ้า (The Glore Psychiatric Museum)

สถานที่ : St. Joseph รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา

ที่มาภาพ glaciergirl2008 , mnn , creepylittleworld , tumblr

พิพิธภัณฑ์ The Glore Psychiatric Museum แต่ก่อนเป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคทางประสาท มีชื่อเดิมว่า State Lunatic Asylum No. 2 ก่อตั้งโดย George Glore ในปี ค.ศ.1903 ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์นี้เป็นสถานที่จัดแสดงวิธีการรักษาโรคทางประสาทในสมัยก่อนโดยใช้หุ่นจำลอง รวมถึงมีการจัดแสดงผลงานศิลปะของเหล่าคนไข้ในโรงพยาบาลที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญ

ผลงานศิลปะของคนไข้

ที่มาภาพ legendsofamerica

ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์นี้อยู่ที่ชิ้นงานโมเสคที่สร้างขึ้นมาจากของที่พบในท้องของคนไข้หญิงรายหนึ่งซึ่งป่วยเป็นโรคชอบกลืนของแปลกๆ ของทั้งหมดในท้อง 1,446 ชิ้นถูกผ่าออกมาได้ ส่วนคนไข้หญิงรายนี้เสียชีวิตระหว่างการผ่าตัด

ของทั้งหมดที่ผ่าออกมาจากท้องของคนไข้หญิงที่ป่วยเป็นโรคชอบกลืนของแปลก

ที่มาภาพ tumblr

พิพิธภัณฑ์ผ้าอนามัย (The Museum of Menstruation & Women’s Health)

สถานที่  : New Carrollton รัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่มาภาพ mum , thisbluemarble

เรื่องผู้หญิงกับประจำเดือนเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็เข้าใจ แต่เราไม่อยากคุยกับเรื่องนี้กันในที่สาธารณะเท่าไหร่นัก การที่จะมีพิพิธภัณฑ์สำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็ไม่น่าจะแปลกตรงไหน ปัญหาคือ พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ใช่ของรัฐหรือของปริษัทเอกชนแต่อย่างใด แต่อยู่ในชั้นใต้ดินที่เป็นของชายเพียงคนหนึ่ง ที่มีความฝันอยากสร้างพิพิธภัณฑ์แปลกๆ แห่งนี้ นั่นคือ Harry Finley

Harry Finley

ที่มาภาพ roadsideamerica

ตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 ชายวัยกลางคนๆ นี้อุทิศตัวให้กับการสะสมผ้าอนามัยและหุ่นที่สวมใส่ของเหล่านี้เพื่อตั้งแสดงให้สาธารณชนได้รับชม ผลงานความพยายามของเขาได้รับการยกย่องจากนิตยสาร The New York Times (ตามที่กล่าวอ้างไว้ในเว็บไซต์ของเขา ที่นี่) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชื่อเสียงของ Harry Finley ในหมู่เพื่อนบ้านจะเป็นยังไง

ในเหล่าของสะสมของเขา มีชุดที่ทำขึ้นจากผ้าอนามัยด้วย

ที่มาภาพ roadsideamerica , mum

สถานที่นี้เป็นสถานที่ส่วนบุคคล และมี Harry อาศัยอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 เป็นต้นมา ใครที่อยากจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์/ห้องใต้ดินแห่งนี้จะต้องนัดล่วงหน้าก่อนด้วย

พิพิธภัณฑ์หุ่นกระบอก (The Vent Haven Ventriloquist Museum)

สถานที่ : Fort Mitchell รัฐเคนตักกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่มาภาพ roadsideamerica , titdilapa , bubbassockdrawer

หุ่นกระบอกพากย์เสียงเป็นของเล่นที่ตั้งใจทำมาเพื่อความสนุกสนาน แต่กลับกลายเป็นของน่ากลัวไปซะได้ คนส่วนมากไม่อยากมีหุ่นแบบนี้อยู่ในห้องนอนแน่ๆ แต่ถ้าคุณไปที่พิพิธภัณฑ์ Vent Haven Museum คุณจะได้อยู่ร่วมกับหุ่นกระบอกสุดสยองกว่า 750 ตัวตามลำพังจนหนำใจ

เริ่มต้นจากเป็นแค่ของสะสมของชายคนหนึ่งที่ชื่อ William Shakespeare Berger (ชื่อจริงๆ และไม่เกี่ยวข้องกันกับ Shakespeare คนนั้น) ผู้หมกหมุ่นอยู่กับการสะสมหุ่นเหล่านี้จนถึงวันที่เขาเสียชีวิตลง

William Shakespeare Berger

ที่มาภาพ venthavenmuseum

หนึ่งในของสะสมที่ดังที่สุดในพิพิธภัณฑ์คือ หุ่นที่เคยเป็นของ William Wood นักพากย์เสียงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักพากย์เสียงหุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่เขาเสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุทางเรือ หุ่น 4 ตัวจากทั้งหมด 6 ตัวของเขาก็ถูกนำมาจัดตั้งแสดง ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือจมหายไปกับเรือ (ไม่รู้ว่าพร้อมกับลาก William Wood ลงไปก้นทะเลด้วยหรือเปล่า) 

พิพิธภัณฑ์ Vent Haven Ventriloquist Museum ได้กลายเป็นสถานที่เก็บรักษาหุ่นกระบอกพากย์เสียงที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก โดยทั้งหมดนี้มาจากเงินของ William Shakespeare เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็เสียชีวิตไปแล้วโดยไม่ได้แต่งงาน และไร้ซึ่งทายาทสืบทอดสมบัติต่อไป ยกเว้นเหล่าหุ่นเหล่านี้เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่

พิพิธภัณฑ์อวัยวะเพศของสัตว์ตัวผู้ (The Icelandic Phallological Museum)

สถานที่ : Husavik ประเทศไอซ์แลนด์

ที่มาภาพ theage , atlasobscura , spotcoolstuff

ท่านชายหลายๆ คนคงจะภาคภูมิใจกับ “น้องชาย” ของตัวเองมากจนเชื่อว่าของๆ ท่านคงเหมาะที่จะนำมาตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้ เชิญท่านพบกับพิพิธภัณฑ์ในประเทศไอซ์แลนด์อันหนาวเย็น สถานที่ๆ อุทิศให้กับ “อวัยวะเพศของสัตว์ตัวผู้” โดยเฉพาะ ถ้าหากมาเยี่ยมชมแล้ว บางชิ้นอาจทำให้ท่านเสียความมั่นใจไปได้

ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ Sigurdur Hjartarson รวบรวมอวัยวะเพศจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวผู้มากกว่า 100 ชนิด ที่ไม่ได้เป็นแค่ของดองโชว์อยู่ในโหลอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงของตกแต่งที่สร้างมาจากอวัยวะเพศของสัตว์ด้วย ทั้งโคมไฟ โทรศัพท์ หรือแม้แต่ภาพวาด นอกจากนี้ยังมีจัดแสดงโชว์อวัยวะเพศของสัตว์ในตำนาน (ที่คาดว่าน่าจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้) เช่น เอลฟ์ หรือโทรล อีกด้วย

ของตกแต่งที่ทำมาจาก “น้องชาย” จริงๆ และที่ทำเลียนแบบ ส่วนโคมไฟขวาสุดนี้ทำมาจากอัณฑะ

ที่มาภาพ tripadvisor , environmentalgraffiti

พิพิธภัณฑ์โรคประหลาด (The Mutter Museum)

สถานที่ : เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่มาภาพ tumblr

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพิพิธภัณฑ์ Mutter Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สยองที่สุด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1858 ด้วยการบริจาคของนายแพทย์ Thomas Dent Mutter สถานที่นี้กลายเป็นที่เก็บตัวอย่างของคนที่เป็นโรคแปลกๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นายแพทย์ Thomas Dent Mutter

ที่มาภาพ thehorrorzine

ของสะสมที่มีชื่อเสียงที่สุดของพิพิธภัณฑ์นี้คือ เหล่ากระโหลกและแบบจำลองศีรษะของคนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระโหลกที่แปลกประหลาด เช่นผู้หญิงที่มีเขางอกออกมาจากหน้าผาก

ชุดสะสมหัวกระโหลกที่มีชื่อเสียง

แบบจำลองผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคประหลาดมีเขางอกออกมาจากหน้าผาก

ที่มาภาพ phillygabe-n-teris

นอกจากนั้นก็ยังมีโครงกระดูกที่สูงที่สุดในแถบอเมริกาเหนือ ร่างของผู้หญิงที่กลายสภาพเป็นสบู่หลังจากเสียชีวิต และตัวอ่อนของทารกที่ป่วยเป็นโรคความผิดปกติต่างๆ นี่เป็นแค่ส่วนน้อยนั้นเพราะของสะสมทั้งหมดในพิพิธภัณฑ์นี้มีเยอะแยะมากมายจนเขียนไม่หมด ถ้าใครชอบของแปลกๆ สุดสยอง สถานที่นี้คงเหมาะมากที่จะลองไปเที่ยวดู

ภาพถ่ายคนที่เป็นโรคผิดปกติต่างๆ

ที่มาภาพ corkscrew , tumblr

ตัวอย่างใบหน้าที่ถูกตัดในแนวขวาง




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:12:25 น.
Counter : 4109 Pageviews.  

รู้จักสามีคุณพลอยไพลินและ'Max'หลานทวดคนแรก

เอามาฝากจาก Postjung คะ   เชื่อว่าหลายคนคงจะคิดถึงท่านเหมือนเรา พอเห็นรูปครอบครัวแล้วอดยิ้มไม่ได้เลยคะ  น่ารักมาก Smiley



V
V
V


รู้จักสามีคุณพลอยไพลินและ'Max'หลานทวดคนแรก

รู้จักสามีคุณพลอยไพลิน และหนูน้อย Max หลานทวดคนแรก 

เดวิด วีลเลอร์ มีอาชีพเป็นมืออาชีพทางด้านการเงินที่ Barclays Capital Inc. เป็นสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีนายหน้าตัวแทนในสังกัดมากกว่า 3,950 สาขาทั่วโลก เดวิดมีหน้าที่ดูแลด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์ นับจากจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากสถาบัน MIT ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2550 ซึ่งที่ MIT นี่เอง เดวิดได้พบรักกับคุณพลอยไพลิน เจนเซ่น ที่ไปเรียนปริญญาโทที่นั่น

คุณเดวิด วีลเลอร์ สามีของคุณพลอยไพลิน เจนเซ่น


ภาพนี้ถ่ายหลังงานวิวาห์25สิงหาคม 2552 เป็นภาพวันที่ 14 เมษายน 2553 คุณพลอยไพลินมีท้อง

คู่สมรสของคุณพลอยไพลิน คือคุณเดวิด วีลเลอร์ มีประวัติดังนี้

เขามีอาชีพเป็นมืออาชีพทางด้านการเงินที่ Barclays Capital Inc. ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งมีนายหน้าตัวแทนในสังกัดมากกว่า 3,950 สาขาทั่วโลก เดวิดมีหน้าที่ดูแลด้่านธุรกิจค้าหลักทรัพย์ นับจากจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ(MBA)จากสถาบันMITที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2550 ซึ่งที่MITนั่นเองเขาได้พบรักกับคุณพลอยไพลิน เจนเซ่นที่ไปเรียนปริญญาโทที่นั่น

Max , David และคุณพลอยไพลิน

ภาพถ่ายของMax บุตรชายของคุณพลอยไพลิน กับคุณเดวิด วีลเลอร์ และหลานทวดคนแรก ดูดีๆซิเหมือนใคร...?



ภาพนี้เมื่อว้ันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้

ซีรีส์ชุดนี้เพื่อเผยแพร่ให้พสกนิกรชาวไทยร่วมปลื้มปิติยินดีกับคุณพลอยไพลิน
ซึ่งพสกนิกรชาวไทยจำนวนมากชื่นชอบและคอยสนับสนุนให้กำลังใจแก่เธอ และจากภาพทั้งหมด เราแน่ใจว่าเธอมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข...

******

ภาพมงคลหลังพิธีวิวาห์เมื่อ 4 ปีก่อนของคุณพลอยไพลิน
กับเจ้าบ่าวคุณเดวิด วีลเลอร์ (David Wheeler)


คุณเดวิด วีลเลอร์ พูดถึงภาพนี้ว่า Exactly the opposite-เราหนะตรงกันข้ามกันเ้ลย
แต่เพื่อนๆศิษย์เก่าสถาบันMITของทั้งคู่บอกว่าไม่เลย พวกคุณเหมาะสมกันออก
คุณและคุณนายวีลเลอร์ กับเดวิดจูเนียร์ กับเพื่อนศิษย์เก่าMIT
เดวิดจูเนียร์ หลานทวดคนแรก ชื่อที่คุณพลอยไพลินเรียกคือ"Max"
"ครอบครัว"เมื่อ17พฤษภาคมที่ผ่านมานี้
คุณพลอยไพลินกับทายาทของเธอ

ซีรีส์ชุดนี้เพื่อเผยแพร่ให้พสกนิกรชาวไทยร่วมปลื้มปิติยินดีกับคุณพลอยไพลิน
ซึ่งพสกนิกรชาวไทยจำนวนมากชื่นชอบและคอยสนับสนุนให้กำลังใจแก่เธอ และจากภาพทั้งหมด เราแน่ใจว่าเธอมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข...




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2556 22:02:26 น.
Counter : 16097 Pageviews.  

แม่จีนโหดคว้ากรรไกรแทงหน้าลูกกว่า 90 ครั้ง หลังลูกกัดหัวนม


เอามาจาก Postjung คะ  



อ่านแล้วปรี๊ดดด แต่ก็พยายามข่มใจ ข่มสติอารมณ์  เออ...แม่เค้าป่วยหรือเปล่า  ถึงได้ทำอะไรรุนแรงเยี่ยงนี้ได้   แต่ที่ถูกแล้วควรจะเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอคะ  มาปล่อยตัวแบบนี้ด้ายยางงายย  Smiley

V
V
V


แม่จีนโหดคว้ากรรไกรแทงหน้าลูกกว่า 90 ครั้ง หลังลูกกัดหัวนม

แม่แทงลูก,ทารก,จีน




เมื่อ วันที่ 11 กรกฎาคม 2556 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ รายงานว่า แม่ชาวจีนบันดาลโทสะ คว้ากรรไกรกระหน่ำแทงหน้าลูกชายจนเป็นแผลทั่ว หลังโมโหลูกชายกัดหัวนมระหว่างเธอกำลังให้นมลูก

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองซูโจว มณฑลเจียงซูของจีน แม่รายหนึ่งซึ่งไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อได้ให้นมหนูน้อยเสี่ยว เป๋า ลูกชายวัย 8 เดือน แต่ระหว่างนั้นเองเสี่ยว เป๋า ก็เผลอกัดหัวนมเธอเข้า จึงบันดาลโทสะคว้ากรรไกรทิ่มไปบนใบหน้าลูกกว่า 90 ครั้งจนเลือดอาบ ก่อนจะเดินหนีไป ปล่อยลูกนอนอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านใน สภาพเลือดไหลเปรอะไปทั้งใบหน้า กระทั่งไม่นานนัก ลุงของเสี่ยว เป๋า ก็ได้มาเห็นเข้า จึงรีบนำตัวเสี่ยว เป๋า ส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

หลัง จากเสี่ยว เป๋า ถูกส่งตัวถึงมือแพทย์ ทีมแพทย์ก็ได้เย็บแผลที่ส่วนใหญ่อยู่บนใบหน้า ให้กับเสี่ยว เป๋า ทันที รวมแล้วกว่า 100 เข็ม ส่วนแม่ของเสี่ยว เป๋า ก็ยอมรับแต่โดยดีว่าเธอใช้กรรไกรทิ่มแทงลงไปบนใบหน้าลูก เพราะโมโหที่กัดหัวนมเธอ

           อย่างไรก็ดี จากการสืบสวนเบื้องต้น ไม่มีการยืนยันว่าคุณแม่รายนี้มีภาวะผิดปกติทางจิตหรือไม่ ขณะที่ทางเพื่อนบ้านของหนูน้อยได้ขอให้ทางการนำเด็กไปอุปการะ เพราะกลัวจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก แต่ทางการปฏิเสธเนื่องจากเห็นว่าที่บ้านของเด็กยังมีอาและลุงของเด็กอาศัย อยู่ด้วย และพวกเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองเด็กเช่นกัน

แม่แทงลูก,ทารก,จีน แม่แทงลูก,ทารก,จีน


เสี่ยว เป๋าเอ๊ย...มาอยู่กะแม่คนนี้ดีกว่าไหม  รับรองจะไม่ทำให้หนูเจ็บตัวอย่างนี้เลย Smiley




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2556 21:55:40 น.
Counter : 4477 Pageviews.  

อย่างฮา...ชุดแต่งกายชาวสวรรค์ของธรรมกาย

เอามาจากเว็ป Postjung คะ ฮาร์ดเซลกันน่าดู  แต่อิชั้นโคตรขำอ่า จะฮาไปไหนเนี่ยSmiley



V
V
V


ประมวลภาพ ผลบุญต่างตอบแทน-ของเล่นใหม่ ของธรรมกาย ทำบุญแล้ว "ได้อะไร" ธรรมกายมีคำตอบ

เครื่องประดับชาวสวรรค์ ดีไซน์ระดับโลก

สร้อยเส้นบะหมี่ทองคำ ตะเกียบฝังเพชร

ห้อยไปเข้าร้านอาหารจีนหรือก๋วยเตี๋ยวสะดวกยิ่ง

เทรนด์นี้เพื่อคนจีนโดยเฉพาะ ทำบุญได้ตะเกียบ

สร้อยข้าวต้มมัดหยก สำหรับคนไทยที่นิยมทำข้าวต้มมัดไปวัด

ชุดนี้สำหรับผู้ถวายส้มตำปู ตำไทย ตำลาว และปาปาย่า ป๊อกป๊อก

(สงสัยเจ้าอาวาสชอบฉัน เลยออกแบบคัดเป็นพิเศษ)

สำหรับผู้ทำบุญแบบไม่อั้น
มีชุดแหวนมือทองฝังบุษราคัม ล่อใจไปปรโลก

แหวนช็อกโกแลต เป็นทองและอัญมณีหลากสี

สำหรับสตรีและเด็กๆ ผู้ชอบช็อกโกแลตเป็นชีวิตจิตใจ

ชุดนี้ "บุญแก่ย่าง" กินกับส้มตำ อาหย่อย เอาไก่ไปหนึ่งตัว

ชุดแหวนไอศกรีมหวานเย็น ฉีกแนวจากช็อกโกแลต

ชุดสัตว์เลี้ยง "แมว" น่ารัก รับแวนทองฝังเพชรเล่นบอลทับทิม

"มีดีต้องโชว์" หลวงพี่ธัมมชโยคุยโวผ่านจานดาวธรรม

ข้อความในวงเล็บในรูปนี้ ตีความเอาเอง ??




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 19 มกราคม 2557 15:50:56 น.
Counter : 3917 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.