== หมอดูที่ "แม่น" ที่สุด ตั้งแต่เคยดูหมอมา == ภาค 1
แม่เพื่อนสนิทตัวดีมาเล่าให้ฟังค่ะว่า ที่บริษัทมีคนทรงคนนึง เป็นร่างทรงปู่พิเภกและท้าวเวชสุวรรณ หลายท่านอาจจะยังไม่เคยรู้จัก แต่นั่นไม่เท่าสำคัญเท่ากับ "ความแม่น" แม่นจนน่ากลัวค่ะ ลองมาดูกันว่า มีเหตุการณ์อะไรบ้าง

เอาของคนอื่นก่อนนะคะ ของเจ้าของบล็อคที่เขียนจากประสบการณ์จริง หลังสุดค่ะ

เหตุการณ์ที่ 1



เป็นของแม่เพื่อนสนิท จขบ. คนแนะนำนี่แหละค่ะ ทุกๆปี เจ้าหล่อนจะต้องเดินทางไป ตปท. อย่างน้อยๆ 3 ทริป และทริปประจำปีทริปนึงคือ เกาหลี ซึ่งปกติคนที่หล่อนดีลด้วยที่นั่น งี่เง่า วีน และเหวี่ยงมาก หล่อนจึงไปปรึกษาพี่คนทรง ถามว่าทำยังไงดีเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น

พี่คนทรงหลับตาแป๊บนึง ก็บอกว่า พอไปถึงโรงแรม ให้เดินไปทางนี้ ทางนี้..แล้วจะเจอศาลเจ้า ให้ไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่นั่นซะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ที่พูดทั้งหมดนี้ โดยที่พี่คนทรงไม่รู้นะคะ ว่าเพื่อน จขบ. พักโรงแรมไหน แต่พอเพื่อน จขบ.ไปถึง ถูกหมดทุกอย่างค่ะ ตำแหน่งที่ตั้ง ทิศทางการเดินไปบูบา..

เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องเปิดศักราชที่ทำให้ดิฉันสนใจค่ะ แต่นั่นไม่เด็ดเท่าเรื่องที่จะเล่าต่อๆไป

เหตุการณ์ที่ 2



แม่เพื่อนดิฉันคนนี้ เธอมีลูกน้องคนสนิท สมมติชื่อ น้องมะเฟือง มีอยู่วันนึง น้องมะเฟืองก็พาเพื่อนรุ่นพี่สองคนไปดูกับพี่คนทรง โดยหนึ่งในนั้นออกจะเป็นผู้หญิงฝีปากกล้า ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า คุณนอ ระหว่างที่นั่งไปกันในรถ คุณนอกับมะเฟืองและเพื่อนอีกคนก็คุยเล่นจิปาถะ หนึ่งในนั้นคือ การที่คุณนอพูดว่าอยากไปทำงาน ตปท. เพื่อจะได้หาสามีรวยๆ..

เมื่อไปถึง พี่คนทรงก็บอกว่า จำเป็นต้องไปที่บ้านคุณนอโดยด่วน พร้อมกับถามว่าที่นั่นมีคนพิการใช่มั้ย..ซึ่งก็แน่นอนคำตอบคือ "ใช่"

ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกัน จู่ๆพี่คนทรงก็ถามขึ้นว่า "อยากไปทำงาน ตปท. เหรอ"

สะดุ้งโหยงทั้งคันค่ะ..พร้อมๆกับที่พี่คนทรงถามต่อว่า "ทำไมถึงอยากไป"
"ไปทำงานค่ะ" คุณนอตอบ
"อ้าว...ไม่ได้จะไปหา ปั๋ว รวยๆ เรอะ"
เงียบกันไปทั้งคันรถ...

เมื่อไปถึงบ้านคุณนอ.. เชื่อมั้ยคะ เหมือนชีวิตเธอมีกี่หน้า ถูกขุดขึ้นมาหมดอ่ะค่ะ กระทั่งเรื่องที่ไม่มีใครรู้มาก่อนและลับเฉพาะทั้งหลาย

เช่น คุณนอเคยพาคนไปทำแท้งกี่คน... ทุกเช้าคุณนอจะต้องบูชาเชิญเสด็จพ่อ ร.5 ให้ไปกับเธอทั้งวัน (อันนี้ก็โดนด่า เพราะความที่เธอิเป็นแม่ม่าย การใช้ชีวิตเรื่องส่วนตัว จึงออกจะสุดเหวี่ยงอยู่ซักหน่อย) แล้วบางครั้งเธอก็ทำอะไรไม่งาม ก็โดนต่อว่าว่า เชิญท่านให้ไปดูเธอ .... ทำไม

อีกหลายเรื่องค่ะ ที่ทั้งหมดได้ยินจากปากมะเฟือง ซึ่งเรารู้จักดี ฉะนั้นจึงเชื่อได้ว่าเป็นความจริง

จริงๆเรื่องคุณนอมันส์กว่านี้เยอะ แต่เล่ามากไม่ได้ มันออกจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเธอไปค่ะ ถ้าเล่าได้หมดนะคะ..มันส์กระจาย

เหตุการณ์ที่ 3



เริ่มเข้าใกล้ตัวดิฉันมากขึ้นแล้วค่ะ เหตุการณ์นี้เป็นวันเดียวกับที่ดิฉันเจอพี่คนทรงเป็นครั้งแรก เรื่องของเรื่องคือ น้องที่ออฟฟิศมีปัญหากับสามีจนเกือบเลิก ทั้งที่แต่งงานกันมาไม่ถึง 3 เดือน ดิฉันนึกถึงพี่คนทรงได้ จึงช่วยนัดให้แบบกระทันหัน ทริปนั้นที่ไปกันมีดิฉัน น้องมะไฟ (นามสมมติ น้องคนที่มีปัญหาสามีค่ะ) และน้องอีกคนนึง

เมื่อไปถึงก็ให้มะไฟเข้าไปดูคนแรก ทันทีที่เข้าห้อง มะไฟก็เอ่ยปากพูดว่า
"มีปัญหากับสามีค่ะ สงสัยจะโดนของ"
"เค้าไม่ได้โดนของหรอก เค้าโดนคุณนั่นแหละ.."

ต่อจากนั้น เป็นรายการต่อว่าน้องมะไฟ เรื่องของเรื่องคือ พี่คนทรงบอกว่า ที่สามีเธอมีปัญหาเพราะเธอทำหน้าที่ภรรยาไม่ดีพอ คอยโทรจิก ใช้คำพูดไม่น่ารัก ไม่เคยดูแล ก่อนจะถามต่อว่า

"หน้าบ้านคุณมีต้นลีลาวดีใช่มั้ย แล้วทำไมคุณไม่รดน้ำเค้าด้วย รดทำไมต้นเล็กๆ "

"ต้นลีลาวดีต้นนี้มาจากไหน"

"วัดค่ะ"

"นั่นสิ ของมาจากวัดแล้วสิ่งสกปรกที่ไหนจะเข้าบ้านได้" มะไฟได้คิดทันที ...เออ จริงแฮะ

"ไหนคุณเคยรับปากเค้าว่าจะดูแลเค้า ทำไมไม่ทำ"...

สารพัดที่พูด... ถูกทั้งหมดค่ะ และโดยที่ไม่ได้ถามสักคำด้วยนะคะว่า

มะไฟชื่ออะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ ...นี่คือ แค่มองหน้าแล้วคุยค่ะ...

โอ้ววววว แม่เจ้า....

พอก่อนเนอะ เดี๋ยวมาต่อเรื่องดิฉันภาคต่อไป...รับรองความแม่นเพราะเจอมากับตัว

เช่นเคยของการจบทุกบล็อคนะคะ หากอยากรู้ความเคลื่อนไหวของการอัพบล็อคครั้งต่อไป สามารถแอด Twitter ดิฉันมาได้ค่ะ... รับรอง (ไร้)สาระล้วนๆ อิ อิ



Create Date : 20 ธันวาคม 2552
Last Update : 20 ธันวาคม 2552 11:11:07 น.
Counter : 6592 Pageviews.

68 comment
เกิดมา 34 ปี เพิ่งจะมีวันนี้ที่ภูมิใจสุดๆ...


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปจัดอีเวนท์ที่ B2S บางนา ค่ะ และมีโอกาสได้คุยกับคุณอั้ม PR B2S ซึ่งเล่าเรื่องหมอกฤษณ์ คอนเฟิร์มให้ฟังว่าแม่นมากกกกกก ก็เลยลองหาหนังสือของหมอกฤษณ์มาอ่าน ได้มาทั้งหมด 2 เล่ม คือ




ตอนแรกที่ซื้อ สารภาพว่า ตั้งใจอยากซื้อไปฝากหม่าม้า เพราะหม่าม้าชอบหนังสือประเภทนี้มาก มากชนิดนิยายประโลมโลกย์ทำอะไรไม่ได้เลยเชียว


ก่อนจะส่งต่อให้หม่าม้า ตามธรรมเนียมก็ต้องขอเก็บภาษีสักหน่อย โดยดิฉันใช้เวลาอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ แค่ 2 วันจบ คือ เฉลี่ยวันละเล่ม ติดหนึบค่ะ...ลูกเลิก ไม่ต้องเลี้ยงกัน ขอเช็คกรรมก่อน


จำได้ว่าตอนที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ นายดิฉันพูดมาประโยคหนึ่งว่า


“เฮี้ยง เธอจะเสียเวลาอ่านหนังสือพวกนี้ไปทำไม” นัยว่า อ่านไปก็เท่านั้น ก็อยากจะบอกนายเหมือนกันว่า


“โธ่พี่...พี่ก็ยก “ธนาคารความสุข”มาให้หนูอ่านหน่อยสิคะ กำลังอยากได้ยานอนหลับอยู่พอดี”


ก็อย่างที่บอก จุดประสงค์ในการซื้อ ตั้งใจซื้อไปฝากแม่จริงๆ แล้วก็ตามประสาผู้หญิง เรื่องหมอดงหมอดู กรรมเวร ทรงเจ้าเข้าผี ขอสักหน่อยละกาน....


ถึงแม้หนังสือ 2 เล่มนี้ จะไม่ใช่หนังสือที่ทำให้เราเข้าใจอริยสัจ 4 ได้อย่างถ่องแท้ แต่ชั่วขณะหนึ่งใน 1 วันให้หลัง มันช่วยให้ดิฉันบรรลุนิพพานทางอารมณ์ค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง


ในหนังสือทั้ง 2 เล่มก็จะพูดถึงเรื่องกรรม อดีตชาติ บาป บุญคุณโทษไว้ตามสไตล์ แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบมากในหนังสือทั้ง 2 เล่มคือ มีส่วนช่วยเตือนสติให้เรามีหิริโอตัปปะที่แข็งแรงขึ้น เมื่อวันเวลาที่ผ่านมา เราอาจจะแกล้งๆทำเป็นลืม หรือหลงลืมไปจริงๆบ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์


โดยเฉพาะสิ่งที่หนังสือและผู้เขียนทั้ง 2 เล่มให้น้ำหนักไว้มากๆ คือการกตัญญูต่อบุพการี ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ นึกย้อนกลับไปตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดเป็นลูกสาวของป๊ากับม้า เรามีแต่ทำกรรมกับพ่อแม่มาตลอด ทั้งทำตัวไม่น่ารัก กิริยาไม่น่าเอ็นดู แล้วบางครั้งยังเถียงพ่อ ขึ้นเสียงกับแม่อีกต่างหาก


คำว่านรกนั้นอยู่ไม่ไกลเลย เมื่อคุณตระหนักได้ว่า คุณทำอะไรผิดลงไป แล้วยังเสียใจกับการกระทำนั้นอยู่ตลอดเวลา เพราะความจริงแล้ว “นรก” มันอยู่ในใจคุณอยู่แล้ว สมกับที่มีคนบอกไว้จริงๆว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”


ที่ผ่านๆมา ตั้งใจมาตลอดว่าจะเริ่มต้นใหม่ จะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจอีกแล้ว โดยเฉพาะหม่าม้า อาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนท้องเขิน จนถึงปัจจุบันกล้าพูดและมั่นใจ   มากว่า ทำได้จริง จนกระทั่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มือที่มองไม่เห็นก็ส่งบททดสอบทางอารมณ์มาให้ โดยไม่ทันตั้งตัว


ตารางชีวิตในวันนั้นคือ ต้องขับรถไปส่งสามีที่ Central World เพราะศิลปินในค่ายมีงาน Meet & Greet ครั้งแรก จากนั้น จะพาโขนเขินเข้าบ้านป่าป๊าหม่าม้า


วันนั้น อยู่ดีๆ ก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เคยเป็นกันบ้างมั้ยคะ คือปกติการที่มนุษย์คนนึงจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว หรืองี่เง่าได้เนี่ย ควรจะมีประเด็น เช่น หมาตาย แม่ยายกวน เป็นต้น แต่วันนั้นไม่มีสาเหตุจริงๆ


ถ้าเป็นเมื่อก่อน ดิฉันก็คงก้มหน้าก้มตารับสภาพความหงุดหงิดนั้น แล้วก็แปลงกายเป็นวัวเป็นควาย เที่ยวเหวี่ยงใส่คนอื่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะโดนด่ากลับ หรือหลายชั่วโมงผ่านไป อารมณ์เย็นขึ้นนั่นเอง แต่พออายุมันปาเข้าไปปูนนี้แล้ว สิ่งที่มากตามตัวเลขอายุ ก็คือปัญญาในการพิจารณาสิ่งต่างๆ นี่คือ โชคดีของความแก่ อย่างไม่ต้องสงสัย


ก็เลยนั่งพิจารณาว่า “นี่ตรูกำลังหงุดหงิดอยู่นี่หว่า แล้วทำไมมันหงุดหงิดอย่างนี้ว้า...หงุดหงิดจากอะไร เจือกไม่รู้อีกต่างหาก แล้วจะทำไงดี” เมื่อทำอะไรไม่ได้ หนักเข้าเลยแก้เกมส์ด้วยการรู้เท่าทันใจตัวเอง และวิ่งให้ทันสติ บอกกับตัวเองว่า นี่เรากำลังหงุดหงิดอยู่ นี่เรากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่...


แล้วจะทำยังไงดี กำลังจะเข้าไปหาป๊าม้าด้วย ไม่อยากพาอารมณ์เสียๆเข้าไป แล้วไปทะเลาะหรือทำตัวไม่ดีกับพ่อแม่


ใจอีกด้านนึงก็ตะโกนก้องออกมาว่า “งั้นกลับบ้านเหอะ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะตกนรกขุมถัดไปได้”


แต่ทันใด ใจด้านที่บรรลุแล้วก็แย้งกลับมาว่า “ทำอย่างนั้น ก็แปลว่า เราไม่สามารถจัดการกับความโกรธและอารมณ์ตัวเองได้เลย ก็ไม่เจ๋งจริงนี่หว่า ที่สุดยอดที่สุดคือ รู้ว่าตัวเองโกรธ รู้ว่ากำลังหงุดหงิด แล้วสามารถจัดการกับความรู้สึกนั้นได้ต่างหาก” ใจด้านแรกถึงกับพยักหน้าเห็นด้วยหงึกหงักๆ... 


คิดแล้วจึงขอท้าทายใจตัวเองดูสักครั้ง ด้วยการกำจัดอารมณ์บูด แล้วตรงไปทำดีกับพ่อแม่ ด้วยการไม่หงุดหงิดใส่ ไม่วีน ไม่เหวี่ยง...ซึ่งผลลัพธ์น่ะเหรอคะ...อยู่ที่หัวข้อบล็อกในวันนี้แล้วเรียบร้อยค่ะ 





Create Date : 19 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 11:56:02 น.
Counter : 606 Pageviews.

2 comment
....เ ค้าหาว่าดิฉัน "แรง" "เหวี่ยง" "วีน" .....
เหตุการณ์ที่ 1 สดๆร้อนๆ วันนี้

เรากับชายหนวดและหล่อ 1 ออกไปทานข้าวกลางวันกันที่ ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อย (แต่เจ้าของหน้าเป็นกาละมัง) ตรงแถวบ้าน ทั้งๆที่เมื่อวาน และเมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งมาทานไป เอาง่ายๆว่า หยุดยาวสงกรานต์ 9 วัน บ้านดิฉันอุดหนุนเจ้านี้ไป ไม่ต่ำกว่า 500 บาท! เพราะทานครั้งนึงก็ประมาณ 5 ชามอย่างต่ำ คิดดูแล้วกันค่ะ

ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์วันนี้ พอทานเสร็จ เรียกคิดตังค์ ยอดเงินคือ 178 บาท เราก็เปิดกระเป๋านับ บังเอิ๊ญญญญญ บังเอิญเหลือเกินที่มีเศษในกระเป๋าตังค์ 177 บาทพอดี (บวกเหรียญห้าสิบและยี่สิบห้าสตางค์) จริงๆพ้นจาก 177 บาทนี้แล้ว ก็มีแบงค์ห้าร้อยเลย แต่ดิฉันอยากดูน้ำใจเจ้าของร้านค่ะ เพราะทานกันมาหลายที และทานมาเรื่อยๆ แม้จะมีหยุดไปบางช่วงที่ดิฉันเกลียดขี้หน้าเจ้าของร้านก็ตาม

"น้อง ลดบาทนึงได้มั้ยคะ พอดีมีเศษ 177 พอดี" ถ้าเป็นคุณๆทั้งหลาย จะลดให้มั้ยคะ ลูกค้าที่มาทานบ่อยๆ ครั้งละมากๆ ขอลดบาทเดียวเนี่ย

เด็กเก็บตังค์หันกลับไปมองเจ้าของร้าน แล้วก็หันกลับมาว่า
"ไม่ได้ค่ะ"
อ๊ะ...สวยสิอย่างนี้ บาทเดียวน่ะไม่ใช่ไม่มี แต่บังเอิญดิฉันเป็นคนขี้แกล้งและขี้กวนส้นซะด้วยสิ
"งั้นอีกบาทนึง น้องเดินตามไปเอาที่รถได้มั้ย (จอดอยู่ห่างไปประมาณเกือบร้อยเมตร) "
เด็กลังเล และอึ้งๆ คงไม่เคยเจอเคสอย่างนี้

พูดจบดิฉันก็ไม่รอ เดินไปที่รถ บังเอิญที่ชายหนวดเลื่อนรถมาหน้าร้านพอดี ก็เลยเดินเข้าไปขอ 1 บาทจากสามี

"อ่ะ น้อง นี่ค่ะ " เป็น 178 บาทที่มีเหรียญ 50 สตางค์ 1 เหรียญ และ 25 สตางค์อีก 2 เหรียญ

"พี่คะ เราไม่รับพวกเหรียญห้าสิบกับยี่สิบห้าสตางค์ค่ะ"
"งั้นก็ช่วยไม่ได้นะคะน้อง พี่มีแค่นี้แล้วล่ะค่ะ"
คำตอบต่อจากนั้นคือ เด็กก็คืนเหรียญห้าสิบและยี่สิบห้าสตางค์ดิฉันมา ดิฉันก็ไม่สน รับคืนแล้วตรงกลับรถเลย

จริงๆกับร้านนี้น่ะ เคยมีกรณีกันมาครั้งนึง จนดิฉันเลิกทานไปนานทีเดียว ครั้งนั้นโกรธจนถึงขั้นเกือบจ้างคนตาบอดไปดักตีหัวเจ้าของร้าน

เหตุการณ์ครั้งก่อนเกิดขึ้นตอนที่ดิฉันกำลังท้องเจ้าหล่อ 2 และเป็นท้องอุ้ยอ้ายแล้ว วันแรกก่อนเกิดเรื่อง ให้สามีเขียนจดใส่กระดาษว่า
"บะหมี่ เนื้อ+เลือด ไม่งอก" ปรากฎเค้าทำมาผิด ไม่มีเลือด แล้วคนท้องอ่ะคุณผู้อ่านทั้งหลายขาาาาาาา ให้แย่งสามีไปยังเจ็บใจน้อยกว่าอยากกินแล้วไม่ได้กิน
"พี่คะ ขอเลือดเพิ่มหน่อยได้มั้ยคะ" ดิฉันก็ยังหน้าด้านไปขอเจ้าของร้านนะ เจ้าของร้านก็ทำหน้าไม่ค่อยเป็นมิตรแล้วตักเลือดเพิ่มให้ วันนี้ก็ผ่านไปแบบไม่ค่อยดี

วันต่อมา นึกอยากทานอีก ตามประสาคนท้องจริงๆที่อยากทานอะไรก็จะอยากอยู่อย่างนั้น ก็เลยชวนสามีไปทานอีก ซึ่งสามีก็เขียนให้เหมือนเดิม แล้วเจ๊แกก็ทำมาผิดอย่างเดิม เราก็เลยอุ้ยอ้ายเดินไปขอเลือดอีก ทีนี้เจ๊แกไม่ยอม
"เพิ่มเลือดไม่ได้ค่ะ"
"แต่มีเขียนไปตอนที่สั่งเลยนะคะ" คนท้องขี้วีนไม่ยอม
เจ๊หน้าเป้ดก็ไม่ยอม ดึงดันเอากระดาษจดออเดอร์มาดู ก่อนจะรู้ว่าตัวเองหน้าแหก เพราะทำผิดเอง แต่ทำไงได้ล่ะ ฟอร์มเจ้าของร้านร้อยล้านมันค้ำคออยู่ ทั้งที่คนท้องขี้วีนแทบจะจิ้มออเดอร์เข้าหน้าอยู่แล้ว
"เพิ่มไม่ได้ค่ะ เพราะใส่เป็ดไปเต็มราคาแล้ว ถ้าเพิ่มก็ต้องเพิ่มตังค์"
อ๊ะ..แม่นี่ คิดว่าชั้นมาเบ่งขอกินฟรี หรือไม่มีตังค์จ่ายเพิ่มอีก 5 บาทหรือไงยะ..
"ก็เพิ่มมาสิคะ"

สุดท้ายเจ๊แกก้เพิ่มมา แต่ใจดิฉันน่ะ มันไม่เอาด้วยแล้ว เพราะน้ำเสียงและกิริยาของเจ๊ มันสวนทางกับรสชาติของก๋วยเตี๋ยวโดยสิ้นเชิง ทั้งที่จริงๆแล้ว เค้าจะคิดตังค์เพิ่มก็ไม่ว่าเลย เต็มที่ก็ไม่เกินสิบบาท แต่ถ้าเค้าจะพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง กิริยาเป็นมิตรอย่างที่ควรจะมีให้ลูกค้า
"ได้ค่ะ แต่พี่ต้องขอคิดเพิ่มหน่อยนะคะ บังเอิญพี่ใส่เป็ดไปเต็มราคาน่ะค่ะ" แค่เนี้ย ก้ได้ใจคนท้องไปมากแล้ว แต่เจ๊ก็เลือกจะไล่ลูกค้าแทน
วันนั้นยอมรับว่าโมโหมาก ถ้าไม่ท้องจะไม่โมโหขนาดนี้ด้วย เพราะปกติจะเจอแต่คนที่เข้าใจและใจดีกับคนท้อง แต่ไม่ใช่กับยัยเจ๊คนนี้...

ก่อนจากกันในวันนั้น ดิฉันก็เอาคืนแก้โมโหไปโขอยู่ แต่อย่าให้เล่าเลยค่ะเอาคืนยังไง เดี๋ยวลูกมาอ่านเจอวันข้างหน้า มันจะถอนหงอกเอา

พ้นจากวันนี้ คงไม่มีดอกาสครั้งที่สามกับก๋วยเตี๋ยว (หน้า)เนื้อ(ใจเสือ) เจ้านี้
--------------------------------

เหตุการณ์ที่ 2 เกิดเมื่อห้าวันก่อน ที่ Dream World ระหว่างนั่งรอหล่อ 1 เล่นของเล่นอยู่ ก็เห็นควันโชยเข้ามาเป็นระยะๆ หันไปดูก็โป๊ะเชะกับแกงค์วัยรุ่นต่างชาติประมาณ 4 คน นั่งเพิ่มอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งปอดของตัวเองกันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

จริงๆ จะไม่สนใจเลย ถ้าไม่บังเอิญว่า ทิศทางลมมันพาควันเค้าลอยเข้ามาที่กลุ่มเราพอดี และในกลุ่มดิฉันก็บังเอิญประกอบด้วยหล่อ 2 ซึ่งเป็นเบบี๋วัย 1 ขวบอยู่อีก 1 คน

"Excuse me, this's non-smoking area and also I have an infant sitting around here. So, would you please just move to another place?"
วัยรุ่นต่างชาติ ว่าที่คนป่วยมะเร็งปอดทั้งแกงค์ทำหน้างง หันมามองหน้าดิฉันกันแบบยกแกงค์

กรรม! ฟังอังกฤษไม่ออก ก็ไม่เจือกบอก... ดิฉันเลยพูดช้าๆพร้อมทำท่าทางประกอบด้วย

"Oh!! Ok, sorry sorry" เออ ยังดีที่มีมารยาท

อีกเหตุผลนึงที่ตัดสินใจไล่กลุ่มนี้ เพราะไม่อยากให้มันคิดว่าคนไทยง่าย จะข่มเหงยังไงก็ได้ด้วย จึงต้องแสดงอิทธิฤทธิ์เจ้าบ้านกันนิดนึง

ก็แหม..ทีคนอื่นเค้าไปประเทศเอ็ง เอ็งยังแทบจะจำกัดให้เค้าสูบอยู่แต่ในฝันเลย มาที่นี่ ประเทศนี้ก็มีกฎเหมือนกันว้อย...

ถัดมาช่วงบ่าย ระหว่างเข้าคิวรอเล่น Super Splash กับสามีอยู่ จำได้ว่า ก่อนเข้าคิว เห็นแกงค์ตะวันออกกลางเดินตามหลังมา ที่จำได้เพราะหนึ่งในนั้น ดันแต่งชุดคอกเทลมาเล่น Dream World (แอบนินทากับสามีน่ะเลยจำได้)

เข้าคิวสักพัก สงสัยมัวแต่โม้เพลิน ปรากฎไอ่แกงค์คอกเทลผิดเวลานี่ ไพล่มาอยู่ข้างหน้าเราได้ไงฟะ เท่านั้นแหละ วิญญาณเลือดนักรบโบราณเข้าสิงทันที

"Hey, I remembered that you're waiting in the line behind me, so what's happened? Why you and your friends happen to be here in front of me without any reason?"

มันไม่ตอบ แต่ทำมือให้เราแซงไป...

เอ๊ะ... ไอ้นี่ อยากโดนคนตาบอดที่เพิ่งเสร็จภารกิจดักตีหัวเจ๊เตี๋ยวเป็ด มาทำร้ายร่างกายซะแล้วม้างงงงงงง
------------------------
เหตุการณ์ที่ 3 เหตุเกิดในซอยเอกมัยเมื่อหลายปีก่อน ซอยนี้เป็นซอย 2 เลน แค่รถวิ่งสวนกันได้ และปกติ จะมีรถออฟฟิศแถวนั้น จอดชิดริมซอยไปเลยทั้งแถบ

วันเกิดเหตุ เราเป็นคนขับ สามีที่สมัยนั้นยังเป็นแค่แฟน นั่งกระดิกเท้าสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ โดยทิศทางเราเป็นทิศทางเข้าซอย ในขณะที่รถที่จอด จอดกันฝั่งขวาของซอย (จอดกันฝั่งขาออก) ฉะนั้น โดยมารยาทแล้ว รถที่จะสวนเราออกมา (ตามมารยาทพื้นฐานคนใช้รถใช้ถนน) จะต้องจอดรอให้เราไปให้พ้นก่อน

ขณะที่เราขับไปได้ครึ่งทางแล้ว ก็มีรถสันดานเสียคันนึง รีบตะบึงเข้ามาโดยไม่ดูอีร้าค่าอีรม กะว่า ดิฉันคงต้องถอยให้ (ถอยในระยะทางร่วมๆ สามสิบเมตรเนี่ยอ่ะนะ ฝันไปเหอะเมิงงงงงง) ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า คนที่ทานแกงส้นเป็นกิจวัตรอย่างดิฉัน แถมยังมีสามีผู้เป็นมือวาง "ผู้ชายกวนทีน" อันดับต้นๆนั่งอยู่ด้วย ไม่มีทางหลบให้

พอรถมาปีะกัน ในสถานการณ์อย่างนี้ มักจะมีคนๆนึงที่อยากถูกสร้างให้เป็นวีรบุรุษเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเสมอ ซึ่งใ นที่นี้คือ รปภ. จากไ หนก็ไ ม่รู้
เข้ามาเลือกไกล่เกลี่ยฝั่งดิฉัน คงเพราะเห็นเป็นผู้หญิงหน้าซื่อๆ ในขณะที่อีกฝ่ายที่เป็นหนุ่มหน้าปลารากกล้วย

"พี่ ถอยหน่อยครับ"
"ไม่ค่ะ เค้าน่ะแหละต้องถอย"
"โธ่พี่ ข้างหลังเดือดร้อนนะ ถอยหน่อยเหอะ"
"ก็คุณดูสิ ว่าเลนใครถูก ไปบอกให้เค้าถอยไป"

คือซอยนี้ ไม่ใช่ชั้นไม่เคยมาย่ะ มาบ่อยด้วยซ้ำ เพราะแฟนอาศัยอยู่ในซอยนี้เอง ฉะนั้นอย่ามาตู่ว่าชั้นผิด!

เท่านั้นแหละ พี่ รปภ. วีรบุรุษผิดสถานการณ์ก็จำต้องล่าถอย พร้อมๆกันกับฝ่ายตรงข้ามที่เห็นดิฉันไม่ถอยแน่ ก็กะเล่นสงครามจิตวิทยาด้วยการดับเครื่องรถ และทำทีเป็นคุยโทรศัพท์

อ๊ะๆๆๆๆๆ สวยสิเอ็ง เล่นอย่างนี้ เดี๊ยนชอบบบบบบบบบบ

เห็นอย่างนั้นปุ๊บ เราก็ดับเครื่องทันทีเหมือนกัน แล้วงัดเครื่องสำอางค์ขึ้นมาแต่งหน้า ในขณะที่ชายหนวดก็งัดหนังสือพิมพ์ขึ้นมานั่งอ่าน จนเวลาล่วงไปร่วม 5 นาที ที่หนุ่มหน้าปลารากกล้วยจะเป็นฝ่ายยอมรับผิดและถอยทัพไปเอง

แม้ๆๆๆๆ เล่นกับใครไม่เล่น

คือไม่ได้จะเบ่งว่าเราใหญ่ ทำอะไรไม่ผิด แต่เราเป็นคนที่ชัดเจนกับกติกามารยาทของสังคมมาก ผิดยอมขอโทษ แต่ถ้าไม่ผิด จะไม่ยอมถอยให้เลยเชียว...หรืออย่างเหตุการณ์เตี๋ยวเป็ด ก็ไม่ใช่นิสัยเสียจะเอาเปรียบเจ้าของร้าน (บาทเดียวเนี่ยนะ!) ทั้งที่มีตังค์จ่าย แต่ดิฉันต้องการขอดูใจคนแค่นั้นเอง แล้วคนอย่างดิฉันเนี่ยนะ ลองซื้อใจได้แล้ว ก็จะกินมันอยู่อย่างนั้นอ่ะ ไม่ไปไหน ไม่เปลี่ยนเจ้า เป็นคนที่ทานติดที่มากๆ ไม่เชื่อถามคนรอบตัวดูได้เลย อย่างเบาะๆก็ทานเกือบทุกวันเป็นเดือนๆ อย่างหนักหน่อยก็ทานกันมาแล้ว 20 กว่าปี แล้วนิสัยดิฉันนี่ ไม่ใช่คนขี้ตืด เวลาทานทานเยอะ สั่งอย่างดี พิเศษ เพิ่มเนื้อคิดตังค์ไม่ว่า ขอให้ทำมาให้ตรงใจพอ...แต่เจ๊คนนั้น เค้ายอมเสียลูกค้าแลกกับตังค์แค่บาทเดียว.. ก็เอาเหอะ....

จริงๆ มีอีกหลายกรณีมากๆๆๆ แต่แค่นี้ ก็คงพอให้ใครๆที่ผ่านมาอ่านเจอ ไม่อยากรู้จักต่อไปแล้วล่ะค่ะ..

เลยขอเรียกบทความวันนี้ว่า "มนต์ไล่เพื่อน"

อิ อิ




Create Date : 19 เมษายน 2552
Last Update : 19 เมษายน 2552 23:03:45 น.
Counter : 462 Pageviews.

4 comment
** สมการความรักน้อง Blythe = ความตายของน้องที่ริมทะเล ****
เรื่องของเรื่องค่ะ....

เมื่อกี๊ระหว่างที่กำลังปฏิบัติการผลาญเงินในบัญชีอยู่อย่างสนุกสนานกับการช้อปปิ้งทางเวบคอมมูนิตี้แห่งหนึ่งที่เยือนประจำบนอินเตอร์เน็ท ก็ไปป๊ะเข้ากับกระทู้นึง ที่ตั้งหัวข้อไว้ว่า

"ขายน้อง Blythe รุ่น Cousin Olivia (คัสตอมเป็นแองเจลิน่า โจลี่)....."
(ขออนุญาตคุณ natchel แห่ง SBN มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)

เราก็คลิกกะเข้าไปดูซะหน่อยว่า Blythe ปากเจ่อหน้าตาจะเป็นยังไง สวยได้สักครึ่งของแม่น้องไชโลห์หรือเปล่า

ก็เจอะกับคำโปรยว่า

"ขายค่ะ น้องCousin Olivia คัสตอมเองกับมือ พยายามทำให้เหมือนแองเจลิน่า โจลี่ค่ะ ไหงออกมาเหมือนสาวติดยาไปซะได้....ฯลฯ"

คืออ่านเจอแค่ 2-3 ประโยคข้างต้น ดิชั้นก็ฮาซะลืมหมดว่ากำลังจะทำอะไรบนเน็ทบ้าง เออหนอคนเรา...ก็ช่างเปรียบเปรยน้องรักกันซะได้ นี่ถ้าน้องมันมีวิญญาณสิงสู่อยู่จริง ป่านนี้มันคงค้อนตาคว่ำแล้วมั้งคะเนี่ย

พอนึกถึงเรื่องความผูกพันระหว่างคนเล่นบลายธ์ ก็นึกไปถึงว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน ฟังรายการวิทยุรายการนึงช่วงเช้า ที่ดีเจมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของแฟนสาวดีเจ เป็นสาวกบลายธ์ชนิดเหนี่ยวหนึบ และเป็นเอามากขนาดที่ว่า พาน้องไปเที่ยวด้วยตลอด ก่อนจะมาเกิดมรณเหตุกับน้องเข้าจนได้ในท้ายที่สุด

เมื่ออยู่มาวันนึง คุณเพื่อนแฟนดีเจ นึกครื้มใจพาน้องบลายธ์สุดรักไปเที่ยวภูเก็ตด้วย ไอ่เที่ยวเฉยๆก็คงไม่กระไร และน้องก็คงไม่ตัดสินใจรีบไปเกิดใหม่อย่างนี้ แต่นี่เที่ยวไม่เที่ยวเปล่า ดั๊นนนนน พาน้องไปถ่ายรูปตรงริมสะพานด้วย

ชะรอยเจ้ากรรมนายเวรเก่าน้องคงตามตัวเจอ จึงมีเหตุให้น้องพลัดตกสะพานไป...

แม่คุณเจ้าของน้องเห็นดังนั้น ก็ตะลึงพรึงเพริดกับชะตากรรมของน้องรัก และหลังจากตั้งสติได้ แม่คุณก็กรี๊ดๆๆๆ ก่อนจะกระโดดสะพานตามน้องลงไป ตามคำบอกเล่าก็ไม่ได้บอกซะด้วยว่าสะพานสูงหรือเปล่า หรือเป็นสะพานนวลฉวีมั้ย ไม่งั้นเราอาจได้เรื่องเล่าเรื่องใ หม่ประจำสะพาน หรือมีข่าวพาดหัวชวนให้ระทึกใจเล่นๆว่า

"สลดหญิงสาวดับอนาถ หลังโดดลงน้ำหมายช่วยชีวิตบลายธ์สุดรัก"

อะไรเทือกๆนี้

หรือไม่อีกที เราก็อาจจะได้ชื่อสะพานแห่งนั้นใหม่ว่า

"สะพานรักน้องบลายธ์" นัยว่าเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักที่ยิ่งใหญ่ระหว่างเจ้าของน้องและน้องที่เด้ดไป...

กลับมาที่เรื่องเล่าต่อ

หลังจากกระโดดไปงมศพน้องอยู่ชั่วระยะเวลานึง (ตามคำบอกเล่าก็ไม่ได้บอกว่านานแค่ไหน หรือมีบริการเรียกหามนุษย์ประดาน้ำมาช่วยหรือไม่) แต่ก็เป็นอันเข้าใจได้ว่า น้องได้หาชีวิตไม่ หรือที่เข้าใจได้ง่ายๆว่า ม่องเท่ง ไปเรียบร้อย แม่คุณเจ้าของน้องก็ตกอยู่ในการเศร้าโศกเหลือจะกล่าว ก่อนจะกลับมาที่สะพานแห่งนี้อีกครั้งในภายหลัง

....เพื่อเอาดอกไม้มาโปรยที่สะพาน....

นัยว่าส่งวิญญาณน้องให้ไปสุ่สุคติ....

นี่ถ้ากลับไปเช็คข่าวจริงๆ อาจมีงานสวดศพใ ห้น้องด้วยก็เป็นได้นะคะเนี่ย...

หลังฟังเรื่องนี้จบ ดิชั้นนั่งขำอยู่บนรถประมาณครึ่งชั่วโมง ขำชนิดใครเห็นคงสงสัยระดับความปกติของสัมปชัญญะที่ใช้งานอยู่ แต่ยืนยันค่ะว่าไม่ได้บ้า แต่ที่ขำ ก็ไม่ได้ขำเพราะดูถูกในความรักของเจ้าของน้องแต่อย่างใด เพียงแต่นึกแล้วก็ได้แต่รำพึงว่า...

เออหนอ...ตุ๊กตาพวกนี้ช่างโชคดีมีวาสนาซะยิ่งกว่าหมาแมวและสัตว์โลกหลายๆชนิดอยู่มากโข ทั้งที่สนนราคาค่าตัวก็ไม่ได้ถูกกว่าลาบราดอร์สวยๆซักตัวซะเท่าไหร่ด้วย แต่กลับได้คะแนนนิยมไปสูงลิบซะยิ่งกว่าเจ้าเพื่อนสี่ขาของมนุษย์ซะอีก

หันกลับมามองตัวเอง ดิชั้นเป็นคนที่ไม่เคยเล่นตุ๊ตาเลย จริงๆก็เคยน่ะแหละหากย้อนไปในวัยเด็ก เพราะตอนเป็นเด็กหญิง พ้นจากตุ๊กตาแล้วก็ดูไม่น่าจะมีความบันเทิงอย่างอื่นอีก ไอ่ครั้นจะไปเล่นเกมหาแฟน หรือ ล่ากิ๊ก ...ก็ขี้เกียจต้องคอยให้หมอหั่นนอที่หน้าออก ฉะนั้น ลำพังตุ๊กตาและหม้อข้าวหม้อแกง ก็พอจะนับเป็นความรื่นรมย์ของเด็กผู้หญิงสัก 30 กว่าปีก่อนได้มากพอดูแล้ว

ตุ๊กตาที่เล่นสมัยนั้น ฮิตกันสุดๆก็ต้องตุ๊กตาที่หลับตาลืมตาได้ ประเภทจับยืนก็ลืมตา จับนอนตามันก็จะปิดไปเอง พอได้มาซักตัวนี่ ก็ทำเอากิ๊วก๊าวไปได้เป็นเดือนๆ ก่อนจะเบื่อและหันกลับไปเล่นกับเด็กผู้ชายต่อไป

ครั้งโตขึ้นมาหน่อยที่เริ่มปรากฏอารยธรรมบาร์บี้ในเมืองไทย ดิชั้นก็ไม่เคยได้เล่นกับเค้าหรอก ค่าที่เป็นคนไม่ค่อยรักษาของ แถมซื้อมาก็เล่นได้อยู่คนเดียว เพราะผ่ามีแต่พี่น้องผู้ชายซะทั้งบ้าน ชวนใครก็ไม่มีใครยอมจะเล่นด้วย
เนี่ยแหละหนา...ทุกข์ประการเดียวของความเป็นลูกเพศเดียวของบ้านจริงๆ

จนถึงขณะนี้ วันนี้ที่โตจนเริ่มแก่ เราก็ยังไม่เคยมีบาร์บี้กับชาวบ้านเลยสักตัวเดียว เพราะพอมีรายได้ที่จะซื้อ ใจมันก็ไม่โหยหาให้เสียตังค์ซะแล้วสิ สำคัญยิ่งกว่านั้น ของเล่นของผู้หญิงในวัยเต็มสาว (มาหลายๆปี) ก็ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการเล่นแต่งหน้า และ สกินแคร์อีกแล้ว

บ่นมาซะยาวยืดนี่ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ กำลังข่มอกข่มใจให้ตั้งอคติกับบลายธ์ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น

ดิชั้นเนี่ยแหละที่จะเป็นเจ้าของดอกไม้โปรยริมสะพานคนต่อไป...

เฮ้อ....



Create Date : 27 มีนาคม 2552
Last Update : 27 มีนาคม 2552 21:44:21 น.
Counter : 409 Pageviews.

2 comment
=== เพราะ "ความรักของแม่" โลกนี้จึงมีไฟฟ้าใช้ ===
เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ก.พ. 2552 ที่ผ่านมา ระหว่างที่นั่งรอจ่ายตังค์ค่ายาโขน จากบล็อคนี้

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=hiang&date=22-02-2009&group=2&gblog=8

ต้องขอบคุณสายตา ความซน และการเบื่อนั่งอยู่กับที่ ที่พาให้เราไปพบกับชั้นวางหนังสือธรรมะหลากชนิด หลายสำนัก จนสายตาไปสะดุดที่หนังสือธรรมะของ "พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก" เข้า สารภาพว่าก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้ยินชื่อพระอาจารย์รูปนี้มาก่อนเลยค่ะ แต่พอลองหยิบหนังสือธรรมะของอาจารย์มาเปิดพลิกดูๆ ทั้งเนื้อหา การจัด Art work และรูปเล่ม มันชวนให้หยิบกลับบ้านแท้ๆเทียวค่ะ



และนี่คืออาจารย์ ถ่ายมาจากด้านหลังปกนะคะ



กลับถึงบ้าน หลายวันผ่านไปลองหยิบหนังสือมาอ่านๆดู ก็ไปเจอะบทความบทหนึ่งเข้าที่คิดว่า ไม่เสียหลายเลยหากจะเอามาแชร์ให้ทุกๆคนได้รับรู้

ดิชั้นตั้งชื่อบล็อควันนี้ว่า.....

"เพราะความรักของแม่ โลกนี้จึงมีไฟฟ้าใช้ค่ะ"


โทมัส เอดิสัน ผู้ล้มเหลวเกือบหมื่นครั้งแต่ไม่เคยยอมแพ้

"ความล้มเหลวหลายๆอย่างในชีวิต เป็นเพราะคนเราไม่ตระหนักว่า พวกเขาอยู่ใกล้ความสำเร็จแค่ไหน ตอนที่เขายอมแพ้"


เป็นคำยืนยันของนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่คนนึงของโลก คือ โทมัส เอดิสัน

ชายผู้นี้หูหนวกตั้งแต่เด็ก เขาไม่สามารถได้ยินอะไรชัด ทำให้เขาเรียนที่โรงเรียนได้ไม่ดี แต่เอดิสันมีแม่ที่เข้าใจเขา คอยดูแลและอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจให้เขาเสมอ เอดิสันต้องเข้าๆออกๆโรงเรียนหลายแห่ง

แม่ของเขา ได้เป็นผู้สอนหนังสือให้เขา และยอมให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง กำลังใจจากแม่ ทำให้เอดิสันอ่านหนังสือมากขึ้น เขาสนุกสนานกับการทดลองต่างๆ ที่เขาอ่านจากหนังสือ ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้เขาได้ทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆมากมาย แม้การทดลองหลายครั้ง จะมีการผิดพลาดและไม่ได้ผล แต่แม่คือผู้ที่พูดให้กำลังใจแก่เอดิสันอยู่เสมอ ปลูกฝังให้เขามีทัศนคติท่ดีต่อการทำงาน

เอดิสันมองเห็นความผิดพลาดเป็นบทเรียนมากกว่าจะเป็นอุปสรรคให้เขาท้อถอย ดังเช่นในการทดลองคิดค้นหลอดไฟ ซึ่งเป็นผลงานประดิษฐ์ชิ้นสำคัญของเชา เมื่อผู้ช่วยของเขากล่าวกับเขาว่า
"เราทำการทดลองมา 700 ครั้งแล้ว แต่เรายังไม่มีคำตอบ เราล้มเหลวเสียแล้ว"
แต่เอดิสันกลับตอบว่า
"เปล่าหรอก เรายังไม่ล้มเหลว เรารู้มากกว่าใครๆในโลกในเรื่องนี้ และเรายังรู้อีกว่ามี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ อย่าเรียกว่าความผิดพลาด แต่ให้เรียกว่า เป็นการเรียนรู้"

จากหนังสือ "มีขันติคือให้พรแก่ตนเอง" ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก



O_O .. สุดยอดค่ะ..

ต้องขอบคุณความรักจากแม่ของเอดิสัน ที่ได้มีส่วนสร้าง "บุคคลสำคัญ" ขึ้นมาคนนึงในโลกนี้ และแน่นอนว่า หากไม่ใช่เพราะความรัก ความเข้าใจและการสนับสนุนจากแม่ของเอดิสันแล้วล่ะก็ ทุกวันนี้ เราคงยังโรแมนติกท่ามกลางแสงเทียนกันอยู่แน่นอน

หากใครว่างๆ ลองหามาอ่านกันดูนะคะ ธรรมะของอาจารย์เข้าใจง่ายค่ะ ไม่ต้องปีนบันไดอ่านแน่นอน...



Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2552 0:01:21 น.
Counter : 474 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

คนที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใคร
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



แม่ลูก 2 ที่กลัวการเป็นแม่ลูก 3 อย่างยิ่ง และ ผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก ที่สามารถหลอกผู้ชายที่ดีที่สุดในจักรวาลมาเป็นคู่ชีวิตได้ ล่าสุด...ผู้หญิงหลากฝัน ที่ยังไม่สามารถจัดการกับเวลาของตัวเองได้..ฮ่วย!
White border erased BG Bullet
All Blog