- The Bucket List กับชีวิตที่เพียงหาความสุขให้เจอ - เคยนั่งขีดเขียนรายการที่อยากทำก่อนตายบ้างมั้ยคะ? เคยคิดมั้ยคะว่าถ้ามีโอกาสได้รู้วันตายของตัวเองล่วงหน้า จะอยากรู้หรือไม่? แล้วเคยนั่งจัดลำดับเหตุการณ์ดีๆที่สุดในชีวิต 5 ลำดับ บ้างหรือเปล่า คำถามทั้ง 3 ข้อข้างต้น เกี่ยวพันโดยตรงกับหนัง 1 เรื่อง และเกี่ยวพันโดยอ้อมกับ Series เรื่องดังอีกพอกล้อมแกล้ม ถ้าใครยังไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Bucket List จะไม่นึกคุ้นกับ 2 คำถามข้างต้น และก็เช่นเดียวกัน หากคุณไม่ใช่คอ Series เรื่องดังอย่าง Lost ก็จะไม่นำพาต่อคำถามข้อที่ 3 อย่างใดๆ ก็แล้วมันเกี่ยวพันกันอย่างไร? The Bucket List เรื่องราวของคนไข้โรคยอดฮิตอย่างมะเร็ง 2 คนที่บังเอิญต้องมาแชร์ชีวิตที่กำลังนับถอยหลังรอวันปลิดปลง สิ่งเดียวที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันคือ "โรคมะเร็ง" นอกเหนือจากนั้นแล้ว เกือบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายหนึ่ง คือมหาเศรษฐีที่ในอีกด้านคือ เจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นเพียงช่างซ่อมรถยนต์ ฝ่ายหนึ่ง คือชายผู้ซึ่งไม่เคยสนใจสิ่งใดๆรอบตัว นอกจากมูลค่าการเติบโตของธุรกิจ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่สนุกสนานกับการให้ชีวิตได้เรียนรู้ ทั้งจากหนังสือและรายการโทรทัศน์ยอดฮิต และ ฝ่ายหนึ่ง คือชายแก่ที่มีชีวิตโดดเดี่ยว ไกลจากคำว่า "ความสุข" อย่างไม่อาจคาดถึง กับอีกฝ่ายหนึ่งที่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีอ้อมกอดแห่งรักและกำลังใจอย่างมากมาย เมื่อรู้แน่ว่า คงไม่อาจช่วงชิงเอาชัยเหนือพญามัจจุราชได้ แล้วชีวิตต่อจากนี้ล่ะ สิ่งใดจะเป็นความน่าสนใจมากกว่ากันระหว่าง การนอนรอความตายอย่างคนพ่ายแพ้ การต่อสู้ที่เลือนราง หรือ การทำทุกสิ่งอย่างที่ใจเคยปรารถนา เพื่อที่จะไม่ต้องเสียดายหากจะไม่ได้หายใจอีกครั้ง... ทั้งสองคนเลือกคำตอบข้อ 3 คือการออกไปใช้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ด้วยการทำสิ่งที่อยากทำก่อนตาย ไม่ว่าจะเป็น "โดดร่ม" "หัวเราะจนร้องไห้" "เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม" "จูบผู้หญิงที่สวยที่สุด" ... สิ่งที่ได้มาจากรายการก่อนตายเหล่านี้ นอกเหนือจากความสมหวังในเจตนารมย์แล้ว มันคือคำตอบของชีวิตในอีกด้าน ...คำตอบของความรู้สึกที่สั่นคลอน ...คำตอบของชีวิตที่ไม่เคยตระหนักรู้ สุดท้ายแล้ว สิ่งที่หนังกำลังบอกกับเรา คงไม่ใช่การพยายามเอาชัยเหนือวัฏสังสาร แต่คือการบอกเล่าว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อชีวิตคนหนึ่งคน อาจไม่ใช่ความมากมายจากตัวเลขเงินฝากในบัญชี อาจไม่ใช่ความเติบโตจากธุรกิจ อาจไม่ใช่ความรุ่มรวยในความรักจากคนแปลกหน้า อาจไม่ใช่ชัยชนะที่มีเหนือทุกสิ่ง แต่คือ "การค้นจนเจอว่าความสุขของชีวิตตนอยู่ที่ใด" ไม่สำคัญว่าจะไกลหรือใกล้ แต่สำคัญว่าเจอหรือไม่...เท่านั้นเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับชื่อคุ้นหูชาวไทยอย่าง Rob Reiner ที่เคยมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างเช่น Stand By Me ในปี 1986 และ A Few Good Men ในปี 1992 แต่เพียงชื่อของผู้กำกับอย่างเดียว ยังไม่เท่าเครดิตของ 2 ดารานำที่ได้ระดับตำนานอย่าง Jack Nicholson และ Morgan Freeman มาทำให้ภาคการแสดงกลายเป็นความโดดเด่นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ น่าเสียดายที่ร็อบเคยมีผลงานในระดับขึ้นหิ้งมาแล้วกับ 2 เรื่องข้างต้น พอมาถึงเรื่องนี้ กลับกลายเป็นเพียงแค่อีกหนึ่งเครดิตการทำงานที่ยังไม่อาจเทียบเคียงกับผลงานเก่าได้ เหมือนจะไปไม่สุดในสักทาง ทำให้สิ่งที่ตามมาคืออารมณ์ที่ยังค้างคาอยู่ อย่างที่ให้บรรยายคงต้องบอกว่า หัวเราะก็ไม่เต็มปาก ร้องไห้ก็ไม่เต็มตา หากแต่ความทรงคุณค่าของภาพยนตร์สักเรื่อง คงไม่อาจประเมินเอาได้ด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องตอบได้ว่า หนังเรื่องนั้น ได้สร้างแรงบันดาลใจหรือแรงกระทบต่อความรู้สึกอย่างใดๆหรือไม่ ซึ่ง The Bucket List ก็ทำหน้าที่มันได้อย่างสมบูรณ์ แล้วมันเกี่ยวพันอย่างไรกับ Series เรื่องดังอย่าง Lost นั่นเพราะมีฉากอันเป็นความทรงจำฉากหนึ่งที่เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่รู้จัก Series เรื่องนี้น่าจะจดจำได้เป็นอย่างดี มันเป็นการขีดเขียนเหตุการณ์ประทับใจที่สุดในชีวิต ของคนที่สังหรณ์ว่าตนเองกำลังจะตาย สิ่งที่ร้อยรัดเอา The Bucket List และ Lost ในตอนนี้ไว้ด้วยกันคือความตระหนักในความตายที่คืบเข้ามาใกล้ ใกล้จนบางครั้งไม่ทันตั้งตัว ใกล้จนดูราวอยู่ห่างเพียงลมหายใจรด.. และสิ่งเดียวที่จะทำให้โมงยามของความตายไม่น่ากริ่งเกรง คือความตระหนักรู้หรือ "สติ" ที่มีต่อชีวิตนั่นเอง เคยคิดมั้ยคะว่าถ้ามีโอกาสได้รู้วันตายของตัวเองล่วงหน้า จะอยากรู้หรือไม่? คน 95% ไม่อยากรู้ ส่วนอีก 5 % คือพวกที่ตอบตรงข้าม.. แล้วคุณล่ะ อยากเป็น 95 หรือ 5% นั้น? โดย: zmen วันที่: 13 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:27:57 น.
|
คนที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใคร
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?] แม่ลูก 2 ที่กลัวการเป็นแม่ลูก 3 อย่างยิ่ง และ ผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก ที่สามารถหลอกผู้ชายที่ดีที่สุดในจักรวาลมาเป็นคู่ชีวิตได้ ล่าสุด...ผู้หญิงหลากฝัน ที่ยังไม่สามารถจัดการกับเวลาของตัวเองได้..ฮ่วย! Group Blog
All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ใครอยากหาหนังสือดีๆ อ่านแวะมานะค่ะ มีให้อ่านฟรี (นิดหน่อย)