"พระพรหมไว้หนวด" เรื่องเล่าถึง "พ่อ" ผู้เป็นที่รัก
เปล่าค่ะ ดิชั้นไม่ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหน ถึงได้มีพ่อเป็นพระพรหม แต่ที่เปรียบเทียบอย่างนี้ เพราะอะไรรู้มั้ยคะ

ใครตอบได้ ให้ยืมลูกชายไปเลี้ยง 15 ปี...

เฉลยให้ก็ได้ เพราะกลัวจะไม่มีใครกล้าตอบ ที่ตั้งชื่อบล็อคอย่างนั้นก็เพราะ ใครก็ไม่รู้ช่วงเปรียบเปรยว่า "พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก" นั่นแหละ สาเหตุการอัพเกรดพ่อผู้หนวดเฟิ้มของดิชั้นขึ้นเป็น "พระพรหม" ได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยไม่ต้องติดสินบนพระอินทร์อีกต่างหาก

ที่มาของการตั้งกรุ๊ปบล็อคนี้ ก็มาจากว่า ดิชั้นเคยนั่งนึกในวันนึง (ว่างนั่นแหละ..) ว่าจริงๆแล้วหนา ตัวเราน้น ก็มีผู้ชายผ่านเข้ามาในชีวิตเยอะแยะไปหมด ทั้งผ่านมาเพื่อถามทาง ทั้งผ่านมาเพราะชอบใจในความกวนส้น ทั้งผ่านมาเพราะรู้สึกยัยนี่เป็นพวก "ตลกนำความสววย" ที่ตอนนี้พัฒนาไปจนถึงขั้น "ตลกเพียวๆ ความสวยก็ไม่เหลือ" แล้วอีกต่างหาก หรือจะเพราะผ่านมาเพราะหลงผิด คิดได้ว่าแม่คนนี้น่าจะเหมาะแก่การเป็นแม่พันธุ์

นับนิ้วดูแล้ว ก็ไม่ใช่น้อยๆ ถึงขั้นต้องไปยืมนิ้วคนข้างบ้านมาช่วยนับต่อ แต่ไอ้ครั้น จะเริ่มต้นความทรงจำถึงผู้ชายในคอลเล็คชั่นโดยไม่ผ่านการ "ปฐมบท" ถึงเฮียกอร์ดอนเลยก็กระไรอยู่

เปล่าอีกนั่นแหละค่ะ พ่อดิชั้นไม่ได้ชื่อ "เฮียกอร์ดอน" แต่อย่างใด หากแต่นั่นเป็นชื่อสมัญญานามที่เพื่อนๆสมัยมัธยมปลายพร้อมใจกันตั้งให้ และเรียกแทนคำว่า "พ่อไอ้เฮี้ยง" นัยว่า เพื่อไม่ให้พ่อรู้ตัวเวลาจะนินทา

ทำไมต้องเป็นกอร์ดอน? เออ ข้อนี้สงสัยมานานแล้วเหมือนกัน ว่าจะตั้งกระทู้ถามแม่เพื่อนรักคนตั้งชื่อคนนี้อยู่เหมือนกัน ว่าทำไมไม่เป็น "เฮียโจอี้" "เฮียโรเบิร์ต" "เฮียแบรด" หรือ "เฮียซอว์เยอร์" ทำไมต้องเป็นกอร์ดอน...

ตอบชั้นหน่อยสิวะ "เจอร์เกนส์" (น.) ชื่อเพื่อนรักในสารบบคนสุดท้าย ที่ยังทนคบดิชั้นอยู่ เดี๋ยวรอว่างๆก่อน จะมาเผาแม่คนนี้ตะหากเป็นอีกบล็อค

เมื่อนึกได้ว่าเราควรจะอัญเชิญ "เฮียกอร์ดอน" มาเจิมบล้อคโดยไม่ต้องรู้ตัวก็ได้ในฐานะ "พระพรหมของลูก สาขาผ่ายชาย" บวกกับไรหนวดเขียวครื้มที่เห็นมาตั้งแต่ยังทีนเท่าฝาหอย จึงเป็นที่มาของชื่อบล็อคในวันนี้

"เฮียกอร์ดอน" หรือ พ่อ ในความทรงจำของดิชั้น คือผู้ชายหน้าดุที่แอบหล่อ (เข้าข้างพ่อไว้ก่อน เพราะมีคนบอกดิชั้นหน้าเหมือนพ่อ รับรอง ถ้าใครบอกดิชั้นหน้าเหมือนแม่ด้วย ก็จะแปลว่า แม่ดิชั้นสาวๆสวยชัวร์ คอนเฟิร์ม!) มีวินัยเคร่งครัด ห่วง หวงลูกไม่แพ้เฮียไหนๆ และดุไม่เป็นสองรองใครในซอย

ความดุของปะป๊านั้น เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาและโจทก์จันไปทั่วร้อยเอ้ดเจ็ดย่านน้ำ ตราบเท่าที่คอนเน็คชั่นดิชั้นและพี่น้องจะไปถึง ยกตัวอย่างความดุก็เช่น

- ลูกๆต้องเข้านอนตอน 2 ทุ่ม การ์ตงการ์ตูนอย่าได้หวังจะดู ละเม็งละครยิ่งเป็นอันเลิกนึกไปได้เลย


- ไม่อนุญาตให้ลูกไปเล่นนอกบ้าน นัยว่าห่วงความปลอดภัย ทั้งที่สมัยนั้นบ้านก็ไม่ได้อู่จี๊ขนาดต้องกลัวคนมาลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ขอบเขตการเล่นที่อนุญาตเต็มที่คือ "หน้าบ้าน" โถๆๆๆๆๆ พ่อจ๋า แล้วมันจะสนุกอาร๊ายยยย เพระแต่ละกิจกรรมสุดฮิตของเด็กนั้น ล้วนต้องการพื้นที่มากกว่า 10 ตรว. ทั้งสิ้น
- ไม่อนุญาตให้ลูกคบเพื่อนซี้ซั้ว ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ดิชั้น ค่ะ เพื่อนๆดิชั้นนี่ ต้องผ่านการสกรีนของปะป๊าทุกคน จนถึงกับว่า ถ้าจัดทำเป็นอัลบั้ม "เพื่อนยอดนิยม" แล้วให้พ่อจิ้มเลือกว่าจะให้คบคนไหนได้บ้าง พ่อดิชั้นคงทำไปแล้ว
เกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้ารอบเพื่อนรักของลูกสาวก็ไม่มากมายอะไรค่ะ คือ
1. ต้องไม่แรด (กว่าลูกสาว) เพราะแค่ความแรดที่ปรากฎผ่านเลือดเนื้อเชื้อไขสายตรงคนนี้คนเดียว พ่อก็แทบกัดลิ้นกลั้นใจตายอยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเพื่อนๆที่แรดจนออร่าสาด เลิกคิดจะได้เข้ามาอยู่ในชีวิตดิชั้นได้เลย
2. ต้องไม่ขยันชวนลูกสาวของพ่อไปไหนๆ ที่ๆเดียวที่พ่อเห็นดีเห็นงามที่จะให้ลูกสาวไปได้คือ "บ้านตัวเอง" โธ่พ่อ! อย่างนั้นน่ะเค้าเรียก "อยู่" ไม่ได้เรียกไป
3. ถ้าเรียนเก่งได้จะดีมาก โดยเฉพาะถ้ามียันต์เกรดเฉลี่ย 4.00 แปะหน้าได้ พ่อจะเอ็นดูเป็นพิเศษ (กว่าลูกสาวอีกต่างหาก)
- ไม่อนุญาตให้ลูกกลับดึก โดยเฉพาะลูกสาวอีกแล้ว..เอาเป็นว่า ซีนที่ดิชั้นเคยเจอคือ
ครั้งที่ 1 สมัยเรียน ม.ต้น มีช่วงนึงอยากเป็นนางเอกเรื่อง "ลองของ" กับพ่อตัวเอง เลยลองกลับผิดเวลา เท่านั้นล่ะ ไม่นานเท่าไหร่ที่ดิชั้นจะได้เซอร์วิสพิเศษจากพ่อเป็น การย่องมาแอบสอดส่องพฤติกรรม เรื่อยไปจนถึง "จ้างคนมารับ" โดยเฉพาะ ...ฮิโซวมั้ยเล่า ท่านผู้ชม มีคนขับรถส่วนตัวตั้งแต่ ม.3
ครั้งที่ 2 สมัยเรียน ม.ปลาย โรงเรียนเลิก 3 โมงกว่าๆ ถ้าช่วงไหนกลับบ้านเลยห้าโมงครึ่งติดกันหลายวันเกินไป "บริการรถส่วนตัว" จะตามมาหลอกหลอนถึงที่ในไม่ช้าไม่นาน
ครั้งที่ 3 สมัยเรียนมหาลัย - ทำงาน เวลาตอกบัตรเข้าบ้านดิชั้นคือ "ไม่เกิน 4 ทุ่ม" เลทกว่านั้น อาจเจอป๊ามายืนหนวดเฟิ้มรออยู่หน้าปากซอยได้
- ไม่อนุญาตให้ลูกค้างคืนนอกบ้าน โดยเฉพาะแม่ลูกสาวคนเดียวอีกแล้ว และนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมประเทศไทยของดิชั้น เมื่อตอนเริ่มรู้จักกับสามีถึงเล็กชิบเป๋งเลบ

ใช่ว่าจะดุเป็นที่เลื่องลือ เรื่องความรักลูกก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน ในความทรงจำที่ดิชั้นจำได้คือ ป๊าไม่เคยเที่ยวไหนโดยไม่มีลูกหรือเมีย ป๊าไม่กินเหล้าเมายากับเพื่อนๆ เวลาหลังจากพระอาทิตย์ตอกบัตรกลับบ้าน คือเวลาของครอบครัวทั้งหมด

และป๊าเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ดีมากคนหนึ่ง ย้อนไปเมื่อสัก 30 ปีก่อน กับผู้ชายคนนึงที่จบการศึกษาแค่ ป.4 และมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ป๊ากลับมีวิสัยทัศน์ในการเลี้ยงลูกแบบน่าเอาอย่าง เช่น
- ป๊าเป็นคนสั่งน้ำส้มไบเล่ติดบ้านไว้ให้ลูกกิน นัยว่า เค้าเชื่อว่าลูกจะได้แข็ง
แรง
- ป๊าเป็นคนสั่งซื้อน้ำมันปลา ที่ในยุค 30 ปีก่อนยังแทบไม่ค่อยมีคนรู้จัก มาบังคับให้ลูกกิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวหรือไม่ แต่ดิชั้นเป็นคนที่ความจำดีมากๆ คนหนึ่ง (ลองเอาเลขบัตรเครดิตมาจิ เดี๋ยวจะทดสอบให้ดู)
- ป๊าเป็นคนสนับสนุนทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียน ไม่ว่าจะเรียนพิเศษ หรือการซื้อหนังสือหนังหาตำราเรียน ป๊าสะกดคำว่า "งก" กับหัวข้อนี้ไม่เป็นเลย

อีกอย่างหนึ่งที่ควรจะต้องพูดถึงอย่างมากๆคือ ดิชั้นกับพ่อมีนิสัยและรสนิยมที่เหมือนกันจนแทบจะเรียกว่า ราวกับโคลนกันออกมา อะไรบ้างเหรอคะที่เหมือนกัน
1. ดิชั้นดุเหมือนป๊า
2. ดิชั้นเป็นคนขี้หงุดหงิดเหมือนปา
3. ดิชั้นเป็นคนขี้รำคาญเหมือนป๊า
4. ดิฉันเป็นคนขี้วีนเหมือนป๊า
5. ดิชั้นเป็นคนระเบียบจัดเหมือนป๊า จัดว่าเนี๊ยบนะคะ ไม่ได้จัดว่ารก
6. ดิชั้นเป็นลูกคนเดียวที่ถนัดซ้ายเหมือนป๊า
7. ดิชั้นเป็นลูกที่มีรสนิยมในการเลือกของ หรือให้ความสำคัญกับความสวยงามเหมือนป๊า...ข้อนี้ต้องขยาย... เชื่อมั้ยคะว่าตั้งแต่เด็กๆ คนที่ช่วยเลือกดูคอสตูมให้ลูกสาวเวลาซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี คือพ่อดิชั้นค่ะ หาใช่แม่แต่อย่างใด แม่รู้จักอย่างเดียวคือการหาตังค์ เรื่องแต่งตงแต่งตัว มองข้ามแม่ไปได้เลย
8. ดิชั้นเป็นคนชอบเทคแคร์คนเหมือนป๊า เรียกว่ามีสโลแกนคู่กันของพ่อลูกคู่นี้คือ "หัวใจของเราคือบริการ"

แค่ 8 ข้อนี่ก็คงเยอะพอจะเป็นเหตุสนับสนุนความเชื่อที่ว่า พ่อเหม็นหน้าดิชั้นแล้วล่ะค่ะ ค่าที่เหมือนกันจนเกินไป เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันต้องผลักกันออกยังไงอย่างงั้นเลยทีเดียว

จริงๆเรื่องราวถึงป๊า คงไม่อาจเล่าได้ในความยาวแค่ไม่กี่บรรทัด เพราะดิชั้นมีพ่ออยู่ในชีวิตมาแล้วมากกว่า 30 ปี อยู่แบบเจอหน้ากันทุกวันทุกคืน (เพราะป๊าไม่ให้ไปค้างไหน) จนมาแยกกันกับป๊าครั้งใหญ่ในชีวิตคือตอนแต่งงาน ที่ดิชั้นต้องย้ายออกมาอยู่บ้านสามี จำได้ว่า 3 วันแรกที่ย้ายมาอยู่กับสามีนั้น เผลอเป็นร้อง (ร้องไห้ค่ะ ไม่ได้ร้องอย่างอื่น) จนสามีละเหี่ยใจร่ำๆอยากจะส่งคืน แต่ก็ติดที่สนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดน ที่เผลอเซ็นไปแล้ว ตอนนั้น ดิชั้นเรียกตัวเองว่าอยู่ในช่วง Culture Shock เพราะไม่เคยจากบ้านเป็นการถาวรอย่างนี้ ในขณะที่ฝั่งป๊านั้น ได้ข่าวว่า ปิดซอยเลี้ยงฉลองกันทีเดียว ค่าที่สามารถหลอกขายลูกสาวให้หนุ่มหนวดหน้าโง่รายใหม่ได้แล้ว

และก็ยังเลี้ยงฉลองไม่เสร็จจนบัดนี้เลยเชียวค่ะ....




Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2552 23:58:52 น.
Counter : 321 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใคร
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



แม่ลูก 2 ที่กลัวการเป็นแม่ลูก 3 อย่างยิ่ง และ ผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก ที่สามารถหลอกผู้ชายที่ดีที่สุดในจักรวาลมาเป็นคู่ชีวิตได้ ล่าสุด...ผู้หญิงหลากฝัน ที่ยังไม่สามารถจัดการกับเวลาของตัวเองได้..ฮ่วย!
White border erased BG Bullet