ชวนดูวิถีชีวิต ความเป็นมาของชาวจีนในวันวาน...
"อากงจ๋า ทำไมอากงมาอยู่เมืองไทยจ๊ะ "
ละอ่อนน้อยวัยสิบขวบ ถามอากงด้วยความสงสัย
"โอ๊ยย ที่เมืองจีนมันอยู่ไม่ได้หรอก อดอยาก ไม่มีข้าวจะกิน ปลูกอะไรก็ไม่ได้ ต้องเข้าป่าเอาใบมันมาต้มกิน ลำบากขนาดไหนคิดดู"
"แล้วอากงมายังไงล่ะจ๊ะ ? ขึ้นเครื่องบินเหรอ"
ชายชราหัวเราะร่า ลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ " ลูกเอ๋ย อากงไม่ได้ขึ้นเครื่องหรอก สมัยนั้นไม่มีปัญญา ข้าวจะกินยังไม่มีเลย...อากงมาทางเรือ นั่งกันโยกเยกเลย บางคนเมาเรือก็อ๊วกกันหมดท้อง"
"อากงมาไกลอย่างนี้ แม่กะป๊าอากงเค้าไม่ห่วงเหรอจ๊ะ"
อากงยิ้มๆ "ป๊าอากงตายแล้ว เหลือแม่คนเดียว พี่ชายอากงมาก่อน แต่ไม่มีใครส่งเงินมาให้ อากงกับแม่อยู่ที่นี่ก็ลำบากเหลือเกิน ไม่มีอะไรจะกินเลย อากงเลยคิดว่าต้องมาเมืองไทยเหมือนพี่ๆบ้างแล้ว......... "
อากงเงียบไปอึดใจ เมื่อเห็นหลานรักนิ่งเงียบอย่างตั้งใจฟัง จึงพูดต่อ
" สมัยก่อนไม่มีใครเอาแม่ไปด้วยหรอก เอาไว้ที่บ้านทั้งนั้น แล้วส่งเงินมาให้ แต่แม่อากงก็อยู่คนดียว อากงทิ้งไม่ได้ อากงเลยพาแม่มาด้วย แม่เป็นคนแก่แค่คนเดียวในเรือลำนั้นเลยนะ
มีแต่คนคิดว่าอากงเพี้ยน เอาคนแก่มาทรมานขึ้นเรือด้วย แต่อากงคิดว่าถ้าไม่เอาไปแม่ก็ตาย จะอยู่คนเดียวได้ยังไง อาหารก็ไม่มีกิน"
เด็กน้อยตาโตทำท่าทึ่ง "เล่าม่าเก่งจัง นั่งเรือเป็นวันๆไม่เมาเรือมั่งเหรอ"
"ไม่เหลือนะสิ แย่เลยทั้งคู่ ทรมานจะตาย พอเห็นแผ่นดินไทยลิบๆ สองคนกอดกันใหญ่....ดีใจเหลือเกิน"
อากงพูดด้วยสายตาเป็นประกาย เหมือนความดีใจในวันวานย้อนมาวันนี้
"เรารอดตายแล้ว "
"ถึงแล้วพี่ วัดไตรมิตร"
เสียงห้าวๆของมอเตอร์ไซค์รับจ้างวัยกระเตาะดึงคนบางคนให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ...
อิชั้นก้าวขาลงจากยานพาหนะยอดนิยมของคนกรุงเทพ มือขวาควักเงินออกมา 60 บาท จ่ายให้สารถีจำเป็นภายในวันนี้
"โห ยอดเจดีย์สูงจังพี่ คนเยอะด้วย"
"เราไม่เคยมาเหรอ" อิชั้นถาม
"ไม่เคยมาหรอก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ พี่มาไหว้พระเหรอ"
อิชั้นยิ้มพร้อมพยักหน้านิดๆ ก่อนเดินไปในวัด
เค้าคงไม่รู้หรอกว่าวันนี้อิชั้นไม่ได้มาไหว้พระอย่างเดียว....
อิชั้นก้าวเข้าไปในบริเวณวัด ที่นี่มีการจัดสรรเป็นอย่างดี มีป้ายบอกทิศทางแบบไม่ต้องกลัวหลง ป้ายประชาสัมพันธ์เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า ค่าเข้าชม 100 บาท แต่กรณีคนไทยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม
เดินขึ้นบันได มุ่งหน้าไปยังชั้น 4 ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระสุโขทัยไตรมิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนที่มาเยืยนที่นี่ต้องแวะมาสักการะสักครั้ง
พระสุโขทัยไตรมิตรป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้มีหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40% พระพักตร์มีเนื้อทอง 80% ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ 99.99%
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เข้าใจว่า เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อันเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม)
ต่อมาบริษัทอีสต์เอเชียติ๊กได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อัญเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกระเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498
ภาพที่ถ่ายมางดงามไม่เท่าตาเห็นเลยค่ะ เหลืองอร่าม เป็นทองคำทั้งองค์เลย เป็นบุญตาจริงๆ
สักการะพระพุทธรูปแล้ว ก็ลงมาที่ชั้น 2 เป็นอีกที่ๆเราตั้งใจมามากๆ ก็คือ "พิพิทธภัณฑ์เยาวราช" ค่ะ
ที่นี่เล่าความเป็นมาของชาวจีนในเมืองไทย ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเรือมาเลยคะ มาดูชีวิตของพวกเค้ากันนะคะ
จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอดค่ะ.... โดยมีการคมนาคมโดยใช้เรือกลไฟ ขนส่งสินค้าไปมาหากัน แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ชาวจีนต้องหนีความลำบาก ความอดอยากจากเมืองจีนมาพึ่งบารมีพระบรมโพธิสมภาร....ผู้มีความเมตตาปราณีต่อชนทุกกลุ่ม แม้ว่าจะไม่ใช่ประชาชนสยามประเทศตั้งแต่กำเนิดก็ตาม
ช่วงที่อยู่บนเรือ มีบรรยากาศจำลองใต้ท้องเรือที่ขนสินค้ามาด้วยค่ะ (แอบนึกถึงอากงตัวเองเบาๆ )
เรือสำเภาหัวแดงพาชาวจีนจากแผ่นดินเกิดสู่แผ่นดินสยาม
เทียบท่าที่สำเพ็ง ก้าวแรกบนแผ่นดินใหม่
ทางพิพิทธภัณฑ์ได้จำลองบรรยากาศของสำเพ็ง ย่านค้าขายของชาวจีนเมื่อครั้นขึ้นฝั่งสยามมาใหม่ๆด้วยค่ะ
มีร้านขายชำ
หาบขายก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวคืออาหารเส้นที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า กินกับน้ำแกงโดยใส่เครื่องประกอบต่างๆ คนจีนแต้จิ๋วนำมาเผยแพร่จนเป็นที่นิยมในไทย จีนใหม่หลายคนยึดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวโดยหาบอุปกรณ์เดินเร่ขายไปตามที่ต่างๆ ในยุคนั้นลูกค้าที่จะมากินก๋วยเตี๋ยวต้องนำชามมาใส่เอง
ทั้งนี้ยังมีร้านขายพวกถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ เป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนเป็นจำนวนมากในสมัยยุคต้นรัตนโกสินทร์ มีทั้งแบบที่ทำเป็นพิเศษสำหรับชนชั้นสูงและแบบที่ทำมาขายคนทั่วไป โดยในยุคนั้นไทยยังทำไม่ดีเท่า นอกจากนี้ร้านเครื่องกระเบื้องยังมีสินค้าราคาแพงอื่นๆจากเมืองจีน เช่น เครื่องแก้ว ผ้าแพร
และบางครั้งก็ขายจุ๋ยก้วยด้วย จุ๋ยก้วยคือขนมถ้วยแบบจีน ทำจากแป้งข้าวเจ้านึ่งสุก เวลาขายตักใส่กระทงโรยหน้าด้วยกระเทียม หัวใช้โป๊วสับละเอียด และปรุงรสด้วยซีอิ้วดำ เป็นของกินเล่นที่นิยมในหมู่คนจีนเพราะอิ่มท้องและราคาถูก การหาบเร่ขายของกินแบบนี้เป็นอาชีพหนึ่งของจีนใหม่ เพราะใช้ทุนไม่มากนัก
ร้านข้าวต้ม คนจีนนิยมกินข้าวต้มเป็นอาหารหลัก เมื่อมีคนจีนเข้ามาทำงานในเมืองไทยจำนวนมากจึงเกิดร้านขายข้าวต้มและกับข้าวง่ายๆ ราคาถูก สำหรับคนจีนรายได้น้อยซึ่งมักเน้นกินข้าวมากๆ ให้อิ่มท้อง กินกับข้าวเพียงเล็กน้อย โดยมีทั้งแบบหาบเร่และปลูกเพิงขายเป็นหลักแหล่ง ในยุคหลังคนไทยเรียกข้าวต้มแบบนี้ว่า ร้านข้าวต้มกุ๊ย ซึ่งเป็นที่นิยมทั่วไป
บางคนก็เชี่ยวชาญด้านศิลปะ สามารถรังสรรความงามบนโคมไฟ
ภาพบรรยากาศของสำเพ็งครั้งวันเก่าๆ
และในเวลาต่อมาค่ะ...
ตอนนี้เริ่มมีการค้าขายข้าว
มีโต๊ะคัดคุณภาพข้าวด้วย
เราชอบบรรยากาศที่เค้าอุตส่าห์วาดให้มันเข้ากันจริงๆ ได้ฟีลมากค่ะ
ต่อมาเริ่มเกิดเยาวราช
ที่นี่มีแบบจำลองย่านเยาวราชในอดีตมาให้เราชมด้วยคะ
รถราง
ตึกรามบ้านช่อง
อันนี้เป็นตึกเจ็ดชั้น ซึ่งเคยเป็นตึกสูงที่สุดในประเทศมาก่อนที่จะมีตึกเก้าชั้น ตึกนี้เป็นที่ตั้งโรงแรมเจ็ดชั้น ชั้นบนสุดเคยเป็นที่แสดงระบำวาบหวิวอันเลื่องชื่อของคณะนายหรั่ง เรืองนาม นักเที่ยวจึงเรียกกันว่า สวรรค์ชั้นเจ็ด ส่วนชั้นล่างของตึกมีร้านขายเครื่องเสียงก้วงสุ่นไท่
สี่แยกราชวงศ์ ตรงหัวมุมแยกมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำตั้งประชันกัน ๒ ห้าง คือห้างแมวดำ และห้างใต้ฟ้าซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยส่วนอีกมุมเป็นที่ตั้งธนาคารศรีนครแห่งแรก ภัตตาคารชื่อดังหลายแห่งตั้งอยู่ในย่านนี้ เช่น ก๊กจี่เหลาในห้างใต้ฟ้า คี้เตียงเล้าและเยาวยิ่น ข้างโรงภาพยนตร์ศรีราชวงศ์ ในยามค่ำคืนคนทันสมัยนิยมขับรถหรูมาจอดรับประทานที่สีฟ้า ซึ่งมีบริการเสริฟอาหารถึงโต๊ะ
ที่นี่ยังมีแบบจำลองภาพกิจกรรมของชุมชนชาวจีนในอดีตให้เราดูด้วยค่ะ
มีตั้งแต่ไหว้เจ้า
โรงพยาบาลเพื่อนคนยากไร้
หนังสือพิมพ์จีน
เพิ่งรู้ว่าร้านทองเค้ามีคณะดนตรีบรรเลงในร้านด้วยนะ สุโค่ยมาก
ร้านจันอับ นึกถึงบรรยากาศตอนเด็กๆ มีร้านอย่างนี้ขายในเมืองชล เวลาที่มีงานแต่งก็ต้องมาซื้อที่นี่เท่านั้น
โพยก๊วน
โรงเรียนจีน ตอนเด็กๆอิชั้นก็เรียนโรงเรียนจีนแบบนี้แหล่ะคะ โต๊ะปิงปองนี่ใช่ยิ่งกว่าใช่เลย หุหุ
โรงงิ้ว แหล่งความบันเทิงและการถ่ายทอดคติธรรม อันนี้อาม่าเคยพาไปดูตอนเด็กๆค่ะ
แต่ดูท่าทางสองคนนี้ไม่สนใจงิ้วเท่าไหร่เลยนะ เม้าท์กันเองมันส์กว่าใช่ป่ะคะ
วัดจีน ศูนย์รวมศรัทธาของชาวจีน นึกถึงสมัยเด็กๆ อาม่าพาไปวัดบ่อยมากกก
ภัตตาคาร สถานที่พบปะทางสังคม **ขอเม้าท์ บรรยากาศแบบนี้แหล่ะ งานแต่งป๊ากะแม่อิชั้น ใช่เลยยย
จำได้ว่าตอนเด็กอาม่าพามาเดินเล่นตลาดบ่อยมากก
จากนั้นก็มาดูตำนานชีวิต Hall of Fame ประกอบวีดิทัศน์แสดงตำนานชีวิตของบุคคลชาวเยาวราชที่เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้แก่อนุชนรุ่นหลัง
ในรูปนี้มีบุคคลที่อิชั้นคุ้นตาเป็นอย่างดี นั่นคือดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่อิชั้นจบการศึกษามาค่ะ
เยาวราชในวันนี้
วันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมร้อยปีแล้ว
ที่เยาวราชกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย คนไทยกับคนจีนตอนนี้ดูๆไปก็แยกกันไม่ออกแล้ว
ย้อนมาที่อากงของเรา......
ไม่น่าเชื่อนะคะ วันเวลาที่ผ่านทำให้ชีวิตชายจีนคนนึง จากสภาพเสื่อผืนหมอนใบ เข้ามาในเมืองไทยแบบไม่รู้อนาคต หวังเพียงมีอาหารไว้ประทังชีวิตตัวเองและแม่ จากวันที่ไม่มีอะไรตั้งแต่ศูนย์ จนถึงทุกวันนี้ซึ่งมีกิจการค้าขนสัตว์ส่งออกของตัวเอง รวมทั้งลูก 11 คน หลาน 24 คน เหลน 3 คน บ่งบอกถึงความมั่นคงของชีวิตได้อย่างดี
และเมื่อถึงวันหนึ่งที่อายุเพิ่มมากขึ้นจนไม่เหมาะกับการทำงาน.....ก็ถึงเวลาที่อากงจะปลดเกษียณตัวเอง และยกกิจการให้ลูกหลานดูแล ตอนนี้ในแต่ละวัน กิจวัตรที่หลานตัวเล็กๆเห็นอากงทำ จึงเหลือแค่จิบชายามเช้าพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์จีน ส่วนตอนเย็นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเพื่อนๆและนั่งคุยกัน
"แล้วอากงจะกลับไปเมืองจีนอีกไหมจ๊ะ หนูเห็นตอนนี้อากงก็บินไปเมืองจีนบ่อยๆนี่ "
เด็กน้อยยังถามต่อด้วยความอยากรู้
"อากงบินไปเพื่อไปเยี่ยมญาติ และไปดูความเป็นอยู่ของเค้า อะไรที่เราช่วยเค้าได้จะได้ช่วย เค้าจะได้ไม่หาว่าเราสบายแล้วแล้งน้ำใจ
แต่อากงก็คงจะอยู่เมืองไทยตลอดไป อยู่ที่นี่สบายกว่าอยู่เมืองจีนเยอะ ทำมาหากินก็ได้ ลูกหลานทุกคนก็อยู่ที่นี่หมด ที่นี่เป็นบ้านอากงแล้ว อยู่ที่นี่แล้วมีความสุขที่สุด
จะตายก็ขอตายที่นี่ก็แล้วกัน..."
.....วันนี้เป็นวันครบรอบ 10 ปีที่อากงจากอิชั้นไป ที่สุดแล้ววาระสุดท้ายของอากงก็ได้ทิ้งลมหายใจไว้ที่นี่ ที่เมืองไทยแห่งนี้
แม้ว่าสิ่งที่ทำให้คนที่อิชั้นรักที่สุดคนนึงต้องจากไปคือโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ที่มาป้วนเปี้ยนในชีวิตของท่านในช่วง 3 ปีก่อนที่จะเสีย อาจจะทำให้ครอบครัวของอิชั้นโศกเศร้ากับการเสียเสาหลักที่เป็นที่พึ่งทางใจไป แต่เมื่อนึกถึงปลายทางของชีวิต ก็คงไม่มีใครที่หนีความตายได้พ้น....
และก่อนที่จะตาย อากงได้มีความสุขแล้วกับแผ่นดินที่ท่านมาอาศัยพึ่งใบบุญ และได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต ที่จะดำรงชีวิตและเผ่าพันธ์ จนมีลูกมีหลานสืบสกุลมากมาย เท่านี้อิชั้นก็ว่าเพียงพอที่จะทำให้คนๆนึงลาโลกได้อย่างสงบ เหมือนอย่างที่อากงอิชั้นเป็น.....
แค่นี้ก็พอแล้วจริงๆค่ะ
Create Date : 19 กันยายน 2556 |
Last Update : 28 กันยายน 2556 15:54:31 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4835 Pageviews. |
|
|